1ต่อไปนี้เป็นรายชื่อลำดับพงศ์พันธุ์ของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้ที่สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด ซึ่งเป็นผู้สืบเสื้อสายมาจากอับราฮัมอีกทีหนึ่ง 2อับราฮัมมีลูกชายชื่ออิสอัค อิสอัคมีลูกชายชื่อยาโคบ ยาโคบมีลูกชายชื่อยูดาห์และพี่น้องของเขา 3ยูดาห์มีลูกชายชื่อเปเรศกับเศราห์เกิดจากนางทามาร์ เปเรศมีลูกชายชื่อเฮสโรน เฮสโรนมีลูกชายชื่อราม 4รามมีลูกชายชื่ออัมมีนาดับ อัมมีนาดับมีลูกชายชื่อนาโชน นาโชนมีลูกชายชื่อสัลโมน 5สัลโมนมีลูกชายชื่อโบอาสซึ่งเกิดจากนางราหับ โบอาสมีลูกชายชื่อโอเบด ซึ่งเกิดจากนางรูธ โอเบดมีลูกชายชื่อเจสซี 6เจสซีมีลูกชายชื่อดาวิดผู้เป็นกษัตริย์ ดาวิดมีลูกชายชื่อซาโลมอน ซึ่งเกิดจากนางซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นเมียของอุรียาห์ 7ซาโลมอนมีลูกชายชื่อเรโหโบอัม เรโหโบอัมมีลูกชายชื่ออาบียาห์ อาบียาห์มีลูกชายชื่ออาสา 8อาสามีลูกชายชื่อเยโฮชาฟัท เยโฮชาฟัทมีลูกชายชื่อโยรัม โยรัมมีลูกชายชื่ออุสซียาห์ 9อุสซียาห์มีลูกชายชื่อโยธาม โยธามมีลูกชายชื่ออาหัส อาหัสมีลูกชายชื่อเฮเซคียาห์ 10เฮเซคียาห์มีลูกชายชื่อมนัสเสห์ มนัสเสห์มีลูกชายชื่ออาโมน อาโมนมีลูกชายชื่อโยสิยาห์ 11โยสิยาห์มีลูกชายชื่อเยโคนิยาห์กับพวกพี่น้องของเขา เขาเกิดเมื่อคราวถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในกรุงบาบิโลน
12เมื่อถูกกวาดต้อนไปยังกรุงบาบิโลนแล้ว เยโคนิยาห์ก็มีลูกชายชื่อเชอัลทิเอล เชอัลทิเอลมีลูกชายชื่อเศรุบบาเบล 13เศรุบบาเบลมีลูกชายชื่ออาบียุด อาบียุดมีลูกชายชื่อเอลียาคิม เอลียาคิมมีลูกชายชื่ออาซอร์ 14อาซอร์มีลูกชายชื่อศาโดก ศาโดกมีลูกชายชื่ออาคิม อาคิมมีลูกชายชื่อเอลีอูด 15เอลีอูดมีลูกชายชื่อเอเลอาซาร์ เอเลอาซาร์มีลูกชายชื่อมัทธาน มัทธานมีลูกชายชื่อยาโคบ 16ยาโคบมีลูกชายชื่อโยเซฟ เป็นสามีของนางมารีย์ พระเยซูที่เรียกว่าพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ก็เกิดมาจากนางมารีย์นี้แหละ
17ดังนั้นตั้งแต่อับราฮัมลงมาจนถึงกษัตริย์ดาวิด นับเวลาได้สิบสี่ชั่วคน และนับตั้งแต่กษัตริย์ดาวิดลงมา จนถึงถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยที่กรุงบาบิโลน เป็นเวลาสิบสี่ชั่วคน และนับตั้งแต่ถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยในกรุงบาบิโลน จนถึงพระเยซูกินเวลาเถิงสิบสี่ชั่วคน
18เรื่องการเกิดของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์เป็นดังนี้ คือแต่เดิมนั้น โยเซฟได้หมั้นนางมารีย์ ผู้เป็นมารดาของพระเยซูไว้ก่อนที่ทั้งสองจะอยู่กินด้วยกันก็ปรากฏว่า นางมารีย์ตั้งครรภ์แล้วด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า 19แต่โยเซฟคู่หมั้นของนางเป็นคนมีคุณธรรม ไม่อยากจะเผยแพร่เรื่องของนาง คิดว่าจะถอนหมั้นเป็นการลับ
20แต่ขณะที่โยเซฟคิดในเรื่องนี้อยู่ในใจ ก็มีทูตของพระเจ้าองค์หนึ่ง มาปรากฏกับเขาในความฝันว่า “โยเซฟลูกชายของดาวิดเอ๋ย ไม่ต้องกลัวที่จะรับมารีย์มาเป็นภรรยาของเจ้า เพราะว่าผู้ที่ปฏิสนธิในครรภ์ของนางนั้นเป็นโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า 21นางจะได้ลูกเป็นผู้ชาย แล้วให้เจ้าตั้งชื่อว่า เยซู เพราะว่าเขาเป็นผู้ที่จะทำให้ชนชาติของเขาหลุดพ้นจากความผิดบาป” 22ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพื่อจะให้เป็นไปตามพระคำของพระเจ้าที่ได้กล่าวไว้โดยศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ว่า 23ในตอนนั้น จะมีสาวพรหมจารีคนหนึ่งตั้งครรภ์และนางจะมีบุตรเป็นผู้ชายคนหนึ่ง และคนจะเรียกเขาเป็นภาษาฮีบรูว่า อิมมานูเอล (แปลว่า พระเจ้าอยู่กับพวกเรา) 24เมื่อโยเซฟตื่นขึ้นก็ได้ทำตามคำของทูตที่บอกนั้น คือได้รับมารีย์มาเป็นภรรยา 25แต่ไม่ได้หลับนอนกับนาง จนกว่าจะคลอดลูกชายแล้ว และโยเซฟได้เรียกชื่อลูกชายนั้นว่า เยซู
1พระเยซูเกิดที่หมู่บ้านเบธเลเฮมมณฑลยูเดีย ในรัชสมัยของกษัตริย์เฮโรด ต่อมาภายหลังมีพวกนักปราชญ์จากทิศตะวันออกเดินมายังกรุงเยรูซาเล็ม ถามว่า 2“มีเด็กคนหนึ่ง เป็นผู้ที่จะเกิดมาเป็นกษัตริย์ของพวกยิว เขาเกิดอยู่แห่งใด พวกข้าฯได้เห็นดาวของเขาปรากฏขึ้น จึงได้พากันมาเพื่อจะกราบไหว้นมัสการ”
3เมื่อกษัตริย์เฮโรดได้ยินเช่นนั้นแล้ว ก็รุ่มร้อนพระทัย ชาวกรุงเยรูซาเล็มก็รุ่มร้อนในใจเหมือนกัน 4แล้วเฮโรดก็ได้เรียกพวกมหาปุโรหิตกับพวกคัมภีราจารย์ ให้มาประชุมกัน แล้วก็ถามเขาว่า “พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ จะเกิดอยู่ที่แห่งใด พวกเจ้ารู้ไหม?” 5เขาบอกเฮโรดว่า “เกิดอยู่บ้านเบธเลเฮมมณฑลยูเดียพะยะค่ะ เพราะว่าศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าได้เขียนไว้ว่า 6บ้านเบธเลเฮมในแผ่นดินยูเดีย จะไม่ได้เป็นบ้านเล็กน้อยที่สุดในสายตาของผู้ปกครองแผ่นดินยูเดียอีกต่อไป เพราะว่าคนสำคัญคนหนึ่งจะมาจากที่นั่น เขาจะเป็นผู้ปกครองพวกอิสราเอล ชนชาติของเรา” 7แล้วเฮโรดจึงได้เชิญพวกนักปราชญ์เข้ามาพบเป็นการลับ ถามเขาจนได้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง ถึงเวลาที่ดาวนั้นได้ปรากฏขึ้น 8แล้วเฮโรด ก็ได้ให้พวกนักปราชญ์เดินทางไปยังบ้านเบธเลเฮม บอกพวกเขาว่า “พวกท่านจงไปค้นหาเด็กน้อยนั้นเถิด เมื่อพบแล้ว ก็ให้กลับมาบอกเราด้วย เพื่อเราจะได้ไปกราบไหว้เขาด้วย”
9นักปราชญ์เหล่านั้น จึงได้ไปตามคำแนะนำของเฮโรด และดวงดาวที่เขาได้เห็นนั้นก็ได้นำหน้าเขาไป จนกระทั่งมาหยุดอยู่ที่ทารกอยู่นั้น 10เมื่อพวกนักปราชญ์ได้เห็นดาวดวงนั้นแล้ว ก็มีความยินดียิ่งนัก 11ครั้นเขาเข้าไปในเรือนก็เห็นทารกนั้น กับนางมารีย์ผู้เป็นมารดา เขาจึงได้กราบไหว้เด็กน้อยนั้น แล้วเปิดหีบหยิบทรัพย์สมบัติของเขาออกมามอบแก่ทารกนั้น เป็นเหมือนกับเครื่องบรรณาการ ได้แก่ ทองคำ กำยาน และมดยอบ 12แล้วพวกนักปราชญ์ก็ได้ยินคำเตือนในความฝัน ว่าไม่ให้กลับไปหากษัตริย์เฮโรดอีก เขาจึงได้พากันกลับไปยังบ้านเมืองของเขาทางอื่น
13เมื่อนักปราชญ์พากันกลับไปแล้ว ก็มีทูตองค์หนึ่งของพระเจ้า ได้มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝันบอกเขาว่า “โยเซฟ จงพาลูกชายของเจ้า กับภรรยาของเจ้าหนีไปประเทศอียิปต์ และให้พักอาศัยอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะบอกเจ้า เพราะว่ากษัตริย์เฮโรดจะแสวงหาเด็กน้อย เพื่อฆ่าทิ้งเสีย” 14ในตอนกลางคืนนั้น โยเซฟจึงได้พาลูกชายกับภรรยาของเขาเดินทางไปประเทศอียิปต์ 15และได้พักอาศัยอยู่ที่นั่นจนกษัตริย์เฮโรดสิ้นพระชนม์ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพื่อให้เป็นไปตามพระคำของพระเจ้า ที่กล่าวไว้โดยศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ว่า เราได้เรียกลูกชายของเราออกมาจากอียิปต์
16เมื่อกษัตริย์เฮโรดเห็นว่าพวกนักปราชญ์หลอกลวง ก็โกรธแค้นยิ่งนัก จึงได้ใช้คนไปฆ่าเด็กผู้ชายทั้งหลาย ที่บ้านเบธเลเฮมและที่ใกล้เคียงจนหมดสิ้น ตั้งแต่อายุสองขวบลงมา ซึ่งพอดีกับเวลาที่พระองค์ได้รู้จากพวกนักปราชญ์เหล่านั้น 17เหตุการณ์เหล่านี้ก็เพื่อให้เป็นไปตามพระคำของพระเจ้า ที่ได้กล่าวไว้โดยเยเรมีย์ศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ว่า 18ได้ยินเสียงในหมู่บ้านรามาห์ เป็นเสียงโอดครวญและร้องไห้ คือนางราเชลร้องไห้คร่ำครวญ เพราะลูกทั้งหลายของนาง นางไม่ได้รับคำปลอบประโลมใจ เพราะว่าลูกทั้งหลายนั้นไม่มีแล้ว
19เมื่อกษัตริย์เฮโรดสิ้นพระชนม์แล้ว ทูตของพระเจ้าก็มาปรากฏแก่โยเซฟในความฝัน ที่ประเทศอียิปต์อีก บอกเขาว่า 20“โยเซฟเอ๋ย จงพาลูกชายกับเมียของเจ้ากลับไปยังแผ่นดินอิสราเอล เพราะว่าผู้ที่จะฆ่าลูกชายเจ้านั้นได้ตายแล้ว” 21โยเซฟจึงได้พาลูกชายกับเมียของเขากลับไปยังแผ่นดินอิสราเอล 22แต่เมื่อได้ยินว่า อารเคลาอัสปกครองมณฑลยูเดียแทนเฮโรดผู้เป็นบิดา ครั้นจะไปที่นั่นก็กลัว และเมื่อได้รับคำเตือนในความฝัน จึงได้เลยไปยังมณฑลกาลิลี 23ไปอาศัยในเมืองหนึ่งชื่อว่านาซาเร็ธ เพื่อจะให้เป็นไปตามพระคำของพระเจ้า ที่กล่าวไว้โดยศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ว่า คนจะเรียกเขาว่า ชาวนาซาเร็ธ
1ในตอนนั้นยอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำ ได้มาเผยแพร่ในถิ่นทุรกันดารมณฑลยูเดียว่า 2“จงกลับหลังหันจากความผิดบาป เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้ามาใกล้แล้ว” 3ยอห์นผู้นี้แหละ เป็นผู้ที่พระเจ้าได้กล่าวถึง โดยอิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ว่า “เสียงของผู้ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า จงเตรียมทางของพระเป็นเจ้า จงทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป” 4เสื้อผ้าของยอห์นผู้นี้ ทำจากขนอูฐและเขาใช้หนังสัตว์คาดเอวเป็นเข็มขัด อาหารของเขาคือจั๊กจั่นและน้ำผึ้งป่า 5ขณะนั้นชาวกรุงเยรูซาเล็ม และคนจากมณฑลยูเดีย และคนจากลุ่มแม่น้ำจอร์แดนก็ออกไปหายอห์น ยอมสารภาพความผิดบาปของตน 6รับพิธีมุดน้ำ จากยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน
7เมื่อยอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำเห็นพวกฟาริสี และพวกสะดูสีพากันมามากมาย เพื่อจะทำพิธีมุดน้ำ ท่านจึงได้กล่าวกับคนเหล่านั้นว่า “พวกชาติงูร้าย ใครบอกพวกเจ้าว่าจะหนีจากการลงโทษของพระเจ้าที่จะมาถึงพวกเจ้านั้นได้ 8พวกเจ้าจงพิสูจน์การกลับหลังหันจากความผิดบาปด้วยการหยุดทำความผิดบาป 9อย่าคิดเหมาเอาในใจว่า พวกเจ้ามีอับราฮัมเป็นต้นตระกูล แล้วก็จะทำอะไรก็ได้ เราขอบอกพวกเจ้าว่า พระเจ้าผู้มีฤทธิ์อำนาจ สามารถจะให้อับราฮัมมีลูกจากก้อนหินเหล่านี้ได้ 10ตอนนี้ขวานก็ได้วางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และต้นใดที่ไม่เกิดผลดีจะต้องถูกตัดแล้วก็โยนทิ้งในกองไฟ 11เราให้เจ้าทั้งหลายทำพิธีมุดน้ำ แสดงการกลับหลังหันจากบาปก็จริงอยู่ แต่ผู้จะมาภายหลังเรา มีฤทธิ์อำนาจมากกว่าเราอีก เราไม่สมควรแม้แต่จะถอดรองเท้าให้ท่าน ท่านจะให้พวกเจ้าทั้งหลาย เป็นชาวอิสราเอลใหม่ ด้วยฤทธิ์อำนาจแห่งพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และด้วยไฟ 12มือของท่านก็ถือพลั่วพร้อมแล้ว และท่านจะปัดลานข้าวของท่านให้ทั่ว ท่านจะเก็บข้าวของท่านไว้ในยุ้งฉาง แต่ท่านก็จะเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้จักดับ”
13แล้วพระเยซูก็ได้จากมณฑลกาลิลี มาหายอห์นที่แม่น้ำจอร์แดนเพื่อจะทำพิธีมุดน้ำกับเขา 14แต่ยอห์นได้ห้ามพระองค์ว่า “ผมจะต้องทำพิธีมุดน้ำจากอาจารย์มันจึงจะถูก ไม่ควรที่อาจารย์จะมาหาผมเช่นนี้” 15แต่พระเยซูได้ตอบยอห์นว่า “ตอนนี้ก็ให้เป็นเช่นนี้เถิด เพราะว่าด้วยวิธีนี้ พวกเราจึงจะทำให้สำเร็จทุกอย่างตามที่พระเจ้าต้องการ” ฉะนั้นยอห์นก็เลยยอม 16เมื่อพระเยซูทำพิธีมุดน้ำกับยอห์นแล้ว ในทันใดนั้นเมื่อพระองค์ขึ้นมาจากน้ำ ท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ก็ได้เห็นพระวิญญาณของพระเจ้าเป็นเหมือนกันกับนกพิราบ ลงมาอยู่กับพระองค์ 17แล้วก็มีเสียงดังมาจากฟ้าสวรรค์ว่า “ผู้นี้แหละเป็นลูกที่รักของเรา เราพอใจเขามาก”
1ครั้งนั้น พระวิญญาณของพระเจ้าได้นำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อมารจะได้มาทดลองพระองค์ 2และพระองค์ก็ได้อดข้าวอดน้ำสี่สิบวันสี่สิบคืน ต่อมาพระองค์ก็อยากรับประทานอาหาร 3ส่วนพญามารได้มาหาพระองค์ และพูดว่า “ถ้าเจ้าเป็นโอรสของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นข้าวเป็นน้ำสิ” 5ฝ่ายพระเยซูก็ตอบมันว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยข้าวด้วยน้ำอย่างเดียวก็มิได้ แต่จะต้องบำรุงด้วยพระคำของพระเจ้าที่ออกมาจากปากของพระองค์ทุกคำ” 5แล้วมารก็นำพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และให้พระองค์นั่งอยู่บนหลังคาของพระวิหาร 6แล้วมันก็พูดกับพระองค์ว่า “ถ้าเจ้าเป็นโอรสของพระเจ้า จงกระโดดลงไปสิ เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า พระเจ้าจะบอกให้พวกทูตสวรรค์ของพระองค์รักษาเจ้า และพวกทูตสวรรค์จะเอามือประคองเจ้าไว้ ไม่ให้เท้าของเจ้ากระทบหิน” 7พระเยซูจึงได้ตอบมันว่า “พระคัมภีร์เขียนไว้อีกว่า อย่าลองใจพระเจ้าผู้เป็นนายของเจ้า”
8อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาสูง และได้แสดงอาณาจักรต่าง ๆ ในโลก ตลอดจน ความรุ่งเรืองของอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ดู 9แล้วมันก็ได้พูดกับพระองค์ว่า “ถ้าเจ้าจะก้มลงกราบไหว้เรา เราจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้แก่เจ้า” 10พระเยซูจึงได้ตอบมันว่า “ไอ้มารร้าย เจ้าจะไปไหนก็ไป เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า จงกราบไหว้พระเจ้าผู้เป็นนายของเจ้า และปรนนิบัติรับใช้พระองค์เพียงผู้เดียว” 11แล้วมารก็ได้หนีจากพระองค์ไป และมีพวกทูตสวรรค์มารับใช้พระองค์”
12เมื่อพระเยซูรู้ข่าวว่ายอห์นถูกจำคุกแล้ว พระองค์ก็ได้ไปยังมณฑลกาลิลี 13แล้วย้ายที่อยู่จากเมืองนาซาเร็ธไปที่เมืองคาเปอรนาอุม ซึ่งอยู่ริมทะเลสาบที่เป็นเขตของเผ่าเศบูลุนและนัฟทาลี 14เพื่อจะให้เป็นไปตามพระคำของพระเจ้า ซึ่งกล่าวไว้โดยอิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ว่า 15ดินแดนของเศบูลุนและดินแดนของนัฟทาลี แห่งนี้แหละเป็นช่องทางที่นำไปสู่ทะเลทางฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น คือมณฑลกาลิลี ที่คนต่างชาติอยู่ 16คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในความมืด จะได้เห็นความสว่างยิ่งใหญ่ และผู้ที่อยู่ในดินแดนแห่งความตาย ก็มีความสว่างขึ้นส่องมาถึงเขาแล้ว” 17ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูก็ได้ตั้งต้นสั่งสอนว่า “จงกลับใจหันหลังจากการทำความผิดบาป เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้ามาใกล้แล้ว”
18ขณะที่พระเยซูเดินอยู่ตามชายฝั่งทะเลกาลิลี ก็มองเห็นพี่น้องชาวประมงสองคน คือซีโมนที่มีอีกชื่อหนึ่งว่าเปโตรกับอันดรูว์น้องชายของเขา สองคนนั้นกำลังทอดอวนอยู่ที่ทะเลสาบ 19พระองค์ก็ได้พูดกับเขาว่า “จงตามเรามา และเราจะตั้งเจ้าให้เป็นผู้หาคนเหมือนดั่งหาปลานี่แหละ” 20เขาทั้งสองได้ทิ้งอวนไว้ แล้วก็ตามพระองค์ไปทันที 21เมื่อพระองค์เดินต่อไป ก็เหลียวเห็นพี่น้องอีกสองคน ชื่อยากอบ ลูกชายของเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขากำลังชุนอวนอยู่ในเรือกับเศเบดีพ่อของเขา พระเยซูก็ได้เรียกเขา 22ในทันใดนั้น เขาทั้งสองก็ทิ้งเรือและลาพ่อของเขาติดตามพระองค์ไป
23พระเยซูได้เดินทางไปทั่วมณฑลกาลิลี ได้สั่งสอนในวัดหรือสุเหร่าของเขา ได้เผยแพร่บารมีของพระเจ้าเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และได้รักษาโรคภัยไข้เจ็บของชาวเมืองให้หายด้วย 24ชื่อเสียงของพระองค์ก็เลื่องลือไปทั่วประเทศซีเรีย เขาจึงได้พาคนป่วยที่เป็นโรคต่าง ๆ คนที่ทนทุกข์เวทนา คนผีเข้า คนเป็นลมบ้าหมู และคนเป็นง่อยมาหาพระองค์ และพระองค์ก็ได้รักษาเขาให้หาย 25และมีคนมากมายมาจากมณฑลกาลิลี และมณฑลทศบุรีและกรุงเยรูซาเล็ม และมณฑลยูเดีย และแม่น้ำจอร์แดนฟากตะวันออกก็พากันติดตามพระองค์ไป
1เมื่อเห็นคนมามายเช่นนั้นแล้ว พระเยซูก็ได้ขึ้นไปบนภูเขา และเมื่อนั่งลงแล้ว พวกสาวกก็มาหาพระองค์ 2แล้วพระองค์ก็ได้สั่งสอนเขาว่า
3“ผู้ใดก็ตาม ที่รู้สึกว่าเป็นคนไม่ดี ผู้นั้นก็เป็นสุข เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของเขาแล้ว” 4“ผู้ใดก็ตาม ที่รู้สึกโศกเศร้าเหงาใจ ผู้นั้นก็เป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับการปลอบโยนจากพระเจ้า” 5“ผู้ใดก็ตาม ที่มีใจนอบน้อมถ่อมตน ผู้นั้นก็เป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับแผ่นดินโลกเป็นมรดก” 6“ผู้ใดก็ตาม อยากทำตามความประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นก็เป็นสุข เพราะว่าพระองค์จะให้เขาอิ่มบริบูรณ์” 7“ผู้ใดก็ตามมีใจเมตตากรุณา ผู้นั้นก็เป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้รับความเมตตากรุณาจากพระเจ้าเป็นการตอบแทน” 8“ผู้ใดก็ตาม ที่มีใจบริสุทธิ์ ผู้นั้นก็เป็นสุข เพราะว่าเขาจะได้เห็นพระเจ้า” 9“ผู้ใดก็ตาม ที่สร้างสันติ ผู้นั้นก็เป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะเรียกเขาว่าเป็นบุตรธิดาของพระองค์” 10“ผู้ใดก็ตาม ที่ถูกข่มเหงเพราะทำตามความประสงค์ของพระเจ้า ผู้นั้นก็เป็นสุข เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของเขาแล้ว” 11“เมื่อใครก็ตามจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายพวกเจ้าในเรื่องที่ไม่เป็นความจริง เพราะเรา พวกเจ้าก็เป็นสุข 12จงชื่นชมยินดี เพราะว่ารางวัลของเจ้ามีอย่างมากมาย ในอาณาจักรของพระเจ้า เพราะว่าเขาได้ข่มเหงศาสดาพยากรณ์ ทั้งหลายของพระเจ้าที่อยู่ก่อนเจ้าเหมือนกัน”
13“พวกเจ้าทั้งหลายเป็นเกลือแห่งโลก ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร ตั้งแต่นั้นไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะทิ้งสำหรับให้คนเหยียบย่ำ”
14“พวกเจ้าทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก เมืองซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้ 15เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ มักจะตั้งไว้ที่เชิงตะเกียง ก็จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น 16พวกเจ้าทั้งหลายก็เป็นเหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งหลาย เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่เจ้าทำ เขาก็จะได้ยกย่องสรรเสริญบิดาของเจ้า ผู้อยู่ในสวรรค์”
17“อย่าคิดว่าเรามายกเลิกหนังสือธรรมบัญญัติของโมเสส และหนังสือศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า เรามิได้มายกเลิก แต่ได้มาทำให้ครบถ้วนทุกประการ 18เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า ตราบใดที่ฟ้าและดินคงอยู่ แม้แต่อักษรหนึ่งหรือขีด ๆ หนึ่งก็จะไม่สูญไปจากธรรมบัญญัติ จนกว่าสิ่งที่จะต้องเกิด ได้เกิดขึ้นแล้ว 19ฉะนั้น ผู้ใดได้ทำให้ข้อเล็กน้อยแม้แต่ข้อหนึ่งในธรรมบัญญัตินี้เบาขึ้น ทั้งยังสอนคนอื่นให้ทำเช่นนั้นด้วย ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรของพระเจ้า แต่ผู้ใดที่ทำตาม และสอนตามธรรมบัญญัติ ผู้นั้นจะได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ในอาณาจักรของพระองค์ 20เราขอบอกเจ้าทั้งหลายว่า ถ้าบุญของพวกเจ้า ไม่มากกว่าบุญของพวกคัมภีราจารย์ และพวกฟาริสี พวกเจ้าก็จะไม่มีวันจะได้เข้าสู่อาณาจักรของพระเจ้า”
21“พวกเจ้าทั้งหลายเคยได้ยินคำที่กล่าวไว้กับคนโบราณว่า อย่าฆ่าคน ถ้าผู้ใดฆ่าคน ผู้นั้นก็จะต้องถูกพิพากษาลงโทษ 22เราบอกพวกเจ้าว่า ใครก็ตามโกรธให้พี่น้องของตน ผู้นั้นก็จะต้องถูกพิพากษาลงโทษ ถ้าผู้ใดจะพูดกับพี่น้องของตนว่า ‘ไอ้โง่’ ผู้นั้นก็จะต้องถูกนำไปที่ศาลสูงให้พิพากษาลงโทษ และผู้ใดจะว่า ‘ไอ้บ้า’ ผู้นั้นก็จะมีโทษถึงไฟนรก 23เหตุฉะนั้นถ้าพวกเจ้านำเครื่องบูชามาถึงแท่นบูชาแล้ว และคิดขึ้นได้ว่า เจ้ามีเหตุขัดเคืองข้อหนึ่งข้อใดกับพี่น้อง 24จงวางเครื่องบูชาไว้ที่หน้าแท่นบูชานั่นหละ แล้วกลับไปคืนดีกับพี่น้องผู้นั้นก่อน แล้วจึงค่อยมาถวายเครื่องบูชาของเจ้า 25จงปรองดองกับคู่ความของเจ้าโดยเร็ว ในขณะที่พากันไปศาล เกรงว่าคู่ความนั้นจะมอบเจ้าไว้กับผู้พิพากษา แล้วผู้พิพากษาก็จะมอบเจ้าไว้กับผู้คุม และเจ้าก็จะต้องถูกขังไว้ในคุก 26เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า เจ้าจะออกจากที่นั่นไม่ได้จนกว่าจะได้ใช้หนี้จนครบถ้วน”
27“พวกเจ้าทั้งหลายได้ยินคำที่พูดไว้ว่า อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา 28ส่วนเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า ผู้ใดมองดูผู้หญิง โดยคิดอยากร่วมเพศกับผู้หญิงนั้นในใจ คนนั้นก็ได้ล่วงประเวณีในใจกับผู้หญิงนั้นแล้ว 29ถ้าตาขวาของเจ้าทำให้เจ้าหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย เพราะว่าเจ้าได้เสียอวัยวะอย่างหนึ่งอย่างใด ก็ดีกว่าตัวของเจ้าจะต้องตกนรก 30ถ้ามือขวาทำให้เจ้าหลงผิด จงตัดทิ้งเสีย เพราะว่าเจ้าได้เสียอวัยวะอย่างหนึ่งอย่างใด ก็ดีกว่าตัวเจ้าจะต้องตกนรก”
31“ยังมีคำกล่าวไว้ว่า ถ้าผู้ใดจะหย่าภรรยา ก็ให้ทำหนังสือหย่าให้กับภรรยานั้น 32ส่วนเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดจะหย่าภรรยา เพราะเหตุอื่นนอกจากการเล่นชู้หรือมีกิ๊ก ก็เหมือนกับว่าผู้นั้นทำให้ผู้หญิงคนนั้นผิดศีลข้อล่วงประเวณี และถ้าผู้ใดจะรับหญิงที่หย่าแบบนั้นมาเป็นภรรยา ผู้นั้นก็ผิดศีลล่วงประเวณีด้วย”
33“อีกอย่างหนึ่งพวกเจ้าทั้งหลายได้ยินคำ ที่กล่าวไว้กับคนโบราณว่า อย่าทำผิดต่อคำสาบาน คำสาบานที่ได้ให้ต่อพระผู้เป็นเจ้านั้น จะต้องรักษาไว้ให้มั่นคง 34ส่วนเราบอกพวกเจ้าว่า อย่าสาบานเลย แม้จะอ้างฟ้าสวรรค์ก็อย่าสาบาน เพราะว่าฟ้าสวรรค์เป็นที่อยู่ของพระเจ้า 35หรือจะอ้างถึงแผ่นดินโลกก็อย่าสาบาน เพราะว่าแผ่นดินโลกเป็นที่รองเท้าของพระเจ้า หรือจะอ้างถึงกรุงเยรูซาเล็มก็อย่าสาบาน เพราะว่ากรุงเยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของพระมหากษัตริย์ 36อย่าสาบานโดยเอาหัวของตัวเองเป็นประกัน เพราะเจ้าจะทำให้ผมขาว หรือดำไปแม้แต่เส้นเดียวก็ทำไม่ได้ 37จริงก็ให้ว่าจริง ไม่จริงก็ให้ว่าไม่จริง พูดเพียงแค่นี้ก็พอแล้ว พูดมากกว่านี้มาจากมารร้าย”
38“พวกเจ้าทั้งหลายได้ยินคำที่กล่าวไว้ว่า ตาแทนตา และฟันแทนฟัน 39ส่วนเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า อย่าต่อสู้คนชั่วเลย ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของเจ้า ก็จงหันแก้มซ้ายให้เขาด้วย 40ถ้าผู้ใดอยากจะฟ้องศาล เพื่อจะปรับเอาเสื้อของเจ้าไป ก็จงเอาเสื้อคลุมให้เขาด้วย 41ถ้าผู้ใดจะเกณฑ์ให้เจ้าเดินหนึ่งกิโลเมตร ก็ให้เลยไปกับเขาถึงสองกิโลเมตร 42ถ้าเขาจะขออะไรจากเจ้า ก็จงให้อย่าเมินหน้าหนีจากผู้ที่อยากขอยืมจากเจ้า”
43“พวกเจ้าทั้งหลายได้ยินคำที่เว้าไว้ว่า จงมีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อคนสนิท และเกลียดชังศัตรู 44ส่วนเราบอกเจ้าว่า จงมีพรหมวิหารสี่ต่อศัตรูของเจ้า และจงอธิษฐานสวดอ้อนวอนเพื่อผู้ที่ข่มเหงเจ้า 45ทำเช่นนี้แล้วพวกเจ้าทั้งหลายจะได้เป็นลูกของพระเจ้า ผู้ที่อยู่ในฟ้าสวรรค์ เพราะว่าพระองค์ได้ให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ ส่องสว่างแก่คนดีและคนชั่วเท่ากัน และให้ฝนตก แก่คนบุญ และคนบาปเหมือนกัน 46ถ้าพวกเจ้ามีพรหมวิหารสี่ต่อผู้ที่เขามีต่อเจ้า จะได้ประโยชน์อะไร แม้แต่พวกเก็บภาษีก็ได้ทำเช่นนั้นมิใช่หรือ? 47ถ้าพวกเจ้าทักทายแต่พี่น้องของตนฝ่ายเดียว เจ้าได้ประโยชน์อะไรเป็นพิเศษกว่าคนทั้งหลาย แม้แต่คนต่างชาติก็ได้ทำเช่นนั้นมิใช่หรือ? 48เหตุฉะนั้น พวกเจ้าทั้งหลายจงเป็นคนดีครบถ้วน เหมือนกันกับพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเจ้า ผู้ที่อยู่ในสวรรค์ พระองค์เป็นคนดีครบถ้วน”
1“จงระวังให้ดี เมื่อพวกเจ้าให้ทาน อย่าทำทานเพื่อจะอวดคนอื่น ถ้าทำอย่างนั้นเจ้าก็จะไม่ได้บุญ จากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเจ้าผู้อยู่ในสวรรค์ 2เหตุฉะนั้น เมื่อเจ้าจะทำทาน อย่าเป่าแตรข้างหน้าเหมือนคนหน้าซื่อใจคด กระทำในวัดหรือสุเหร่า และตามถนน เพื่อจะได้รับการยกย่องจากมนุษย์ เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า เขาได้รับบุญของเขาแล้ว 3ส่วนพวกเจ้าทั้งหลายเมื่อจะทำทาน อย่าให้มือซ้ายรู้การซึ่งมือขวากระทำนั้น 4เพื่อทานของเจ้าจะเป็นการลับ และพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเจ้าผู้มองเห็นในที่ลี้ลับ พระองค์เองจะโปรดประทานบุญแก่เจ้าอย่างเปิดเผย”
5เมื่อเจ้าทั้งหลายอธิษฐานสวดอ้อนวอน อย่าเป็นเหมือนคนหน้าซื่อใจคด เพราะเขาชอบยืนอธิษฐานสวดอ้อนวอนในวัดหรือสุเหร่า และตามถนน เพื่อจะให้คนทั้งปวงได้เห็น เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า เขาได้รับบุญของเขาแล้ว 6ส่วนพวกเจ้าเมื่ออธิษฐานสวดอ้อนวอนจงเข้าในห้องชั้นใน และเมื่อปิดประตูแล้ว จงอธิษฐานสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเจ้า ผู้อยู่ในที่ลี้ลับ และพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเจ้า ผู้มองเห็นในที่ลี้ลับจะโปรดประทานบุญแก่เจ้าอย่างเปิดเผย 7แต่เมื่อเจ้าอธิษฐานสวดอ้อนวอน อย่าใช้คำซ้ำซากไร้ประโยชน์เหมือนคนต่างชาติ เพราะเขาคิดว่าพูดมากหลายคำ พระเจ้าจึงจะฟัง 8อย่าทำเหมือนเขาเลย เพราะว่าสิ่งใดที่เจ้าต้องการ พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเจ้ารู้ก่อนที่เจ้าจะขออยู่แล้ว
9เหตุฉะนั้น ขอให้เจ้าทั้งหลายจงอธิษฐานสวดอ้อนวอนตามอย่างนี้ว่า สาธุ พระเจ้าผู้เป็นพ่อของข้าพเจ้าทั้งหลาย ผู้อยู่ในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ 10ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามใจของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไร ก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก 11ขอได้โปรดประทานอาหารประจำวันแก่ข้าพเจ้าทั้งหลายในกาลวันนี้ 12และขอได้โปรดยกโทษบาปผิดของข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้ายกโทษให้แก่ผู้ที่ทำผิดต่อข้าพเจ้านั้น
13และขออย่านำข้าพเจ้าเข้าไปในการถูกลองใจ แต่ขอจงช่วยให้พ้นจากความชั่วร้าย เหตุว่าอาณาจักร ฤทธิ์เดชและสง่าราศีเป็นของพระองค์สืบ ๆ ไปเป็นนิตย์ สาธุ 14เพราะว่าถ้าเจ้ายกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเจ้าผู้อยู่ในสวรรค์จะยกโทษให้เจ้าด้วย 15แต่ถ้าเจ้าไม่ยกความผิดของเพื่อนมนุษย์ พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเจ้าจะไม่ยกความผิดของเจ้าเหมือนกัน
16ยิ่งกว่านั้น เมื่อเจ้าถือศีลอด อย่าทำหน้าเศร้าหมองเหมือนคนหน้าซื่อใจคด ด้วยเขาแสร้งทำหน้าให้ผิดปกติ เพื่อจะให้คนเห็นว่าเขาถือศีลอด เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า เขาได้รับบุญของเขาแล้ว 17ส่วนพวกเจ้าเมื่อถือศีลอด จงชโลมทาศีรษะและล้างหน้าล้างตา 18เพื่อเจ้าจะไม่ปรากฏแก่คนอื่นว่าถือศีลอด แต่ให้ปรากฏแก่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเจ้าผู้อยู่ในที่ลี้ลับ และพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเจ้าผู้มองเห็นในที่ลี้ลับ จะประทานบุญแก่เจ้า
19อย่าสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในโลก ที่ตัวมอดและสนิมอาจทำลายได้ และที่ขโมยอาจขุดช่องลักเอาไปได้ 20แต่จงสะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวในสวรรค์ ที่ตัวมอดและสนิมทำลายเสียไม่ได้ และที่ไม่มีขโมยขุดช่องลักเอาไปได้ 21เพราะว่าทรัพย์สมบัติอยู่ที่ไหน ใจของเจ้าก็จะอยู่ที่นั่นด้วย
22ตาเป็นแสงสว่างของร่างกาย เหตุฉะนั้นถ้าตาของเจ้าดี ทั้งตัวก็จะเต็มไปด้วยความสว่าง 23แต่ถ้าตาของเจ้าชั่ว ทั้งตัวของเจ้าก็จะเต็มไปด้วยความมืด เหตุฉะนั้นถ้าความสว่างซึ่งอยู่ในตัวเจ้ามืดไป ความมืดนั้นจะหนาทึบสักเพียงใด
24ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เพราะเขาจะชังนายข้างหนึ่งและจะรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือจะนับถือนายฝ่ายหนึ่งและจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง เจ้าจะรับใช้พระเจ้าและเงินทองไปพร้อมกันไม่ได้
25เหตุฉะนั้น เราบอกพวกเจ้าทั้งหลายว่า อย่าวิตกกังวลถึงชีวิตของตนว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม และอย่าวิตกกังวลถึงร่างกายของตนว่า จะเอาอะไรนุ่งห่ม ชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหารมิใช่หรือ? และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่มมิใช่หรือ? 26จงดูนกในอากาศ มันมิได้หว่าน มิได้เกี่ยว มิได้สะสมไว้ในยุ้งฉาง แต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเจ้าผู้อยู่ในสวรรค์ได้เลี้ยงนกไว้ เจ้าทั้งหลายไม่ดีกว่านกหรือ? 27มีใครในพวกเจ้า โดยความวิตกกังวลอาจต่อความสูงให้ยาวออกไปอีกสักศอกหนึ่งได้หรือ? 28เจ้าวิตกกังวลถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม? จงพิจารณาดอกไม้ที่ทุ่งนาว่า มันงอกงามเจริญขึ้นได้อย่างไร? มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย 29และเราบอกพวกเจ้าทั้งหลายว่า กษัตริย์ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี ก็มิได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง 30ถ้าพระเจ้าตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอ ผู้มีความเชื่อน้อย พระองค์จะไม่ตกแต่งเจ้าให้มากยิ่งกว่านั้นหรือ? 31เหตุฉะนั้น อย่าวิตกกังวลว่า จะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม 32(เพราะว่าคนต่างชาติก็แสวงหาสิ่งของทั้งปวงนี้) แต่ว่าพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเจ้า ผู้อยู่ในสวรรค์รู้แล้วว่า เจ้าต้องการสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ 33แต่เจ้าทั้งหลายจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า และบุญบารมีของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้ 34เหตุฉะนั้น อย่าวิตกกังวลถึงพรุ่งนี้ เพราะว่าพรุ่งนี้ก็จะมีการวิตกกังวลสำหรับพรุ่งนี้เอง แต่ละวันก็มีทุกข์พออยู่แล้ว”
1“อย่ากล่าวโทษเขา เพื่อพระเจ้าจะไม่กล่าวโทษเจ้า 2เพราะว่าพวกเจ้าทั้งหลายจะกล่าวโทษเขาอย่างไร พระเจ้าก็จะกล่าวโทษเจ้าอย่างนั้น และเจ้าจะทำกับเขาอย่างใด พระเจ้าก็จะใช้มาตรการเดียวกับที่พวกเจ้าใช้ต่อคนนั้น 3เหตุไฉนเจ้ามองดูผงที่อยู่ในตาพี่น้องของตน แต่ไม่ยอมพิจารณาไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของตัวเอง 4หรือเหตุไฉนเจ้าจะพูดกับพี่น้องของตนว่า ‘ให้ข้าฯเขี่ยผงออกจากตาของเจ้า’ แต่ดูเถิด ไม้ทั้งท่อนก็อยู่ในตาของเจ้าเอง 5โอ คนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของตนเองก่อน แล้วเจ้าจะเห็นได้ถนัด จึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของตนได้ 6อย่าเอาของดีให้แก่สุนัข และอย่าโยนไข่มุกให้แก่สุกร เกลือกว่ามันจะเหยียบย่ำ และจะหันกลับมากัดเจ้าด้วย”
7“จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่เจ้า 8เพราะว่าทุกคนที่ขอก็จะได้รับ คนที่แสวงหาก็จะพบ และคนที่เคาะก็จะเปิดให้แก่เขา 9ในพวกเจ้ามีใครบ้างที่จะเอาก้อนหินให้ลูก เมื่อเขาขอขนม 10หรือเอางูให้เมื่อเขาขอปลา 11เหตุฉะนั้น ถ้าพวกเจ้าเองผู้เป็นปุถุชนคนบาป ยังรู้จักให้ของดีแก่ลูกของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใดพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเจ้า ผู้อยู่ในสวรรค์จะให้ของดีแก่ผู้ที่ขอจากพระองค์ 12จงทำต่อผู้อื่นอย่างที่เจ้าอยากให้เขาทำกับเจ้า นั่นคือธรรมบัญญัติ และคำสั่งสอนของบรรดาศาสดาพยากรณ์”
13จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมาก 14เพราะว่าประตูซึ่งนำไปสู่นิพพานนั้นก็คับ และทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย
15จงระวังผู้พยากรณ์เท็จที่มาหาเจ้านุ่งห่มดุจแกะ แต่ภายในเขาร้ายกาจดุจสุนัขป่า 16เจ้าจะรู้จักเขาได้ด้วยผลของเขา ผลองุ่นนั้นเก็บได้จากต้นไม้หนามหรือ? หรือผลมะเดื่อนั้นเก็บได้จากต้นหนาม 17ต้นไม้ดีย่อมให้แต่ผลดี ต้นไม้เลวก็ย่อมให้ผลเลว 18ต้นไม้ดีจะเกิดผลเลวไม่ได้ หรือต้นไม้เลวจะเกิดผลดีก็ไม่ได้ 19ต้นไม้ทุกต้นซึ่งไม่เกิดผลดีย่อมต้องถูกฟันลง และทิ้งเสียในไฟ 20เหตุฉะนั้น ท่านจะรู้จักเขาได้เพราะผลของเขา
21มิใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘อาจารย์ครับ อาจารย์ครับ’ จะได้เข้าสู่นิพพาน แต่ผู้ที่ทำตามใจพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราผู้อยู่ในสวรรค์จึงจะเข้าได้ 22เมื่อถึงวันนั้นจะมีคนเป็นอันมากร้องเรียกเราว่า ‘อาจารย์ครับ อาจารย์ครับ ผมเคยพยากรณ์ในนามของอาจารย์ และได้ขับผีออกในนามของอาจารย์ และได้กระทำการมหัศจรรย์เป็นอันมากในนามของอาจารย์มิใช่หรือ?’ 23เมื่อนั้นเราจะบอกแก่เขาว่า ‘เราไม่เคยรู้จักเจ้าเลย เจ้าผู้ทำความชั่ว จงไปให้พ้นหน้าเรา’
24เหตุฉะนั้นผู้ใดที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและทำตาม เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่มีสติปัญญาสร้างเรือนของตนไว้บนศิลา 25ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลแรง ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น แต่เรือนมิได้พังลง เพราะว่ารากฐานตั้งอยู่บนศิลา 26แต่ผู้ที่ได้ยินคำเหล่านี้ของเราและไม่ทำตาม เขาก็เปรียบเหมือนคนที่โง่ที่สร้างเรือนของตนไว้บนทรายโดยไม่มีเสาเข็ม 27ฝนก็ตกและน้ำก็ไหลแรง ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ใหญ่ยิ่งนัก”
28ต่อมาครั้นพระเยซูกล่าวถ้อยคำเหล่านี้เสร็จแล้ว ประชาชนก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ 29เพราะว่าพระองค์ได้สั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจ ไม่เหมือนพวกคัมภีราจารย์
1เมื่อพระเยซูลงมาจากภูเขาแล้ว คนเป็นอันมากได้ติดตามพระองค์ไป 2ในตอนนั้น มีคนโรคเรื้อนมากราบไหว้พระองค์แล้วกล่าวว่า “อาจารย์ครับ เพียงแต่อาจารย์เมตตาสงสาร ก็จะบันดาลให้ผมหายสะอาดได้” 3พระเยซูยื่นมือถูกต้องเขา แล้วกล่าวว่า “เราพอใจแล้ว จงหายเถิด” ในทันใดนั้นโรคเรื้อนของเขาก็หาย 4ฝ่ายพระเยซูสั่งเขาว่า “อย่าบอกเล่าให้ผู้ใดฟังเลย แต่จงไปสำแดงตัวแก่ปุโรหิต และถวายเครื่องบูชาตามที่โมเสสได้สั่งไว้ เพื่อเป็นหลักฐานต่อคนทั้งหลายว่าเจ้าหายโรคแล้ว”
5เมื่อพระเยซูเดินทางเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม ก็มีนายร้อยคนหนึ่งมาอ้อนวอนพระองค์ 6ว่า “อาจารย์ครับ ทาสของผมเป็นอัมพาตอยู่ที่บ้าน ทนทุกข์เวทนามาก” 7พระเยซูจึงบอกกับเขาว่า “เราจะไปรักษาเขาให้หาย” 8นายร้อยผู้นั้นบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ไม่สมควรที่อาจารย์จะเข้าไปในชายคาบ้านของผม ขอเพียงอาจารย์กล่าวออกมาเท่านั้น ทาสของผมก็จะหายโรค 9เพราะเหตุว่าผมเป็นคนอยู่ใต้วินัยทหาร แต่ก็ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาผม ผมจะบอกคนนี้ว่า ‘ไป’ เขาก็ไป บอกแก่คนนั้นว่า ‘มา’ เขาก็มา บอกทาสของผมว่า ‘จงทำสิ่งนี้’ เขาก็ทำ” 10ครั้นพระเยซูได้ยินดังนั้นก็ประหลาดใจนัก บอกกับบรรดาคนที่ตามพระองค์ว่า “เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า เราไม่เคยพบความเชื่อที่ไหนมากเท่านี้แม้ในพวกอิสราเอล 11เราบอกพวกเจ้าว่า คนเป็นอันมากจะมาจากทิศตะวันออกและทิศตะวันตก จะมาร่วมรับประทานอาหารกับอับราฮัม และอิสอัคและยาโคบในอาณาจักรแห่งสวรรค์ 12แต่ชาวอาณาจักรนั้นจะต้องถูกขับไล่ไสส่งออกไปในที่มืดภายนอก ที่นั่นจะมีเสียงร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” 13แล้วพระเยซูจึงกล่าวกับนายร้อยว่า “ไปเถิด เจ้าได้เชื่ออย่างไร ก็ให้เป็นไปอย่างนั้น” และในเวลานั้นเอง ทาสของเขาก็หายเป็นปกติ
14ครั้นพระเยซูเข้าไปในเรือนของเปโตร พระองค์ก็มองเห็นแม่ยายของเปโตรนอนป่วยจับไข้อยู่ 15พระองค์ถูกต้องมือนาง ไข้นั้นก็หาย นางจึงลุกขึ้นรับใช้พระองค์
16พอค่ำลง เขาพาคนเป็นอันมากที่มีผีเข้าสิงมาหาพระองค์ พระองค์ก็ขับผีออกด้วยถ้อยคำของพระองค์ และบรรดาคนเจ็บป่วยนั้น พระองค์ก็ได้รักษาเขาให้หาย 17ทั้งนี้เพื่อจะให้สำเร็จตามพระคำที่ศาสดาพยากรณ์อิสยาห์กล่าวไว้ว่า ‘เขาได้แบกความเจ็บไข้ของเราทั้งหลาย และหอบโรคของเราไป’
18ครั้นพระเยซูเห็นประชาชนเป็นอันมากมาห้อมล้อมพระองค์ไว้ พระองค์จึงสั่งให้ข้ามฟากไป 19ขณะนั้นมีคัมภีราจารย์คนหนึ่งมาหาพระองค์กล่าวว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์ไปทางไหน ผมจะตามท่านไปทางนั้น” 20พระเยซูจึงบอกกับเขาว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ” 21อีกคนหนึ่งในพวกสาวกของพระองค์บอกกับพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ขอให้ผมไปฝังศพพ่อของผมก่อน” 22พระเยซูจึงบอกกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด ปล่อยให้คนตายฝังคนตายของเขาเองเถิด”
23เมื่อพระเยซูลงไปในเรือ พวกสาวกของพระองค์ก็ตามพระองค์ไป 24ในตอนนั้น เกิดพายุใหญ่ในทะเลจนคลื่นซัดท่วมเรือ แต่พระองค์นอนหลับอยู่ 25และพวกสาวกของพระองค์ได้มาปลุกพระองค์ บอกว่า “อาจารย์ครับ ขอโปรดช่วยพวกเราด้วยเถิด เรากำลังจะตายอยู่แล้ว” 26พระองค์จึงกล่าวกับเขาว่า “เหตุไฉนพวกเจ้าจึงหวาดกลัว โอ คนมีความเชื่อน้อย” แล้วพระองค์ลุกขึ้นห้ามลมและทะเล คลื่นลมก็สงบเงียบทั่วไป 27คนเหล่านั้นก็อัศจรรย์ใจพูดกันว่า “คนผู้นี้เป็นใครหนอ แม้แต่ลม และทะเลก็เชื่อฟังท่าน”
28ครั้นพระองค์ข้ามฟากไปถึงแดนกาดาราแล้ว มีคนสองคนที่มีผีสิง ได้ออกจากอุโมงค์ฝังศพมาพบพระองค์ พวกเขาดุร้ายนัก จนไม่มีผู้ใดอาจผ่านไปทางนั้นได้ 29ในตอนนั้น เขาร้องตะโกนว่า “เยซูผู้เป็นโอรสของพระเจ้า พวกข้าฯเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า ท่านมาที่นี่เพื่อจะทรมานพวกข้าฯก่อนเวลาหรือ?” 30ไกลจากที่นั่นมีสุกรฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่ 31ผีเหล่านั้นได้อ้อนวอนพระองค์ว่า “ถ้าท่านขับพวกข้าฯออก ก็ขอให้เข้าอยู่ในฝูงสุกรนั้นเถิด” 32พระองค์จึงบอกแก่ผีเหล่านั้นว่า “ไปเถอะ” ผีเหล่านั้นก็ออกไปเข้าสิงอยู่ในฝูงสุกร ดูเถิด สุกรทั้งฝูงนั้นก็วิ่งกระโดดจากหน้าผาชันลงไปในทะเล และจมน้ำตายจนสิ้น 33ฝ่ายคนเลี้ยงสุกรก็หนีเข้าไปในเมือง เล่าเหตุการณ์ซึ่งเป็นไปนั้น กับเหตุที่เกิดขึ้นแก่คนที่มีผีเข้าสิงอยู่นั้น 34ในตอนนั้น คนทั้งเมืองพากันออกมาพบพระเยซู เมื่อพบพระองค์แล้ว เขาจึงอ้อนวอนขอให้พระองค์ไปจากเขตแดนของเขา
1ฝ่ายพระเยซูก็ลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองของพระองค์ 2ในตอนนั้น เขาหามคนเป็นอัมพาตคนหนึ่ง ซึ่งนอนอยู่บนที่นอนมาหาพระองค์ เมื่อพระเยซูเห็นความเชื่อของเขาทั้งหลาย จึงกล่าวกับคนอัมพาตว่า “ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” 3ในตอนนั้น พวกคัมภีราจารย์บางคนคิดในใจว่า “หมอนี้พูดหมิ่นประมาทพระเจ้า” 4ฝ่ายพระเยซูรู้จักความคิดของเขาจึงกล่าวว่า “เหตุไฉนพวกเจ้าคิดชั่วอยู่ในใจเล่า 5ที่จะว่า ‘บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว’ หรือจะว่า ‘จงลุกขึ้นเดินไปเถิด’ นั้น อันไหนจะง่ายกว่ากัน 6แต่เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะยกความผิดบาปได้” (พระองค์จึงสั่งคนอัมพาตว่า) “จงลุกขึ้นยกที่นอนกลับไปบ้านเถิด” 7เขาจึงลุกขึ้นไปบ้านของตน 8เมื่อประชาชนเป็นอันมากเห็นดังนั้น เขาก็อัศจรรย์ใจ แล้วพากันยกย่องสรรเสริญพระเจ้า ผู้ได้มอบสิทธิอำนาจเช่นนั้นแก่มนุษย์
9ครั้นพระเยซูเดินทางเลยตำบลนั้นไป ก็เห็นชายคนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านศุลกากร จึงบอกกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป 10ต่อมาเมื่อพระเยซูรับประทานอาหารอยู่ในเรือน ในตอนนั้น มีคนเก็บภาษี และคนบาปอื่น ๆ หลายคนเข้ามาร่วมรับประทานอาหารกับพระองค์ และพวกสาวกของพระองค์ 11เมื่อพวกฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของพวกเจ้าจึงรับประทานอาหารร่วมกับคนเก็บภาษี และคนบาป” 12เมื่อพระเยซูได้ยินเช่นนั้นจึงพูดกับพวกเขาว่า “คนปกติไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บป่วยต้องการหมอ 13พวกเจ้าจงไปเรียนรู้คัมภีร์ข้อนี้ให้เข้าใจ ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตว์บูชา’ ด้วยว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะเรียกคนบุญ แต่มาเรียกคนบาปให้กลับหันหลังให้แก่ความบาป”
14แล้วพวกสาวกของยอห์นมาหาพระองค์ถามว่า “ทำไมพวกผม และพวกฟาริสีถือศีลอดบ่อย ๆ แต่พวกสาวกของอาจารย์ไม่ถือเลย” 15พระเยซูจึงบอกกับเขาว่า “เพื่อนของเจ้าบ่าวเป็นทุกข์โศกเศร้าเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับเขาได้หรือ? แต่วันนั้นจะมาถึงเมื่อเจ้าบ่าวจะต้องจากเขาไป เมื่อนั้นเขาจะถือศีลอดเอง 16ไม่มีผู้ใดเอาผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่า เพราะว่าผ้าที่ปะเข้านั้น เมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก 17และไม่มีผู้ใดเอาเหล้าองุ่นใหม่มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นถุงหนังจะขาด เหล้าองุ่นจะรั่ว ทั้งถุงหนังก็จะเสียหายไปด้วย แต่เขาย่อมเอาเหล้าองุ่นใหม่ใส่ในถุงหนังใหม่ แล้วทั้งสองอย่างก็อยู่ดีด้วยกันได้”
18เมื่อพระเยซูกำลังกล่าวคำเหล่านี้แก่เขานั้น ในตอนนั้น มีเจ้าอาวาสวัดหรือสุเหร่ายิว คนหนึ่งมากราบพระองค์แล้วกล่าวว่า “อาจารย์ครับ ลูกสาวของผมพึ่งตาย ขอให้อาจารย์ไปรักษาเขาด้วย แล้วเขาจะฟื้นขึ้นอีก” 19ฝ่ายพระเยซูจึงลุกขึ้นเดินตามเขาไป และพวกสาวกของพระองค์ก็ตามไปด้วย 20ในตอนนั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกเลือดได้สิบสองปีมาแล้วแอบมาข้างหลัง ถูกต้องชายเสื้อของพระองค์ 21เพราะนางคิดในใจว่า “ถ้าเราได้แตะต้องชายเสื้อของพระองค์เท่านั้น เราก็จะหายโรค” 22ฝ่ายพระเยซูเหลียวหลังมองเห็นนางจึงกล่าวว่า “ลูกสาวเอ๋ย จงชื่นใจเถิด ความเชื่อของเจ้าทำให้เจ้าหายเป็นปกติ” นับตั้งแต่เวลานั้น ผู้หญิงนั้นก็หายป่วยเป็นปกติ 23ครั้นพระเยซูเข้าไปในเรือนของเจ้าอาวาสนั้น มองเห็นพวกเป่าปี่ และคนเป็นอันมากชุลมุนกันอยู่ 24พระองค์จึงกล่าวกับเขาว่า “จงถอยออกไปเถิด ด้วยว่าเด็กหญิงคนนี้ยังไม่ตาย เป็นแต่นอนหลับอยู่” เขาก็พากันหัวเราะเยาะ 25แต่เมื่อขับฝูงคนออกไปแล้ว พระองค์ได้เข้าไปจับมือเด็กหญิง และเด็กหญิงนั้นก็ลุกขึ้น 26แล้วกิตติศัพท์นี้ก็เลื่องลือไปทั่วมณฑลนั้น
27ครั้นพระเยซูไปจากที่นั่นแล้ว ก็มีชายตาบอดสองคนตามพระองค์มาร้องว่า “อาจารย์ครับ ขอเมตตาพวกผมด้วยเถิด” 28และเมื่อพระองค์เข้าไปในเรือน ชายตาบอดทั้งสองก็เข้ามาหาพระองค์ พระเยซูถามเขาว่า “เจ้าเชื่อหรือว่า เราสามารถจะกระทำการนี้ได้” เขาตอบพระองค์ว่า “เชื่อ ครับ” 29แล้วพระองค์ถูกต้องตาของพวกเขากล่าวว่า “ให้เป็นไปตามความเชื่อของเจ้าเถิด” 30แล้วตาของพวกเขาก็กลับเห็นดี พระเยซูได้กำชับเขาอย่างแข็งขันว่า “จงระวังอย่าให้ผู้ใดรู้เลย” 31แต่เมื่อเขาไปจากที่นั่นแล้ว ก็เผยแพร่กิตติศัพท์ของพระองค์ทั่วมณฑลนั้น
32ขณะเมื่อพระเยซู และเหล่าสาวกกำลังออกไปจากที่นั่น ในตอนนั้น มีผู้พาคนใบ้คนหนึ่งที่มีผีสิงอยู่มาหาพระองค์ 33เมื่อขับผีออกแล้วคนใบ้นั้นก็พูดได้ ฝูงชนก็อัศจรรย์ใจพูดกันว่า “ไม่เคยเห็นการกระทำเช่นนี้ในพวกอิสราเอลเลย” 34แต่พวกฟาริสีกล่าวว่า “คนนี้ขับผีออกด้วยฤทธิ์ของนายผี”
35พระเยซูได้เดินทางไปตามเมือง และหมู่บ้านโดยรอบ ได้สั่งสอนในวัดหรือสุเหร่าของเขา ประกาศบารมีแห่งอาณาจักรของพระเจ้านั้น รักษาโรค และความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย 36และเมื่อพระองค์เห็นประชาชนก็สงสารเขา ด้วยเขาอิดโรยกระจัดกระจายไปเหมือนฝูงแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง 37แล้วพระองค์กล่าวกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “การเก็บเกี่ยวนั้นเป็นการใหญ่นักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่ 38เหตุฉะนั้น พวกเจ้าจงอ้อนวอนพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของการเก็บเกี่ยวนั้น ให้ส่งคนงานมาในการเก็บเกี่ยวของพระองค์”
1เมื่อพระเยซูเรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มาแล้ว ก็มอบอำนาจให้เขาขับผีร้ายออกได้ และให้รักษาโรค และความเจ็บไข้ทุกอย่างให้หายได้ 2อัครทูตสิบสองคนนั้นมีชื่อดังนี้ คนแรกชื่อซีโมนที่เรียกว่าเปโตร กับอันดรูว์ น้องชายของเขา ยากอบลูกชายเศเบดี กับยอห์นน้องชายของเขา 3ฟีลิป และบารโธโลมิว โธมัส และมัทธิวคนเก็บภาษี ยากอบลูกชายอัลเฟอัส และเลบเบอัสผู้ที่มีชื่ออีกว่าธัดเดอัส 4ซีโมนชาวคานาอัน และยูดาสอิสคาริโอทผู้ที่ได้ทรยศพระองค์นั้น
5สาวกสิบสองคนนี้พระเยซูได้ใช้ให้ออกไป และสั่งเขาว่า “อย่าไปทางที่ไปสู่พวกต่างชาติ และอย่าเข้าไปในเมืองของชาวสะมาเรีย 6แต่ว่าจงไปหาแกะหลงของวงศ์วานอิสราเอลดีกว่า 7จงไปพลางประกาศพลางว่า ‘อาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว’ 8จงรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย คนโรคเรื้อนให้หาย คนตายแล้วให้ฟื้นขึ้น และจงขับผีให้ออก เจ้าทั้งหลายได้รับเปล่า ๆ ก็จงให้เปล่า ๆ 9อย่าหาเหรียญทองคำ เหรียญเงิน หรือเหรียญทองแดงไว้ในกระเป๋าของเจ้า 10หรือย่ามไปใช้ตามทาง หรือเสื้อคลุมสองตัว หรือรองเท้า หรือไม้เท้า เพราะว่าผู้ทำงานสมควรจะได้อาหารกิน 11เมื่อเจ้าไปถึงเมืองใดหรือหมู่บ้านใด จงสืบดูว่าใครเป็นคนเหมาะสมในที่นั้น แล้วจงไปอาศัยกับผู้นั้นจนกว่าจะจากไป 12ขณะเมื่อเจ้าขึ้นเรือน จงให้พรแก่ครัวเรือนนั้น 13ถ้าครัวเรือนนั้นสมควรรับพร ก็ให้สันติภาพและสันติสุขอยู่กับเรือนนั้น แต่ถ้าครัวเรือนนั้นไม่สมควรรับพร ก็ให้สันติภาพและสันติสุขนั้นกลับคืนมาสู่เจ้า 14ถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับพวกเจ้าและไม่ฟังคำของพวกเจ้า เมื่อจะออกจากเรือนนั้นเมืองนั้น จงสะบัดผงฝุ่นที่ติดเท้าของพวกเจ้าออกเสีย 15เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า ในวันพิพากษานั้น โทษของเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ จะเบากว่าโทษของเมืองนั้น”
16“ในตอนนั้น เราใช้พวกเจ้าไปเหมือนแกะอยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขป่า เหตุฉะนั้นเจ้าจงฉลาดเหมือนงู และไม่มีภัยเหมือนนกพิราบ 17แต่จงระวังตัวให้ดี เพราะพวกเขาจะมอบพวกเจ้าไว้กับศาล และเขาจะเฆี่ยนเจ้าในวัดหรือสุเหร่าของเขา 18และเจ้าจะถูกนำตัวไปอยู่ต่อหน้าเจ้าเมือง และกษัตริย์เพราะเห็นแก่เรา เพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นพยานต่อเขาและต่อคนต่างชาติ 19แต่เมื่อเขามอบพวกเจ้าไว้นั้น อย่าเป็นกังวลว่าจะพูดอะไรหรืออย่างไร เพราะเมื่อถึงเวลา คำที่พวกเจ้าจะพูดนั้นพระเจ้าจะประทานแก่พวกเจ้าในเวลานั้น 20เพราะว่าผู้ที่พูดมิใช่พวกเจ้าเอง แต่เป็นพระวิญญาณแห่งพระเจ้าผู้เป็นพ่อของพวกเจ้า เป็นผู้พูดผ่านทางพวกเจ้า 21แม้ว่าพี่ก็จะมอบน้องให้ถึงแก่ความตาย พ่อจะมอบลูก และลูกก็จะทรยศต่อพ่อแม่ให้ถึงแก่ความตาย 22พวกเจ้าจะถูกคนทั้งปวงเกลียดชังเพราะเห็นแก่ชื่อของเรา แต่ผู้ใดที่ทนได้ถึงที่สุด ผู้นั้นจะหลุดพ้น 23ถ้าเขาข่มเหงพวกเจ้าในเมืองนี้ จงหนีไปยังอีกเมืองหนึ่ง เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า ก่อนที่เจ้าจะไปทั่วเมืองต่าง ๆ ในอิสราเอล บุตรมนุษย์จะเดินทางมา”
24“ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครู และทาสไม่ใหญ่กว่านาย 25ซึ่งศิษย์จะได้เป็นเสมอครูของตน และทาสเสมอนายของตนก็พออยู่แล้ว ถ้าเขาได้เรียกเจ้าบ้านว่าเบเอลเซบูล เขาจะเรียกลูกบ้านของเขามากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด 26เหตุฉะนั้นอย่ากลัวเขา เพราะว่าไม่มีสิ่งใดปิดบังไว้ที่จะไม่ต้องเปิดเผย หรือการลับที่จะไม่เผยให้ประจักษ์”
27“ซึ่งเราบอกแก่พวกเจ้าในที่มืด พวกเจ้าจงกล่าวในที่สว่าง และซึ่งเจ้าได้ยินกระซิบที่หู พวกเจ้าจงประกาศจากดาดฟ้าหลังคาบ้าน 28อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงเกรงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้ 29นกกระจอกสองตัวเขาขายบาทหนึ่งมิใช่หรือ? แต่ถ้าพระเจ้าผู้เป็นพ่อของพวกเจ้าไม่เห็นชอบ นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินก็ไม่ได้ 30ถึงผมของเจ้าทั้งหลายก็ได้นับไว้แล้วทุกเส้น 31เหตุฉะนั้นอย่ากลัวเลย พวกเจ้าเจ้าก็มีค่ากว่านกกระจอกหลายตัว”
32“เหตุฉะนั้นผู้ใดจะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นต่อหน้าพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราผู้อยู่ในสวรรค์ด้วย 33แต่ผู้ใดจะปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะปฏิเสธผู้นั้นต่อหน้าพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราผู้อยู่ในสวรรค์ด้วย 34อย่าคิดว่าเรามาเพื่อจะนำสันติภาพและสันติสุขมาสู่โลก เรามิได้นำมาให้ แต่เรานำดาบมา 35ด้วยว่าเรามาเพื่อจะให้ลูกชายหมางใจกับบิดา และลูกสาวหมางใจกับมารดา และลูกสะใภ้หมางใจกับแม่สามี 36และผู้ที่อยู่ร่วมเรือนเดียวกัน ก็จะเป็นศัตรูต่อกัน 37ผู้ใดที่รักบิดามารดายิ่งกว่ารักเราก็ไม่สมกับเรา และผู้ใดรักลูกชายหญิงยิ่งกว่ารักเรา ผู้นั้นก็ไม่สมกับเรา 38และผู้ใดที่ไม่รับเอากางเขนของตนตามเราไป ผู้นั้นก็ไม่สมกับเรา 39ผู้ที่จะเอาชีวิตของตนรอดจะกลับเสียชีวิต แต่ผู้ที่สู้เสียชีวิตของตนเพราะเห็นแก่เราก็จะได้ชีวิตรอด”
40“ผู้ที่ต้อนรับพวกเจ้าก็ต้อนรับเรา และผู้ที่ต้อนรับเราก็ต้อนรับพระองค์ที่ใช้เรามา 41ผู้ที่ต้อนรับศาสดาพยากรณ์เพราะนามแห่งศาสดาพยากรณ์นั้น ก็จะได้บำเหน็จอย่างที่ศาสดาพยากรณ์พึงได้รับ และผู้ที่ต้อนรับคนบุญเพราะนามแห่งคนบุญนั้น ก็จะได้บุญอย่างที่ผู้มีบุญพึงได้รับ 42และผู้ใดจะเอาน้ำเย็นสักถ้วยหนึ่งให้คนเล็กน้อยเหล่านี้คนใดคนหนึ่งดื่ม เพราะเป็นศิษย์ของเรา เราบอกความจริงแก่ต้อนว่า คนนั้นจะขาดบุญก็หามิได้”
1เมื่อพระเยซูได้บอกสาวกสิบสองคนของพระองค์แล้ว พระองค์ก็ได้จากที่นั่นไปสั่งสอน และเผยแพร่ในเมืองของเขา 2ฝ่ายยอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำ ขณะที่ถูกขังอยู่ในเรือนจำ ก็ได้ยินถึงการงานของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ เขาก็ได้ใช้ลูกศิษย์ไป 3ถามพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์เป็นผู้ที่ยอห์นว่าจะมาหรือเปล่า หรือจะต้องให้คอยผู้อื่นอีก?” 4ฝ่ายพระเยซูได้บอกลูกศิษย์ของยอห์นว่า “จงไปบอกยอห์นตามที่เจ้าได้ยิน และได้เห็น 5คือว่าคนตาบอดก็หาย คนง่อยก็เดินได้ คนเป็นโรคเรื้อนก็หาย คนหูหนวกก็ได้ยินได้ คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และพระคำของพระเจ้า ก็ได้เผยแพร่แก่คนยากจน 6ใครก็ตามที่ไม่สงสัยเรา ก็เป็นสุข”
7เมื่อลูกศิษย์ของยอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำไปแล้ว พระเยซูก็พูดกับคนเหล่านั้นถึงยอห์นว่า “พวกเจ้าได้ออกไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อดูอะไร ไม่ใช่ไปดูต้นอ้อไหวไปไหวมาเพราะถูกลมพัดหรือ? 8หรือว่าไปดูคนนุ่งห่มผ้าเนื้ออ่อนนุ่ม คนนุ่งห่มผ้าเนื้อนุ่มก็อยู่ในราชวังมิใช่หรือ? 9เจ้าทั้งหลายออกไปดูอะไร? ดูศาสดาพยากรณ์หรือ? แน่นอน และเราบอกเจ้าว่า ผู้นั้นเป็นยิ่งกว่าศาสดาพยากรณ์เสียอีก 10คนผู้นั้นก็คือยอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำนี้แหละ ที่พระคัมภีร์ได้เขียนถึงว่า ‘ดูเถิด เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน ผู้นั้นจะเตรียมทางของท่านไว้ข้างหน้าท่าน’ 11เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า ในบรรดาคนซึ่งเกิดมาจากผู้หญิงนั้น ไม่มีผู้ใดยิ่งใหญ่กว่ายอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำ แต่ว่าผู้ที่ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก 12และตั้งแต่สมัยยอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำถึงทุกวันนี้ อาณาจักรสวรรค์ก็เป็นสิ่งที่คนได้แสวงหาด้วยใจกระตือรือร้น และผู้ที่มีใจกระตือรือร้นก็เป็นผู้ที่ชิงเอาได้ 13เพราะคำของศาสดาพยากรณ์ทั้งหลาย และธรรมบัญญัติได้พยากรณ์จนถึงยอห์นนี้ 14ถ้าพวกเจ้าจะยอมรับในเรื่องนี้ ก็ยอห์นนี้แหละเป็นเอลียาห์ซึ่งจะมานั้น 15ใครมีหูจงฟังเถิด”
16“เราจะเปรียบคนยุคนี้เหมือนกับอะไรดี เปรียบเหมือนเด็กนั่งที่กลางตลาดร้องแก่เพื่อนว่า 17‘พวกฉันได้เป่าปี่ให้พวกเธอ และเธอมิได้เต้นรำ พวกฉันได้ร้องห่มร้องไห้ให้แก่พวกเธอ และพวกเธอมิได้คร่ำครวญ’ 18ด้วยว่ายอห์นมาก็ไม่ได้กินหรือดื่ม ก็หาว่า ‘มีผีเข้าสิงอยู่’ 19ส่วนบุตรมนุษย์มาทั้งกินและดื่ม เขาก็ว่า ‘เป็นคนกินเติบและขี้เมา เป็นเพื่อนกับคนเก็บภาษีและคนบาป’ แต่ปัญญาของพระเจ้าก็ปรากฏว่าถูกต้องแล้ว โดยผลแห่งปัญญานั้น”
20แล้วพระเยซูก็ตั้งต้นติเตียนเมืองต่าง ๆ ที่พระองค์ได้ทำการอิทธิฤทธิ์เป็นส่วนมาก เพราะเขามิได้กลับหันหลังจากความผิดบาป 21“วิบัติแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติแก่เจ้า เมืองเบธไซอิดา เพราะถ้าการมหัศจรรย์ซึ่งได้กระทำท่ามกลางพวกเจ้า ได้กระทำในเมืองไทระและเมืองไซดอน คนในเมืองทั้งสองจะได้นุ่งห่มผ้ากระสอบ นั่งบนขี้เถ้า กลับหันหลังจากความผิดบาปนานมาแล้ว 22แต่เราบอกพวกเจ้าว่า ในวันพิพากษา โทษเมืองไทระและเมืองไซดอนจะเบากว่าโทษของเจ้า 23และฝ่ายเจ้า เมืองคาเปอรนาอุม ซึ่งถูกยกขึ้นเทียมฟ้าแล้ว เจ้าจะต้องลงไปถึงนรกต่างหาก ด้วยว่าการมหัศจรรย์ซึ่งได้กระทำในท่ามกลางพวกเจ้านั้น ถ้าได้ทำในเมืองโสโดม เมืองนั้นจะได้ตั้งอยู่จนทุกวันนี้ 24แต่เราบอกเจ้าว่า ในวันพิพากษา โทษเมืองโสโดมจะเบากว่าโทษของเจ้า”
25ขณะนั้นพระเยซูกล่าวว่า “พ่อครับ พ่อเป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดิน ผมขอขอบคุณพ่อ ที่พ่อได้ปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากผู้มีปัญญาและผู้ฉลาด แต่ได้สำแดงให้ผู้น้อยรู้ 26พ่อครับ พ่อเห็นชอบดังนั้น” 27พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราได้มอบสิ่งสารพัดให้แก่เรา และไม่มีใครรู้จักพระโอรส นอกจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อ และไม่มีใครรู้จักพระเจ้าผู้เป็นพ่อนอกจากพระโอรส และผู้ใดก็ตามที่พระโอรสประสงค์จะสำแดงให้รู้ 28บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้พวกเจ้าหายเหนื่อยเป็นสุข 29จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเรามีสุภาพและอ่อนน้อม และจิตใจของเจ้าทั้งหลายจะพักผ่อน 30ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”
1ในคราวนั้นพระเยซูได้ไปในทุ่งนาในวันศีล และพวกสาวกของพระองค์หิวจึงเด็ดรวงข้าวมากินแก้หิว 2แต่เมื่อพวกฟาริสีเห็นเข้า เขาจึงบอกพระองค์ว่า “ดูซิ ศิษย์ของเจ้าทำสิ่งซึ่งธรรมบัญญัติห้ามไว้ในวันศีล” 3พระองค์จึงบอกกับเขาว่า “พวกท่านยังไม่ได้อ่านหรือ? ซึ่งดาวิดได้กระทำ เมื่อท่านและพรรคพวกหิว 4จึงได้เข้าไปในพระวิหารของพระเจ้า รับประทานอาหารต่อหน้าของพระเจ้า ซึ่งธรรมบัญญัติห้ามไว้ไม่ให้คนอื่นรับประทาน นอกจากปุโรหิตเท่านั้น 5พวกท่านไม่ได้อ่านในธรรมบัญญัติหรือ ที่ว่า ในวันศีลพวกปุโรหิตในพระวิหารย่อมละเมิดกฎแห่งวันศีล แต่ไม่มีความผิด 6แต่เราบอกพวกท่านว่า ที่นี่มีผู้หนึ่งเป็นใหญ่กว่าพระวิหารอีก 7แต่ถ้าพวกท่านได้เข้าใจความหมายของข้อที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตว์บูชา’ พวกท่านก็คงจะไม่กล่าวโทษคนที่ไม่มีความผิด 8เพราะว่าบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นใหญ่เหนือวันศีล”
9หลังจากที่พระเยซูได้ไปจากที่นั่นแล้ว พระองค์ก็เข้าไปในวัดหรือสุเหร่าของเขา 10ในตอนนั้น มีชายคนหนึ่งมือข้างหนึ่งลีบ คนทั้งหลายถามพระองค์ว่า “การรักษาโรคในวันศีลนั้นธรรมบัญญัติห้ามไว้หรือไม่” ที่เขาถามเช่นนั้นเพื่อจะหาเหตุฟ้องพระองค์ 11พระองค์จึงบอกกับเขาว่า “ถ้าผู้ใดในพวกเจ้ามีแกะตัวเดียวและแกะตัวนั้นตกบ่อในวันศีล ผู้นั้นจะไม่ฉุดลากแกะตัวนั้นขึ้นหรือ? 12มนุษย์คนหนึ่งย่อมมีค่ายิ่งกว่าแกะมากเท่าใด เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงอนุญาตให้ทำการดีได้ในวันศีล” 13แล้วพระองค์ก็พูดกับชายคนนั้นว่า “จงเหยียดมือออกเถิด” เขาก็เหยียดออก และมือนั้นก็หายเป็นปกติเหมือนมืออีกข้างหนึ่ง 14ฝ่ายพวกฟาริสีก็ออกไปปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรจึงจะฆ่าพระองค์ได้
15แต่เมื่อพระเยซูรู้เช่นนั้นแล้ว พระองค์จึงได้ออกไปจากที่นั่น และคนเป็นอันมากก็ตามพระองค์ไป พระองค์ก็รักษาเขาให้หายโรคสิ้นทุกคน 16แล้วพระองค์กำชับเขามิให้แพร่งพรายว่าพระองค์คือผู้ใด 17ทั้งนี้เพื่อคำที่ได้กล่าวไว้แล้วโดยอิสยาห์ศาสดาพยากรณ์จะสำเร็จ ซึ่งว่า 18‘ดูเถิด ผู้รับใช้ของเราซึ่งเราได้เลือกสรรไว้ ที่รักของเรา ผู้ซึ่งจิตใจเราโปรดปราน เราจะเอาพระวิญญาณของเราสวมท่านไว้ ท่านจะประกาศการพิพากษาแก่พวกต่างชาติ 19ท่านจะไม่ทะเลาะวิวาท และไม่ร้องเสียงดัง ไม่มีใครได้ยินเสียงของท่านตามถนน 20ไม้อ้อช้ำแล้วท่านจะไม่หัก ไส้ตะเกียงเป็นควันแล้วท่านจะไม่ดับ กว่าท่านจะทำให้การพิพากษามีชัยชนะ 21และพวกต่างชาติจะฝากความหวังไว้กับท่าน’
22ขณะนั้นเขาพาคนหนึ่งที่มีผีเข้าสิงอยู่ ทั้งตาบอดและเป็นใบ้มาหาพระองค์ พระองค์รักษาเขาให้หาย คนตาบอดและใบ้นั้นจึงพูดและเห็นได้ 23และคนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจถามกันว่า “คนนี้เป็นโอรสของกษัตริย์ดาวิดได้หรือ?” 24แต่พวกฟาริสีเมื่อได้ยินดังนั้นก็พูดกันว่า “ผู้นี้ขับผีออกได้ก็เพราะใช้อำนาจเบเอลเซบูลผู้เป็นนายผีนั้น” 25ฝ่ายพระเยซูทราบความคิดของเขา จึงกล่าวกับเขาว่า “อาณาจักรใด ๆ ซึ่งแตกแยกกันเองก็จะรกร้างไป เมืองใด ๆ หรือครัวเรือนใด ๆ ซึ่งแตกแยกกันเองจะตั้งอยู่ไม่ได้ 26และถ้าซาตานขับซาตานออก มันก็แตกแยกกันในตัวมันเอง แล้วอาณาจักรของมันจะตั้งอยู่ได้อย่างไร 27และถ้าเราขับผีออกโดยเบเอลเซบูล พวกพ้องของพวกท่านขับมันออกโดยอำนาจของใครเล่า เหตุฉะนั้นพวกพ้องของเจ้าเองจะเป็นผู้ตัดสินกล่าวโทษพวกเจ้า 28แต่ถ้าเราขับผีออกด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงแล้ว 29หรือใครจะเข้าไปในเรือนของคนที่มีกำลังมาก และปล้นเอาทรัพย์ของเขาอย่างไรได้ เว้นแต่จะจับคนที่มีกำลังมากนั้นมัดไว้เสียก่อน แล้วจึงจะปล้นทรัพย์ในเรือนนั้นได้ 30ผู้ที่ไม่อยู่ฝ่ายเราก็เป็นปฏิปักษ์ต่อเรา และผู้ที่ไม่ได้รวบรวมไว้กับเรา ก็เป็นผู้กระทำให้กระจัดกระจายไป 31เพราะฉะนั้น เราบอกท่านทั้งหลายว่า ความผิดบาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดยกให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณของพระเจ้าจะยกให้มนุษย์ไม่ได้ 32ผู้ใดจะกล่าวร้ายบุตรมนุษย์จะโปรดยกให้ผู้นั้นได้ แต่ผู้ใดจะกล่าวร้ายพระวิญญาณ จะยกโทษให้ผู้นั้นไม่ได้ทั้งโลกนี้โลกหน้า”
33“เพื่อจะให้ได้ผลดี พวกท่านต้องมีต้นไม้ดี ถ้าพวกเจ้ามีต้นไม้ไม่ดี พวกเจ้าก็จะได้ผลไม่ดี คนจะรู้จักต้นไม้ได้ก็เพราะผลของมัน 34โอ พวกชาติงูพิษ พวกเจ้าเป็นคนชั่ว แล้วจะพูดความดีได้อย่างไร? เพราะว่าปากนั้น พูดสิ่งที่ออกมาจากใจ 35คนดีก็เอาของดีมาจากคลังแห่งความดีในตัวของเขา คนชั่วก็เอาของชั่วมาจากคลังแห่งความชั่วในตัวของเขา 36ฝ่ายเราบอกพวกท่านว่า คำที่ไม่เป็นสาระทุกคำที่มนุษย์พูดนั้น มนุษย์จะต้องรับผิดชอบในคำพูดเหล่านั้น ในวันพิพากษา 37เหตุว่าที่พวกท่านจะพ้นโทษได้ หรือจะต้องถูกปรับโทษนั้น ก็เพราะคำพูดของพวกท่าน”
38มีอยู่ครั้งหนึ่ง มีบางคนในพวกคัมภีราจารย์ และพวกฟาริสีมาถามพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ พวกผมอยากจะเห็นเครื่องหมายที่แสดงว่าอาจารย์มาจากสวรรค์” 39พระเยซูจึงตอบเขาว่า “คนชั่วและคิดคดทรยศต่อพระเจ้า มักจะแสวงหาหมายสำคัญที่แสดงว่ามาจากสวรรค์ และพระเจ้าก็จะไม่ให้หมายสำคัญนั้นแก่เขา เว้นแต่หมายสำคัญของโยนาห์ผู้เป็นศาสดาพยากรณ์ของพระองค์เท่านั้น 40เพราะว่า โยนาห์ได้อยู่ในท้องปลาใหญ่สามวันสามคืนฉันใด บุตรมนุษย์ก็จะอยู่ในท้องแผ่นดิน สามวันสามคืนเหมือนกัน 41ประชาชนชาวเมืองนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้ และจะเป็นตัวอย่างให้คนยุคนี้ได้รับโทษ เพราะว่าชาวเมืองนีนะเวห์ได้กลับหันหลังจากความผิดบาป เพราะถ้อยคำของโยนาห์ และขณะนี้ผู้ที่เป็นใหญ่กว่าโยนาห์อยู่ที่นี้แล้ว 42ในวันพิพากษา พระราชินีเชบาจะลุกขึ้นพร้อมกับคนยุคนี้ และจะเป็นตัวอย่างให้คนยุคนี้ได้รับโทษ เพราะว่าพระนางได้มาจากสุดปลายแผ่นดินโลก เพื่อจะฟังสติปัญญาของซาโลมอน และขณะนี้ผู้ที่เป็นใหญ่กว่าซาโลมอนก็อยู่ที่นี้แล้ว”
43“เมื่อผีร้ายออกมาจากผู้ใดแล้ว มันก็เที่ยวไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อแสวงหาที่พัก แต่เมื่อหาไม่เจอ 44มันจึงได้กล่าวว่า ‘ข้าจะกลับไปเรือนของข้า ที่ข้าได้ออกมานั้น’ และเมื่อมาถึงก็เห็นเรือนนั้นว่าง ปัดกวาดและตกแต่งไว้แล้ว 45มันจึงได้ไปรับเอาผีตัวอื่นอีกเจ็ดตัว ซึ่งเป็นผีร้ายกว่ามันเอง แล้วก็เข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่น และในที่สุดคนนั้นก็ลำบากกว่าตอนแรก คนชาติชั่วนี้ก็จะเป็นอย่างนั้น”
46ขณะที่พระเยซูพูดกับประชาชนอยู่นั้น มารดาและพวกน้องชายของพระองค์ ก็พากันมายืนอยู่ภายนอก หาโอกาสที่จะพูดกับพระองค์ 47มีคนหนึ่งพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ แม่และน้องชายของอาจารย์ยืนอยู่ข้างนอก หาโอกาสที่พูดกับอาจารย์” 48พระเยซูจึงได้พูดกับคนนั้นว่า “ใครเป็นแม่ของเรา ใครเป็นพี่น้องของเรา” 49พระองค์ได้ชี้ไปทางสาวกของพระองค์และกล่าวว่า “พวกเจ้านี่แหละเป็นแม่และพี่น้องของเรา 50เพราะว่าผู้ใดจะทำตามใจของพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ผู้อยู่ในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นแม่ของเรา”
1ในวันนั้นพระเยซูก็ได้จากเรือน ไปพักอยู่ฝั่งทะเลสาบ 2มีคนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงได้ลงไปนั่งอยู่ในเรือ และคนเหล่านั้นก็ยืนอยู่บนฝั่ง 3แล้วพระเยซูก็พูดกับเขาหลายสิ่งหลายอย่างเป็นคำเปรียบเทียบ เป็นต้นว่า “มีชายคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืช 4และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางก็มี แล้วนกก็มากิน 5บางเมล็ดก็ตกในที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินแต่น้อย เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก 6แต่เมื่อแดดออก แดดก็เผา เพราะว่ารากไม่มีต้นที่เกิดขึ้นนั้นก็เหี่ยวแห้งไป 7บางเมล็ดกะตกกลางต้นหนาม ต้นหนามกะปกคลุม 8บางเมล็ดกะตกที่ดินดี แล้วเกิดผลร้อยเท่าก็มี หกสิบเท่าก็มี สามสิบเท่าก็มี 9ใครมีหูจงฟังเถิด”
10ฝ่ายพวกสาวกจึงได้มาถามพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์จึงพูดกับเขาเป็นคำเปรียบเทียบ” 11พระเยซูตอบเขาว่า “ข้อความลับลึกแห่งอาณาจักรของพระเจ้า อนุญาตให้เจ้าทั้งหลายรู้ได้ แต่คนเหล่านั้น ไม่อนุญาตให้รู้ 12เพราะว่าผู้ใดมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้ผู้นั้นมีอย่างเหลือเฟือ แต่ผู้ที่ไม่มีนั้น แม้ว่าที่เขามีอยู่นั้นก็จะเอาไปจากเขา 13ฉะนั้น เราจึงได้พูดกับเขาเป็นคำเปรียบเทียบ เพราะว่าแม้ว่าเขาเห็นก็เหมือนไม่เห็น แม้ว่าเขาได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยินและไม่เข้าใจ 14ความเป็นอยู่ของเขาก็เป็นไปตามคำทำนายของอิสยาห์ ที่ว่า พวกเจ้าจะได้ยินกับหูก็จริงอยู่ แต่จะไม่เข้าใจ จะเห็นกับตาก็จริงอยู่ แต่จะไม่เห็น 15เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมีใจเจริญลง หูเขาก็ตึง และตาของเขากะปิด มิฉะนั้นเขาก็จะเห็นด้วยตา และก็จะได้ยินด้วยหู และจะได้เข้าใจด้วยจิตใจ แล้วจะหันกลับมา และเราจะได้รักษาเขาให้หาย 16แต่ดวงตาของพวกเจ้าก็เป็นสุข เพราะว่าเจ้าได้เห็น และหูของเจ้าก็เป็นสุขเพราะว่าได้ยิน 17เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า ศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า และคนบุญทั้งหลายของพระองค์ อยากจะเห็นสิ่งที่พวกเจ้าเห็นอยู่นี้ แต่เขาไม่เคยได้เห็น และเขาอยากจะได้ยินสิ่งที่พวกเจ้าได้ยิน แต่เขาก็ไม่เคยได้ยิน”
18“เหตุฉะนั้นพวกเจ้าจงฟังคำเปรียบเทียบว่าด้วยเรื่องผู้หว่านเมล็ดพืชนั้น 19เมื่อผู้ใดได้ยินคำบอกเล่าเรื่องการปกครองของพระเจ้า แต่ไม่เข้าใจ มารร้ายก็มาหยิบเอาเมล็ดพืชที่หว่านในใจเขานั้นไป นั่นแหละได้แก่เมล็ดพืชที่หว่านตกริมทาง 20และเมล็ดพืชที่หว่านตกในที่ดินที่มีพื้นหินนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระคำ แล้วก็รับเอาทันทีด้วยความยินดี 21แต่ไม่ได้ฝังลึกในตัว จึงทนอยู่ชั่วคราว และเมื่อเกิดความยากลำบาก หรือการข่มเหงต่าง ๆ เพราะพระคำนั้น เขาก็หยุดเชื่อในทันทีทันใด 22และเมล็ดพืชที่หว่านลงกลางหนามนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระคำ แล้วความกังวลถึงชีวิตอยู่ในโลกนี้ และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติอยากร่ำอยากรวย รัดเอาพระคำนั้นเสีย จึงไม่เกิดผลอะไร 23ส่วนเมล็ดพืชที่หว่านลงในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระคำนั้นและเข้าใจ คนนั้นก็เกิดผลร้อยเท่าก็มี หกสิบเท่าก็มี สามสิบเท่าก็มี”
24พระเยซูพูดคำเปรียบเทียบอีกข้อหนึ่งให้เขาทั้งหลายฟังว่า “การปกครองของพระเจ้าเปรียบเหมือน คนหนึ่งได้หว่านเมล็ดพืชดีในนาของเขา 25แต่ขณะที่คนทั้งหลายนอนหลับอยู่ ศัตรูของเขาก็มาหว่านข้าวไม่ดีปนกับข้าวดีนั้น แล้วก็หลบหนีไป 26เมื่อต้นข้าวงอกงามขึ้นมา ออกรวงแล้ว ข้าวไม่ดีก็ออกรวงด้วย 27คนรับใช้จึงได้มาแจ้งแก่เจ้านายว่า ‘นายครับ นายได้หว่านพืชดีไว้ในนาของนายมิใช่หรือ แต่ไม่รู้ว่าข้าวไม่ดีมาจากไหน’ 28นายกะตอบเขาว่า ‘นี่เป็นการงานของศัตรูเรา’ พวกคนรับใช้จึงถามนายว่า ‘นายอยากให้พวกผมไปถอนและเก็บข้าวไม่ดีไหม?’ 29นายตอบเขาว่า ‘ไม่ต้อง เกรงว่าขณะถอนไม่ดีอยู่นั้น จะถอนข้าวดีด้วย 30ให้ข้าวทั้งสองอย่างเจริญขึ้นด้วยกันจนถึงฤดูเก็บเกี่ยว และในเวลาเก็บเกี่ยวนั้นเราจะสั่งผู้เกี่ยวว่า จงเก็บข้าวไม่ดีก่อน มัดเป็นฟ่อน ๆ เผาไฟทิ้ง แต่ข้าวดีนั้นจงเก็บไว้ในยุ้งฉางของเรา’”
31พระเยซูได้พูดคำเปรียบเทียบอีกข้อหนึ่งให้เขาฟังว่า “การปกครองของพระเจ้าเปรียบเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง ที่คนหนึ่งเอาไปเพาะลงในไร่นาของเขา 32เมล็ดนั้นน้อยกว่าเมล็ดทั้งหลาย แต่เมื่องอกขึ้นแล้วก็ใหญ่กว่าผักอื่น และเจริญเป็นต้นไม้จนนกในอากาศมาทำรังอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้นได้”
33พระเยซูได้พูดคำเปรียบเทียบให้เขาฟังอีกข้อหนึ่งว่า “การปกครองของพระเจ้าเปรียบเหมือนเชื้อขนมปัง ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอามาปนลงในแป้งสามถัง จนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด”
34ข้อความเหล่านี้ทั้งหมด พระเยซูได้พูดกับประชาชนเป็นคำเปรียบเทียบ และนอกจากคำเปรียบเทียบ พระองค์ไม่ได้พูดกับเขาเลย 35เหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็เพื่อให้เป็นไปตามพระคำของพระเจ้า ที่กล่าวไว้โดยศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ว่า เราจะอ้าปากพูดคำเปรียบเทียบ เราจะพูดข้อความ ที่ปิดซ่อนไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก
36แล้วพระเยซูได้ไปจากคนเหล่านั้นเข้าไปในเรือน พวกลูกศิษย์มาหาพระองค์กล่าวว่า “ขอให้อาจารย์ อธิบายให้พวกผมเข้าใจคำเปรียบเทียบเรื่องข้าวไม่ดีนั้นด้วย” 37พระเยซูพูดกับเขาว่า “ผู้หว่านเมล็ดพืชดีนั้นได้แก่บุตรมนุษย์ 38และนานั้นได้แก่โลก ส่วนเมล็ดพืชดีได้แก่พลเมืองแห่งอาณาจักรของพระเจ้า แต่ข้าวไม่ดีได้แก่พลเมืองของมารร้าย 39ศัตรูผู้หว่านเมล็ดพืชชั่วได้แก่มารนั้น ฤดูเกี่ยวได้แก่เวลาสิ้นยุค และผู้เกี่ยวนั้นได้แก่พวกทูตสวรรค์ 40ฉะนั้นเขาเก็บข้าวไม่ดีเผาไฟอย่างไร เมื่อเวลาสิ้นยุคมาถึง ก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ 41บุตรมนุษย์จะใช้ผู้รับใช้ของท่านออกไปเก็บกวาดทุกสิ่งที่ทำให้หลงผิด และผู้ที่ทำชั่วออกจากแผ่นดินสวรรค์ 42และนำไปทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน 43ในตอนนั้นคนของพระเจ้าจะส่องแสงอยู่ในแผ่นดินของพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเขาดังดวงอาทิตย์ ใครมีหูก็ฟังเถิด”
44“อาณาจักรของพระเจ้าเปรียบคือขุมทรัพย์ในทุ่งนา ซึ่งมีผู้ขุดค้นพบด้วยความตื่นเต้น และดีใจ ผู้ที่ค้นพบนั้นจึงได้ยอมขายทรัพย์สมบัติทุกสิ่งทุกอย่างที่เขามีอยู่นั้น เพื่อรวบรวมเงินไปซื้อทุ่งนานั้นไว้ในความครอบครองของเขา”
45“อีกประการหนึ่ง อาณาจักรของพระเจ้าเปรียบเหมือนพ่อค้าที่ไปหาไข่มุกอย่างดี 46เมื่อพบไข่มุกเม็ดหนึ่งมีค่ามากมาย ก็ไปขายสิ่งสารพัดที่เขามีอยู่ ไปซื้อไข่มุกนั้น”
47“อีกอย่างหนึ่ง อาณาจักรของพระเจ้าผู้สูงสุดเปรียบเหมือนอวนที่ลากอยู่ในทะเล ได้ปลารวมทุกชนิด 48เมื่อได้เต็มแล้วเขาก็ลากขึ้นฝั่ง นั่งเลือกเอาแต่ที่ดีใส่ตะกร้า แต่ที่ไม่ดีนั้นก็ทิ้งไป 49ในเวลาสิ้นยุคก็จะเป็นเช่นนั้นแหละ พวกทูตสวรรค์จะออกมาแยกคนชั่วออกจากคนดี 50แล้วจะทิ้งเขาลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
51“ข้อความเหล่านี้เจ้าทั้งหลายเข้าใจแล้วหรือยัง” เขาตอบพระองค์ว่า “เข้าใจแล้วครับ” 52ฝ่ายพระเยซูได้พูดกับเขาว่า “ฉะนั้นพวกคัมภีราจารย์ทุกคน ที่ได้เรียนรู้ถึงการปกครองของพระเจ้าแล้ว ก็เป็นเหมือนเจ้าของบ้านที่เอาทั้งของใหม่และของเก่าออกจากคลังของตน”
53เมื่อพระเยซูได้พูดคำเหล่านี้แล้ว ก็ได้ไปจากที่นั่น 54เมื่อมาถึงตำบลบ้านของพระองค์แล้ว ก็ได้สั่งสอนในวัดหรือสุเหร่าของเขา จนคนทั้งหลายพากันประหลาดใจแล้วก็พูดกันว่า “เจ้าคนนี้มีสติปัญญาและฤทธิ์มหัศจรรย์แบบนี้มาจากไหน? 55เขาเป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ? แม่ของเขาชื่อมารีย์ และน้องชายของเขาชื่อยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาสมิใช่หรือ? 56และน้องสาวของเขาก็อยู่กับพวกเรามิใช่หรือ เขาได้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้มาจากไหน?” 57เขาทั้งหลายไม่ยอมรับพระองค์ ฝ่ายพระเยซูได้พูดกับเขาว่า “ศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า จะได้รับความนับถือเป็นอย่างดี เว้นแต่ในบ้านเมืองของตน และในวงศ์ตระกูลของตน” 58พระเยซูจึงไม่ได้ทำการอัศจรรย์ในเมืองนั้น เพราะว่าเขาไม่มีความเชื่อ
1ตอนนั้นกษัตริย์เฮโรดเจ้าเมืองได้ยินชื่อเสียงของพระเยซู 2จึงได้กล่าวกับเสนาอำมาตย์ว่า “คนนี้คงจะเป็นยอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำจริง ๆ มันคงเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ฉะนั้นมันจึงทำการอัศจรรย์ได้” 3เหตุที่กษัตริย์เฮโรดกล่าวเช่นนั้นเพราะว่า พระองค์ได้จับยอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำล่ามโซ่ขังคุกไว้ ที่พระองค์ทำเช่นนั้น ก็เพราะเห็นแก่พระนางเฮโรเดียส มเหสีของฟีลิปอนุชาของพระองค์ 4ยอห์นเคยคัดค้านพระองค์ว่า “ฝ่าพระบาทไม่มีสิทธิ์เอาภรรยาของพระอนุชา มาเป็นมเหสี” 5แม้ว่ากษัตริย์เฮโรดต้องการจะฆ่ายอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำ ก็เกรงใจประชาชน เพราะว่าประชาชนทั้งหลายนับถือยอห์นว่าเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า
6แต่เมื่อวันฉลองวันประสูติของกษัตริย์เฮโรดมาถึง ธิดาของพระนางเฮโรเดียสก็มาฟ้อนรำต่อหน้าแขกที่มาในงานนั้น ทำให้กษัตริย์เฮโรดพอพระทัยมาก 7พระองค์จึงได้ให้คำมั่นสัญญาว่า “เจ้าจะขออะไร เราก็จะให้สิ่งนั้น” 8หญิงสาวก็บอกเฮโรดตามที่แม่ได้แนะนำไว้ว่า “ขอศีรษะของยอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำ ใส่ถาดมาให้หม่อมฉันเจ้าค่ะ” 9ฝ่ายกษัตริย์เฮโรดก็เป็นทุกข์ แต่เพราะว่าได้ลั่นวาจาไปแล้ว และเพราะเห็นแก่หน้าแขกเหรื่อที่มา จึงได้ออกคำสั่งอนุญาตให้ฆ่ายอห์นได้ 10แล้วกษัตริย์เฮโรดก็ใช้คนไปตัดศีรษะยอห์นในคุก 11เขาจึงได้เอาศีรษะของยอห์นใส่ถาดมาให้หญิงสาวคนนั้น หญิงสาวก็เอาไปให้มารดาของเธอ 12ฝ่ายพวกลูกศิษย์ของยอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำ ก็มารับศพไปฝังไว้ แล้วก็มาบอกให้พระเยซูรู้เรื่องนั้น
13เมื่อพระเยซูรู้เรื่องแล้ว พระองค์จึงได้ลงเรือไปจากที่นั่น ไปยังถิ่นทุรกันดารเพียงลำพัง เมื่อประชาชนทั้งหลายรู้เรื่อง เขาก็ออกจากเมืองต่าง ๆ ตามหาพระองค์ 14เมื่อพระเยซูขึ้นจากเรือแล้ว กะเห็นประชาชนหมู่ใหญ่มาหาพระองค์ พระองค์สงสารเขา จึงได้รักษาคนเจ็บป่วยไข้ให้หาย 15ครั้นถึงเวลาเย็น พวกลูกศิษย์ก็มาบอกพระองค์ว่า “ที่นี่กันดารอาหารมาก และตอนนี้ก็ค่ำลงแล้ว ขอให้อาจารย์ บอกคนเหล่านี้กลับไป เพื่อเขาจะได้ไปซื้ออาหารกินตามหมู่บ้าน” 16ฝ่ายพระเยซูได้พูดกับสาวกของพระองค์ว่า “เขาไม่จำเป็นต้องกลับไป พวกเจ้าจงเลี้ยงอาหารเขาเถอะ” 17พวกลูกศิษย์จึงได้บอกพระองค์ว่า “พวกผมมีเพียงขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวเท่านั้น” 18พระเยซูจึงได้พูดกับเขาว่า “เอาอาหารนั้นมาให้เราเถิด” 19แล้วพระองค์ก็สั่งให้คนเหล่านั้นนั่งลงที่หญ้า เมื่อรับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นมาแล้ว พระองค์ก็แหงนหน้าขึ้นดูท้องฟ้า ขอบคุณพระเจ้า และหักขนมปังส่งให้พวกลูกศิษย์ พวกลูกศิษย์ก็นำไปแจกให้คนทั้งหลาย 20เขาได้กินอิ่มทุกคน ส่วนเศษอาหารที่เหลือนั้น เขาเก็บไว้ได้สิบสองกระบุงเต็ม 21ฝ่ายคนที่ได้กินอาหารนั้นมีผู้ชายประมาณห้าพันคน ไม่ได้นับผู้หญิงและเด็กด้วย
22หลังจากนั้นแล้วพระเยซูก็ได้บอกให้พวกสาวกลงเรือข้ามฟากไปก่อน ส่วนพระองค์รอส่งประชาชนให้กลับบ้าน 23และเมื่อให้คนทั้งหลายเหล่านั้นไปหมดแล้ว พระเยซูก็ขึ้นไปบนภูเขาเพียงลำพังเพื่ออธิษฐานสวดอ้อนวอน เวลาก็ผ่านไปจนดึก พระองค์ก็ยังอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง 24ในขณะนั้นเรืออยู่กลางทะเลแล้ว และถูกคลื่นพัดโคลงเครงไปมา เพราะว่ามันทวนลมอยู่ 25เมื่อเวลาตีสี่กว่า ๆ พระเยซูจึงได้เดินบนน้ำทะเลไปหาพวกลูกศิษย์ 26เมื่อเขาเห็นพระองค์เดินมาบนทะเลเขาก็ตกใจกลัว ร้องเสียงหลงเพราะคิดว่าเป็นผี 27ในทันใดนั้นพระเยซูก็ได้พูดกับเขาว่า “ใจเย็น ๆ ไม่ต้องกลัว เราเอง”
28ฝ่ายเปโตรจึงตอบพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ถ้าเป็นอาจารย์จริง ๆ ขอให้ผมได้เดินบนน้ำไปหาอาจารย์ด้วย” 29พระเยซูจึ่งได้พูดว่า “มาเลย” เปโตรจึงได้ลงจากเรือเดินบนน้ำไปหาพระองค์ 30แต่เมื่อเขาเห็นลมพัดแรงก็เกิดกลัวขึ้นมา และขณะจะจมลงเขาก็ร้องว่า “อาจารย์ครับ ช่วยผมด้วย” 31ในทันใดนั้นพระเยซูก็ยื่นมือไปจับเขาไว้ แล้วพูดว่า “เจ้าสงสัยทำไม ช่างมีความเชื่อน้อยจริงนะ” 32เมื่อพระเยซูกับเปโตรขึ้นเรือแล้ว ลมก็หยุดพัดแรง 33เขาทั้งหลายที่อยู่ในเรือ จึงมากราบพระองค์ พูดว่า “อาจารย์เป็นพระโอรสของพระเจ้าจริงแท้ ๆ”
34เมื่อข้ามฟากไปแล้วก็มาขึ้นฝั่งที่เมืองเยนเนซาเรท 35คนในตำบลนั้นจำพระเยซูได้ ก็ใช้คนไปป่าวประกาศทั่วมณฑลนั้น เขาก็พาคนเจ็บไข้ได้ป่วยมาหาพระองค์ 36เขาขออนุญาตจากพระองค์ ให้เขาได้แตะต้องเสื้อผ้าของพระองค์เท่านั้น และผู้ใดได้แตะต้องแล้วก็หายดีทุกคน
1ตอนนั้นพวกฟาริสีและพวกคัมภีราจารย์ออกจากกรุงเยรูซาเล็ม มาถามพระเยซูว่า 2“ทำไมพวกสาวกของอาจารย์จึงได้ฝ่าฝืนคำสอนที่ตกทอดมาจากปู่ย่าตายาย เพราะว่าเขาไม่ได้ล้างมือเมื่อกินข้าว” 3พระเยซูจึงตอบเขาว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงได้ฝ่าฝืนธรรมบัญญัติของพระเจ้า เพราะเห็นแก่คำสอนที่พวกเจ้ารับมาจากปู่ย่าตายายล่ะ 4เพราะว่าพระเจ้าได้บัญญัติไว้ว่า ‘จงให้เกียรติพ่อแม่ของเจ้า’ และ ‘ผู้ใดด่าทอพ่อด่าทอแม่ก็จะต้องมีโทษถึงตาย’ 5แต่พวกเจ้ากลับสอนว่า ‘ผู้ใดจะพูดกับพ่อกับแม่ว่า “อะไรที่เป็นของลูก ที่อาจเป็นประโยชน์แก่พ่อแม่ สิ่งนั้นเป็นของถวายแก่พระเจ้า” ผู้นั้นจึงไม่ต้องให้เกียรติพ่อแม่ของตน’ 6เพราะฉะนั้น พวกเจ้าทั้งหลายได้ทำให้ธรรมบัญญัติของพระเจ้าเป็นหมันไป เพราะเห็นแก่คำสอนของพวกเจ้า 7โอ คนหน้าซื่อใจคด อิสยาห์ได้พยากรณ์ถึงพวกเจ้าไว้แล้วว่า 8ประชาชนนี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของเขาห่างไกลจากเรา 9เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์อะไรมิได้ เพราะเขาเอาบทบัญญัติของมนุษย์มาตู่ว่า เป็นคำสอนของพระเจ้า”
10แล้วพระเยซูจึงได้เรียกคนทั้งหลายมาและพูดกับเขาว่า “จงฟังดี ๆ และเข้าใจเถิด 11สิ่งที่กินเข้าไปในปากไม่ได้ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่สิ่งที่ออกมาจากปากนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน” 12ขณะนั้นพวกสาวกมาถามพระองค์ว่า “อาจารย์รู้แล้วหรือว่า เมื่อพวกฟาริสีได้ยินคำพูดของอาจารย์นั้นเขาก็แค้นเคืองยิ่งนัก” 13พระเยซูจึงได้ตอบว่า “ต้นไม้ต้นใดก็ตาม ที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราผู้อยู่ในสวรรค์ ไม่ได้ปลูกไว้จะต้องถูกถอนทิ้ง 14ช่างเขาเถอะ เขาเป็นคนนำทางตาบอด ถ้าคนตาบอดนำทางคนตาบอด ทั้งสองจะตกลงไปในบ่อ” 15ฝ่ายเปโตรพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ขอให้อธิบายคำเปรียบเทียบนั้น ให้พวกผมรู้ด้วย” 16ฝ่ายพระเยซูตอบเขาว่า “พวกเจ้ายังไม่เข้าใจหรือ? 17เจ้ายังไม่เห็นหรือว่า อะไรก็ตามที่เข้าไปในปากก็ลงไปในท้อง แล้วก็ถ่ายลงส้วมไป 18แต่สิ่งที่ออกมาจากปากก็ออกมาจากใจ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 19ความคิดชั่วร้าย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย การล่วงประเวณี การลักขโมย การเป็นพยานเท็จ การใส่ร้าย ก็ออกมาจากใจ 20สิ่งเหล่านี้แหละที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน แต่การกินข้าวโดยไม่ล้างมือ ไม่ได้ทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”
21แล้วพระเยซูก็ไปจากที่นั่น เข้าไปในเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน 22มีผู้หญิงชาวคานาอันคนหนึ่งมาจากแถวนั้นพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ ผู้เป็นเชื้อสายดาวิดเจ้าคะ ขอให้เมตตาดิฉันด้วย ลูกสาวของดิฉันมีผีสิงอยู่ เป็นทุกข์ลำบากมาก” 23ฝ่ายพระเยซูไม่ตอบเขาแม้แต่คำเดียว และพวกลูกศิษย์ของพระองค์ก็มาพูดกับพระองค์ว่า “ไล่เขาไปเถอะ เพราะเขาร้องตามหลังพวกเรามาโน่นแน่ะ” 24พระเยซูจึงตอบเขาว่า “เรามิได้รับใช้ให้มาหาผู้ใด เว้นแต่ให้มาหาวงศ์วานของอิสราเอลที่เปรียบเหมือนแกะหลงหายเท่านั้น” 25ฝ่ายหญิงคนนั้นก็มากราบพระองค์ และกล่าวว่า “อาจารย์เจ้าขา ขอช่วยดิฉันด้วย” 26พระเยซูจึงได้ตอบเขาว่า “การที่จะเอาอาหารของลูกโยนให้แก่สุนัขก็เป็นการไม่สมควร” 27ผู้หญิงคนนั้นก็พูดกับพระองค์ว่า “จริงเจ้าค่ะ แต่สุนัขนั้นก็กินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะนายของมัน” 28แล้วพระเยซูได้ตอบเขาว่า “หญิงเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าก็มากมาย ขอให้เป็นไปตามความต้องการของเจ้าเถิด” และลูกสาวของนางก็หายเป็นปกติตั้งแต่ขณะนั้น
29พระเยซูจึงได้จากที่นั่นไปยังทะเลสาบกาลิลี แล้วก็ขึ้นไปบนภูเขาพักอยู่ที่นั่น 30และประชาชนเป็นอันมากก็ได้มาหาพระองค์ พาคนเป็นง่อย คนแขนขาพิการ คนตาบอด คนเป็นใบ้ และคนเจ็บอื่น ๆ หลายคน มาวางแทบเท้าของพระองค์ แล้วพระองค์ก็ได้รักษาเขาให้หาย 31คนเหล่านั้นก็พากันอัศจรรย์ใจยิ่งนัก เมื่อได้เห็นคนใบ้พูดได้ คนแขนขาพิการหายเป็นปกติ คนเป็นง่อยเดินได้ คนตาบอดกลับมองเห็น แล้วเขาก็ยกย่องสรรเสริญพระเจ้าของชนชาติอิสราเอล
32ฝ่ายพระเยซูเรียกพวกสาวกของพระองค์มา พูดว่า “เราสงสารคนเหล่านี้ เพราะว่าเขาค้างอยู่กับพวกเราได้สามวันแล้ว และไม่มีข้าวปลาอาหารกิน เราไม่อยากให้เขาจากไป ขณะที่เขายังไม่ได้กินอะไร เกรงว่าเขาจะหิวโหย และสิ้นแรงลงตามทาง” 33พวกลูกศิษย์จึงได้พูดกับพระองค์ว่า “ในถิ่นทุรกันดารนี้ พวกเราจะไปหาอาหารที่ไหน จึงจะพอเลี้ยงคนมากมายขนาดนี้ให้อิ่มได้” 34พระเยซูจึงได้ถามเขาว่า “พวกเจ้ามีขนมปังกี่ก้อน” เขาตอบว่า “มีเจ็ดก้อน กับปลาตัวน้อยสองสามตัว ครับ”
35พระเยซูจึงได้บอกให้ประชาชนนั่งลงที่พื้นดิน 36แล้วก็รับขนมปังเจ็ดก้อน กับปลาเหล่านั้นมา ขอบคุณพระเจ้าแล้ว จึงได้หักออก แล้วก็ส่งให้พวกลูกศิษย์นำไปแจกให้ประชาชน 37และคนทั้งหลายก็ได้กินอิ่มกันทุก ๆ คน อาหารที่เหลือนั้น เขาเก็บได้เจ็ดตะกร้า 38ผู้ที่ได้กินอาหารนั้น มีผู้ชายสี่พันคนไม่ได้นับผู้หญิงและเด็กด้วย 39พระเยซูได้บอกให้ประชาชนกลับไป แล้วก็ได้ลงเรือมาถึงเขตเมืองมากาดาน
1พวกฟาริสีกับพวกสะดูสีได้มาทดสอบพระเยซู โดยขอให้พระองค์แสดงหมายสำคัญจากสวรรค์ให้เขาเห็น 2พระองค์จึงตอบเขาว่า “ครั้นถึงเวลาเย็น พวกเจ้าทั้งหลายก็พูดว่า ‘พรุ่งนี้เช้าอากาศจะปลอดโปร่งดี เพราะว่าฟ้าสีแดง’ 3ครั้นถึงตอนเช้าพวกเจ้าก็พูดว่า ‘วันนี้ฝนจะตก เพราะว่าฟ้าแดงเข้มและมืดครึ้ม’ พวกเจ้าบอกถึงอากาศล่วงหน้าได้โดยสังเกตท้องฟ้า แต่พวกเจ้าแปลเหตุการณ์สำคัญถึงยุคสมัยนี้ไม่ได้ 4คนชาติชั่ว และคิดคดทรยศต่อพระเจ้า มักจะแสวงหาหมายสำคัญจากสวรรค์ และพระเจ้าจะไม่ให้มีหมายสำคัญจากสวรรค์แก่เขา เว้นแต่หมายสำคัญของโยนาห์เท่านั้น” แล้วพระองค์ก็หนีไปจากเขา
5ฝ่ายพวกสาวกของพระเยซู เมื่อข้ามฟากไปก็ได้ลืมเอาขนมปังไปด้วย 6เมื่อพระเยซูพูดกับเขาว่า “จงสังเกตและระวังเชื้อของพวกฟาริสี และพวกสะดูสีให้ดี” 7พวกสาวกของพระองค์จึงได้พูดกันว่า “เพราะพวกเราไม่ได้เอาขนมปังมา พระองค์จึงพูดเช่นนั้น” 8ฝ่ายพระเยซูรู้จักความคิดของเขาจึงได้เว้ากับเขาว่า “โอ ผู้มีความเชื่อน้อย ทำไมพวกเจ้าจึงพูดกันถึงเรื่องไม่มีขนมปัง 9พวกเจ้ายังไม่รู้และจำไม่ได้หรือ? เรื่องขนมปังห้าก้อนกับคนห้าพันคนนั้น พวกจ้าเก็บอันที่เหลือได้กี่กระบุง 10หรือขนมปังเจ็ดก้อนกับคนสี่พันคนนั้น พวกเจ้าเก็บอันที่เหลือได้กี่ตะกร้า 11ทำไมพวกเจ้าจึงไม่รู้ว่า เราไม่ได้พูดกับพวกเจ้าเรื่องขนมปัง แต่ได้บอกว่าให้ระวังเชื้อของพวกฟาริสี และพวกสะดูสีให้ดี” 12แล้วพวกสาวกก็เข้าใจว่า พระเยซูไม่ได้บอกเขาให้ระวังเชื้อขนมปัง แต่ให้ระวังคำสอนของพวกฟาริสีและพวกสะดูสี
13เมื่อพระเยซูได้เข้าไปในเขตเมืองซีซารียาฟีลิปปี จึงได้ถามพวกลูกศิษย์ของพระองค์ว่า “คนทั้งหลายพูดกันว่าบุตรมนุษย์เป็นผู้ใด” 14เขาจึงตอบพระองค์ว่า “เขาว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำ แต่บางคนว่าเป็นเอลียาห์ และคนอื่น ๆ กะว่าเป็นเยเรมีย์ หรือเป็นคนหนึ่งในพวกศาสดาพยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้า” 15พระเยซูจึงได้ถามเขาว่า “แล้วพวกเจ้าล่ะ ว่าเราเป็นใคร?” 16ซีโมนเปโตรตอบพระองค์ว่า “อาจารย์ ก็เป็นพระศรีอาริย์โอรสของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่” 17พระเยซูได้พูดกับเขาว่า “ซีโมนลูกชายโยนาห์เอ๋ย เจ้าก็มีความสุขแล้ว เพราะว่ามนุษย์ไม่ได้แจ้งข้อความเหล่านี้แก่เจ้า แต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราผู้อยู่ในสวรรค์ได้แจ้งให้เจ้ารู้ 18ฝ่ายเราขอบอกเจ้าว่า เจ้าคือเปโตร และบนหินก้อนนี้ เราจะสร้างชนชาติอิสราเอลขึ้นมาใหม่ และพลังแห่งความตายจะมีชัยต่อชาติอิสราเอลใหม่นี้ก็ไม่ได้ 19เราจะมอบลูกกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ไว้แก่พวกเจ้า พวกเจ้าจะห้ามอะไรก็ตามในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกห้ามในสวรรค์ด้วย เมื่อเจ้าจะอนุญาตอะไรก็ตามในโลก สิ่งนั้นก็จะอนุญาตในสวรรค์ด้วย” 20แล้วพระเยซูก็ห้ามพวกสาวกของพระองค์ไม่ให้บอกผู้ใดว่า พระองค์เป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์
21ตั้งแต่นั้นมา พระเยซูก็เริ่มเปิดเผยแก่พวกสาวกว่า พระองค์จะต้องลงไปกรุงเยรูซาเล็ม และจะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการจากพวกผู้อาวุโส และพวกมหาปุโรหิต กับพวกคัมภีราจารย์ จนต้องถูกฆ่าตาย แต่ในวันที่สามพระองค์จะถูกบันดาลให้เป็นขึ้นมาใหม่ 22ฝ่ายเปโตรก็เอามือจับพระองค์กล่าวว่า “อาจารย์ครับ ขอให้เหตุการณ์เหล่านั้นอย่าได้เกิดขึ้นกับอาจารย์เลย” 23พระเยซูจึ่งได้หันหน้าไปพูดกับเปโตรว่า “อ้ายซาตาน จงไปให้พ้น เจ้าเป็นผู้กีดกันเส้นทางของเรา เพราะเจ้าคิดแบบคน ไม่ได้คิดอย่างพระเจ้า”
24ขณะนั้นพระเยซูจึงได้พูดกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “ถ้าผู้ใดผู้หนึ่งอยากติดตามเรามาให้ผู้นั้นทิ้งตัวเอง และรับเอาความทุกข์ยากและการขายหน้า แล้วก็ติดตามเรามา 25เพราะว่าผู้ใดอยากจะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะรอดชีวิต 26เหตุว่า ผู้ใดก็ตามจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่จะต้องเสียชีวิตของตัวเอง ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร หรือผู้นั้นจะเอาอะไรไปแลกเอาชีวิตของตัวกลับคืนมา 27เพราะว่าเมื่อบุตรมนุษย์จะกลับมาด้วยสง่าราศีของพระเจ้าผู้เป็นพ่อของท่าน และพร้อมด้วยทูตของท่าน ตอนนั้นพระองค์จะให้รางวัลแก่ทุกคนตามการประพฤติของเขา 28เราบอกความจริงกับเจ้าทั้งหลายว่า ในพวกเจ้าที่ยืนอยู่ที่นี้ จะมีบางคนที่ยังไม่ทันรู้รสแห่งความตายเลย จนกว่าจะได้เห็นบุตรมนุษย์มาด้วยอำนาจของพระองค์”
1เมื่อเวลาผ่านไปได้หกวันแล้ว พระเยซูก็ได้พาเปโตร ยากอบ และยอห์นน้องของยากอบ ขึ้นไปบนภูเขาสูงเพียงลำพัง 2แล้วร่างกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา ใบหน้าของพระองค์ก็ทอแสงเหมือนแสงอาทิตย์ เสื้อผ้าของพระองค์ก็ขาวสะอาดเหมือนแสงสว่าง 3โมเสสและเอลียาห์ก็ได้มาปรากฏแก่พวกลูกศิษย์เหล่านั้น ทั้งสองกำลังคุยกันอยู่กับพระเยซู 4ฝ่ายเปโตรได้บอกกับพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ ผมว่า พวกเราอยู่ที่นี่ก็ดีเหมือนกัน ถ้าหากอาจารย์อยากจะอยู่ ผมจะทำเพิงพักสามหลังไว้ที่นี่ หลังหนึ่งสำหรับอาจารย์ หลังหนึ่งสำหรับโมเสส และอีกหลังหนึ่งสำหรับเอลียาห์” 5เปโตรพูดยังไม่ทันขาดคำ ก็เกิดมีก้อนเมฆสุกใสมาปกคลุมเขาไว้ แล้วมีเสียงออกมาจากก้อนเมฆนั้นว่า “ผู้นี้เป็นลูกที่รักของเรา เราพอใจเขามาก จงพากันเชื่อฟังเขาเถิด” 6ฝ่ายสาวกทั้งสาม เมื่อได้ยินเช่นนั้น ก็ซบหน้าลงพากันกลัวยิ่งนัก 7พระเยซูจึงได้มาจับตัวเขา แล้วกล่าวว่า “จงลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย” 8เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็ไม่เห็นผู้ใด เห็นแต่พระเยซูองค์เดียว
9เมื่อลงมาจากภูเขาพระเยซูห้ามพวกสาวกว่า “สิ่งที่พระเจ้าสำแดงให้พวกเจ้าเห็นนี้ อย่าได้บอกแก่ผู้ใดจนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย” 10พวกสาวกก็ถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกคัมภีราจารย์จึงว่า เอลียาห์จะต้องมาก่อน” 11พระเยซูตอบเขาว่า “เอลียาห์ต้องมาจริง และได้ทำให้สิ่งทั้งหลายคืนสู่สภาพเดิม 12แต่เราบอกพวกเจ้าทั้งหลายว่า เอลียาห์นั้นได้มาแล้ว แต่เขาไม่รู้จักท่าน และเขาอยากทำอะไรกับท่าน เขาก็ได้ทำแล้ว ส่วนบุตรมนุษย์ จะต้องทนทุกข์ด้วยน้ำมือของเขาทั้งหลายเหมือนกัน” 13แล้วพวกสาวกของพระองค์จึงได้เข้าใจว่า ที่พระเยซูได้พูดกับเขานั้น เล็งถึงยอห็นผู้ทำพิธีมุดน้ำ
14เมื่อพระเยซูกับเหล่าสาวกของพระองค์มาถึงฝูงชนแล้ว มีชายคนหนึ่งมาหาพระองค์คุกเข่าลง พูดว่า 15“อาจารย์ครับ ขอให้สงสารลูกชายของผมด้วย เพราะว่าเขาเป็นโรคลมบ้าหมู มีความทุกข์เวทนามาก เขาเคยตกน้ำตกไฟหลายครั้ง 16ผมได้พาเขามาหาพวกสาวกของอาจารย์ แต่เขาเหล่านั้นก็ไม่สามารถรักษาให้หายได้” 17พระเยซูตอบเขาว่า “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีความชั่วช้า เราจะต้องอยู่กับพวกเจ้านานเท่าใด เราจะต้องอดทนเพราะพวกเจ้าไปถึงไหน จงพาเด็กนั้นมาหาเราที่นี่เถิด” 18พระเยซูจึงได้สั่งผีนั้น มันก็ออกจากเขา ตั้งแต่นั้นมาเด็กก็หายเป็นปกติ 19ภายหลังเหล่าสาวกมาหาพระองค์เป็นส่วนตัว ถามว่า “ทำไมพวกผมจึ่งขับผีนั้นออกไม่ได้” 20พระเยซูตอบเขาว่า “เพราะว่าพวกเจ้ามีความเชื่อน้อย เราบอกความจริงแก่เจ้าทั้งหลายว่า ถ้าพวกเจ้ามีความเชื่อเท่าเมล็ดผักเมล็ดหนึ่ง เจ้าก็จะสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงเลื่อนจากที่นี่ไปที่โน่น’ มันก็จะเลื่อนไป สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่พวกเจ้าทำไม่ได้ จะไม่มีเลย” 21“แต่ผีชนิดนี้ไม่เคยถูกขับออกได้ เว้นแต่โดยการอธิษฐานสวดอ้อนวอนและการถือศีลอดเท่านั้น”
22เมื่อพวกเขาพากันมาถึงกาลิลี พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกว่า “บุตรมนุษย์จะถูกทรยศให้ตกอยู่ในมือมนุษย์ 23พวกเขาจะฆ่าพระองค์ และในวันที่สามพระองค์จะเป็นขึ้นจากตาย” และเหล่าสาวกพากันทุกข์โศกยิ่งนัก”
24เมื่อพระเยซูและเหล่าสาวกของพระองค์มาถึงเมืองคาเปอรนาอุมแล้ว ผู้เก็บค่าบำรุงพระวิหารมาถามเปโตรว่า “อาจารย์ของเจ้าไม่เสียค่าบำรุงพระวิหารหรือ?” 25เปโตรตอบว่า “เสียครับ” เมื่อเปโตรเข้าไปในบ้าน พระเยซูพูดขึ้นก่อนว่า “ซีโมนเอ๋ย เจ้าคิดอย่างไร กษัตริย์เก็บภาษีอากรจากใคร จากบรรดาโอรสของพระองค์หรือจากคนอื่น?” 26เปโตรตอบว่า “จากคนอื่น ครับ” พระเยซูกล่าวว่า “ถ้าเช่นนั้นบรรดาโอรสก็ได้รับการยกเว้น 27แต่เพื่อว่าเราจะไม่ทำให้พวกเขาขุ่นเคืองใจ เจ้าจงไปวางเบ็ดที่ทะเลสาบ จงอ้าปากปลาตัวแรกที่ตกได้แล้ว จะพบเหรียญหนึ่ง จงนำเงินนั้นไปชำระค่าบำรุงพระวิหารสำหรับเรา และเจ้าเถิด”
1ในตอนนั้นเหล่าสาวกมาหาพระเยซูพูดว่า “ใครเป็นใหญ่ในอาณาจักรของพระเจ้า” 2พระเยซูจึงได้เรียกเด็กน้อยคนหนึ่งมา ให้ยืนอยู่ท่ามกลางเขา 3แล้วกล่าวว่า “เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า ถ้าพวกเจ้าไม่กลับหลังหันจากความผิดบาป เป็นเหมือนเด็กน้อยคนนี้ พวกเจ้าจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้เลย 4ฉะนั้นถ้าผู้ใดถ่อมใจลง เป็นเหมือนเด็กน้อยคนนี้ ผู้นั้นจะเป็นใหญ่ในอาณาจักรของพระเจ้า 5ถ้าผู้ใดจะรับเด็กน้อยเช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเราด้วย 6แต่ผู้ใดจะทำให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่พึ่งอาศัยในเราให้หลงผิด ถ้าเอาหินก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงน้ำทะเลก็จะดีกว่า”
7“วิบัติจะเกิดแก่ชาวโลกที่เป็นเหตุให้มนุษย์หลงทำบาป ไม่มีใครสามารถหลีกเลี่ยงจากอบายมุขได้ แต่ต้องคิดอยู่เสมอว่า ผู้ที่เป็นต้นเหตุให้มีการทำผิด จะต้องประสบวิบัติอย่างแน่นอน 8ถ้ามือหรือเท้าของเจ้าทำให้เจ้าหลงผิด จงตัดทิ้งเสีย จะมีชีวิตเข้าสู่นิพพานด้วยมือและเท้าด้วน หรือพิการก็ยังดีกว่ามีสองมือสองเท้า และต้องถูกทิ้งลงในไฟซึ่งไหม้อยู่ตลอดไป 9ถ้าตาของเจ้าทำให้เจ้าหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย ที่จะชีวิตเข้าสู่นิพพานด้วยตาข้างเดียว ยังดีกว่ามีสองตาและต้องถูกทิ้งลงไปในไฟนรก”
10“จงระวังให้ดี อย่าดูหมิ่นผู้เล็กน้อยเหล่านี้แม้แต่คนเดียว เราขอบอกพวกเจ้าทั้งหลายว่า ทูตประจำตัวของเขาเฝ้าอยู่เสมอ ต่อหน้าพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ผู้อยู่ในสวรรค์ 11เพราะว่าบุตรมนุษย์ได้มา เพื่อช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้หลุดพ้น 12พวกเจ้าทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร ถ้าคนหนึ่งมีแกะอยู่ร้อยตัว ตัวหนึ่งหลงหายไปจากฝูง ผู้นั้นจะไม่ปล่อยแกะเก้าสิบเก้าตัวไว้เชิงเขา แล้วไปเที่ยวหาแกะตัวที่หายไปหรือ? 13เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า ถ้าผู้นั้นพบแกะตัวที่หายไป เขาจะมีความยินดีที่มีแกะเก้าสิบเก้าตัว ที่ไม่ได้หลงหายไปนั้น 14ทำนองเดียวกัน พระเจ้าผู้เป็นพ่อของพวกเจ้าผู้อยู่ในสวรรค์ ไม่อยากให้ผู้เล็กน้อยเหล่านี้แม้แต่คนเดียวพินาศเลย
15“ถ้าพี่น้องของพวกเจ้าผู้หนึ่งทำผิดบาปต่อเจ้า จงไปแจ้งความผิดบาปนั้นแก่เขาสองต่อสองเท่านั้น ถ้าเขาฟังเจ้า เจ้าก็จะได้พี่น้องคืนมา 16แต่ถ้าเขาไม่ฟังเจ้าจงนำคนหนึ่งหรือสองคนไปด้วย ให้เป็นพยานสองสามปาก เพื่อทุกคำพูดจะมีหลักฐานได้ 17ถ้าเขาไม่ฟังคนเหล่านั้น จงไปแจ้งความต่อกลุ่มคนที่เชื่อในพระเจ้า ถ้าเขายังไม่เชื่อฟังกลุ่มคนเหล่านั้นอีก ก็ให้ถือว่าเขาเป็นเหมือนกันกับคนต่างชาติหรือคนเก็บภาษี 18เราบอกความจริงแก่เจ้าทั้งหลายว่า สิ่งสารพัดที่เจ้าจะห้ามในโลก ก็จะถูกห้ามในสวรรค์ด้วย และสิ่งที่เจ้าจะอนุญาตในโลก ก็จะได้รับอนุญาตในสวรรค์เหมือนกัน 19เราบอกแก่พวกเจ้าทั้งหลายอีกว่า ถ้าในพวกเจ้าที่อยู่ในโลกสองคนจะร่วมใจกันขอสิ่งหนึ่งสิ่งใด พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ผู้อยู่ในสวรรค์ก็จะทำให้ 20เพราะว่ามีสองสามคนประชุมกันอยู่ที่ใดในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางเขาที่นั่น”
21ขณะนั้นเปโตรมาถามพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ หากพี่น้องของผม ทำผิดต่อผมไม่หยุดหย่อน ผมควรจะยกความผิดของเขากี่ครั้ง ยกให้เขาเจ็ดครั้งหรือครับ” 22พระเยซูตอบเขาว่า “เราไม่ได้ว่าเพียงเจ็ดครั้งเท่านั้น แต่เจ็ดครั้งคูณด้วยเจ็ดสิบ” 23“เหตุฉะนั้นอาณาจักรสวรรค์ของพระเจ้าเปรียบเหมือนกันกับ พระราชาองค์หนึ่งอยากจะคิดบัญชีกับทาส 24เมื่อเริ่มต้นทำการนั้น พระองค์ก็พาทาสคนหนึ่งที่เป็นหนี้หลายล้านบาทมาเฝ้า 25เพราะว่าเขาไม่มีเงินจะใช้หนี้ พระราชาได้ให้ชายคนนั้นขายตัว กับทั้งขายลูกเมีย ตลอดจนสิ่งของที่เขามีอยู่นั้น เพื่อเอาเงินเอามาใช้หนี้ 26ทาสคนนั้นจึ่งได้วิงวอนพระราชาว่า ‘ด้วยพระอาญาไม่พ้นเกล้า ข้าพระบาทขอผลัดไว้ก่อนได้ไหม? เมื่อข้าพระบาทหาเงินได้แล้ว จะนำมาใช้หนี้ภายหลังพะยะค่ะ’ 27พระราชาองค์นั้นมีพระทัยเมตตา ได้ยกหนี้ให้เขา และปล่อยเขาไป 28แต่ทาสผู้นั้นออกไปพบทาสอีกคนหนึ่ง ที่เป็นเพื่อนกัน ทาสคนที่สองนี้เป็นหนี้เขาอยู่ไม่กี่ร้อยบาท เขาจึงจับทาสคนนั้นบีบคอแล้วพูดว่า ‘ที่เอ็งเป็นหนี้ข้าอยู่นั่น จงนำมาใช้หนี้เดี๋ยวนี้’ 29ทาสคนนั้นได้อ้อนวอนเขาว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ขอผลัดไว้ก่อนได้ไหม? แล้วเราจะนำมาใช้หนี้ให้ภายหลัง’ 30แต่เขาไม่ยอม จึงได้นำคนนั้นไปขังไว้จนกว่าจะหาเงินมาใช้หนี้ได้ 31ฝ่ายพวกทาสคนอื่น ๆ เมื่อเห็นเหตุการณ์แบบนั้น ก็พากันสลดใจยิ่งนัก จึงได้นำเหตุการณ์นั้นไปแจ้งแก่พระราชาองค์นั้น 32พระราชาจึงได้เรียกทาสคนนั้นมาพูดว่า ‘อ้ายชาติชั่ว ข้าฯได้ยกหนี้ให้เอ็งหมด เพราะว่าเอ็งได้อ้อนวอนข้า 33เอ็งควรจะสงสารคนที่เป็นหนี้เอ็งเหมือนกันกับข้าฯสงสารเอ็งมิใช่หรือ?’ 34แล้วพระราชาองค์นั้นก็ทรงกริ้วยิ่งนัก จึงได้มอบทาสคนนั้นไว้กับอำมาตย์ให้ทรมานเขา จนกว่าเขาจะใช้หนี้หมด 35พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราผู้อยู่ในสวรรค์ จะทำเช่นนี้กับพวกเจ้าทุกคน ถ้าหากว่าพวกเจ้าแต่ละคนไม่ยกโทษให้กับพี่น้องของตนด้วยใจกว้างขวาง”
1เมื่อพระเยซูพูดเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็จากมณฑลกาลิลีเข้าไปในมณฑลยูเดีย ฟากแม่น้ำจอร์แดนด้านตะวันออก 2ฝูงชนจำนวนมากได้ติดตามพระองค์ไป แล้วพระองค์ก็รักษาโรคของเขาให้หายอยู่ที่นั่น 3พวกฟาริสีมาทดลองพระองค์ โดยถามว่า “ผู้ชายจะหย่าภรรยาเพราะเหตุใดก็ตาม เป็นการถูกต้องตามธรรมบัญญัติหรือไม่?” 4พระเยซูตอบเขาว่า “พวกเจ้าไม่ได้อ่านหรือว่า พระเจ้าผู้สร้างมนุษย์แต่เริ่มแรกนั้น ได้สร้างให้เป็นชายและหญิง 5และพระองค์ได้กล่าวว่า เพราะเหตุนั้น ผู้ชายจึงต้องจากพ่อแม่ของตน ไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อหนังอันเดียวกัน 6เขาจึงไม่ได้เป็นสองอีกต่อไป แต่เป็นเนื้อหนังอันเดียวกัน ฉะนั้นที่พระเจ้าได้ผูกพันกันแล้วนั้น อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย” 7พวกฟาริสีจึงได้ถามพระองค์กลับไปว่า “ถ้าเช่นนั้น ทำไมโมเสสจึงได้สั่งให้ทำหนังสือหย่าให้ภรรยา แล้วก็หย่าได้” 8พระเยซูจึงได้พูดกับเขาว่า “โมเสสได้ยอมให้เจ้าทั้งหลายหย่าภรรยา ก็เพราะใจเจ้าทั้งหลายแข็งกระด้าง ตั้งแต่เดิมไม่ได้เป็นเช่นนั้น 9ส่วนเราขอบอกเจ้าทั้งหลายว่า ผู้ใดหย่าภรรยาเพราะเหตุต่าง ๆ เว้นแต่เป็นชู้หรือเป็นกิ๊กกับชายอื่น แล้วไปมีภรรยาใหม่ก็ผิดประเวณี และผู้ใดรับหญิงที่หย่าแล้วนั้นมาเป็นภรรยา ก็ผิดประเวณีเหมือนกัน”
10พวกสาวกได้พูดกับพระองค์ว่า “ถ้าลักษณะสามีภรรยาเป็นเช่นนั้น ไม่เป็นสามีภรรยากันก็ดีกว่า” 11พระเยซูตอบเขาว่า “ไม่ใช่ทุกคนจะทำตามข้อนี้ได้ เว้นแต่ผู้ที่พระเจ้าให้ทำได้ เขาจึงจะทำได้ 12เพราะว่าผู้ที่เป็นขันทีมาตั้งแต่เกิดก็มี ผู้ที่มนุษย์ทำให้เป็นขันทีก็มี ผู้ที่ทำให้ตนเองเป็นขันทีเพราะเห็นแก่อาณาจักรสวรรค์ก็มี ใครถือได้ก็ให้ถือเอาเถิด”
13ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็กมาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ปรกมือและอธิษฐานสวดอ้อนวอนเพื่อเขา แต่พวกสาวกก็ห้ามปรามไว้ 14ฝ่ายพระเยซูบอกเขาว่า “จงยอมให้เด็กเล็ก ๆ เข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย คนอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า ก็เป็นเหมือนกับเด็กเล็ก ๆ เหล่านี้แหละ” 15เมื่อพระองค์ปรกมือบนเด็กเหล่านั้นแล้ว ก็ไปจากที่นั้นไป
16ในทันใดนั้น มีชายคนหนึ่งมาพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ผมจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน” 17พระเยซูตอบเขาว่า “เจ้าถามเราถึงสิ่งที่ดีทำไม? ผู้ที่ดีมีอยู่ผู้เดียวเท่านั้น แต่ถ้าเจ้าอยากได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน ก็ให้ถือรักษาธรรมบัญญัติหรือศีลไว้” 18ชายคนนั้นถามพระองค์ว่า “คือธรรมบัญญัติหรือศีลข้อใดบ้าง” พระเยซูพูดว่า “คือข้อที่ว่า ‘อย่าฆ่าคน อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ 19จงให้เกียรติพ่อแม่ของตน และจงมีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อเพื่อนบ้านเหมือนกันกับมีต่อตัวเอง’ 20ชายหนุ่มคนนั้นพูดกับพระองค์ว่า “ธรรมบัญญัติหรือศีลข้อเหล่านั้นผมได้ถือรักษาไว้ทุกประการแล้วครับ ผมยังขาดอะไรอีก” 21พระเยซูพูดกับเขาว่า “ถ้าเจ้าอยากเป็นผู้ที่ทำได้อย่างครบถ้วน จงไปขายสิ่งของทั้งหมด ที่เจ้ามีอยู่แจกจ่ายให้แก่คนยากคนจน แล้วเจ้าจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ และจงติดตามมาเป็นสาวกของเรา” 22เมื่อชายหนุ่มคนนั้นได้ยินถ้อยคำเหล่านั้น ก็ออกไปเป็นทุกข์ใจยิ่งนัก เพราะเขามีทรัพย์สมบัติมากมาย
23พระเยซูพูดกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าทั้งหลายว่า คนรวยจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าก็ยากมาก 24เราบอกเจ้าทั้งหลายอีกว่า อูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนร่ำรวยจะเข้าในอาณาจักรสวรรค์” 25เมื่อพวกสาวกได้ยินก็ประหลาดใจยิ่งนัก จึงได้พูดกับเพระองค์ว่า “ถ้าเช่นนั้นใครจะหลุดพ้นได้” 26พระเยซูมองดูพวกสาวก และพูดว่า “ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่พระเจ้าก็ทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่งอย่าง”
27แล้วเปโตรก็พูดกับพระองค์ว่า “พวกผมทุกคนได้สละสิ่งสารพัดและได้ติดตามอาจารย์มา พวกผมจะได้อะไรบ้าง” 28พระเยซูพูดกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าทั้งหลายว่า ในโลกใหม่ตอนที่บุตรมนุษย์จะนั่งบนพระที่นั่งอันรุ่งเรืองนั้น พวกเจ้าที่ได้ติดตามเรามาจะได้นั่งบนบัลลังก์สิบสองบัลลังก์ เพื่อพิพากษาพวกอิสราเอลสิบสองเผ่า 29ผู้ใดได้สละบ้านเรือน พี่น้องชายหญิง พ่อแม่ ลูกเมีย หรือไร่นา เพราะเห็นแก่นามของเรา ผู้นั้นจะได้ผลร้อยเท่าและจะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพานด้วย 30แต่มีหลายคนที่เป็นคนแรก จะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย และคนที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนแรก”
1“เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าเปรียบเทียบเหมือนกับเจ้าของสวนคนหนึ่ง ออกไปจ้างคนงาน มาทำงานในสวนองุ่นของเขาตั้งแต่เวลาเช้ามืด 2เมื่อตกลงกับลูกจ้างวันละหนึ่งเหรียญแล้ว จึงได้ให้เขาไปทำงานในสวนองุ่น
3พอเวลาประมาณสามโมงเช้า เจ้าของสวนก็ออกไปอีก เห็นคนยืนอยู่เปล่า ๆ กลางตลาด 4จึงได้พูดกับเขาว่า ‘พวกเจ้าทั้งหลายจงไปทำงานในสวนองุ่นให้เราหน่อย เราจะให้ค่าจ้างแก่พวกเจ้าตามสมควร’ แล้วเขาก็พากันไป
5พอถึงเวลาเที่ยง และเวลาบ่ายสามโมง เจ้าของสวนก็ออกไปอีก ทำเหมือนเดิม 6ประมาณบ่ายห้าโมงก็ออกไปอีกครั้งหนึ่ง เห็นคนอีกพวกหนึ่งยืนอยู่ จึงได้พูดกับเขาว่า ‘พวกเจ้ายืนอยู่นี้เปล่า ๆ วันยังค่ำทำไม?’ 7เขาตอบว่า ‘ก็เพราะว่าไม่มีผู้ใดจ้างพวกเรา’ เจ้าของสวนบอกกับเขาว่า ‘พวกเจ้าทั้งหลาย จงไปทำงานในสวนองุ่นให้เราเถิด’ เขาก็พากันไป
8ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ เจ้าของสวนจึงสั่งหัวหน้าคนงานว่า ‘และให้จ่ายค่าแรงแก่เขาทุกคน ตั้งแต่คนมาสุดท้าย จนเถิงคนที่มาคนแรก’ 9คนที่มาทำงานเวลาประมาณห้าโมงเย็นนั้น ได้ค่าจ้างคนละหนึ่งเหรียญ
10ส่วนคนมาก่อนเพื่อน คิดว่าเขาคงจะได้มากกว่านั้น แต่ก็ได้หนึ่งเหรียญเหมือนกัน 11เมื่อเขารับเงินไปแล้ว เขาก็บ่นต่อว่าเจ้าของสวน 12ว่า ‘พวกที่มาเป็นคนสุดท้าย ทำงานชั่วโมงเดียว และท่านได้ให้ค่าจ้างแก่เขาเท่ากันกับพวกเราที่ทำงานกลางแดดทั้งวัน ทำแบบนี้มันไม่ยุติธรรม’
13ฝ่ายเจ้าของสวนก็ตอบคนหนึ่งในพวกนั้นว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เราไม่ได้โกงเจ้า เจ้าได้ตกลงกับเราแล้วว่าทำงานวันละหนึ่งเหรียญมิใช่หรือ? 14รับค่าแรงของเจ้าไปเถิด เราพอใจจะให้คนที่มาทำงานทีหลัง เท่ากันกับให้เจ้า 15เราจะใช้เงินทองของเราตามใจของเราไม่ได้หรือ? ทำไมเจ้าจึงอิจฉาเมื่อเห็นเราใจดี’ 16ฉะนั้น คนที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนแรก และคนที่เป็นคนแรก จะกลับเป็นคนสุดท้าย”
17เมื่อพระเยซูจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ก็พาสาวกสิบสองคนไปแต่ลำพัง และพูดกับเขาตามทางว่า 18“พวกเราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และเขาจะมอบบุตรมนุษย์ไว้กับพวกมหาปุโรหิตและพวกคัมภีราจารย์ และเขาเหล่านั้นจะปรับโทษท่านให้ถึงตาย 19และจะมอบท่านไว้กับคนต่างชาติให้เยาะเย้ยเฆี่ยนตีและให้ตรึงไว้ที่กางเขน และวันที่สาม ท่านจึงจะกลับเป็นขึ้นมาใหม่”
20ขณะนั้นมารดาของยอนห์และยากอบ ผู้เป็นลูกชายของเศเบดี พาลูกทั้งสองของนางมาหาพระเยซู กราบไหว้ขอสิ่งหนึ่งจากพระองค์ 21พระเยซูจึงได้ถามนางนั้นว่า “เจ้าอยากได้อะไร” นางตอบว่า “อยากขอให้อาจารย์ แต่งตั้งให้ลูกชายของฉันสองคนนี้ เป็นอำมาตย์ฝ่ายขวา และอำมาตย์ฝ่ายซ้ายในอาณาจักรของอาจารย์ได้หรือไม่?” 22แต่พระเยซูตอบว่า “ที่เจ้าขอนั้นเจ้าไม่เข้าใจ ความทุกข์ทรมานที่เราจะเผชิญนั้นพวกเจ้าจะทำได้หรือ?” พวกเขาเว้าว่า “ได้ครับ อาจารย์” 23พระองค์จึงได้พูดกับเขาว่า “เจ้าทั้งหลายจะทนทุกข์ทรมานเหมือนเราจริง แต่ที่จะนั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะจัดให้ แต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราได้เตรียมไว้ให้ผู้ใดก็จะให้แก่ผู้นั้น” 24เมื่อพวกสาวกสิบคนนั้นได้ยินแล้ว ก็ไม่พอใจพี่น้องสองคนนั้น 25พระเยซูเรียกเขาทั้งหลายมาพูดว่า “เจ้าทั้งหลายรู้อยู่ว่าผู้ปกครอง ย่อมมีอำนาจเหนือประชาชนที่เขาปกครอง และพวกผู้มีอำนาจก็ใช้อำนาจบังคับคนในปกครองของเขา 26แต่ในพวกเจ้าไม่ได้เป็นเช่นนั้น ถ้าผู้ใดอยากจะเป็นใหญ่ ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้รับใช้คนทั้งหลาย 27ถ้าผู้ใดอยากจะเป็นเบอร์หนึ่ง ผู้นั้นสิต้องเป็นทาสสมัครของพวกเจ้าเอง 28เหมือนกันกับที่บุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อให้ผู้อื่นรับใช้ แต่ท่านมาเพื่อจะรับใช้ผู้อื่น และมอบชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนทั้งหลาย”
29เมื่อพระเยซูกับพวกสาวกออกไปจากเมืองเยรีโค ประชาชนทั้งหลายก็ติดตามพระองค์ไป 30และในทันใดนั้น มีคนตาบอดสองคนนั่งอยู่ริมถนน เมื่อเขาได้ยินว่าพระเยซูเดินมา เขาจึงได้ร้องว่า “โอรสของดาวิด ครับ ขอโปรดเมตตาผมด้วย” 31ฝ่ายประชาชนก็ห้ามไม่ให้เขาพูด แต่เขาก็ยิ่งร้องขึ้นอีกว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์ผู้เป็นโอรสของดาวิด ขอโปรดเมตตาผมด้วย” 32พระเยซูจึงได้หยุดเดิน เรียกเขามาและพูดว่า “เจ้าทั้งสองอยากให้เราทำอะไร” 33เขาบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ขอให้ตาของพวกผมหายบอดได้ไหม?” 34พระเยซูมีความสงสารเขายิ่งนัก ก็ถูกต้องดวงตาเขา ในทันใดนั้นตาของเขาก็มองเห็น และเขาทั้งสองได้ติดตามพระองค์ไป
1ครั้นพระเยซูกับพวกสาวกมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ถึงหมู่บ้านเบธฟายี ใกล้ ๆ ภูเขามะกอกเทศ แล้วพระองค์ได้ใช้สาวกสองคน 2บอกกับเขาว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ข้างหน้า ทันทีเจ้าจะเห็นแม่ลาตัวหนึ่งผูกอยู่กับลูกของมัน จงแก้แล้วก็จูงมาให้เรา 3ถ้ามีผู้ใดพูดอะไรกับเจ้า ก็จงว่า ‘เราอยากได้’ แล้วเขาจะปล่อยให้มาทันที” 4เหตุการณ์ทั้งหลายนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้พระคำที่กล่าวไว้โดยศาสดาพยากรณ์เกิดเป็นความจริงซึ่งว่า 5‘จงบอกธิดาแห่งภูเขาไซออนว่า ในตอนนั้น พระราชาของเธอจะเสด็จมาหาเธอ โดยมีจิตใจถ่อมสุภาพ ทรงแม่ลากับลูกของมัน’
6สาวกทั้งสองคนนั้นก็ไปทำตามที่พระเยซูบอก 7จึงได้จูงแม่ลากับลูกของมันมา และเอาเสื้อผ้าของตนปูบนหลังลา แล้วเขาให้พระองค์ขี่ลานั้น 8ประชาชนทั้งหลายได้เอาเสื้อผ้าของตนปูตามถนนหนทาง คนอื่น ๆ ก็ตัดกิ่งไม้มาปูตามถนน 9ฝ่ายประชาชนที่เดินไปข้างหน้ากับผู้ที่ตามมาข้างหลัง ก็พร้อมกันโห่ร้องว่า “สรรเสริญพระเจ้า ขอให้ผู้เป็นเชื้อสายของดาวิดจงทรงพระเจริญ ขอให้ผู้ที่มาในนามของพระเจ้าผู้เป็นนายทรงพระเจริญ ไชโย ๆ ๆ” 10เมื่อพระเยซูได้เข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ประชาชนทั่วทั้งกรุงก็พากันแตกตื่นถามกันว่า “ผู้นี้เป็นใครกันนะ” 11คนทั้งหลายก็ตอบว่า “คนนี้คือเยซูศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า ซึ่งมาจากเมืองนาซาเร็ธมณฑลกา ลิลี”
12พระเยซูจึงได้เข้าไปในพระวิหารของพระเจ้า ได้ขับไล่คนทั้งหลายที่ซื้อขายของในพระวิหารนั้น และคว่ำโต๊ะผู้รับแลกเงิน กับทั้งคว่ำที่นั่งผู้ขายนกเขาด้วย 13และได้พูดกับเขาว่า “มีพระคำเขียนไว้ว่า ‘วิหารของเราเขาจะเรียกว่าเป็นวิหารแห่งการอธิษฐานสวดอ้อนวอน’ แต่พวกเจ้าทั้งหลายมาทำให้เป็น ‘ถ้ำของพวกโจร’”
14คนตาบอดและคนเป็นง่อยพากันมาหาพระเยซูในพระวิหาร พระองค์ก็ได้รักษาเขาให้หาย 15แต่เมื่อพวกมหาปุโรหิตกับพวกคัมภีราจารย์ได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ได้กระทำ ทั้งได้ยินเด็กร้องในพระวิหารว่า “ขอพระเจ้าอวยพรแก่โอรสของดาวิด” เขาทั้งหลายก็พากันโกรธแค้น 16และได้พูดกับพระองค์ว่า “เจ้าไม่ได้ยินคำที่เขาร้องหรือ?” พระเยซูตอบเขาว่า “ได้ยินแล้ว พวกเจ้ายังไม่เคยอ่านหรือว่า ‘พระเจ้าผู้จะทำให้คำยกย่องที่แท้จริงออกมาจากปากของเด็กอ่อนและเด็กที่ยังดูดนม’” 17พระเยซูได้หนีจากเขาและได้ออกจากกรุงไปพักอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี
18ครั้นถึงเวลาเช้า ขณะที่พระเยซูจะกลับไปยังกรุงอีก พระองค์ก็หิวข้าว 19และเมื่อเห็นต้นมะเดื่อต้นหนึ่งอยู่ริมทาง พระองค์ก็เดินเข้าไปใกล้ เห็นว่าต้นมะเดื่อนั้นไม่มีผล มีแต่ใบเท่านั้น จึงพูดกับต้นมะเดื่อนั้นว่า “เจ้าจงอย่ามีผลอีกต่อไป” ทันใดนั้นต้นมะเดื่อกะเหี่ยวแห้งไป 20ครั้นพวกลูกศิษย์ได้เห็นก็แปลกใจยิ่งนัก แล้วว่า “เป็นอย่างไรหนอ ต้นมะเดื่อจึงเหี่ยวแห้งไปในทันใด” 21ฝ่ายพระเยซูตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า ถ้าเจ้ามีความเชื่อและไม่ได้สงสัย เจ้าก็จะทำได้เหมือนกันกับเราที่ได้ทำแก่ต้นมะเดื่อนี้ ยิ่งกว่านั้นอีก แม้แต่เจ้าจะสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงถอยไปลงทะเล’ ก็จะสำเร็จได้ 22สิ่งสารพัดที่เจ้าอธิษฐานสวดอ้อนวอนขอด้วยความเชื่อ เจ้าก็จะได้”
23เมื่อพระเยซูได้เข้าไปในพระวิหาร ในเวลาที่สั่งสอนอยู่นั้น พวกมหาปุโรหิตและพวกผู้อาวุโสมาหาพระองค์ถามว่า “เจ้ามีสิทธิอะไรจึงได้ทำเช่นนี้ ใครให้สิทธินี้แก่เจ้า” 24พระเยซูตอบเขาว่า “เราขอถามพวกเจ้าสักข้อหนึ่งได้ไหม ถ้าพวกเจ้าบอกเราได้ เราจะบอกเจ้าเหมือนกันว่าเราทำการเหล่านี้โดยสิทธิอันใด 25คือพิธีมุดน้ำของยอห์นนั้นมาจากไหน? มาจากสวรรค์หรือจากมนุษย์” เขาได้ปรึกษากันว่า “ถ้าเราจะตอบว่า ‘มาจากสวรรค์’ เขาก็จะถามเราว่า ‘ทำไมจึงไม่เชื่อยอห์น’ 26แต่ถ้าเราจะว่า ‘มาจากมนุษย์’ ก็เกรงใจประชาชน เพราะประชาชนทั้งหลายถือว่ายอห์นเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า” 27เขาจึงตอบพระเยซูว่า “พวกเราไม่รู้” พระเยซูจึงได้พูดกับเขาว่า “เราก็จะไม่บอกเจ้าทั้งหลายเหมือนกันว่า เราทำการนี้โดยสิทธิอันใด”
28แต่พวกเจ้าทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร ชายคนหนึ่งมีลูกชายสองคน พ่อไปหาลูกชายคนโตพูดว่า ‘ลูกเอ๋ย วันนี้จงไปทำงานในสวนองุ่นหน่อยนะ’ 29ลูกคนนั้นตอบว่า ‘ผมไม่ไปหรอกพ่อ’ แต่ภายหลังก็เปลี่ยนใจแล้วไปทำ 30พ่อจึงไปหาลูกคนที่สองพูดเหมือนกัน ลูกคนนั้นตอบว่า ‘ครับ ๆ เดี๋ยวผมไป’ แต่ไม่ไป 31ลูกสองคนนี้คนใดเป็นผู้ทำตามความประสงค์ของพ่อ” เขาตอบพระองค์ว่า “ก็คือลูกคนแรก” พระเยซูตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า พวกเก็บภาษีและหญิงโสเภณีก็เข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้าก่อนพวกเจ้าทั้งหลาย 32เพราะว่ายอห์นได้มาสอนพวกเจ้าในทางแห่งความถูกต้องและยุติธรรม พวกเจ้าก็ไม่เชื่อยอห์นเลย แต่พวกเก็บภาษีและพวกหญิงโสเภณีได้เชื่อยอห์น ฝ่ายพวกเจ้าทั้งหลายถึงแม้ได้เห็นแล้ว ภายหลังก็ไม่ได้กลับใจเชื่อยอห์น
33จงฟังคำเปรียบเทียบอีกเรื่องหนึ่งว่า ยังมีเจ้าของสวนผู้หนึ่งได้ทำสวนองุ่น แล้วล้อมรั้วไว้โดยรอบ เขาได้ทำบ่อเพื่อจะบีบองุ่นในสวน และสร้างหอเฝ้า ให้พวกชาวสวนเช่าแล้วก็ไปเมืองไกล 34ครั้นฤดูองุ่นออกผลใกล้เข้ามา เขาจึงใช้พวกผู้รับใช้ไปหาคนเช่าสวน เพื่อจะรับผลองุ่น 35และคนเช่าสวนนั้นก็จับพวกผู้รับใช้ของเขา คนหนึ่งนั้นเฆี่ยนตี ส่วนอีกคนหนึ่งฆ่าทิ้ง และอีกคนหนึ่งเอาหินขว้างจนตาย 36อีกครั้งหนึ่งเขาก็ใช้ผู้รับใช้คนอื่น ๆ ไปมากกว่าครั้งก่อน แต่คนเช่าสวนก็ได้ทำกับเขาเช่นนั้นอีก 37ครั้งสุดท้ายเขาจึงใช้ลูกชายของตนไป พูดว่า ‘พวกเขาคงจะเคารพลูกชายของเราอยู่บ้าง’ 38แต่เมื่อคนเช่าสวนเหล่านั้นเห็นลูกชายเจ้าของสวนก็พูดกันว่า ‘คนนี้แหละเป็นทายาทให้เราฆ่ามันทิ้งซะ แล้วเราก็ยึดมรดกของมัน’ 39เขาจึงพากันจับลูกชายคนนั้น ผลักออกไปนอกสวนองุ่นแล้วฆ่าทิ้ง 40เหตุฉะนั้น เมื่อเจ้าของสวนองุ่นมา เขาจะทำอย่างใดกับคนเช่าสวนเหล่านั้น” 41เขาทั้งหลายตอบพระเยซูว่า “เขาจะทำลายล้างคนชั่วเหล่านั้นอย่างแสนสาหัส และจะให้สวนองุ่นนั้นแก่คนเช่าอื่นที่จะแบ่งผลโดยถูกต้องตามฤดูกาลแก่เขาต่อไป เป็นผู้เช่า” 42พระเยซูพูดกับเขาว่า “พวกเจ้าทั้งหลายยังไม่เคยอ่านในพระคัมภีร์หรือ? ซึ่งว่า ‘ก้อนหินที่ช่างก่อสร้างได้ปฏิเสธนั้น ได้กลับกลายเป็นส่วนสำคัญในการก่อสร้างแล้ว การนี้เป็นมาจากพระเจ้า เป็นการมหัศจรรย์ที่ปรากฏแก่ตาเรา’ 43เหตุฉะนั้นเราบอกเจ้าว่า อาณาจักรของพระเจ้าจะถูกเอาไปเสียจากพวกเจ้า และยกให้แก่ชนชาติหนึ่งที่จะทำให้เกิดผลสมกับอาณาจักรนั้น 44ผู้ใดล้มทับก้อนหินนี้ ผู้นั้นจะต้องแตกหักไป แต่ก้อนหินนี้จะตกทับผู้ใด ก็จะบดขยี้ผู้นั้นจนแหลกละเอียดไป”
45เมื่อพวกมหาปุโรหิตกับพวกฟาริสีได้ยินคำเปรียบเทียบของพระองค์ พวกเขาก็รู้ว่าพระองค์พูดกระทบถึงพวกเขา 46เขาอยากจะจับพระองค์ ก็เกรงใจประชาชน เพราะประชาชนนับถือพระองค์ว่าเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า
1พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายเป็นอุปมาอีกว่า 2“อาณาจักรสวรรค์ เปรียบเสมือนพระราชาองค์หนึ่ง ทรงจัดงานพิธีอภิเษกสมรส ให้กับราชโอรสของพระองค์ 3แล้วทรงใช้พวกเสนาอำมาตย์ไปเชิญคนทั้งหลาย ที่ได้รับเชิญให้มางานอภิเษกสมรสนี้ แต่พวกเขาไม่อยากจะมา 4พระองค์จึงทรงใช้พวกเสนาอำมาตย์อื่น ๆ ไปอีก มีรับสั่งให้บอกผู้รับเชิญเหล่านั้นว่า ‘นี่แน่ะ เราเตรียมงานเลี้ยงไว้แล้ว ทั้งวัวและลูกวัวอ้วนของเราก็ฆ่าไว้แล้ว ทุกอย่างก็เตรียมพร้อมแล้ว เชิญมาในงานเลี้ยงอภิเษกสมรสนี้เถิด’”
5แต่เขาทั้งหลายเพิกเฉยและเดินจากไป บางคนไปไร่นาของตน บางคนก็ไปค้าขาย 6พวกที่เหลือก็จับพวกเสนาอำมาตย์ มาทำการอัปยศต่าง ๆ แล้วฆ่าเสีย 7พระราชาองค์นั้นก็ทรงกริ้ว จึงมีรับสั่งให้กองทหารไปฆ่าฆาตกรเหล่านั้น และเผาเมืองของพวกเขา 8แล้วพระองค์มีรับสั่งกับพวกเสนาอำมาตย์ว่า ‘งานอภิเษกสมรสเตรียมพร้อมแล้ว แต่พวกที่ได้รับเชิญนั้นไม่คู่ควร 9เพราะฉะนั้นจงออกไปตามถนนสำคัญ ๆ ต่าง ๆ เชิญทุกคนที่พวกเจ้าพบมาร่วมงานอภิเษกสมรสนี้’
10บ่าวจึงออกไปตามถนนต่าง ๆ และรวบรวมทุกคนที่พบ ไม่ว่าจะเป็นคนดีหรือคนเลว จนห้องโถงงานอภิเษกสมรสนั้นเต็มไปด้วยแขก 11“แต่เมื่อพระราชาองค์นั้น มองดูแขกทั้งหลาย ก็มองเห็นแขกคนหนึ่งไม่ได้สวมเสื้อสำหรับงานอภิเษกสมรส 12จึงตรัสถามว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ทำไมเจ้ามาที่นี่โดยไม่สวมเสื้อสำหรับงานอภิเษกสมรส?’ คนนั้นก็นิ่งอั้นอยู่พูดไม่ออก 13พระราชาจึงมีรับสั่งกับพวกเสนาอำมาตย์ว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าคนนี้เอาไปโยนทิ้งบริเวณที่มืดข้างนอก ซึ่งเป็นที่มีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’ 14เพราะว่าคนที่ได้รับเชิญก็มีมาก แต่คนที่ได้รับการทรงเลือกก็มีน้อย”
15ขณะนั้นพวกฟาริสีไปปรึกษาหารือกันว่า พวกเขาจะจับผิดในคำพูดของพระองค์ได้อย่างไร 16พวกเขาจึงใช้พวกศิษย์ของเขากับพวกของเฮโรดให้ไปถามพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ พวกผมรู้อยู่ว่าอาจารย์เป็นคนซื่อสัตย์ และสั่งสอนทางของพระเจ้าด้วยความสัตย์จริง โดยไม่ได้เอาใจผู้ใด เพราะอาจารย์ไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด 17เหตุฉะนั้น ขอได้บอกให้พวกผมรู้ว่า อาจารย์คิดเห็นอย่างไร การที่จะเสียภาษีให้แก่ซีซาร์นั้น ถูกต้องตามธรรมบัญญัติหรือไม่?” 18แต่พระเยซูรู้ถึงความชั่วร้ายของเขาจึงได้พูดว่า “พวกหน้าซื่อใจคด เจ้าทดสอบเราทำไม? 19จงเอาเงินที่จะเสียภาษีนั้นมาให้เราดูซิ” เขาจึงเอาเงินเหรียญหนึ่งมาให้พระองค์ 20พระเยซูได้ถามเขาว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?” 21เขาบอกพระองค์ว่า “รูปของซีซาร์” แล้วพระเยซูพูดกับเขาว่า “เหตุฉะนั้นของของซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระองค์เถิด” 22ครั้นเขาได้ยินคำตอบของพระองค์นั้นแล้ว เขากะแปลกใจ จึงปล่อยพระองค์ไว้และพากันกลับไป
23ในวันนั้นมีพวกสะดูสีมาหาพระเยซู พวกนี้เป็นผู้ที่สอนว่า การเป็นขึ้นมาจากความตายไม่มี เขาจึงได้ถามพระองค์ว่า 24“อาจารย์ครับ โมเสสสั่งว่า ‘ถ้าผู้ใดตายยังไม่มีลูก ก็ให้น้องชายรับพี่สะใภ้ สืบเชื้อสายของพี่ชายไว้’ 25ในพวกเรามีพี่น้องผู้ชายเจ็ดคน พี่หัวปีมีภรรยาแล้วก็ตายเมื่อยังไม่มีลูก ก็ทิ้งภรรยาไว้ให้แก่น้องชาย 26ฝ่ายคนที่สองที่สามก็เป็นเหมือนกัน จนถึงคนที่เจ็ด 27ในที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็ตายด้วย 28เหตุฉะนั้นในวันที่จะเป็นขึ้นมาจากความตาย ผู้หญิงคนนั้นจะเป็นภรรยาของผู้ใดในเจ็ดคนนั้น เพราะว่านางได้เป็นภรรยาของชายทั้งเจ็ดคนแล้ว”
29พระเยซูตอบเขาว่า “พวกเจ้าเข้าใจผิดแล้ว เพราะเจ้าไม่รู้จักพระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า 30เพราะว่าเมื่อมนุษย์เป็นขึ้นมาจากความตายนั้น จะไม่มีการแต่งงานหรือยกให้เป็นสามีเป็นภรรยากันอีก แต่จะเป็นเหมือนพวกทูตของพระเจ้าในสวรรค์ 31แต่เรื่องคนตายกลับเป็นขึ้นมาอีกนั้น พวกเจ้าทั้งหลายยังไม่ได้อ่านหรือ ที่พระเจ้าได้กล่าวไว้กับพวกเจ้าว่า 32‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม เป็นพระเจ้าของอิสอัค และเป็นพระเจ้าของยาโคบ’ พระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น” 33ประชาชนทั้งหลายเมื่อได้ยินก็ประหลาดใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์”
34แต่พวกฟาริสีเมื่อได้ยินว่าพระเยซูทำให้ให้พวกสะดูสีนิ่งอั้นอยู่ จึงประชุมกัน 35มีคัมภีราจารย์ที่มีหน้าที่รักษาธรรมบัญญัติผู้หนึ่งในพวกเขาทดสอบพระองค์โดยถามว่า 36“อาจารย์ครับ ในธรรมบัญญัตินั้น ข้อใดสำคัญที่สุด” 37พระเยซูตอบเขาว่า “จงมีพรหมวิหารสี่อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อพระเจ้าผู้เป็นนายของเจ้า ด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า และด้วยสิ้นสุดความคิดของเจ้า’ 38นี่หละเป็นบัญญัติข้อต้นและข้อใหญ่ 39ข้อที่สองก็เหมือนกัน คือ ‘จงมีพรหมวิหารสี่อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อเพื่อนบ้านเหมือนกันกับมีต่อตัวเอง’ 40ธรรมบัญญัติและคำพยากรณ์ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับบัญญัติสองข้อนี้แหละ”
41เมื่อพวกฟาริสียังประชุมกันอยู่ที่นั่น พระเยซูถามพวกเขาว่า 42“พวกเจ้าคิดอย่างใดเรื่องพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระองค์เป็นเชื้อสายของผู้ใด” เขาตอบว่า “เป็นเชื้อสายของดาวิด” 43พระเยซูได้ถามเขาว่า “ถ้าเช่นนั้นทำไมดาวิดโดยเดชแห่งพระวิญญาณของพระเจ้าจึงได้เรียกพระองค์ว่า พระเจ้าผู้เป็นนาย และกล่าวว่า 44‘พระเจ้าได้กล่าวกับพระผู้เป็นเจ้านายของข้าว่า จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของเจ้าเป็นแท่นรองเท้าของเจ้า’ 45ถ้าดาวิดเรียกพระเจ้าผู้เป็นเจ้านายแล้ว พระองค์จะเป็นเชื้อสายของดาวิดได้อย่างไร?” 46ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดตอบพระองค์แม้แต่คำเดียว ตั้งแต่วันนั้นมา ไม่มีใครกล้าซักถามพระองค์อีกต่อไป
1ครั้งนั้นพระเยซูพูดกับคนทั้งหลายและพวกสาวกของพระองค์ 2ว่า “พวกคัมภีราจารย์กับพวกฟาริสีนั่งบนที่นั่งของโมเสส 3เหตุฉะนั้นทุกสิ่งซึ่งเขาสั่งสอนพวกเจ้า จงถือแล้วก็ให้ทำตาม ยกเว้นการประพฤติของเขา อย่าได้ทำตามเลย เพราะเขาเป็นแต่ผู้สั่งสอน แต่เขาเองไม่ได้ทำตามที่ตัวเองสอนนั้น 4เพราะว่าเขาเอาภาระหนักและแบกยากวางบนบ่ามนุษย์ ส่วนเขาเองแม้แต่นิ้วเดียวก็ไม่จับต้องเลย 5การกระทำทุกอย่างของเขาเป็นการอวดให้คนเห็นเท่านั้น เขาใช้กลักพระบัญญัติอันใหญ่ สวมเสื้อที่มีพู่ห้อยอันยาว
6เขาชอบที่นั่งอันมีเกียรติในงานเลี้ยง และที่นั่งตำแหน่งสูงในวัดหรือสุเหร่าของพวกเขา 7กับชอบรับการคำนับที่กลางตลาด และชอบให้คนเรียกเขาว่า ‘อาจารย์ อาจารย์’ 8พวกเจ้าทั้งหลายอย่าให้ใครเรียกเจ้าว่า ‘อาจารย์’ เพราะว่าพวกเจ้ามีอาจารย์เพียงผู้เดียว และพวกเจ้าทั้งหลายเป็นพี่น้องกันทั้งหมด 9และอย่าเรียกผู้ใดในโลกว่าเป็นพ่อ เพราะพวกเจ้ามีพ่อเพียงผู้เดียว คือผู้ที่สถิตในสวรรค์ 10อย่าให้ผู้ใดเรียกเจ้าว่า ‘เจ้านาย’ เพราะว่าเจ้านายของเจ้ามีแต่ผู้เดียวคือพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 11ผู้ใดที่เป็นใหญ่ที่สุดในพวกเจ้า ผู้นั้นจะเป็นคนใช้ของพวกเจ้าทั้งหลาย 12ผู้ใดจะยกตัวขึ้น ผู้นั้นจะต้องถูกกดลง ผู้ใดถ่อมตัวลง ผู้นั้นจะได้รับการยกขึ้น
13วิบัติแก่เจ้า พวกคัมภีราจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าพวกเจ้าปิดประตูอาณาจักรแห่งสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่ยอมเข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ขัดขวางไว้ 14วิบัติแก่เจ้า พวกคัมภีราจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าพวกเจ้าริบเอาเรือนของหญิงหม้าย และทำท่าเป็นอธิษฐานสวดอ้อนวอนอย่างยืดยาว เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องมีโทษมากยิ่งขึ้น
15วิบัติแก่เจ้า พวกคัมภีราจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าพวกเจ้าเที่ยวไปตามทางทะเล และทางบกทั่วไปเพื่อจะได้แม้แต่คนหนึ่งมาเข้าจารีตนับถือศาสนาของเจ้า เมื่อได้แล้วเจ้าก็ทำให้เขาถึงนรกมากกว่าตัวเจ้าเองถึงสองเท่า
16วิบัติแก่เจ้า คนนำทางตาบอด เจ้าพูดว่า ‘ผู้ใดจะสาบานอ้างพระวิหาร คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ผู้ใดจะสาบานอ้างทองคำของพระวิหาร ผู้นั้นจะต้องทำตามคำสาบาน’ 17คนโง่ที่ตาบอด อะไรสำคัญกว่ากัน ทองคำหรือพระวิหารที่ทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์ 18และว่า ‘ผู้ใดจะสาบานอ้างแท่นบูชา คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ผู้ใดจะสาบานอ้างเครื่องตั้งถวายบนแท่นบูชานั้น ผู้นั้นต้องทำตามคำสาบาน’ 19คนโง่ที่ตาบอด อะไรสำคัญกว่ากัน เครื่องตั้งถวาย หรือแท่นบูชาที่ทำให้เครื่องตั้งถวายนั้นศักดิ์สิทธิ์ 20เหตุฉะนี้ ผู้ใดจะสาบานอ้างแท่นบูชา ก็สาบานอ้างแท่นบูชาและสิ่งสารพัดซึ่งอยู่บนแท่นบูชานั้น 21ผู้ใดจะสาบานอ้างพระวิหาร ก็สาบานอ้างพระวิหารและอ้างพระเจ้าผู้สถิตในพระวิหารนั้น 22ผู้ใดจะสาบานอ้างสวรรค์ ก็สาบานอ้างพระที่นั่งของพระเจ้าและอ้างพระองค์ผู้นั่งอยู่บนพระที่นั่งนั้น
23วิบัติแก่เจ้า พวกคัมภีราจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าพวกเจ้าถวายสิบเปอร์เซ็นต์ของสะระแหน่ ยี่หร่าและขมิ้น ส่วนข้อสำคัญแห่งธรรมบัญญัติ คือความยุติธรรม ความเมตตาและความสัตย์ซื่อนั้นพวกเจ้าได้ละเว้น จริงอยู่การถวายสิบเปอร์เซ็นต์นั้นเป็นการกระทำที่ถูกต้อง แต่พวกเจ้าต้องไม่ละเลยต่อสิ่งสำคัญที่พวกเจ้าถวายนั้นด้วย 24พวกเจ้าเป็นคนนำทางตาบอด เจ้ากรองลูกน้ำออก แต่กลืนตัวอูฐเข้าไป
25วิบัติแก่เจ้า พวกคัมภีราจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าขัดถูถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็มด้วยการโจรกรรมและการมัวเมากิเลส ตัณหา 26พวกฟาริสีตาบอด จงชำระสิ่งที่อยู่ภายในถ้วยชามก่อน เพื่อข้างนอกจะได้สะอาดด้วย
27วิบัติแก่เจ้า พวกคัมภีราจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนกับอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูแล้วงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตาย และการโสโครกสารพัด 28เจ้าทั้งหลายก็เป็นเช่นนั้นแหละ ภายนอกนั้นปรากฏแก่มนุษย์ว่าเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยการหน้าซื่อใจคดและความชั่วช้า
29วิบัติแก่เจ้า พวกคัมภีราจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าก่อสร้างอุโมงค์ฝังศพของพวกศาสดาพยากรณ์ และตกแต่งอุโมงค์ฝังศพของคนบุญเหล่านั้นให้งดงาม 30แล้วเว้าว่า ‘ถ้าเราได้อยู่ในสมัยบรรพบุรุษ เราจะไม่มีส่วนกับเขาในการทำให้พวกศาสดาพยากรณ์เลือดตกยางออกเลย’ 31ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าทั้งหลายก็เป็นพยานปรักปรำตัวเองว่า เจ้าเป็นลูกหลานของผู้ที่ได้ฆ่าศาสดาพยากรณ์เหล่านั้น 32เจ้าทั้งหลายจงทำตามที่บรรพบุรุษได้กระทำนั้นให้ครบถ้วนเถิด
33โอ เจ้าพวกงูร้าย เจ้าชาติงูพิษ เจ้าจะพ้นวิบัติในนรกได้อย่างไร 34เหตุฉะนั้น ในตอนนั้น เราใช้พวกศาสดาพยากรณ์ พวกนักปราชญ์ และพวกคัมภีราจารย์ต่าง ๆ ไปหาพวกเจ้า เจ้าก็ฆ่าทิ้งบ้าง ตรึงที่กางเขนบ้าง เฆี่ยนตีในวัดหรือสุเหร่าของพวกเจ้าบ้าง ข่มเหงไล่ออกจากเมืองนี้ไปเมืองนั้นบ้าง 35ดังนั้นพวกเจ้าต้องรับผิดชอบในความตายของคนบริสุทธิ์ทั้งหลาย นับตั้งอาแบลจนถึงเศคาริยาห์ลูกชายบารัคยา ที่พวกเจ้าได้ฆ่าทิ้งในบริเวณระหว่างแท่นบูชากับพระวิหารนั้น 36เราบอกความจริงแก่เจ้าทั้งหลายว่า ผลแห่งความชั่วทั้งหลายเหล่านี้จะตกกับคนสมัยนี้อย่างแน่นอน
37โอ เยรูซาเล็ม ๆ ที่ได้ฆ่าพวกศาสดาพยากรณ์ทั้งหลาย และเอาหินขว้างผู้ที่ได้รับใช้มาหาเจ้าจนถึงตาย เราอยากรวบรวมลูกของเจ้าไว้เรื่อย ๆ เหมือนกันกับแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าก็ไม่ยอมเลยหนอ 38ในตอนนี้ ‘บ้านเมืองของเจ้าจะถูกปล่อยให้รกร้าง’ 39เพราะว่าเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า เจ้าจะไม่เห็นเราอีกจนกว่าเจ้าจะพูดว่า ‘ขอให้พระองค์ผู้มาในนามของพระเจ้าผู้เป็นเจ้านายจงเจริญ’”
1ฝ่ายพระเยซูได้ออกจากพระวิหาร แล้วพวกสาวกของพระองค์มาชี้ตึกทั้งหลายในบริเวณพระวิหารให้พระองค์ดู 2พระเยซูจึงได้พูดกับเขาว่า “สิ่งสารพัดเหล่านี้พวกเจ้าเห็นแล้วมิใช่หรือ? เราบอกความจริงกับเจ้าว่า ก้อนหินที่ซ้อนทับกันอยู่ที่นี่ จะไม่ถูกทำลายลงก็ไม่มี”
3เมื่อพระเยซูพักอยู่บนภูเขามะกอกเทศ พวกสาวกมาหาพระองค์เป็นการส่วนตัวพูดว่า “ขอให้อาจารย์บอกพวกผมว่า เหตุการณ์ที่จะเกิดกับพระวิหารนี้จะเกิดเมื่อใด อะไรเป็นเครื่องหมายที่จะบอกถึงวาระสุดท้ายของยุคนี้ และการกลับมาของอาจารย์” 4พระเยซูตอบเขาว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงพวกเจ้าให้หลง 5เพราะว่าจะมีหลายคนมาอ้างนามชื่อของเรา บอกว่า ‘เขาเป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์’ เขาจะล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป 6พวกเจ้าทั้งหลายจะได้ยินถึงเรื่องสงคราม และข่าวลือเรื่องสงคราม คอยระวังอย่าตื่นตระหนกเลย เพราะว่าสิ่งเหล่านี้จำต้องบังเกิดขึ้น แต่วาระสุดท้ายยังมาไม่ถึง 7เพราะประเทศต่าง ๆ ทำสงครามซึ่งกันและกัน และอาณาจักรต่าง ๆ จะรบราฆ่ากัน และจะเกิดกันดารอาหาร เกิดโรคระบาดอย่างร้ายแรงและแผ่นดินไหวในหลายที่หลายแห่ง 8เหตุการณ์ทั้งหลายนี้เป็นขั้นแรกของความทุกข์ยากลำบาก”
9“ในเวลานั้นเขาจะมอบพวกเจ้าทั้งหลายไว้ให้ทนทุกข์ลำบากและจะฆ่าเจ้าทิ้ง และประชาชาติทั้งหลายจะชังพวกเจ้าเพราะชื่อของเรา 10ในตอนนั้นคนเป็นอันมากจะถดถอยไปและหักหลังกันและกัน ทั้งจะเกลียดชังซึ่งกันและกัน 11จะมีผู้ปลอมตัวเป็นผู้พยากรณ์หลายคนเกิดขึ้น และล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป 12พรหมวิหารสี่อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาของคนทั้งหลายจะเยือกเย็นลง เพราะความชั่วช้าจะแผ่ขยายออกไป 13แต่ผู้ที่ทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะรอดปลอดภัย 14ข่าวดีเรื่องอาณาจักรของพระเจ้านี้จะเผยแพร่แก่นานาชาติไปทั่วทุกมุมโลก แล้วต่อจากนั้นวาระสุดท้ายของยุคก็จะมาถึง”
15“เหตุฉะนั้น เมื่อพวกเจ้าทั้งหลายเห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งทำให้เกิดความฉิบหาย ตามที่ดาเนียลศาสดาพยากรณ์ได้พูดไว้นั้น ตั้งอยู่ในพระวิหาร” (ผู้ใดก็ตามที่ได้อ่านก็ให้ผู้นั้นเข้าใจเถิด) 16“ในตอนนั้นให้ผู้ที่อยู่ในมณฑลยูเดียหนีไปยังภูเขาทั้งหลาย 17ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาบ้าน อย่าให้ลงมาเก็บข้าวของใด ๆ ออกจากบ้านของตัว 18ผู้ที่อยู่ตามทุ่งนา อย่าให้กลับไปเอาเสื้อผ้าของตัว 19แต่ในวันเหล่านั้น วิบัติจะเกิดขึ้นกับผู้หญิงที่มีท้อง หรือผู้หญิงที่มีลูกอ่อนกินนม 20จงอธิษฐานสวดอ้อนวอนขอเพื่อการที่เจ้าต้องหนีนั้นจะไม่อยู่ในฤดูหนาวหรือในวันศีล 21เพราะว่าในตอนนั้นจะเกิดความทุกข์ยากลำบากอย่างใหญ่หลวง อย่างที่ไม่เคยมีตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาจนถึงเวลานี้ และจะไม่มีต่อไปอีกเลย 22และถ้าพระเจ้าไม่ได้ให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีมนุษย์คนใดรอดตายเลย แต่เพราะว่าพระองค์เห็นแก่ผู้ที่เลือกสรรไว้ จึงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า 23ในเวลานั้นถ้าผู้ใดจะบอกพวกเจ้าว่า ‘ในตอนนี้ พระผู้เป็นพระศรีอาริย์อยู่ที่นั่น’ หรือ ‘อยู่ที่นี่’ อย่าได้เชื่อเลย 24เพราะว่าจะมีผู้ที่ปลอมตัวมาเป็นพระศรีอารริย์และผู้ปลอมตัวเป็นผู้พยากรณ์เกิดขึ้นหลายคน และจะทำหมายสำคัญอันใหญ่และการมหัศจรรย์ ถ้าเป็นไปได้เขาจะล่อลวงแม้แต่ผู้ที่พระองค์เลือกสรรให้หลงไปกับเขา 25อย่างไรก็ตาม เราได้บอกพวกเจ้าทั้งหลายไว้ก่อนแล้ว 26เหตุฉะนั้น ถ้าใครจะบอกพวกเจ้าทั้งหลายว่า ‘ในตอนนี้ พระองค์ผู้นั้นอยู่ในถิ่นทุรกันดาร’ ก็จงอย่าออกไป หรือเขาจะว่า ‘ในตอนนี้ พระองค์ผู้นั้นอยู่ในห้องลับ’ ก็จงอย่าเชื่อ 27เพราะว่าฟ้าแลบมาจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกได้อย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น 28เพราะว่าซากศพอยู่ที่ไหน อีแร้งก็จะตอมกันอยู่ที่นั่น
29เมื่อเวลาแห่งการกดขี่ข่มเหง การคุกคาม และความทุกข์ยากลำบากเหล่านั้นผ่านพ้นไปแล้ว ‘ดวงอาทิตย์จะมืดลงและดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง ดวงดาวทั้งหลายจะตกจากฟ้า และสิ่งที่มีอำนาจทั้งหลายในท้องฟ้าจะสั่นสะเทือนไปหมด’ 30เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า ‘มนุษย์ทุกตระกูลทั่วโลกจะไว้ทุกข์’ แล้วเขาจะเห็น บุตรมนุษย์เหาะมาในท้องฟ้าบนก้อนเมฆ’ พร้อมด้วยฤทธานุภาพและสง่าราศีอันรุ่งเรือง 31พระองค์จะใช้ทูตของพระองค์มา พร้อมกับการเป่าแตรเสียงดังกึกก้อง ให้รวบรวมคนทั้งหลายที่พระองค์เลือกสรรไว้แล้วจากทุกหนทุกแห่งทั่วโลก
32บัดนี้ มาถึงบทเรียนเรื่องต้นมะเดื่อ เมื่อใดที่มันเริ่มแตกใบอ่อน เจ้าทั้งหลายก็รู้ว่าฤดูร้อนใกล้จะมาถึงแล้ว 33ทำนองเดียวกัน เมื่อพวกเจ้าทั้งหลายเห็นสิ่งทั้งหลายนี้ ก็ให้รู้ว่าเหตุการณ์นั้นมาใกล้จะถึงประตูแล้ว 34เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า คนรุ่นนี้จะไม่ล่วงลับไปจนกว่าสิ่งทั้งหลายนี้จะสำเร็จ 35ฟ้าและดินจะล่วงเลยไป แต่คำของเราจะไม่สูญหายไปเลย
36แต่วันนั้น เวลานั้น ไม่มีใครรู้ แม้แต่ทูตทั้งหลายของพระเจ้าที่อยู่ในสวรรค์ก็ไม่รู้ รู้แต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราผู้เดียว 37เพราะว่าสมัยของโนอาห์เป็นเช่นใด เมื่อบุตรมนุษย์มาก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย 38เพราะว่าเมื่อก่อนวันน้ำท่วมนั้น คนทั้งหลายได้กินและดื่มกัน ทำการแต่งงานและยกให้เป็นสามีเป็นภรรยากัน จนเถิงวันที่โนอาห์เข้าในเรือ 39และน้ำได้กวาดเอาพวกเขาไปไม่เหลือแม้แต่คนเดียว โดยไม่ทันรู้ตัวแต่อย่างใด เมื่อบุตรมนุษย์มาก็จะเป็นอย่างนั้นด้วย 40เมื่อนั้นสองคนที่อยู่ทุ่งนา พระองค์จะรับคนหนึ่งไป และปล่อยคนหนึ่งไว้ 41ผู้หญิงสองคนโม่แป้งอยู่ที่โรงโม่ พระองค์จะรับคนหนึ่งไป และปล่อยคนหนึ่งไว้ 42เหตุฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะพวกเจ้าไม่รู้ว่าพระเจ้าผู้เป็นนายของเจ้าจะมาเมื่อใด 43จงจำไว้ว่า ถ้าเจ้าของบ้านรู้ว่าขโมยจะมาเมื่อใด เขาก็จะเฝ้าระวัง และไม่ยอมให้เข้ามาในบ้านเรือนของเขาได้ 44เหตุฉะนั้น พวกเจ้าทั้งหลายจงเตรียมพร้อมไว้เหมือนกัน เพราะว่าในเวลาที่เจ้าไม่ได้คิดฝันนั้นบุตรมนุษย์จะเสด็จมา
45ใครเป็นคนใช้ที่สัตย์ซื่อและฉลาด ที่นายได้ตั้งไว้เหนือพวกคนใช้คนอื่นสำหรับแจกอาหารตามเวลา 46เมื่อนายมาพบเขาทำอยู่เช่นนั้น คนใช้ผู้นั้นก็จะเป็นสุข 47เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลข้าวของทุกอย่างของพระองค์ 48แต่ถ้าคนใช้ชั่วนั้นจะคิดในใจว่า ‘นายของข้าคงไม่มาง่ายดอก’ 49แล้วก็ตั้งต้นโบยตีเพื่อนคนใช้และกินดื่มอยู่กับพวกขี้เมา 50นายของคนใช้ผู้นั้นจะมาในตอนที่เขาไม่คิด ในเวลาที่เขาไม่รู้ 51และจะทำโทษเขาอย่างสาหัส ทั้งจะขับไล่ให้เขาไปอยู่กับพวกคนหน้าซื่อใจคด ซึ่งที่นั่นจะมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน”
1“ครั้นถึงวันนั้น อาณาจักรแห่งสวรรค์ก็จะเปรียบเหมือนกับผู้หญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตัวเอง ออกไปต้อนรับเจ้าบ่าว 2ในพวกเธอนั้นเป็นคนที่มีปัญญาห้าคน และเป็นคนโง่ห้าคน 3พวกที่เป็นคนโง่นั้นเอาตะเกียงของตัวไป แต่ไม่ได้เอาน้ำมันไปเผื่อไว้ด้วย 4แต่คนที่มีปัญญานั้นได้เอาน้ำมันใส่ภาชนะไปกับตะเกียงของเขาด้วย 5เมื่อเจ้าบ่าวยังไม่มา พวกเธอทุกคนก็พากันง่วงเหงาหาวนอนและหลับไป 6ครั้นเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องมาว่า ‘ในตอนนี้ เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมาต้อนรับท่านได้แล้ว’ 7ผู้หญิงพรหมจารีเหล่านั้นก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตัวเอง 8พวกที่เป็นคนโง่นั้นก็พูดกับพวกที่มีปัญญาว่า ‘ขอแบ่งน้ำมันของพวกเจ้าให้พวกเราบ้าง เพราะตะเกียงของเราจะดับอยู่แล้ว’ 9พวกที่มีปัญญาจึงตอบว่า ‘ทำเช่นนั้นไม่ได้ดอก เพราะว่าน้ำมันจะไม่พอสำหรับพวกเราและพวกเจ้า จงไปหาคนขาย เพื่อซื้อสำหรับตัวเองจะดีกว่า’ 10เมื่อพวกเธอกำลังไปซื้อน้ำมันนั้นเจ้าบ่าวก็มาถึง ผู้ที่พร้อมอยู่แล้วก็ได้เข้าไปกับเจ้าบ่าวในพิธีแต่งงานนั้น แล้วประตูเมืองก็ปิด 11ภายหลังผู้หญิงพรหมจารีอีกพวกหนึ่งก็มาร้องว่า ‘นายเจ้าขา ๆ ขอเปิดประตูเมืองให้พวกข้าทั้งหลายเข้าไปด้วย’ 12ฝ่ายเจ้าบ่าวตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่เจ้าทั้งหลายว่า เราไม่รู้จักเจ้า’ 13เหตุฉะนั้นจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะพวกเจ้าทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือเวลาที่บุตรมนุษย์จะเสด็จมา
14อาณาจักรแห่งสวรรค์ยังเปรียบเหมือนกับชายคนหนึ่งจะออกเดินทางไปยังเมืองไกล จึงเรียกคนใช้ของเขามา และฝากทรัพย์สมบัติของเขาไว้ 15คนที่หนึ่งให้หนึ่งแสนบาท คนที่สองให้สี่หมื่นบาท และคนที่สามให้สองหมื่นบาท แล้วเขาก็ออกเดินทางไปทันที
16คนที่ได้รับหนึ่งแสนบาทนั้นก็เอาเงินนั้นไปค้าขาย ได้กำไรมาอีกหนึ่งแสนบาท 17คนที่ได้รับสี่หมื่นบาทนั้นก็ได้กำไรอีกสี่หมื่นบาทเหมือนกัน 18แต่คนที่ได้รับสองหมื่นบาทนั้นได้ขุดหลุมเอาเงินของนายไปฝังไว้ 19ครั้นอยู่มาช้านาน นายจึงกลับมาคิดบัญชีกับคนใช้เหล่านั้น 20คนที่ได้รับหนึ่งแสนก็เอาเงินกำไรอีกหนึ่งแสนมาชี้แจงว่า ‘นายครับ นายได้มอบเงินหนึ่งแสนไว้กับผม ในตอนนี้ ผมได้กำไรมาอีกหนึ่งแสนครับ’ 21นายจึงตอบว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของจำนวนมาก เจ้าจงชื่นชมยินดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด’ 22คนที่ได้รับสี่หมื่นมาชี้แจงเหมือนกันว่า ‘นายครับ นายได้มอบเงินสี่หมื่นไว้กับผม ในตอนนี้ ผมได้กำไรมาอีกสี่หมื่นบาท” 23นายจึงตอบเขาว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นผู้รับใช้ดีและสัตย์ซื่อ เจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของจำนวนมาก เจ้าจงชื่นชมยินดีร่วมสุขกับนายของเจ้าเถิด’
24ฝ่ายคนที่ได้รับสองหมื่นบาทมาชี้แจงว่า ‘นายครับ ผมรู้ว่านายเป็นคนเข้มงวดกวดขัน ชอบเก็บเกี่ยวผลที่มิได้หว่าน และเก็บสะสมผลที่มิได้หว่าน 25ผมกลัว จึงได้เอาเงินของนายไปฝังไว้ใต้ดิน ในตอนนี้ ผมได้เอาเงินจำนวนนั้นมาคืนให้นายแล้วครับ’
26นายจึงตอบเขาว่า ‘แกเป็นคนใช้ชั่วช้า และขี้เกียจมาก แกก็รู้อยู่ว่าข้าชอบเก็บเกี่ยวผลที่ข้ามิได้หว่าน เก็บสะสมผลที่ข้ามิได้หว่าน 27เหตุฉะนั้น แกควรจะเอาเงินของข้าไปฝากธนาคารไว้ เมื่อข้ามาจะได้รับเงินของข้าทั้งดอกเบี้ยด้วย 28เพราะฉะนั้น จงเอาเงินสองหมื่นนั้นไปให้คนที่มีหนึ่งแสนนั้น 29เพราะว่าทุกคนที่มีอยู่แล้ว พระเจ้าจะเพิ่มเติมให้แก่ผู้นั้นจนเหลือเฟือ แต่ผู้ที่ไม่มี แม้ว่าที่เขามีอยู่ก็จะต้องเอาไปจากเขา 30จงเอาเจ้าคนใช้ชาติชั่วนี้ไปทิ้งที่มืดภายนอก ซึ่งที่นั้นมีแต่การร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน’
31เมื่อบุตรมนุษย์จะกลับมาพร้อมด้วยสง่าราศีของพระองค์พร้อมกับเหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลาย เมื่อนั้นพระองค์จะนั่งบนบัลลังก์อันรุ่งเรืองของพระองค์ 32คนทั้งหลายทั่วโลกจะประชุมพร้อมกันต่อหน้าของพระองค์ และพระองค์จะแยกคนทั้งหลายออกจากกัน โดยแยกพวกหนึ่งออกจากอีกพวกหนึ่ง เหมือนกับผู้เลี้ยงวัวแยกวัวออกจากควาย 33และพระองค์จะจัดฝูงวัวให้อยู่ข้างขวามือของพระองค์ แต่ฝูงควายนั้นพระองค์จัดให้อยู่ข้างซ้าย
34ขณะนั้น พระมหากษัตริย์จะพูดกับคนทั้งหลายผู้ที่อยู่ข้างขวามือของพระองค์ว่า ‘พวกเจ้าทั้งหลายที่ได้รับพรจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา จงมารับเอาอาณาจักรที่ได้เตรียมไว้สำหรับพวกเจ้าทั้งหลายตั้งแต่แรกสร้างโลกเป็นมรดก 35เพราะว่าเมื่อเราหิว พวกเจ้าทั้งหลายก็ได้จัดหาข้าวปลาให้เรากิน เรากระหายน้ำ เจ้าก็เอามาให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า เจ้าก็ได้ต้อนรับเราไว้ 36เราเปลือยกายไม่มีเสื้อผ้านุ่งห่ม เจ้าก็ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บไข้ได้ป่วย เจ้าก็ได้มาเยี่ยมเรา เมื่อเราถูกขังอยู่ในคุก เจ้าก็ได้มาเยี่ยมเรา’
37เวลานั้นคนบุญทั้งหลายจะถามเพระองค์ว่า ‘พระอาญาไม่พ้นเกล้า ที่พวกข้าเห็นพระองค์หิว และได้จัดข้าวปลาอาหารมาถวายพระองค์ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือพระองค์กระหายน้ำนั้น พวกข้าได้เอาน้ำมาถวายให้พระองค์ดื่มตั้งแต่เมื่อไหร่ 38ที่พวกข้าได้เห็นพระองค์เป็นแขกแปลกหน้า และได้ต้อนรับพระองค์ไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือที่พระองค์เปลือยกาย และพวกข้าได้สวมเสื้อผ้าให้พระองค์นั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ 39ที่พวกข้าเห็นพระองค์เจ็บไข้ได้ป่วยหรือถูกขังอยู่ในคุก และได้มาเยี่ยมยามพระองค์นั้นตั้งแต่เมื่อไหร่’ 40แล้วพระมหากษัตริย์จะได้ตอบเขาว่า ‘เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า ที่เจ้าได้ทำกับคนหนึ่งคนใดในพวกพี่น้องของเรานี้ถึงแม้จะต่ำต้อยปานใดกะตาม ก็เหมือนกับได้ทำกับเรา’
41แล้วพระองค์จะพูดกับผู้ที่อยู่ข้างซ้ายมือว่า ‘พวกเจ้าทั้งหลาย ผู้ที่ถูกสาปแช่ง จงถอยไปจากเราเข้าไปอยู่ในไฟที่ไหม้อยู่เป็นตลอดเวลา ซึ่งเตรียมไว้สำหรับพญามาร และลูกน้องของมันนั้น 42เพราะว่าเมื่อเราหิวข้าว เจ้าก็ไม่ได้ให้เรากิน เรากระหายน้ำ เจ้าก็ไม่ได้ให้เราดื่ม 43เราเป็นแขกแปลกหน้า เจ้าก็ไม่ได้ต้อนรับเราไว้ เราเปลือยกาย เจ้าก็ไม่ได้ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เราเจ็บป่วยและถูกขังอยู่ในคุก เจ้าก็ไม่ได้ไปเยี่ยมเรา’ 44เขาทั้งหลายจะถามพระองค์ด้วยว่า ‘พระอาญาไม่พ้นเกล้า ที่พวกข้าได้เห็นพระองค์หิวข้าวหรือหิวน้ำ หรือเป็นแขกแปลกหน้าหรือเปลือยกาย หรือเจ็บไข้ได้ป่วย หรือถูกขังอยู่ในคุก และพวกข้าไม่ได้รับใช้พระองค์นั้นตั้งแต่เมื่อไหร่’ 45เมื่อนั้นพระองค์จะตอบเขาว่า ‘เราบอกความจริงแก่เจ้าทั้งหลายว่า ที่เจ้าไม่ได้ทำกับผู้ต่ำต้อยที่สุดแม้แต่คนหนึ่งในพวกนี้ ก็เหมือนกับเจ้าไม่ได้ทำกับเรา’ 46และพวกเหล่านี้จะต้องออกไปรับโทษอยู่ตลอดไป แต่คนบุญจะได้ได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน”
1ต่อมาเมื่อพระเยซูกล่าวเช่นนั้นเสร็จแล้ว พระองค์จึงบอกพวกสาวกของพระองค์ว่า 2“พวกเจ้าทั้งหลายรู้อยู่ว่าอีกสองวันจะถึงงานฉลองเทศกาลปัสกาหรืองานบุญกินขนมปังไม่ใส่เชื้อ และบุตรมนุษย์จะต้องถูกหักหลังให้ถูกตรึงที่กางเขน” 3ตอนนั้นพวกมหาปุโรหิต พวกคัมภีราจารย์ และพวกผู้อาวุโสได้ประชุมกันที่บ้านของมหาปุโรหิต ผู้ที่มีชื่อว่า คายาฟาส 4ปรึกษากันเพื่อจะจับพระเยซูด้วยอุบายแล้วก็เอาไปฆ่าทิ้ง 5แต่พวกเขาพูดกันว่า “ในวันเทศกาลเลี้ยงอย่าเพิ่งทำเลย เกรงว่าประชาชนจะเกิดการวุ่นวาย”
6ในตอนที่พระเยซูพักอยู่หมู่บ้านเบธานีในบ้านของซีโมนคนโรคเรื้อน 7ขณะที่พระองค์นั่งรับประทานอาหารอยู่ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งถือผอบน้ำหอมราคาแพงมาหาพระองค์ แล้วเทน้ำมันนั้นใส่ศีรษะของพระองค์ 8พวกสาวกของพระองค์เมื่อเห็นก็ไม่พอใจ จึงพูดว่า “ทำไมจึงทำให้ของดี ๆ เสียประโยชน์ไป 9เพราะว่าน้ำมันนี้ถ้าขายก็ได้เงินเป็นจำนวนมาก แล้วนำไปแจกให้คนยากจนก็ได้” 10เมื่อพระเยซูรู้เช่นนั้นจึงได้พูดกับเขาว่า “กวนใจนางทำไม เธอได้ทำการดีกับเราแล้ว 11เพราะว่าคนยากจนมีอยู่กับพวกเจ้าเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับพวกเจ้าเสมอไป 12ซึ่งนางคนนี้ได้เทน้ำมันหอมใส่กายของเรา เธอก็ได้ทำเพื่อการเป็นการอาบน้ำศพของเรา 13เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า ที่ใด ๆ ก็ตามทั่วโลกซึ่งบารมีของพระเจ้าได้เผยแพร่ไปถึง การที่นางนี้ได้ทำกับเราก็จะเลื่องลือไปเป็นที่คิดถึงนางที่นั่นด้วย”
14ครั้งนั้นคนหนึ่งในพวกสาวกสิบสองคนชื่อ ยูดาส อิสคาริโอท ได้ไปหาพวกมหาปุโรหิต 15ถามว่า “ถ้าข้าฯจะมอบเยซูไว้กับพวกท่าน พวกท่านจะให้อะไรข้า” ฝ่ายเขาก็สัญญาจะให้เงินแก่ยูดาสสามสิบเหรียญ 16ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมายูดาสก็คอยหาช่องทางที่จะหักหลังพระเยซู
17ในวันแรกของงานการฉลองเทศกาลปัสกาหรืองานบุญกินขนมปังไม่ใส่เชื้อ พวกสาวกมาถามพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์อยากให้พวกผมจัดเตรียมปัสกา ให้อาจารย์กินอยู่ที่ไหนครับ” 18พระเยซูจึงพูดว่า “จงเข้าไปหาผู้หนึ่งในกรุงนั้น บอกเขาว่า ‘เวลาของเรามาใกล้แล้ว เราจะกินปัสกาที่บ้านของเขาพร้อมกับสาวกของเรา บอกเขาอย่างนั้นนะ’” 19ฝ่ายสาวกเหล่านั้นก็ทำตามที่พระเยซูบอก แล้วได้จัดเตรียมปัสกาไว้พร้อม
20ครั้นถึงตอนเย็น พระเยซูนั่งกินอาหารร่วมกับสาวกสิบสองคน 21ขณะรับประทานอาหารอยู่นั้น พระเยซูจึงได้พูดว่า “เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกเจ้าจะหักหลังเรา” 22ฝ่ายพวกสาวกก็พากันเป็นทุกข์ใจยิ่งนัก ต่างคนต่างถามพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ เป็นผู้ใด ผมหรือ?” 23พระเยซูตอบเขาว่า “ผู้ที่เอาขนมปังจิ้มในชามเดียวกันกับเรา ผู้นั้นแหละจะหักหลังเรา 24บุตรมนุษย์จะเป็นไปตามที่ได้เขียนไว้ว่าด้วยเรื่องราวของท่านนั้น แต่วิบัติจะมีแก่ผู้ที่หักหลังบุตรมนุษย์ ถ้าคนนั้นไม่ได้เกิดมาก็จะเป็นการดีกว่านี้” 25ยูดาสผู้ที่ได้หักหลังพระเยซูถามพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ เป็นผมหรือที่จะหักหลังอาจารย์?” พระเยซูตอบเขาว่า “ถูกแล้ว เจ้าคือผู้นั้นแหละ”
26ระหว่างอาหารมื้อนั้น พระเยซูหยิบขนมปังมา และเมื่อขอบคุณแล้ว หักออกส่งให้แก่เหล่าสาวกพูดว่า “จงรับไปกินเถิด นี่เป็นกายของเรา” 27แล้วพระเยซูจึงหยิบถ้วยมาขอบคุณและส่งให้เขา พูดว่า “จงรับไปดื่มทุกคนเถิด 28เพราะว่านี่เป็นเลือดของเรา เป็นเลือดแห่งพันธสัญญาใหม่ ซึ่งจะต้องไหลออกเพื่อยกบาปโทษคนทั้งหลาย 29เราบอกเจ้าทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มน้ำจากผลองุ่นต่อไปอีกจนวันนั้นจะมาถึง คือวันที่เราจะดื่มกันใหม่กับพวกเจ้าในอาณาจักรแห่งพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา”
30เมื่อพวกเขาร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้าแล้ว เขาก็พากันออกไปยังภูเขามะกอกเทศ 31ครั้งนั้นพระเยซูพูดกับเหล่าสาวกว่า “ในคืนนี้พวกเจ้าทุกคนจะทิ้งเรา เพราะมีคำเขียนไว้ว่า ‘เราจะตีผู้เลี้ยงแกะ และแกะฝูงนั้นจะกระจัดกระจายไป’ 32แต่เมื่อเราเป็นขึ้นมาแล้ว เราจะไปยังมณฑลกาลิลีก่อนพวกเจ้า” 33ฝ่ายเปโตรตอบพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ แม้คนทั้งหลายจะทิ้งอาจารย์ไป ผมจะไม่ทิ้งเลย จะอยู่กับอาจารย์ตลอดไป” 34พระเยซูพูดกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า ในคืนนี้ก่อนไก่ขัน เจ้าจะบอกว่าไม่รู้จักเราสามครั้ง” 35เปโตรพูดกับพระเยซูว่า “ถึงแม้ว่าผมจะตาย ผมก็ไม่ปฏิเสธอาจารย์เลย” สาวกคนอื่น ๆ ก็พูดเช่นนั้นเหมือนกันทุกคน
36แล้วพระเยซูพาสาวกมายังที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่า เกทเสมนี แล้วพูดกับเขาว่า “จงนั่งอยู่ที่นี่ขณะที่เราจะไปอธิษฐานสวดอ้อนวอนอยู่ที่โน่น” 37พระเยซูก็พาเปโตรกับลูกชายทั้งสองของเศเบดีไปด้วย พระองค์ก็เริ่มโศกเศร้า และหนักใจมาก 38จึงได้พูดกับเขาว่า “ใจของเราเป็นทุกข์แทบจะตายอยู่แล้ว จงเฝ้าอยู่กับเราที่นี่เถิด” 39แล้วพระเยซูได้เดินไปอีกหน่อยหนึ่ง ก็ซบหน้าลงถึดิน อธิษฐานสวดอ้อนวอนว่า “โอ สาธุพระเจ้า ผู้เป็นพ่อของผม ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากผมด้วย แต่อย่างใดก็ดี อย่าให้เป็นตามใจของผม แต่ให้เป็นไปตามใจของพ่อ”
40พระเยซูจึงกลับมายังสาวกเหล่านั้น เห็นเขานอนหลับอยู่ และพูดกับเปโตรว่า “มันเป็นอะไรนักหนา พวกเจ้าจะคอยเฝ้าอยู่กับเราสักหน่อยหนึ่งไม่ได้หรือ? 41จงเฝ้าระวังและอธิษฐานสวดอ้อนวอน เพื่อพวกเจ้าจะไม่ได้เข้าในการทดลอง จิตใจพร้อมแล้วก็จริงอยู่ แต่เนื้อหนังยังอ่อนกำลัง” 42พระเยซูจึงไปอธิษฐานสวดอ้อนวอนครั้งที่สองอีกว่า “โอ สาธุ พระเจ้าผู้เป็นพ่อของผม ถ้าถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากผมไม่ได้ และผมจำเป็นต้องดื่มแล้ว ก็ให้เป็นไปตามใจของพ่อเถิด” 43ครั้นนพระองค์กลับมาก็เห็นว่าสาวกนอนหลับอีก เพราะเขาลืมตาไม่ขึ้น 44พระเยซูจึงปล่อยพวกเขาไว้ ไปอธิษฐานสวดอ้อนวอนครั้งที่สามด้วยถ้อยคำเหมือนเดิมอีก 45แล้วพระองค์ก็กลับมายังพวกสาวกของพระองค์พูดว่า “พวกเจ้าจะนอนไปถึงไหน ไม่รู้หรือว่าเวลาก็มาใกล้แล้ว และบุตรมนุษย์จะต้องถูกหักหลังให้ตกอยู่ในมือของคนบาป ที่อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา 46ลุกขึ้นเถิด ในตอนนี้ ผู้ที่จะหักหลังเรามาใกล้แล้ว”
47พระเยซูพูดยังไม่ทันขาดคำ ในตอนนั้น ยูดาส คนหนึ่งในพวกสาวกสิบสองคนนั้น ได้เข้ามา และมีประชาชนเป็นอันมากถือดาบ ไม้ตะบอง มาจากพวกมหาปุโรหิต และพวกผู้อาวุโส 47ผู้ที่จะหักหลังพระองค์นั้นได้ให้สัญญาณกับพวกเขาว่า “ข้าจะจุบผู้ใด ก็เป็นผู้นั้นแหละ จงจับกุมเขาไว้ให้แน่นหนาเลย”
49ขณะนั้น ยูดาสตรงมาหาพระเยซูพูดว่า “สวัสดีครับ อาจารย์” แล้วก็จุบพระองค์ 50พระเยซูพูดกับเขาว่า “เพื่อนเอ๋ย เจ้ามานี่ทำไมกัน” คนเหล่านั้นก็เข้ามาจับพระเยซู และคุมพระองค์ไป 51ในตอนนั้น มีคนหนึ่งที่อยู่กับพระเยซู ชักดาบออกมา ฟันหูคนใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิตขาด 52พระเยซูจึงได้พูดกับเขาว่า “จงเอาดาบของเจ้าใส่ฝักเสีย เพราะว่าผู้ถือดาบจะตายเพราะดาบนั้น 52เจ้าคิดว่าเราจะอธิษฐานสวดอ้อนวอนขอพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราให้เอาทูตสวรรค์ มาปกป้องเรามากกว่าสิบสองกองไม่ได้หรือ? 54แต่ครั้นเป็นเช่นนั้นพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นกับเราตอนนี้จะสำเร็จได้อย่างไร?” 55ขณะนั้นพระเยซูได้พูดกับคนเหล่านั้นว่า “พวกเจ้าทั้งหลายเห็นเราเป็นโจรหรือจึงถือดาบ ถือตะบองออกมาจับเรา เราได้อยู่กับพวกเจ้าทั้งหลาย สั่งสอนในพระวิหารทุกวัน เจ้าก็ไม่ได้จับเรา 56แต่เหตุการณ์ทั้งหมดที่ได้เกิดขึ้นนี้ ก็เพื่อจะสำเร็จตามพระคัมภีร์ที่พวกศาสดาพยากรณ์ได้เขียนไว้” แล้วสาวกทั้งหมดก็ได้ทิ้งพระองค์ไว้และพากันหนีไป
57ผู้ที่จับพระเยซูได้พาพระองค์ไปบ้านของคายาฟาสมหาปุโรหิต ซึ่งเป็นสถานที่ที่พวกคัมภีราจารย์และพวกผู้อาวุโสได้ประชุมกันอยู่ 58แต่เปโตรก็ได้ติดตามพระองค์ไปห่าง ๆ จนถึงบ้านของมหาปุโรหิต แล้วเข้าไปนั่งข้างในกับคนใช้ เพื่อจะดูว่าเรื่องจะจบลงอย่างไร 59พวกมหาปุโรหิต พวกผู้อาวุโส กับพวกสมาชิกสภาศาสนาได้หาพยานเท็จมาเบิกความปรักปรำพระเยซู เพื่อจะฆ่าพระองค์ 60แต่เขาก็หาหลักฐานไม่ได้ ถึงแม้มีพยานเท็จหลายคนมาให้การก็หาหลักฐานไม่ได้ ในที่สุดก็มีพยานเท็จสองคนมา 61พูดว่า “คนนี้ได้พูดว่ามันสามารถจะทำลายพระวิหารของพระเจ้า และสร้างขึ้นใหม่ได้ภายในสามวัน” 62มหาปุโรหิตจึงลุกขึ้นถามพระเยซูว่า “เจ้าจะไม่แก้ตัวในข้อหาที่พยานเขากล่าวมานี้หรือ?” 63แต่พระเยซูก็ไม่พูด มหาปุโรหิตจึงพูดกับพระองค์ว่า “ข้าขอให้เจ้าสาบานในนามของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ ให้บอกข้าว่า เจ้าเป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์โอรสของพระเจ้าใช่ไหม?” 64พระเยซูเว้ากับเขาว่า “ใช่แล้ว และมากยิ่งกว่านั้นอีก เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในอนาคตนั้น พวกท่านทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งข้างขวามือของผู้ทรงฤทธานุภาพ และจะเหาะมาบนก้อนเมฆแห่งฟ้าสวรรค์” 65ขณะนั้นมหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตน แล้วว่า “มันได้พูดหมิ่นประมาทพระเจ้าแล้ว เราจะต้องการพยานอะไรอีกเล่า ในตอนนี้ และเดี๋ยวนี้ พวกท่านทั้งหลายก็ได้ยินมันพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าแล้ว 66พวกท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร?” คนทั้งหลายก็ตอบว่า “มันมีความผิดถึงตาย” 67แล้วคนเหล่านั้นก็ถ่มน้ำลายใส่หน้าของพระองค์ และเฆี่ยนตีพระองค์ และคนอื่น ๆ ก็ตบหน้าของพระองค์ด้วย 68แล้วกล่าวว่า “ถ้าแกเป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ จงพยากรณ์ให้ข้ารู้ซิว่าใครตบแก”
69ขณะนั้นเปโตรนั่งอยู่ภายนอกบริเวณบ้านหลังนั้น มีสาวใช้คนหนึ่งมาพูดกับเขาว่า “แกเป็นพวกเดียวกันเยซูชาวกาลิลีไม่ใช่หรือ?” 70แต่เปโตรได้พูดต่อหน้าคนทั้งหลายว่า “เจ้าพูดอะไรข้าไม่รู้เรื่อง” 71เมื่อเปโตรได้ออกไปที่ระเบียง สาวใช้อีกคนหนึ่งเหลียวเห็นจึงได้บอกคนทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นว่า “คนนี้เป็นพวกเดียวกันเยซูชาวนาซาเร็ธ” 72เปโตรจั่งได้ปฏิเสธอีก ทั้งสาบานว่า “ข้าไม่รู้จักคนที่เจ้าพูดถึงนั้น” 73อีกหน่อยหนึ่งคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ นั้นก็มาพูดกับเปโตรอีกว่า “แกเป็นพวกเดียวกันกับคนนั้นแน่ ๆ เพราะว่าสำเนียงพูดของแกก็ส่อว่าเป็นชาวกาลิลี” 74แล้วเปโตรก็เริ่มสาบานว่า “ข้าไม่รู้จักคนที่เจ้าพูดถึงนั้น” ในทันใดนั้นไก่ก็ขัน 75เปโตรจึงคิดถึงคำพูดของพระเยซูที่เคยกล่าวไว้กับเขาว่า “ก่อนไก่ขัน เจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง” แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้ด้วยความขมขื่นใจเป็นอย่างยิ่ง
1ครั้นถึงตอนเช้า พวกมหาปุโรหิตและพวกผู้อาวุโสก็ปรึกษากันด้วยเรื่องพระเยซู เพื่อจะฆ่าพระองค์ 2เขาจึงมัดพระองค์พาไปมอบไว้ให้กับปอนทิอัส ปีลาต ผู้เป็นเจ้าเมือง
3เมื่อยูดาสผู้หักหลังพระเยซูแล้ว เห็นว่าพระองค์จะถูกปรับโทษก็เปลี่ยนใจ นำเงินสามสิบเหรียญนั้นมาคืนให้แก่พวกมหาปุโรหิตและพวกผู้อาวุโส 4พูดว่า “ข้าได้ทำความผิดบาปอย่างใหญ่หลวงที่ได้ทรยศต่อผู้บริสุทธิ์” คนเหล่านั้นจึงว่า “นั่นมันเรื่องของแก ไม่ใช่ธุระอะไรของพวกข้า” 5ยูดาสจึงทิ้งเงินนั้นไว้ในพระวิหารและจากไป แล้วเขาก็ออกไปผูกคอตาย 6พวกมหาปุโรหิตจึงเก็บเอาเงินนั้นมาแล้วว่า “เงินจำนวนนี้เป็นเงินที่เปื้อนเลือด ฉะนั้นจึงเป็นการผิดธรรมบัญญัติ ถ้าเราเก็บเงินไว้ในคลังของพระวิหาร” 7เขาก็ปรึกษากันและได้เอาเงินนั้นไปซื้อทุ่งนาช่างหม้อไว้ สำหรับเป็นที่ฝังศพคนต่างบ้านต่างเมือง 8เหตุฉะนั้น ทุ่งนานั้นจึงถูกเรียกว่า ทุ่งนาเลือด จนถึงทุกวันนี้ 9เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงตามคำพยากรณ์ของเยเรมีย์ศาสดาพยากรณ์ ที่ว่า ‘และพวกเขาก็รับเงินสามสิบเหรียญ ซึ่งเป็นราคาของผู้นั้นที่พวกอิสราเอลบางคนตีราคาไว้’ 10‘แล้วไปซื้อทุ่งนาช่างหม้อ ตามที่พระเจ้าผู้เป็นเจ้านายได้สั่งเราไว้’
11เมื่อพระเยซูยืนอยู่ต่อหน้าเจ้าเมือง เจ้าเมืองจึงถามพระองค์ว่า “เจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ?” พระเยซูพูดกับเขาว่า “ใช่ เราเป็นกษัตริย์ของพวกยิว” 12แต่เมื่อพวกมหาปุโรหิตและพวกผู้อาวุโสได้ฟ้องกล่าวโทษพระองค์ พระองค์ไม่ได้ตอบโต้อะไรเลย 13ปีลาตจึงพูดกับพระองค์ว่า “เจ้าไม่ได้ยินคำกล่าวหาของคนเหล่านั้นหรือ?” 14พระเยซูก็ไม่ได้ตอบปีลาตแม้แต่คำเดียว ปีลาตจึงประหลาดใจยิ่งนัก
15ในงานฉลองเทศกาลปัสกาหรืองานบุญกินขนมปังไม่ใส่เชื้อนั้น เจ้าเมืองเคยปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้แก่ประชาชนตามที่เขาร้องขอ 16ครั้งนั้นพวกเขามีนักโทษสำคัญคนหนึ่งชื่อบารับบัส 17เหตุฉะนั้นเมื่อคนทั้งหลายชุมนุมกันแล้ว ปีลาตได้ถามพวกเขาว่า “พวกท่านทั้งหลายอยากให้ข้าปล่อยใคร บารับบัสหรือเยซูที่เรียกว่า พระผู้เป็นพระศรีอาริย์นั้น 18เพราะพวกท่านรู้อยู่แล้วว่าเขาถูกมอบไว้ก็ด้วยความอิจฉา” 19ขณะเมื่อปีลาตนั่งบัลลังก์พิพากษาอยู่นั้น ภรรยาของท่านได้ใช้คนมาบอกว่า “ท่านเจ้าคุณ อย่าพัวพันกับเรื่องของผู้บริสุทธิ์คนนั้นนะ เพราะว่าเมื่อคืนนี้ฉันฝันร้ายเกี่ยวกับคนผู้นั้น” 20ฝ่ายพวกมหาปุโรหิตและพวกผู้อาวุโสก็ยุยงคนทั้งหลาย ขอให้ปล่อยบารับบัส และให้ฆ่าพระเยซู 21เจ้าเมืองจึงถามพวกเขาว่า “ในสองคนนี้พวกเจ้าจะให้ข้าปล่อยผู้ใด” เขาตอบว่า “ปล่อยบารับบัส” 22ปีลาตจึงถามพวกเขาว่า “ถ้าเช่นนั้น จะให้ข้าทำอย่างไรกับเยซูที่เรียกว่าพระผู้เป็นพระศรีอาริย์นี้” เขาพากันร้องบอกเจ้าเมืองว่า “ให้ตรึงมันที่กางเขน” 23เจ้าเมืองถามว่า “ตรึงทำไม? เขาได้ทำผิดอะไร?” แต่เขาทั้งหลายก็ยิ่งร้องว่า “ให้ตรึงมันที่กางเขน”
24เมื่อปีลาตเห็นว่าไม่มีประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้เกิดวุ่นวายขึ้น เขาก็เอาน้ำล้างมือต่อหน้าคนทั้งหลาย แล้วว่า “ข้าไม่ขอมีส่วนในความผิดของคนบริสุทธิ์ผู้นี้ พวกเจ้ารับผิดเอาเองเถอะ” 25คนทั้งหลายร้องตะโกนว่า “ให้ความผิดตกอยู่กับพวกข้าฯ และลูกหลานของข้าฯเถอะ” 26ปีลาตจึงปล่อยบารับบัสให้พวกเขา และเมื่อเขาได้โบยตีพระเยซูแล้ว ก็มอบพระองค์ให้ถูกตรึงที่กางเขน
27พวกทหารเหล่านั้นจึงพาพระเยซูไปไว้ในศาลาปรีโทเรียม แล้วก็รวมทหารทั้งกองล้อมพระองค์ไว้ 28และพวกเขาถอดเสื้อพระองค์ออก เอาเสื้อสีแดงเข้มมาสวมให้พระองค์ 29เมื่อพวกเขาเอาหนามสานเป็นมงกุฎแล้ว ก็เอาสวมศีรษะของพระองค์ แล้วเอาไม้อ้อให้ถือไว้ในมือขวา และเขาก็คุกเข่าลงต่อหน้าพระองค์ เยาะเย้ยว่า “ขอให้กษัตริย์ของพวกยิวจงทรงพระเจริญ” 30แล้วเขาก็ถ่มน้ำลายใส่หน้าพระองค์ และเอาไม้อ้อนั้นตีหัวของพระองค์ 31เมื่อพวกเขาเยาะเย้ยพระองค์แล้ว เขาก็ถอดเสื้อคลุมออก แล้วเอาเสื้อตัวเก่าสวมให้พระองค์ และนำออกไปเพื่อจะตรึงที่กางเขน
32ขณะที่พวกเขาออกไปนั้น เขาได้พบชาวไซรีนคนหนึ่งชื่อซีโมน เขาจึงเกณฑ์ชายคนนั้นให้แบกกางเขนของพระองค์ไป 33เมื่อพวกเขามาถึงสถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่ากลโกธา แปลว่า สถานที่กะโหลกศีรษะ 34เขาเอาเหล้าองุ่นเปรี้ยวปนกับของขมมาให้พระองค์ เมื่อพระเยซูชิมก็ไม่ได้ดื่มกิน 35ครั้นตรึงพระองค์ที่กางเขนแล้ว เขาก็เอาเสื้อของพระองค์มาจับสลากแบ่งปันกัน 36แล้วพวกเขาก็นั่งเฝ้าพระองค์อยู่ที่นั่น 37และได้เอาคำพูดที่เป็นข้อหาที่ลงโทษพระองค์ไปติดไว้เหนือศีรษะของพระองค์ ซึ่งอ่านว่า “ผู้นี้คือเยซูกษัตริย์ของชนชาติยิว” 38ครั้งนั้นมีโจรสองคนถูกตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ ข้างขวาคนหนึ่ง ข้างซ้ายคนหนึ่ง
39ฝ่ายคนทั้งหลายที่เดินผ่านไปผ่านมานั้นก็ร้องด่าพระองค์ พร้อมกับส่ายศีรษะ 40พูดว่า “ไหนว่าแกจะทำลายพระวิหารและสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน จงช่อยตัวเองให้รอด ถ้าแกเป็นโอรสของพระเจ้า จงลงมาจากกางเขนเถิด” 41พวกมหาปุโรหิตกับพวกคัมภีราจารย์ และพวกผู้อาวุโสก็เยาะเย้ยพระองค์เหมือนกันว่า 42“แกช่วยคนอื่นให้รอดได้ แต่ช่วยตัวเองให้รอดไม่ได้ ถ้าแกเป็นกษัตริย์ของชาติอิสราเอลจริง ก็ให้แกลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้ และพวกข้าจะเชื่อถือแก 43แกวางใจในพระเจ้า ถ้าพระองค์พอใจแกก็ให้พระองค์ช่วยแกให้รอดเดี๋ยวนี้ เพราะว่าแกเคยพูดว่า ‘แกเป็นโอรสของพระเจ้า’” 44แม้แต่โจรที่ถูกตรึงไว้กับพระองค์ก็ยังพูดคำหยาบช้ากับพระองค์เหมือนกัน
45แล้วก็เกิดความมืดทั่วทั้งแผ่นดิน ตั้งแต่ตอนเที่ยง จนถึงบ่ายสามโมง 46ครั้นประมาณบ่ายสามโมงพระเยซูร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี” แปลว่า “โอ พระเจ้าของผม พระเจ้าของผม ทำไมพระองค์ละทิ้งผม” 47บางคนในพวกที่ยืนอยู่ที่นั่น เมื่อได้ยินก็พูดว่า “เอ มันเรียกหาเอลียาห์” 48ในทันใดนั้น คนหนึ่งในพวกเขาแล่นไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวเสียบปลายไม้อ้อ ส่งให้พระองดื่ม 49แต่คนอื่นร้องว่า “อย่าเพิ่ง ให้เราคอยดูว่าเอลียาห์จะมาช่วยมันให้รอดไหม?” 50ฝ่ายพระเยซู เมื่อร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง ก็หมดลมหายใจตายไป
51และในตอนนั้น ม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อนตั้งแต่บนลงล่าง แผ่นดินก็ไหว แผ่นหินก็แตกออกจากกัน 52อุโมงค์ฝังศพก็เปิดออก ศพของคนบุญทั้งหลายที่ล่วงหลับไปแล้วก็ได้เป็นขึ้นมา 53ภายหลังที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตายแล้ว เขาทั้งหลายก็ออกจากอุโมงค์พากันเข้าไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ไปปรากฏแก่คนทั้งหลาย 54ส่วนนายร้อยและทหารที่เฝ้าพระเยซูอยู่ ได้เห็นแผ่นดินไหว และเห็นเหตุการณ์เหล่านั้น ก็พากันเกรงกลัวยิ่งนัก จึงได้พูดกันว่า “ความจริงแล้วคนผู้นี้เป็นโอรสของพระเจ้า”
55ที่นั่นมีผู้หญิงหลายคนที่ได้ติดตามพระเยซูมาจากมณฑลกาลิลีเพื่อรับใช้พระองค์ เหลียวดูอยู่แต่ไกล ๆ 56ในพวกนั้นก็มีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์แม่ของยากอบและโยเสส และแม่ของลูกชายเศเบดี
57ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ มีเศรษฐีคนหนึ่งมาจากบ้านอาริมาเธียชื่อโยเซฟ เป็นสาวกของพระเยซูเหมือนกัน 58เขาได้เข้าไปหาปีลาตขอศพของพระองค์ ปีลาตจึงสั่งให้มอบศพนั้นให้เขาไป 59เมื่อโยเซฟได้รับศพมาแล้ว เขาก็เอาผ้าป่านที่สะอาดพันหุ้มศพไว้ 60แล้วเอาศพนั้นไปฝังไว้ที่อุโมงค์ใหม่ของเขา ซึ่งเขาได้สกัดไว้ในหิน เขาก็กลิ้งหินก้อนใหญ่ปิดปากอุโมงค์ไว้แล้วก็จากไป 61ฝ่ายมารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งนั้น ก็นั่งอยู่ตรงหน้าอุโมงค์นั้น
62ในวันต่อมา พวกมหาปุโรหิตและพวกฟาริสีพากันไปหาปีลาต 63กล่าวว่า “ท่านเจ้าคุณขอรับ พวกผมจำได้ว่า หมอนั้น เมื่อมันยังมีชีวิตอยู่ได้พูดว่า ผ่านไปสามวันแล้วมันจะเป็นขึ้นมาใหม่ 64เหตุฉะนั้น ขอได้มีคำสั่งให้เฝ้าอุโมงค์อย่างแข็งขันจนถึงวันที่สามด้วย เกรงว่าพวกสาวกของมันจะมาลักเอาศพไปในตอนกลางคืน แล้วจะไปบอกแก่ประชาชนว่า มันเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และการหลอกลวงครั้งนี้จะหนักหนากว่าแต่ก่อนอีก” 65ปีลาตจึงบอกเขาว่า “พวกเจ้าจงเอายามไปเฝ้าให้เข้มแข็งเท่าที่เจ้าจะทำได้” 66เขาจึงไปเฝ้าอุโมงค์ให้มั่นคง ประทับตราไว้ที่หิน และวางยามประจำอยู่
1เมื่อวันศีลผ่านพ้นไป ถึงตอนเช้าของวันต้นสัปดาห์ มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งได้ไปที่อุโมงค์ 2ในตอนนั้น ได้เกิดแผ่นดินไหวอย่างใหญ่หลวง เพราะทูตสวรรค์ได้ลงมาจากสวรรค์ กลิ้งก้อนหินนั้นออกจากปากอุโมงค์ แล้วก็นั่งอยู่บนก้อนหินนั้น 3ใบหน้าของทูตสวรรค์นั้นเหมือนกับแสงฟ้าแลบ เสื้อผ้าก็ขาวดั่งสำลี
4พวกยามที่เฝ้าอยู่กลัวทูตสวรรค์นั้นจนตัวสั่น และตัวแข็งเทื่อเป็นลมไป 5ทูตสวรรค์องค์นั้นจึงพูดกับผู้หญิงเหล่านั้นว่า “ไม่ต้องกลัว เพราะเรารู้ว่าพวกเจ้ามาหาเยซูที่ถูกตรึงที่กางเขนนั้น 6ท่านไม่ได้อยู่ที่นี้หรอก เพราะท่านเป็นขึ้นมาจากความตายแล้วตามที่ท่านได้พูดไว้แล้วนั้น ไปดูที่วางศพของท่านสิ 7แล้วจงรีบไปบอกพวกสาวกของท่านว่า ท่านเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และในตอนนี้ ท่านได้ไปยังมณฑลกาลิลีก่อนพวกเจ้า พวกเจ้าจะเห็นท่านที่นั่น ในตอนนี้ เราได้บอกเจ้าแล้ว” 8ผู้หญิงเหล่านั้นก็ไปจากอุโมงค์อย่างรวดเร็ว ทั้งกลัวทั้งดีใจปนกัน แล่นไปบอกของสาวกพระองค์ 9ขณะที่ผู้หญิงเหล่านั้นไปบอกสาวกของพระองค์ ในตอนนั้น พระเยซูได้ไปพบเขาและทักทายเขา ผู้หญิงเหล่านั้นก็มาก้มกราบพระองค์และกอดแทบเท้าของพระองค์ 10พระเยซูจึงพูดกับเขาว่า “ไม่ต้องกลัว จงไปบอกพวกพี่น้องของเราให้ไปยังมณฑลกาลิลี และพวกเขาจะได้เห็นเราที่นั่น”
11ขณะที่พวกผู้หญิงกำลังเดินไปตามทาง ในตอนนั้น มีบางคนในพวกที่เป็นยามได้เข้าไปในเมือง บอกเหตุการณ์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นให้พวกมหาปุโรหิต 12เมื่อพวกมหาปุโรหิตประชุมปรึกษากันกับพวกผู้อาวุโสแล้ว ก็แจกเงินเป็นอันมากให้แก่พวกทหารนั้น 13บอกเขาว่า “พวกเจ้าจงพากันไปพูดว่า ‘พวกสาวกของมันมาลักเอาศพไปในเวลากลางคืนเมื่อข้านอนหลับ’ 14ถ้าความนี้รู้เป็นถึงหูเจ้าเมือง เราจะหาทางแก้ไขให้พวกเจ้าพ้นโทษเอง” 15พวกทหารจึงยอมรับเงิน และทำตามที่ถูกสอนมา และความนี้ก็เลื่องลือไปในพวกยิวทั้งหลายจนถึงทุกวันนี้
16แล้วพวกสาวกสิบเอ็ดคนนั้นก็ได้ไปยังมณฑลกาลิลี บนภูเขาที่พระเยซูได้กำหนดไว้ 17และเมื่อเขาเห็นพระองค์จึงได้กราบลง แต่บางคนก็ยังสงสัยอยู่ 18พระเยซูจึงได้เข้ามาใกล้เขา แล้วเว้าว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดี ได้มอบไว้ให้เราแล้ว 19เหตุฉะนั้น พวกเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้ทำพิธีมุดน้ำในนามของพระเจ้าผู้เป็นพ่อ พระเจ้าผู้เป็นลูก และพระเจ้าผู้เป็นพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ 20สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราได้สั่งพวกเจ้าไว้ ในตอนนี้ เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายตลอดไป จนกว่าจะสิ้นยุค”
1บารมีของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระโอรสของพระเจ้า เริ่มต้นตรงนี้ 2ตามที่ได้เขียนไว้ในหนังสือศาสดาพยากรณ์อิสยาห์ว่า “ดูเถิด เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่านผู้นั้น จะเตรียมหนทางของท่านไว้ 3เสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า ‘จงเตรียมหนทางแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้า จงกระทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป’”
4ยอห์นได้ให้เขาทำพิธีมุดน้ำในถิ่นทุรกันดาร และประกาศเรื่องพิธีมุดน้ำอันเป็นการสำแดงการกลับใจหันหลังจากความผิดบาป เพื่อพระเจ้าจะยกโทษความผิดบาปให้ 5คนทั่วมณฑลยูเดียกับชาวกรุงเยรูซาเล็มได้พากันออกไปหายอห์น สารภาพความผิดบาปของตน และได้ทำพิธีมุดน้ำกับท่านในแม่น้ำจอร์แดน 6ยอห์นแต่งกายด้วยผ้าขนอูฐ และใช้หนังสัตว์คาดเอว รับประทานตั๊กแตนและน้ำผึ้งป่า 7ท่านประกาศว่า “ภายหลังเราจะมีผู้หนึ่งมา จะเป็นใหญ่กว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะน้อมตัวลงแก้สายผูกร้องเท้าให้พระองค์ 8จริง ๆ แล้วเราให้เจ้าทั้งหลายทำพิธีมุดน้ำด้วยน้ำ แต่ท่านผู้นั้นจะให้เจ้าทั้งหลายรับพิธีมุดน้ำด้วยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์”
9ต่อมาพระเยซูเดินทางมาจากเมืองนาซาเร็ธมณฑลกาลิลี และได้ทำพิธีมุดน้ำกับยอห์นในแม่น้ำจอร์แดน 10พอพระองค์ขึ้นมาจากน้ำ ในทันใดนั้นก็เห็นท้องฟ้าแหวกออก และพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกเขาลงมาอยู่บนพระองค์ 11แล้วมีเสียงดังมาจากฟ้าสวรรค์ว่า “เจ้าเป็นลูกที่รักของเรา เราชอบใจในเจ้ามาก”
12ในทันใดนั้น พระวิญญาณจึงเร่งเร้าพระองค์ให้เข้าไปในถิ่นทุรกันดาร 13และมารได้ทดสอบพระองค์อยู่ในถิ่นทุรกันดารนั้นถึงสี่สิบวัน พระองค์อยู่ในถิ่นของสัตว์ป่า และมีพวกทูตสวรรค์มาปรนนิบัติรับใช้พระองค์
14ครั้นยอห์นถูกขังไว้ในคุกแล้ว พระเยซูได้เดินทางมายังแคว้นกาลิลี ได้ประกาศบารมีของพระเจ้า 15และกล่าวว่า “เวลากำหนดมาถึงแล้ว และอาณาจักรของพระเจ้าก็มาใกล้แล้ว ท่านทั้งหลายจงกลับใจหันหลังจากความผิดบาป และเชื่อในบารมีของพระเจ้าเถิด”
16ขณะที่พระองค์เดินทางไปตามชายฝั่งทะเลสาบกาลิลี พระองค์ก็เห็นซีโมนและอันดรูว์น้องชายของซีโมน กำลังทอดอวนอยู่ที่ทะเลสาบ ด้วยว่าเขาเป็นชาวประมง 17พระเยซูพูดกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด และเราจะตั้งให้เจ้าเป็นผู้หาคนดั่งหาปลา” 18เขาก็ละอวนไว้ แล้วตามพระองค์ไปทันที 19ครั้นพระองค์เดินทางต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง พระองค์ก็เห็นยากอบลูกชายเศเบดีกับยอห์นน้องชายของเขา กำลังชุนอวนอยู่ในเรือ 20ในทันใดนั้นพระองค์ได้เรียกเขา เขาจึงละเศเบดีบิดาของเขาไว้ที่เรือกับลูกจ้าง และได้ตามพระองค์ไป
21พระองค์กับสาวกของพระองค์จึงเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม และพอถึงวันศีลพระองค์ได้เข้าไปในวัดหรือสุเหร่าของพวกยิวเพื่อเทศนาสั่งสอน 22เขาทั้งหลายก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ได้สั่งสอนเขาด้วยสิทธิอำนาจ หาเหมือนพวกคัมภีราจารย์ไม่ 23มีชายคนหนึ่งในวัดหรือสุเหร่าของเขามีผีร้ายเข้าสิง มันได้ร้องออกมา 24ว่า “เฮ้ เยซูชาว นาซาเร็ธ ปล่อยเราไว้ เจ้ามายุ่งกับเราทำไม เจ้ามาทำลายเราหรือ? เรารู้ว่าเจ้าเป็นผู้ใด เจ้าคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า” 25พระเยซูจึงห้ามมันว่า “เจ้าจงนิ่งเสีย ออกมาจากเขาเดี๋ยวนี้” 26และเมื่อผีร้ายทำให้คนนั้นชักและร้องเสียงดังแล้ว มันก็ออกมาจากเขา 27คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนัก จึงถามกันว่า “การนี้เป็นอย่างไรหนอ นี่เป็นคำสั่งสอนใหม่อะไร เขาสั่งผีร้ายด้วยสิทธิอำนาจและมันก็เชื่อฟังเขา” 28ในขณะนั้น กิตติศัพท์ของพระองค์ได้เลื่องลือไปทั่วแว่นแคว้นบ้านเมืองที่อยู่รอบมณฑลกาลิลี
29พอออกมาจากวัดหรือสุเหร่า พระองค์กับสาวกจึงเข้าไปในเรือนของซีโมนและอันดรูว์ พร้อมกับยากอบและยอห์น 30แม่ยายของซีโมนนอนป่วยเป็นไข้อยู่ ในทันใดนั้นเขาจึงมาบอกพระองค์ให้รู้ด้วยเรื่องของนาง 31แล้วพระองค์ก็เข้าไปจับมือนางพยุงขึ้น และทันใดนั้นไข้ก็หาย นางจึงปรนนิบัติรับใช้เขาทั้งหลาย
32เวลาเย็นวันนั้นครั้นตะวันตกดินแล้ว คนทั้งหลายพาบรรดาคนเจ็บป่วย และคนที่มีผีสิง มาหาพระองค์ 33และคนทั้งเมืองก็แตกตื่นมาออกันอยู่ที่ประตู 34พระองค์จึงรักษาคนเป็นโรคต่าง ๆ ให้หายหลายคน และได้ขับผีออกหลายผี แต่ผีเหล่านั้นพระองค์ห้ามมิให้พูด เพราะว่ามันรู้จักพระองค์
35ครั้นเวลาเช้ามืดพระองค์ได้ลุกขึ้นออกไปยังที่เปลี่ยว และอธิษฐานสวดอ้อนวอนที่นั่น 36ฝ่ายซีโมนและคนทั้งหลายที่อยู่ด้วยก็ตามหาพระองค์ 37เมื่อพวกเขาพบพระองค์แล้ว เขาจึงบอกพระองค์ว่า “คนทั้งปวงแสวงหาอาจารย์” 38พระองค์พูดกับเขาว่า “ให้เราทั้งหลายไปในบ้านเมืองใกล้เคียง เพื่อเราจะได้ประกาศที่นั่นด้วย ที่เรามาก็เพื่อการนั้นเอง” 39พระองค์ได้ประกาศในวัดหรือสุเหร่าของเขาทั่วมณฑลกาลิลี และได้ขับผีออกเสียหลายผี
40และมีคนโรคเรื้อนคนหนึ่งมาหาพระองค์ คุกเข่าลงวิงวอนพระองค์ว่า “เพียงแต่อาจารย์จะเมตตา อาจารย์ก็จะบันดาลให้ผมหายโรคได้” 41พระเยซูสงสารเขาจึงยื่นมือถูกต้องคนนั้น พูดกับเขาว่า “เราพอใจแล้ว เจ้าจงหายเถิด” 42เมื่อพระองค์พูดเช่นนั้นแล้ว ในทันใดนั้นโรคเรื้อนก็หาย และคนนั้นก็สะอาด 43ก่อนที่จะให้เขาไป พระองค์จึงกำชับเขา 44กล่าวว่า “เจ้าอย่าบอกเล่าอะไรให้ผู้ใดฟังเลย แต่จงไปสำแดงตัวแก่ปุโรหิต และถวายเครื่องบูชาสำหรับคนที่หายโรคเรื้อนแล้ว ตามซึ่งโมเสสได้สั่งไว้ เพื่อเป็นหลักฐานต่อคนทั้งหลาย” 45แต่คนนั้นเมื่อออกไปแล้ว ก็ตั้งต้นป่าวร้องมากมายให้เลื่องลือไป จนพระเยซูจะเข้าไปในเมืองโดยเปิดเผยต่อไปไม่ได้ แต่ต้องพักอาศัยอยู่ภายนอกในที่เปลี่ยว และมีคนทุกแห่งทุกตำบลมาหาพระองค์
1ครั้นล่วงไปหลายวัน พระองค์ได้เดินทางไปยังเมืองคาเปอรนาอุมอีก และคนทั้งหลายได้ยินว่า พระองค์พักอาศัยอยู่ที่นั่น 2และในเวลานั้นคนเป็นอันมากมาชุมนุมกันจนไม่มีที่จะต้อนรับ จะเข้าใกล้ประตูก็ไม่ได้ พระองค์จึงสั่งสอนบารมีของพระเจ้านั้นให้เขาฟัง 3แล้วมีคนนำคนง่อยคนหนึ่งมาหาพระองค์ มีคนหามสี่คน 4เมื่อเขาเข้าไปให้ถึงพระองค์ไม่ได้เพราะคนมาก เขาจึงรื้อดาดฟ้าหลังคาตรงที่พระองค์อยู่นั้น และเมื่อรื้อเป็นช่องแล้ว เขาก็หย่อนแคร่ที่คนง่อยนอนอยู่ลงมา 5เมื่อพระเยซูเห็นความเชื่อของเขาทั้งหลาย พระองค์จึงพูดกับคนง่อยว่า “ลูกเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว” 6แต่มีพวกคัมภีราจารย์บางคนนั่งอยู่ที่นั่น และเขาคิดในใจว่า 7“ทำไมคนนี้พูดหมิ่นประมาทเช่นนั้น ใครจะยกความผิดบาปได้เว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น” 8และในทันใดนั้น เมื่อพระเยซูรู้ว่าเขาคิดในใจอย่างนั้น พระองค์จึงพูดกับเขาว่า “เหตุไฉนเจ้าทั้งหลายจึงคิดในใจอย่างนี้เล่า 9ที่จะบอกคนเป็นอัมพาตว่า ‘บาปของเจ้าได้รับอภัยแล้ว’ หรือจะว่า ‘จงลุกขึ้นยกแคร่เดินไปเถิด’ นั้น อันไหนจะง่ายกว่ากัน 10แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” พระองค์จึงสั่งคนง่อยว่า 11“เราสั่งเจ้าว่า จงลุกขึ้นยกแคร่ไปบ้านของเจ้าเถิด” 12ทันใดนั้นคนเป็นอัมพาตคนนั้นได้ลุกขึ้นแล้วก็ยกแคร่เดินออกไปต่อหน้าคนทั้งปวง คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนัก จึงสรรเสริญพระเจ้าว่า “เราไม่เคยเห็นการเช่นนี้มาก่อนเลย”
13ฝ่ายพระองค์ได้เดินทางไปตามชายฝั่งทะเลสาบอีก ประชาชนก็มาหาพระองค์ และพระองค์ได้สั่งสอนเขา 14เมื่อพระองค์กำลังเดินทางไปนั้น พระองค์ก็เห็นเลวีลูกชายอัลเฟอัสนั่งอยู่ที่ด่านเก็บภาษี จึงพูดกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป
15ต่อมาเมื่อพระเยซูรับประทานอาหารอยู่ในเรือนของเลวี มีพวกคนเก็บภาษี และคนบาปหลายคนร่วมสำรับกับพระเยซู และพวกสาวกของพระองค์ เพราะมีคนติดตามพระองค์ไปมาก 16ฝ่ายพวกคัมภีราจารย์และพวกฟาริสี เมื่อเห็นพระองค์รับประทานอาหารกับพวกคนเก็บภาษีและคนบาป จึงถามสาวกของพระองค์ว่า “เหตุไฉนอาจารย์ของเจ้าจึงกินและดื่มด้วยกันกับพวกคนเก็บภาษี และคนบาปเล่า” 17ครั้นพระเยซูทราบดังนั้น พระองค์จึงพูดกับเขาว่า “คนปกติไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บต้องการหมอ เรามิได้มาเพื่อจะเรียกคนบุญ แต่มาเรียกคนบาปให้กลับใจหันหลังจากความผิดบาป”
18มีพวกศิษย์ของยอห์น และของพวกฟาริสีกำลังถือศีลอด พวกเขาจึงมาถามพระองค์ว่า “เหตุไฉนพวกศิษย์ของยอห์น และของพวกฟาริสีถือศีลอด แต่พวกศิษย์ของอาจารย์ไม่ถือ” 19พระเยซูจึงพูดกับเขาว่า “ท่านจะให้เพื่อนเจ้าบ่าวถือศีลอด เมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับเขากระนั้นหรือ? เจ้าบ่าวอยู่ด้วยนานเท่าใด เพื่อนเจ้าบ่าวก็ถือศีลอดไม่ได้นานเท่านั้น 20แต่วันนั้นจะมาถึงเมื่อเจ้าบ่าวจะต้องจากเพื่อนเจ้าบ่าวไป ในวันนั้นเพื่อนเจ้าบ่าวจะถือศีลอด 21ไม่มีผู้ใดเอาท่อนผ้าทอใหม่มาปะเสื้อเก่า ถ้าทำอย่างนั้น ท่อนผ้าทอใหม่ที่ปะเข้านั้นเมื่อหดจะทำให้เสื้อเก่าขาดกว้างออกไปอีก 22และไม่มีผู้ใดเอาเหล้าองุ่นใหม่มาใส่ไว้ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นเหล้าองุ่นใหม่จะทำให้ถุงเก่านั้นขาดไป เหล้าองุ่นนั้นจะไหลออก ถุงหนังก็จะเสียไป แต่เหล้าองุ่นใหม่นั้นต้องใส่ไว้ในถุงหนังใหม่”
23ต่อมาในวันศีลวันหนึ่ง พระองค์กำลังเดินทางไปในนาข้าว และเมื่อสาวกของพระองค์กำลังเดินไป ก็เริ่มเด็ดรวงข้าวไป 24ฝ่ายพวกฟาริสีจึงถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกเขาจึงทำการซึ่งธรรมบัญญัติห้ามไว้ในวันศีล” 25พระองค์จึงพูดกับเขาว่า “พวกท่านยังไม่ได้อ่านหรือ ซึ่งดาวิดได้กระทำเมื่อท่านขาดอาหาร และอดอยาก ทั้งท่านและพรรคพวกด้วย 26คือคราวเมื่ออาบียาธาร์เป็นมหาปุโรหิต ท่านได้เข้าไปในพระวิหารของพระเจ้า และรับประทานขนมปังศักดิ์สิทธิ ซึ่งธรรมบัญญัติห้ามไม่ให้ใครรับประทาน เว้นแต่พวกปุโรหิตเท่านั้น และยังซ้ำส่งให้คนที่มากับท่านรับประทานด้วย” 27พระองค์จึงพูดกับเขาว่า “วันศีลนั้นตั้งไว้เพื่อมนุษย์ มิใช่สร้างมนุษย์ไว้สำหรับวันศีล 28เหตุฉะนั้นบุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นนายเหนือวันศีลด้วย”
1แล้วพระองค์ได้เข้าไปในวัดหรือสุเหร่าของพวกยิวอีก และที่นั่นมีชายคนหนึ่งมือข้างหนึ่งลีบ 2คนเหล่านั้นคอยดูว่า พระองค์จะรักษาโรคให้คนนั้นในวันศีลหรือไม่ เพื่อเขาจะหาเหตุฟ้องพระองค์ได้ 3พระองค์พูดกับคนมือลีบว่า “มายืนข้างหน้านี้เถอะ” 4พระองค์จึงพูดกับคนทั้งหลายว่า “ในวันศีลควรจะทำการดีหรือทำการชั่ว จะช่วยชีวิตดีหรือจะทำลายชีวิตดี” ฝ่ายคนทั้งปวงก็นิ่งอยู่ 5พระองค์มีใจเป็นทุกข์เพราะใจเขาดื้อรั้นมากนัก และได้มองดูรอบ ๆ ด้วยความโกรธ และพระองค์พูดกับคนมือลีบนั้นว่า “จงเหยียดมือออกเถิด” เขาก็เหยียดออก และมือของเขาก็หายเป็นปกติเหมือนกับมืออีกข้างหนึ่ง 6พวกฟาริสีจึงออกไป และในทันใดนั้นได้ปรึกษากับพรรคพวกของเฮโรดถึงพระองค์ว่า พวกเขาจะทำอย่างไรจึงจะฆ่าพระองค์ได้
7ฝ่ายพระเยซูกับพวกสาวกของพระองค์จึงออกจากที่นั่นไปยังทะเลสาบ และฝูงชนเป็นอันมากจากแคว้นกาลิลีได้ตามพระองค์ไป ทั้งจากแคว้นยูเดีย 8จากกรุงเยรูซาเล็ม และจากเมืองเอโดม และจากฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น และจากมณฑลเมืองไทระและไซดอน ฝูงชนเป็นอันมาก เมื่อเขาทราบถึงสิ่งยิ่งใหญ่ที่พระองค์กระทำนั้นก็มาหาพระองค์ 9พระองค์จึงสั่งพวกสาวกของพระองค์ให้เอาเรือเล็กมาคอยรับพระองค์ เพื่อมิให้ประชาชนเบียดเสียดพระองค์ 10ด้วยว่าพระองค์ได้รักษาคนเป็นอันมากให้หายโรค จนบรรดาผู้ที่มีโรคต่าง ๆ เบียดเสียดกันเข้ามาเพื่อจะได้ถูกต้องพระองค์ 11และพวกผีโสโครกเมื่อได้เห็นพระองค์ก็ได้หมอบลงกราบพระองค์ แล้วร้องอึงว่า “พระองค์เป็นพระโอรสของพระเจ้า” 12ฝ่ายพระองค์จึงกำชับห้ามมันมิให้แพร่งพรายว่าพระองค์คือผู้ใด
13แล้วพระองค์ได้ขึ้นไปบนภูเขา และพอใจจะเรียกผู้ใด พระองค์ก็เรียกผู้นั้น แล้วเขาได้มาหาพระองค์ 14พระองค์จึงตั้งสาวกสิบสองคนไว้ให้พวกเขาอยู่กับพระองค์ เพื่อพระองค์จะใช้เขาไปเผยแพร่บารมีของพระเจ้า 15และให้มีอำนาจรักษาโรคต่าง ๆ และขับผีออกได้ 16และซีโมนนั้น พระองค์ตั้งชื่อให้อีกว่าเปโตร 17และยากอบบุตรชายเศเบดีกับยอห์นน้องชายของยากอบ ทั้งสองคนนี้พระองค์ประทานชื่ออีกว่า โบอาเนอเย แปลว่า ลูกฟ้าร้อง 18อันดรูว์ ฟีลิป บารโธโลมิว มัทธิว โธมัส ยากอบบุตรชายอัลเฟอัส ธัดเดอัส ซีโมนชาวคานาอัน 19และยูดาสอิสคาริโอทที่ได้ทรยศพระองค์นั้น
พระองค์และพวกสาวกจึงเข้าไปในเรือน 20และฝูงชนก็มาประชุมกันอีก จนพระองค์และพวกสาวกจะรับประทานอาหารไม่ได้ 21เมื่อญาติมิตรของพระองค์ได้ยินเหตุการณ์นั้น เขาก็ออกไปเพื่อจะจับพระองค์ไว้ ด้วยเขาว่า “พระองค์เป็นบ้าแล้ว” 22พวกคัมภีราจารย์ซึ่งได้ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มได้กล่าวว่า “ผู้นี้มีเบเอลเซบูลสิง” และ “ที่เขาขับผีออกได้ก็เพราะใช้อำนาจนายผีนั้น” 23ฝ่ายพระองค์จึงเรียกคนเหล่านั้นมาพูดกับเขาเป็นคำอุปมาว่า “ซาตานจะขับซาตานให้ออกได้อย่างไร 24ถ้าราชอาณาจักรใด ๆ เกิดแตกแยกกันแล้ว ราชอาณาจักรนั้นจะตั้งอยู่ไม่ได้ 25ถ้าครัวเรือนใด ๆ เกิดแตกแยกกัน ครัวเรือนนั้นจะตั้งอยู่ไม่ได้ 26และถ้าซาตานจะต่อสู้กับตนเอง และแตกแยกกัน มันก็ตั้งอยู่ไม่ได้ มีแต่จะสิ้นสูญไป 27ไม่มีผู้ใดอาจเข้าไปในเรือนของคนที่มีกำลังมากและปล้นทรัพย์ของเขาได้ เว้นแต่จะจับคนที่มีกำลังมากนั้นมัดไว้เสียก่อน แล้วจึงจะปล้นทรัพย์ในเรือนนั้นได้ 28เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ความผิดบาปทุกอย่างและคำหมิ่นประมาทที่เขากล่าวนั้น จะโปรดยกให้บุตรทั้งหลายของมนุษย์ได้ 29แต่ผู้ใดจะกล่าวคำหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ จะโปรดยกให้ผู้นั้นไม่ได้เลย แต่ผู้นั้นย่อมรับการปรับโทษเป็นนิตย์” 30ที่กล่าวอย่างนั้นก็เพราะเขาทั้งหลายกล่าวว่า “พระองค์มีผีโสโครกเข้าสิง”
31เวลานั้นมารดาและพวกน้องชายของพระองค์มายืนอยู่ข้างนอก แล้วใช้คนเข้าไปเรียกพระองค์ 32และประชาชนก็นั่งอยู่รอบพระองค์ เขาจึงบอกพระองค์ว่า “ดูเถิด แม่และพวกน้องชายของอาจารย์มาหา เขาคอยอยู่ข้างนอก” 33พระองค์ตอบเขาว่า “ใครเป็นแม่ของเรา และใครเป็นพี่น้องของเรา” 34พระองค์มองดูคนที่นั่งล้อมรอบนั้นแล้วกล่าวว่า “ดูเถิด นี่เป็นแม่และพี่น้องของเรา 35ผู้ใดจะกระทำตามพระทัยพระเจ้า ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและแม่ของเรา”
1แล้วพระองค์ตั้งต้นสั่งสอนที่ฝั่งทะเลอีก ฝูงชนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ เหตุฉะนั้นพระองค์จึงได้ลงไปอยู่ในเรือที่ทะเล และฝูงชนอยู่บนฝั่งชายทะเล 2พระองค์จึงสั่งสอนเขาหลายประการเป็นคำอุปมา และในการสอนนั้นพระองค์กล่าวแก่เขาว่า 3“จงฟัง ดูเถิด มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช 4และต่อมาเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชก็ตกตามหนทางบ้าง แล้วนกในอากาศก็มากินเสีย 5บ้างก็ตกที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินแต่น้อย จึงงอกขึ้นโดยเร็วเพราะดินไม่ลึก 6แต่เมื่อแดดจัด แดดก็แผดเผา และเพราะรากไม่มี จึงเหี่ยวไป 7บ้างก็ตกกลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นปกคลุมเสีย จึงไม่เกิดผล 8บ้างก็ตกที่ดินดี แล้วงอกงามจำเริญขึ้น เกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง” 9แล้วพระองค์กล่าวแก่เขาว่า “ใครมีหู จงฟังเถิด”
10เมื่อพระองค์อยู่ตามลำพัง คนที่อยู่รอบพระองค์พร้อมกับศิษย์สิบสองคน ได้ถามพระองค์ถึงคำอุปมานั้น 11พระองค์จึงบอกแก่เขาว่า “ข้อความลึกลับแห่งอาณาจักรของพระเจ้า ทรงโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่ฝ่ายคนนอกนั้นบรรดาข้อความเหล่านี้จะแจ้งให้เป็นคำอุปมาทุกอย่าง 12เพื่อว่าเขาจะดูแล้วดูเล่า แต่มองไม่เห็น และฟังแล้วฟังเล่า แต่ไม่เข้าใจ เกลือกว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดเขาจะกลับใจใหม่ และความผิดบาปของเขาจะได้ยกโทษเสีย”
13พระองค์กล่าวแก่เขาว่า “คำอุปมานั้นพวกท่านยังไม่เข้าใจหรือ ถ้ากระนั้นท่านทั้งหลายจะเข้าใจคำอุปมาทั้งปวงอย่างไรได้ 14ผู้หว่านนั้นก็ได้หว่านพระคำของพระเจ้า 15ซึ่งตกริมหนทางนั้นได้แก่พระคำที่หว่านแล้ว และเมื่อบุคคลใดได้ฟัง ในทันใดนั้นซาตานก็มาชิงเอาพระคำซึ่งหว่านในใจเขานั้นไปเสีย 16และซึ่งตกที่ซึ่งมีพื้นหิน มีเนื้อดินแต่น้อยนั้นก็ทำนองเดียวกัน ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระคำและก็รับทันทีด้วยความปรีดี 17แต่ไม่มีรากในตัวจึงทนอยู่ได้ชั่วคราว ภายหลังเมื่อเกิดการยากลำบากและการข่มเหงต่าง ๆ เพราะพระคำนั้น ก็เลิกเสียในทันทีทันใด 18และพืชซึ่งหว่านกลางหนามนั้นได้แก่บุคคลที่ได้ฟังพระคำ 19แล้วความกังวลตามธรรมดาโลก และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ และความโลภในสิ่งอื่น ๆ ได้เข้ามาและปกคลุมพระคำนั้น จึงไม่เกิดผล 20ส่วนพืชซึ่งหว่านตกในดินดีนั้น ได้แก่บุคคลที่ได้ยินพระคำนั้น และรับไว้ จึงเกิดผลสามสิบเท่าบ้าง หกสิบเท่าบ้าง ร้อยเท่าบ้าง”
21แล้วพระองค์กล่าวแก่เขาว่า “เขาเอาตะเกียงมาสำหรับตั้งไว้ใต้ถัง ใต้เตียงนอนหรือ? และมิใช่สำหรับตั้งไว้บนเชิงเทียนหรือ? 22เพราะว่าไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้ซึ่งจะไม่ปรากฏแจ้ง และไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ ซึ่งจะไม่ต้องแพร่งพราย 23ถ้าใครมีหูฟังได้ จงฟังเถิด” 24พระองค์กล่าวแก่เขาอีกว่า “จงเอาใจจดจ่อต่อสิ่งที่ท่านฟังให้ดี ท่านจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด จะตวงให้ท่านด้วยทะนานอันนั้น ทั้งจะเพิ่มเติมให้อีกแก่ผู้ที่ฟังแล้ว 25ด้วยว่าผู้ใดมีอยู่แล้วจะเพิ่มเติมให้ผู้นั้นอีก แต่ผู้ใดไม่มี แม้ว่าซึ่งเขามีอยู่นั้นจะเอาไปเสียจากเขา”
26พระองค์กล่าวว่า “อาณาจักรของพระเจ้าเปรียบเหมือนชายคนหนึ่งหว่านพืชลงในดิน 27แล้วกลางคืนก็นอนหลับและกลางวันก็ตื่นขึ้น ฝ่ายพืชนั้นจะงอกจำเริญขึ้นอย่างไรเขาก็ไม่รู้ 28เพราะแผ่นดินเองทำให้พืชงอกจำเริญขึ้นเป็นลำต้นก่อน ภายหลังก็ออกรวง แล้วก็มีเมล็ดข้าวเต็มรวง 29ครั้นสุกแล้วเขาก็ไปเกี่ยวเก็บทีเดียว เพราะว่าถึงฤดูเกี่ยวแล้ว”
30และพระองค์กล่าวว่า “อาณาจักรของพระเจ้าจะเปรียบเหมือนสิ่งใด หรือจะสำแดงด้วยคำเปรียบอย่างไร 31ก็เปรียบเหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง เวลาเพาะลงในดินนั้นก็เล็กกว่าเมล็ดทั้งปวงทั่วทั้งแผ่นดิน 32แต่เมื่อเพาะแล้วจึงงอกขึ้นจำเริญใหญ่โตกว่าผักทั้งปวง และแตกกิ่งก้านใหญ่พอให้นกในอากาศมาอาศัยอยู่ในร่มนั้นได้”
33พระองค์ได้สั่งสอนพระคำให้แก่เขาเป็นคำอุปมาอย่างนั้นเป็นหลายประการ ตามที่เขาจะสามารถฟังได้ 34และนอกจากคำอุปมา พระองค์มิได้กล่าวแก่เขาเลย แต่เมื่อพวกเขาอยู่ตามลำพัง พระองค์จึงอธิบายสิ่งสารพัดนั้นแก่เหล่าศิษย์
35เย็นวันนั้นพระองค์ได้กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “ให้พวกเราข้ามไปฝั่งฟากข้างโน้นเถิด” 36เมื่อลาประชาชนแล้ว เขาจึงเชิญพระองค์ไปในเรือที่พระองค์อยู่นั้น และมีเรืออื่นเล็ก ๆ หลายลำไปกับพระองค์ด้วย 37และพายุใหญ่ได้บังเกิดขึ้น และคลื่นก็ซัดเข้าไปในเรือจนเรือเต็มอยู่แล้ว 38ฝ่ายพระองค์นอนหนุนหมอนหลับอยู่ที่ท้ายเรือ เหล่าศิษย์จึงมาปลุกพระองค์บอกว่า “อาจารย์ครับ พวกผมกำลังจะตายอยู่แล้ว อาจารย์ไม่เป็นห่วงบ้างหรือ?” 39พระองค์จึงตื่นขึ้นห้ามลมและกล่าวแก่ทะเลว่า “จงสงบเงียบสิ” แล้วลมก็หยุดมีความสงบเงียบทั่วไป 40พระองค์จึงกล่าวแก่เขาว่า “ทำไมพวกเจ้ากลัวอย่างนี้ พวกเจ้ายังไม่มีความเชื่ออีกหรือ?” 41ฝ่ายเขาก็เกรงกลัวนักหนาและพูดกันและกันว่า “คนผู้นี้เป็นผู้ใดหนอ จนแม้กระทั่งลมและทะเลก็ยังเชื่อฟังท่าน”
1ฝ่ายพระองค์กับเหล่าสาวกก็ข้ามทะเลไปยังเมืองเกรฺาซา 2พอพระองค์ขึ้นจากเรือ ทันใดนั้นมีชายคนหนึ่งออกจากอุโมงค์ฝังศพมีผีถ้ำสิง ได้มาพบพระองค์ 3คนนั้นอาศัยอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ และไม่มีผู้ใดจะผูกมัดตัวเขาได้ แม้จะล่ามด้วยโซ่ตรวนก็ไม่อยู่ 4เพราะว่าได้ล่ามโซ่ใส่ตรวนหลายหนแล้ว เขาก็หักโซ่และฟาดตรวนเสีย ไม่มีผู้ใดมีแรงพอที่จะทำให้เขาสงบได้ 5เขาคลั่งร้องอึงอยู่ตามอุโมงค์ฝังศพและที่ภูเขาทั้งกลางวันกลางคืนเสมอ และเอาหินเชือดเนื้อของตัว 6ครั้นเขาเห็นพระเยซูแต่ไกล เขาก็วิ่งเข้ามากราบไหว้พระองค์ 7แล้วร้องเสียงดังว่า “เยซูโอรสของพระเจ้าสูงสุด ท่านมายุ่งกับข้าฯทำไม? ข้าฯขอให้ท่านให้คำมั่นสัญญาในนามของพระเจ้าว่า จะไม่ทรมานข้าฯ” 8ที่มันพูดเช่นนี้ เพราะพระองค์ได้พูดกับมันว่า “อ้ายผีร้าย จงออกมาจากคนนั้นเถิด” 9แล้วพระองค์ถามมันว่า “เจ้าชื่ออะไร” มันตอบว่า “ชื่อกอง เพราะว่าพวกข้าฯหลายตนด้วยกัน” 10มันจึงอ้อนวอนพระองค์เป็นอันมาก ไม่ให้ขับไล่มันออกจากแดนเมืองนั้น 11มีสุกรฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่ที่ไหล่เขาตำบลนั้น 12ผีเหล่านั้นก็อ้อนวอนพระองค์ว่า “ขอโปรดให้ข้าฯทั้งหลายเข้าในสุกรเหล่านี้เถิด” 13พระเยซูก็อนุญาตทันที แล้วผีร้ายนั้นจึงออกไปเข้าสิงอยู่ในสุกร สุกรทั้งฝูง (ประมาณสองพันตัว) ก็วิ่งกระโดดจากหน้าผาชันลงไปในทะเลสำลักน้ำตาย
14ฝ่ายคนเลี้ยงสุกรนั้นต่างคนต่างหนีไปเล่าเรื่องทั้งในเมืองและบ้านนอก แล้วคนทั้งปวงก็ออกมาดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น 15เมื่อเขามาถึงพระเยซู ก็เห็นคนที่ผีทั้งกองได้สิงนั้นนุ่งห่มผ้านั่งอยู่มีสติอารมณ์ดี เขาจึงเกรงกลัวนัก 16แล้วคนที่ได้เห็นก็เล่าเหตุการณ์ซึ่งเกิดแก่คนที่ผีสิงนั้น และซึ่งเกิดแก่ฝูงสุกรให้เขาฟัง 17คนทั้งหลายจึงเริ่มพากันอ้อนวอนพระองค์ ให้ไปจากเขตแดนเมืองของเขา 18เมื่อพระองค์กำลังจะลงเรือ คนที่ผีได้สิงแต่ก่อนนั้นได้อ้อนวอนขอติดตามพระองค์ไปด้วย 19พระเยซูไม่อนุญาต แต่บอกกับเขาว่า “จงไปหาพวกพ้องของเจ้าที่บ้าน แล้วบอกเขาถึงเรื่องเหตุการณ์ใหญ่ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้กระทำแก่เจ้า และได้เมตตาแก่เจ้าแล้ว” 20ฝ่ายคนนั้นก็บอกลา แล้วเริ่มประกาศในแคว้นทศบุรีถึงเหตุการณ์ใหญ่ที่พระเยซูได้กระทำแก่เขา และคนทั้งปวงก็ประหลาดใจยิ่งนัก
21ครั้นพระเยซูลงเรือข้ามฟากกลับไปแล้ว มีคนเป็นอันมากมาหาพระองค์ และพระองค์ยังอยู่ที่ฝั่งทะเล 22ดูเถิด มีเจ้าอาวาสวัดหรือสุเหร่ายิวคนหนึ่งชื่อไยรัสเดินทางมา และเมื่อเขาเห็นพระองค์ก็กราบลงแทบเท้าของพระองค์ 23แล้วอ้อนวอนพระองค์เป็นอันมากว่า “ลูกสาวเล็ก ๆ ของผมป่วยเกือบจะตายแล้ว ขอเชิญอาจารย์ไปรักษาเขา เพื่อเขาจะได้หายโรคและไม่ตายด้วยเถิด” 24ฝ่ายพระเยซูได้ไปกับคนนั้น
มีคนเป็นอันมากตามพระองค์ไป และเบียดเสียดพระองค์ 25มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกเลือดได้สิบสองปีมาแล้ว 26ได้ทนทุกข์ลำบากมากเพราะมีหมอหลายคนมารักษา และได้เสียทรัพย์จนหมดสิ้น โรคนั้นก็มิได้บรรเทาแต่ยิ่งกำเริบขึ้น 27ครั้นผู้หญิงนั้นได้ยินถึงเรื่องพระเยซู เธอก็เดินปะปนกับประชาชนที่เบียดเสียดข้างหลังพระองค์ และได้ถูกต้องชายเสื้อของพระองค์ 28เพราะเธอคิดว่า “ถ้าเราได้แตะต้องแต่เสื้อผ้าของพระองค์ เราก็จะหายโรค” 29ในทันใดนั้นเลือดที่ตกก็หยุดแห้งไป และผู้หญิงนั้นรู้สึกตัวว่าโรคหายแล้ว 30บัดเดี๋ยวนั้น พระเยซูรู้สึกว่าฤทธิ์ซ่านออกจากพระองค์แล้ว จึงเหลียวหลังในขณะที่ฝูงชนเบียดเสียดกันนั้นกล่าวว่า “ใครถูกต้องชายเสื้อของเรา”
31ฝ่ายเหล่าศิษย์ก็บอกพระองค์ว่า “อาจารย์ก็เห็นแล้วว่า ประชาชนกำลังเบียดเสียดอาจารย์ และอาจารย์ยังจะถามอีกหรือว่า ‘ใครถูกต้องเรา’” 32แล้วพระองค์ก็มองดูรอบ ๆ ประสงค์จะเห็นผู้หญิงที่ได้กระทำสิ่งนั้น 33ฝ่ายผู้หญิงนั้นก็กลัวจนตัวสั่น เพราะรู้เรื่องที่เป็นแก่ตัวนั้น จึงมากราบลงบอกพระองค์ตามจริงทั้งสิ้น 34พระองค์จึงกล่าวแก่ผู้หญิงนั้นว่า “ลูกเอ๋ย ที่เจ้าหายโรคนั้นก็เพราะเจ้าเชื่อ จงไปเป็นสุขและหายโรคนี้เถิด” 35เมื่อพระองค์ยังกล่าวไม่ทันขาดคำ มีบางคนได้มาจากบ้านเจ้าอาวาสบอกว่า “ลูกสาวของท่านตายแล้ว ยังจะรบกวนอาจารย์ทำไมอีกเล่า”
36ทันทีที่พระเยซูฟังคำซึ่งเขาว่านั้น พระองค์จึงกล่าวแก่เจ้าอาวาสว่า “อย่าวิตกเลย จงเชื่อเท่านั้นเถิด” 37พระองค์ไม่อนุญาตให้ผู้ใดไปด้วยเว้นแต่เปโตร ยากอบ และยอห์นน้องชายของยากอบ 38ครั้นพระองค์เข้าไปถึงเรือนเจ้าอาวาสแล้ว ก็เห็นคนวุ่นวายร้องไห้คร่ำครวญเป็นอันมาก 39และเมื่อพระองค์เข้าไปแล้วจึงถามเขาว่า “ท่านทั้งหลายพากันร้องไห้วุ่นวายไปทำไม เด็กหญิงนั้นไม่ตายแต่นอนหลับอยู่” 40เขาก็พากันหัวเราะเยาะพระองค์ แต่เมื่อพระองค์ขับคนทั้งหลายออกไปแล้ว จึงนำบิดามารดาของเด็กหญิงนั้นและศิษย์สามคนที่อยู่กับพระองค์ เข้าไปในที่ที่เด็กหญิงนอนอยู่
41พระองค์จึงจับมือเด็กหญิงนั้นกล่าวแก่เขาว่า “ทาลิธา คูมิ” แปลว่า “เด็กหญิงเอ๋ย เราว่าแก่เจ้าว่า จงลุกขึ้นเถิด” 42ในทันใดนั้นเด็กหญิงนั้นก็ลุกขึ้นเดิน เพราะว่าเด็กนั้นอายุได้สิบสองปี คนทั้งปวงก็ประหลาดใจอย่างยิ่ง 43พระองค์ก็กำชับห้ามเขาแข็งแรงไม่ให้บอกผู้ใดให้รู้เหตุการณ์นี้ แล้วจึงสั่งเขาให้นำอาหารมาให้เด็กนั้นรับประทาน
1ฝ่ายพระองค์ได้ออกจากที่นั่น ไปยังตำบลบ้านของพระองค์ และเหล่าสาวกของพระองค์ก็ตามพระองค์ไปด้วย 2พอถึงวันศีลพระองค์ตั้งต้นสั่งสอนในวัดหรือสุเหร่า และคนเป็นอันมากที่ได้ยินพระองค์ก็ประหลาดใจยิ่งนักพูดกันว่า “คนนี้ได้ความคิดนี้มาจากไหน? สติปัญญาที่ได้ประทานแก่คนนี้เป็นปัญญาอย่างใด? จึงทำการมหัศจรรย์อย่างนี้สำเร็จด้วยมือของเขา 3คนนี้เป็นช่างไม้บุตรชายนางมารีย์ไม่ใช่หรือ? ยากอบ โยเสส ยูดาส และซีโมนเป็นน้องชายเขาไม่ใช่หรือ และน้องสาวเขาก็อยู่ที่นี่กับเราไม่ใช่หรือ?” เขาทั้งหลายจึงไม่พอใจในพระองค์ 4ฝ่ายพระเยซูกล่าวกับเขาว่า “ศาสดาพยากรณ์จะไม่ขาดความนับถือ เว้นแต่ในเมืองของตน ท่ามกลางญาติพี่น้องของตน และในวงศ์วานของตน” 5พระองค์จะทำการมหัศจรรย์ที่นั่นไม่ได้ เว้นแต่ได้ปรกมือถูกต้องคนเจ็บบางคนให้หายโรค 6พระองค์ก็ประหลาดใจเพราะเขาไม่มีความเชื่อ แล้วพระองค์จึงเดินทางไปสั่งสอนตามหมู่บ้านโดยรอบ
7พระองค์เรียกสาวกสิบสองคนมา แล้วเริ่มใช้เขาให้ออกไปเป็นคู่ ๆ ประทานอำนาจให้เขาขับผีร้ายออกได้ 8และกำชับเขาไม่ให้เอาอะไรไปใช้ตามทาง เว้นแต่ไม้เท้าสิ่งเดียว ห้ามไม่ให้เอาอาหารหรือย่าม หรือหาสตางค์ใส่กระเป๋าไป 9แต่ให้สวมรองเท้าและไม่ให้สวมเสื้อสองตัว 10แล้วพระองค์สั่งเขาว่า “ถ้าไปแห่งใด เมื่อเข้าอาศัยในเรือนไหน ก็อาศัยในเรือนนั้นจนกว่าจะไปจากที่นั่น 11และถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับไม่ฟังพวกเจ้าทั้งหลาย เมื่อจะไปจากที่นั่นจงสะบัดผงฝุ่นใต้ฝ่าเท้าของพวกเจ้าออกเป็นสักขีพยานต่อเขา เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า ในวันพิพากษานั้น โทษของเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์จะเบากว่าโทษของเมืองนั้น” 12ฝ่ายเหล่าสาวกก็ออกไปสั่งสอนประกาศให้คนทั้งปวงกลับใจหันหลังจากความผิดบาป 13เขาได้ขับผีให้ออกหลายผี และได้เอาน้ำมันชโลมคนเจ็บป่วยหลายคนให้หายโรค
14ฝ่ายกษัตริย์เฮโรดทราบเรื่องของพระเยซู (เพราะว่าชื่อเสียงของพระองค์ได้เลื่องลือไป) แล้วเฮโรดตรัสว่า “ยอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว เหตุฉะนั้นจึงทำการมหัศจรรย์ได้” 15แต่คนอื่นว่า “เป็นเอลียาห์” และคนอื่น ๆ ว่า “เป็นศาสดาพยากรณ์คนหนึ่งหรือเหมือนคนหนึ่งในพวกศาสดาพยากรณ์” 16ฝ่ายเฮโรดเมื่อทราบแล้วจึงตรัสว่า “คือยอห์นนั้นเองที่เราได้ตัดศีรษะเสีย เขาได้เป็นขึ้นมาจากความตาย” 17ด้วยว่าเฮโรดได้ใช้คนไปจับยอห์น และล่ามโซ่ขังคุกไว้ เพราะเห็นแก่พระนางเฮโรเดียสมเหสีของฟีลิปอนุชาของตน ด้วยเฮโรดได้รับนางนั้นเป็นมเหสีของตน 18เพราะยอห์นได้เคยบอกเฮโรดว่า “ฝ่าบาททำผิดธรรมบัญญัติ ที่รับมเหสีของอนุชามาเป็นมเหสีของตน”
19พระนางเฮโรเดียสจึงผูกพยาบาทยอห์น และปรารถนาจะฆ่าท่านเสียแต่ฆ่าไม่ได้ 20เพราะเฮโรดยำเกรงยอห์นด้วยรู้ว่า ยอห์นเป็นคนบูญและบริสุทธิ์จึงได้ป้องกันท่านไว้ เมื่อเฮโรดได้ยินคำสั่งสอนของยอห์นก็ปฏิบัติตามหลายสิ่ง และยินดีรับฟัง 21ครั้นอยู่มาวันหนึ่งเป็นโอกาสดีคือเป็นวันฉลองวันประสูติของเฮโรด เฮโรดให้จัดการเลี้ยงสมาชิกสภาศาสนากับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ และคนสำคัญ ๆ ทั้งปวงในมณฑลกาลิลี 22เมื่อพระธิดาสาวของพระนางเฮโรเดียสเข้ามาเต้นรำ ทำให้เฮโรด และแขกทั้งปวงซึ่งอยู่ด้วยกันนั้นพอพระทัย เฮโรดจึงตรัสกับหญิงสาวนั้นว่า “เจ้าจะขอสิ่งใดจากเรา เราก็จะให้สิ่งนั้นแก่เจ้า” 23และเฮโรดจึงได้ให้คำมั่นสัญญาไว้กับหญิงสาวนั้นว่า “เจ้าจะขอสิ่งใด ๆ จากเรา เราจะให้สิ่งนั้นแก่เธอจนถึงครึ่งราชสมบัติของเรา”
24หญิงสาวนั้นจึงออกไปถามพระมารดาว่า “หม่อมฉันจะขอสิ่งใดดี” พระมารดาจึงตอบว่า “จงขอศีรษะยอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำเถิด” 25ในทันใดนั้นหญิงสาวก็รีบเข้าไปเฝ้าเฮโรดทูลว่า “หม่อมฉันขอศีรษะของยอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำใส่ถาดมาให้หม่อมฉันเดี๋ยวนี้เพคะ” 26เฮโรดก็เป็นทุกข์นัก แต่เพราะเหตุได้ให้คำมั่นสัญญาไว้แล้ว และเพราะเห็นแก่หน้าแขกทั้งปวงซึ่งอยู่ด้วยกัน ก็ปฏิเสธไม่ได้ 27ในขณะนั้นเฮโรดจึงรับสั่งเพชฌฆาต ให้ไปตัดศีรษะยอห์นมา เพชฌฆาตก็ไปตัดศีรษะยอห์นในคุก 28เอาศีรษะของยอห์นใส่ถาดมาให้แก่หญิงสาวนั้น หญิงสาวนั้นก็เอาไปให้แก่พระมารดาของตน 29เมื่อศิษย์ของยอห์นรู้เหตุแล้ว ก็พากันมารับเอาศพของท่านไปฝังไว้ในอุโมงค์
30ฝ่ายอัครทูตพากันมาหาพระเยซู และได้บอกถึงบรรดาการซึ่งเขาได้กระทำและได้สั่งสอน 31แล้วพระองค์กล่าวแก่เขาว่า “ท่านทั้งหลายจงไปหาที่เปลี่ยว หยุดพักหายเหนื่อยสักหน่อยหนึ่ง” เพราะว่ามีคนไปมาเป็นอันมาก จนไม่มีเวลาว่างจะรับประทานอาหารได้ 32พระองค์จึงลงเรือกับสาวกไปยังที่เปลี่ยวแต่ลำพัง 33คนเป็นอันมากเห็นพระองค์กับสาวกกำลังไป และมีหลายคนจำพระองค์ได้ จึงพากันวิ่งออกจากบ้านเมืองทั้งปวงไปถึงก่อน และพากันเฝ้าพระองค์
34ครั้นพระเยซูขึ้นจากเรือแล้ว ก็เห็นประชาชนหมู่ใหญ่ และพระองค์สงสารเขา เพราะว่าเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงเริ่มสั่งสอนเขาเป็นหลายข้อหลายประการ 35เมื่อเวลาล่วงไปมากแล้ว พวกสาวกของพระองค์มาบอกพระองค์ว่า “ที่นี่กันดารอาหารนัก และบัดนี้เวลาก็เย็นลงมากแล้ว 36ขอให้ประชาชนไปเสียเถิด เพื่อเขาจะได้ไปซื้ออาหารรับประทานตามบ้านไร่บ้านนาที่อยู่แถบนี้ เพราะเขาไม่มีอะไรที่จะรับประทานเลย” 37แต่พระองค์ตอบแก่เหล่าสาวกว่า “พวกเจ้าจงเลี้ยงเขาเถิด” เขาบอกพระองค์ว่า “จะให้พวกผมไปซื้ออาหารสักสองร้อยเหรียญเดนาริอันให้เขารับประทานหรือ?” 38พระองค์ตอบเขาว่า “พวกเจ้ามีขนมปังอยู่กี่ก้อน ไปดูซิ” เมื่อรู้แล้วเขาจึงบอกว่า “มีขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว” 39พระองค์จึงสั่งพวกสาวกให้จัดคนทั้งปวงให้นั่งรวมกันที่หญ้าสดเป็นหมู่ ๆ 40ประชาชนก็ได้นั่งรวมกันเป็นหมู่ ๆ หมู่ละร้อยคนบ้าง ห้าสิบบ้าง
41เมื่อพระองค์รับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนหน้าขึ้นฟ้าสวรรค์ขอบพระคุณพระเจ้า แล้วหักขนมปังนั้นให้เหล่าสาวกให้เขาแจกแก่คนทั้งปวง และปลาสองตัวนั้นพระองค์แบ่งให้ทั่วกันด้วย 42เขาได้กินอิ่มทุกคน 43ส่วนเศษขนมปังและปลาที่เหลือนั้นเขาเก็บไว้ได้ถึงสิบสองกระบุงเต็ม 44และในจำนวนคนที่ได้รับประทานขนมปังนั้น มีผู้ชายประมาณห้าพันคน
45และทันใดนั้นพระองค์ได้บอกให้เหล่าสาวกของพระองค์ลงในเรือข้ามไปยังอีกฟากหนึ่งถึงเมืองเบธไซดาก่อน ส่วนพระองค์รอส่งประชาชนกลับบ้าน 46เมื่อพระองค์ลาเขาทั้งหลายแล้วก็ขึ้นไปภูเขาเพื่ออธิษฐานสวดอ้อนวอนที่นั่น 47เมื่อค่ำลงแล้ว เรือของเหล่าสาวกอยู่กลางทะเล ส่วนพระองค์อยู่บนฝั่งแต่ผู้เดียว 48แล้วพระองค์เห็นเหล่าสาวกตีกรรเชียงลำบากเพราะทวนลมอยู่ ครั้นเวลาประมาณตีสี่เศษ ๆ พระองค์จึงเดินบนน้ำทะเลไปหาพวกเขา และเดินเหมือนว่าจะเลยผ่านเขาไป 49เมื่อเหล่าสาวกเห็นพระองค์เดินบนทะเล เขาสำคัญว่าผี แล้วพากันร้องอื้ออึงไป 50เพราะว่าทุกคนเห็นพระองค์แล้วก็กลัว แต่ในทันใดนั้นพระองค์กล่าวแก่เขาว่า “จงชื่นใจเถิด คือเราเอง อย่ากลัวเลย” 51พระองค์จึงขึ้นไปหาเขาบนเรือ แล้วลมก็เงียบลง เหล่าสาวกก็ประหลาดอัศจรรย์ใจเหลือประมาณ 52ด้วยว่าการอัศจรรย์เรื่องขนมปังนั้นเขายังไม่เข้าใจ เพราะใจเขายังดื้อรั้น
53ครั้นข้ามฟากไปแล้ว เขาจอดเรือที่เมืองเยนเนซาเรท 54เมื่อขึ้นจากเรือแล้ว คนทั้งปวงก็จำพระองค์ได้ทันที 55และเขารีบไปทั่วตลอดแว่นแคว้นล้อมรอบ เริ่มเอาคนเจ็บป่วยใส่แคร่หามมายังที่เขาได้ยินข่าวว่าพระองค์อยู่นั้น 56แล้วพระองค์เดินทางไปที่ไหน ๆ ไม่ว่าในหมู่บ้าน ในตำบล หรือในเมือง เขาก็เอาคนเจ็บป่วยมาวางตามถนน อ้อนวอนขอพระองค์โปรดให้คนเจ็บป่วยแตะต้องแต่ชายเสื้อพระองค์ และผู้ใดได้แตะต้องพระองค์แล้วก็หายป่วยทุกคน
1ครั้งนั้นพวกฟาริสีกับพวกคัมภีราจารย์บางคน ซึ่งได้มาจากกรุงเยรูซาเล็ม พากันมาหาพระองค์ 2เมื่อเขาได้เห็นเหล่าสาวกของพระองค์บางคนรับประทานอาหารด้วยมือที่เป็นมลทิน คือมือที่ไม่ได้ล้างก่อน เขาก็ถือว่าผิด 3เพราะว่าพวกฟาริสีกับพวกยิวทั้งสิ้นถือตามประเพณีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษว่า ถ้าไม่ได้ล้างมือตามพิธีโดยเคร่งครัด เขาก็ไม่รับประทานอาหารเลย 4และเมื่อเขามาจากตลาด ถ้าไม่ได้ล้างก่อน เขาก็ไม่รับประทานอาหาร และธรรมเนียมอื่น ๆ อีกหลายอย่างเขาก็ถือ คือล้างถ้วย เหยือก ภาชนะทองสัมฤทธิ์ และโต๊ะ 5พวกฟาริสีกับพวกคัมภีราจารย์จึงถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกสาวกของท่านไม่ประพฤติตามประเพณีสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่รับประทานอาหารโดยไม่ได้ล้างมือเสียก่อน”
6พระองค์ตอบเขาว่า “อิสยาห์ได้พยากรณ์ถึงพวกเจ้าคนหน้าซื่อใจคดก็ถูก ตามที่ได้เขียนไว้ว่า ‘ประชาชนนี้ให้เกียรติเราด้วยริมฝีปาก แต่ใจของเขาห่างไกลจากเรา 7เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์มิได้ ด้วยเอาบทบัญญัติของมนุษย์ มาตู่ว่า เป็นคำสอนของพระเจ้า’ 8ท่านทั้งหลายละธรรมบัญญัติของพระเจ้า และกลับไปถือตามประเพณีของมนุษย์ คือการล้างถ้วย เหยือก และสิ่งอื่น ๆ เช่นนี้อีกหลายสิ่ง เจ้าทั้งหลายก็ทำอยู่”
9พระองค์กล่าวแก่เขาว่า “เหมาะจริงนะ ทื่ท่านทั้งหลายได้ละทิ้งธรรมบัญญัติของพระเจ้า เพื่อจะได้ถือตามประเพณีของพวกท่าน 10เพราะโมเสสได้สั่งไว้ว่า ‘จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน’ และ ‘ผู้ใดด่าแช่งบิดามารดา ผู้นั้นต้องถูกปรับโทษถึงตาย’ 11แต่พวกเจ้ากลับสอนว่า ‘ผู้ใดจะกล่าวแก่บิดามารดาว่า สิ่งใดของข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์แก่ท่าน สิ่งนั้นเป็นโกระบัน’ (แปลว่า เป็นของถวายแด่พระเจ้าแล้ว) 12ท่านทั้งหลายจึงไม่อนุญาตให้ผู้นั้นทำสิ่งใดต่อไป เป็นที่ช่วยบำรุงบิดามารดาของตน 13ท่านทั้งหลายจึงทำให้พระคำของพระเจ้าเป็นหมันไป ด้วยประเพณีของพวกเจ้าซึ่งพวกเจ้าได้สอนไว้ และสิ่งอื่น ๆ เช่นนี้อีกหลายสิ่ง ท่านทั้งหลายก็ทำอยู่”
14แล้วเมื่อพระองค์ได้เรียกประชาชนทั้งหลายเข้ามาแล้ว ก็กล่าวกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจงฟังเราและเข้าใจเถิด 15ไม่มีสิ่งใดภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์จะกระทำให้มนุษย์เป็นมลทินได้ แต่สิ่งซึ่งออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละกระทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 16ใครมีหูฟังได้ จงฟังเถิด” 17ครั้นพระองค์ได้เข้าไปในเรือนพ้นจากประชาชนแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์ก็ได้ถามพระองค์ถึงคำอุปมานั้น 18พระองค์จึงกล่าวแก่เขาว่า “ถึงพวกเจ้าก็ยังไม่เข้าใจหรือ? พวกเจ้ายังไม่เห็นหรือว่าสิ่งใด ๆ แต่ภายนอกที่เข้าไปภายในมนุษย์จะกระทำให้มนุษย์เป็นมลทินไม่ได้ 19เพราะว่าสิ่งนั้นไม่ได้เข้าในใจ แต่ลงไปในท้องแล้วก็ถ่ายออกลงส้วมไป ทำให้อาหารทุกอย่างปราศจากมลทิน” 20พระองค์กล่าวว่า “สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน 21เพราะว่าจากภายในมนุษย์คือจากใจมนุษย์ มีความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี การผิดผัวผิดเมีย การฆ่าคน 22การลักขโมย การโลภ ความชั่ว การล่อลวงเขา ราคะตัณหา อิจฉาตาร้อน การหมิ่นประมาท ความเย่อหยิ่ง ความโฉด 23สารพัดการชั่วนี้เกิดมาจากภายใน และทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”
24พระองค์จึงลุกขึ้นจากที่นั่นไปยังเขตแดนเมืองไทระและเมืองไซดอน แล้วเข้าไปในเรือนแห่งหนึ่งประสงค์จะไม่ให้ผู้ใดรู้ แต่พระองค์จะซ่อนอยู่ไม่ได้ 25เพราะผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งมีลูกสาวที่มีผีร้ายสิง เมื่อได้ยินข่าวถึงพระองค์ก็มากราบลงแทบเท้าของพระองค์ 26ผู้หญิงนั้นเป็นชาวกรีก ชาติซีเรียฟีนิเซีย และนางอ้อนวอนขอพระองค์ให้ขับผีออกจากลูกสาวของตน 27ฝ่ายพระเยซูกล่าวแก่นางนั้นว่า “ให้พวกลูกกินอิ่มเสียก่อน เพราะว่าซึ่งจะเอาอาหารของลูกโยนให้แก่สุนัขก็ไม่ควร” 28แต่นางตอบพระองค์ว่า “จริงด้วยอาจารย์ แต่สุนัขที่อยู่ใต้โต๊ะนั้นย่อมกินเดนอาหารของลูก” 29แล้วพระองค์กล่าวแก่นางว่า “เพราะเหตุถ้อยคำนี้จงกลับไปเถิด ผีออกจากลูกสาวของเจ้าแล้ว” 30ฝ่ายหญิงนั้นเมื่อไปยังเรือนของตน ได้เห็นลูกนอนอยู่บนที่นอน และทราบว่าผีออกแล้ว
31ต่อมาพระองค์จึงออกจากเขตแดนเมืองไทระและเมืองไซดอน เดินตามทางแคว้นทศบุรี มายังทะเลสาบกาลิลี 32เขาพาชายหูหนวกพูดติดอ่างคนหนึ่งมาหาพระองค์ แล้วอ้อนวอนขอพระองค์ให้ปรกมือบนคนนั้น 33พระองค์จึงนำคนนั้นออกจากประชาชนไปอยู่ต่างหาก เอานิ้วมือยอนเข้าที่หูของชายผู้นั้น และบ้วนน้ำลายเอานิ้วมือจิ้มแตะลิ้นคนนั้น 34แล้วพระองค์แหงนหน้าขึ้นฟ้าสวรรค์ ถอนหายใจกล่าวแก่คนนั้นว่า “เอฟฟาธา” แปลว่า “จงเปิดออก” 35แล้วในทันใดนั้นหูคนนั้นก็ปกติ สิ่งที่ขัดลิ้นนั้นก็หลุดและเขาพูดได้ชัด 36พระองค์ห้ามปรามคนทั้งหลายมิให้แจ้งความนี้แก่ผู้ใดเลย แต่พระองค์ยิ่งห้ามปรามพวกเขา เขาก็ยิ่งเล่าลือไปมาก 37พวกเขาก็ประหลาดใจเหลือเกิน พูดกันว่า “สิ่งที่ท่านผู้นี้ทำล้วนแต่ดีทั้งนั้น ท่านทำคนหูหนวกให้ได้ยิน คนใบ้ให้พูดได้”
1ในคราวนั้นเมื่อฝูงชนพากันมามากมาย และไม่มีอาหารกิน พระเยซูจึงเรียกเหล่าสาวกของพระองค์มากล่าวแก่เขาว่า 2“เราสงสารคนเหล่านี้ เพราะเขาค้างอยู่กับเราได้สามวันแล้ว และไม่มีอาหารจะกิน 3ถ้าเราจะให้เขากลับไปบ้านเมื่อยังอดอาหารอยู่ เขาจะหิวโหยสิ้นแรงตามทาง เพราะว่าบางคนมาไกล” 4เหล่าสาวกของพระองค์จึงตอบว่า “ในถิ่นทุรกันดารนี้จะหาอาหารให้เขากินอิ่มได้ที่ไหน” 5พระองค์ถามเขาว่า “พวกท่านมีขนมปังกี่ก้อน” เขาทูลว่า “มีเจ็ดก้อน” 6พระองค์จึงสั่งประชาชนให้นั่งลงที่พื้นดิน แล้วรับขนมปังเจ็ดก้อนนั้น ขอบพระคุณพระเจ้า แล้วจึงหักส่งให้เหล่าสาวกให้เขาแจก เหล่าสาวกจึงแจกให้ประชาชน 7และเขามีปลาเล็ก ๆ อยู่บ้าง พระองค์จึงขอบพระคุณ แล้วสั่งให้เอาปลานั้นแจกด้วย 8คนทั้งปวงได้รับประทานจนอิ่ม และเศษอาหารที่เหลือนั้นเขาเก็บได้เจ็ดกระบุง 9คนที่รับประทานนั้นมีประมาณสี่พัน แล้วพระองค์สั่งให้เขาไป 10ในทันใดนั้น พระองค์ก็ลงเรือกับเหล่าสาวกของพระองค์ มาถึงเขตเมืองดาลมานูธา
11พวกฟาริสีออกมาและเริ่มโต้เถียงกับพระองค์ ขอให้พระองค์แสดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์ โดยมีจุดหมายจะทดสอบพระองค์ 12พระองค์ถอนหายใจแล้วกล่าวว่า “คนยุคนี้แสวงหาหมายสำคัญทำไม เราว่าแก่เจ้าทั้งหลายจริง ๆ ว่า จะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่คนยุคนี้” 13แล้วพระองค์เดินทางหนีไปจากเขา และลงเรื่อข้ามฟากไปอีก
14ฝ่ายเหล่าสาวกลืมเอาขนมปังไป และในเรือเขามีขนมปังอยู่ก้อนเดียวเท่านั้น 15พระองค์กำชับเหล่าศิษย์ว่า “จงสังเกตและระวังเชื้อแห่งพวกฟาริสี และเชื้อแห่งเฮโรดให้ดี” 16เหล่าสาวกจึงปรึกษากันว่า “เพราะเหตุที่เราไม่มีขนมปัง” 17เมื่อพระเยซูทราบจึงกล่าวแก่เขาว่า “เหตุไฉนพวกเจ้าจึงปรึกษากันและกันถึงเรื่องไม่มีขนมปัง เจ้ายังไม่รู้และไม่เข้าใจหรือ? ใจของเจ้ายังแข็งดื้อรั้นหรือ? 18มีตาแล้วยังไม่เห็นหรือ? มีหูแล้วยังไม่ได้ยินหรือ? พวกเจ้าจำไม่ได้หรือ? 19เมื่อเราหักขนมปังห้าก้อนให้แก่คนห้าพันคนนั้น พวกเจ้าเก็บเศษที่เหลือนั้นได้กี่กระบุง” เขาตอบพระองค์ว่า “ได้สิบสองกระบุงครับ” 20“เมื่อแจกขนมปังเจ็ดก้อนให้แก่คนสี่พันคนนั้น พวกเจ้าเก็บเศษที่เหลือได้กี่กระบุง” เขาทูลตอบว่า “ได้เจ็ดกระบุง” 21พระองค์จึงกล่าวแก่เขาว่า “เป็นไฉนพวกเจ้ายังไม่เข้าใจ”
22พระองค์จึงเดินทางไปยังเมืองเบธไซดา เขาพาชายตาบอดคนหนึ่งมาหาพระองค์ อ้อนวอนขอพระองค์ให้โปรดถูกต้องคนนั้น 23พระองค์ได้จูงมือคนตาบอดออกไปนอกหมู่บ้าน เมื่อได้บ้วนน้ำลายลงที่ตาคนนั้น และปรกมือบนเขาแล้ว พระองค์จึงถามเขาว่า เขาเห็นสิ่งใดบ้างหรือไม่? 24คนนั้นเงยหน้าดูแล้วตอบว่า “ผมแลเห็นคนเหมือนต้นไม้เดินไปเดินมา” 25พระองค์จึงปรกมือบนตาเขาอีก แล้วให้เขาเงยหน้าดู และตาของเขาก็หายเป็นปกติ แลเห็นคนทั้งหลายได้ชัดเจน 26พระองค์จึงสั่งคนนั้นให้กลับตรงไปยังบ้านของตน แล้วกำชับว่า “อย่าเข้าไปในหมู่บ้าน หรือเล่าให้ใครในหมู่บ้านนั้นฟังเลย”
27พระเยซูได้ไปกับเหล่าสาวกของพระองค์ ออกไปยังหมู่บ้านแขวงซีซารียา ฟีลิปปี เมื่ออยู่ตามทางนั้น พระองค์ถามเหล่าสาวกว่า “คนทั้งหลายพูดกันว่าเราเป็นผู้ใด” 28เขาตอบว่า “เขาว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำ แต่บางคนว่าเป็นเอลียาห์ และคนอื่นว่าเป็นคนหนึ่งในพวกศาสดาพยากรณ์” 29พระองค์จึงถามเขาว่า “แล้วพวกเจ้าล่ะ ว่าเราเป็นผู้ใด” เปโตรตอบพระองค์ว่า “อาจารย์เป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ครับ” 30แล้วพระองค์กำชับห้ามเหล่าสาวกไม่ให้บอกผู้ใดถึงพระองค์
31พระองค์จึงเริ่มสอนสาวกว่า บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ พวกผู้อาวุโส พวกมหาปุโรหิต และพวกคัมภีราจารย์จะปฏิเสธพระองค์ และพระองค์จะต้องถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามพระองค์จะเป็นขึ้นมาใหม่ 32คำเหล่านี้พระองค์กล่าวโดยเปิดเผย ฝ่ายเปโตรจึงจับพระองค์ไว้ แล้วเริ่มห้ามพระองค์ 33พระองค์จึงหันหน้าไปดูเหล่าสาวกของพระองค์ แล้วตำหนิเปโตรว่า “อ้ายซาตาน จงถอยไปข้างหลังเรา เพราะเจ้าไม่ได้คิดตามความคิดของพระเจ้า แต่ตามความคิดของมนุษย์”
34และเมื่อพระองค์ร้องเรียกประชาชนกับเหล่าสาวกของพระองค์ให้เข้ามาแล้ว จึงกล่าวแก่เขาว่า “ถ้าผู้ใดจะต้องการจะตามเรามา ให้ผู้นั้นละทิ้งตัวกูของกู และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา 35เพราะว่าผู้ใดอยากจะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เราและบารมีของพระเจ้า ผู้นั้นจะได้ชีวิตที่หลุดพ้น 36เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องสูญเสียจิตวิญญาณของตน ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร 37เพราะว่าผู้นั้นจะนำอะไรไปแลกเอาจิตวิญญาณของตนกลับคืนมา 38เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดมีความละอายเพราะเรา และถ้อยคำของเราในชั่วอายุนี้ ซึ่งประกอบด้วยการล่วงประเวณี และการผิดบาป บุตรมนุษย์ก็จะมีความละอายเพราะผู้นั้น ในเวลาเมื่อพระองค์จะกลับมาด้วยสง่าราศีแห่งพระเจ้าผู้เป็นพ่อของพระองค์ และด้วยเหล่าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์”
1พระองค์ยังกล่าวแก่เขาอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ในพวกท่านที่ยืนอยู่ที่นี่ มีบางคนที่จะไม่รู้รสความตายจนกว่าจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้ามาด้วยฤทธานุภาพ”
2ครั้นล่วงไปได้หกวันแล้ว พระเยซูได้พาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นภูเขาสูงแต่ลำพัง แล้วร่างกายของพระองค์ก็เปลี่ยนไปต่อหน้าเขา 3และเสื้อผ้าของพระองค์ก็ส่องประกายขาวดุจหิมะ จะหาช่างฟอกผ้าทั่วแผ่นดินโลกฟอกให้ขาวอย่างนั้นก็ไม่ได้ 4แล้วเอลียาห์กับโมเสสก็ปรากฏแก่พวกสาวกเหล่านั้น และเฝ้าสนทนากับพระเยซู 5ฝ่ายเปโตรบอกพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกผมทำพเพิงพักสามหลัง สำหรับอาจารย์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” 6ที่เปโตรพูดอย่างนั้นก็เพราะไม่รู้จะว่าอย่างไร ด้วยเขาทั้งหลายกำลังกลัวนัก 7แล้วมีเมฆมาปกคลุมเขาไว้ และมีเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า “ท่านผู้นี้เป็นลูกที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด” 8ทันใดนั้น เมื่อสาวกแลดูรอบ ๆ ก็ไม่เห็นผู้ใด เห็นแต่พระเยซูอยู่กับเขา
9เมื่อกำลังลงมาจากภูเขา พระองค์ก็ห้ามเหล่าสาวกไม่ให้นำสิ่งที่ได้เห็นนั้นไปบอกแก่ผู้ใดเลย จนกว่าบุตรมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตาย 10เหตุการณ์นั้นเหล่าสาวกก็เก็บงำไว้ แต่ซักถามกันว่า ที่พระองค์กล่าวว่าจะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้น จะหมายความว่าอย่างไร? 11เขาจึงถามพระองค์ว่า “เหตุไฉนพวกคัมภีราจารย์จึงว่าเอลียาห์จะต้องมาก่อน” 12พระองค์จึงตอบเขาว่า “เอลียาห์ต้องมาก่อนจริง และทำให้สิ่งทั้งปวงคืนสู่สภาพเดิม อนึ่งมีคำเขียนไว้อย่างไรถึงบุตรมนุษย์ว่า พระองค์จะต้องทนทุกข์เวทนาหลายประการ และคนจะดูหมิ่นละทิ้งพระองค์เสีย 13แต่เราบอกแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า เอลียาห์นั้นได้มาแล้ว และซึ่งเขาอยากจะทำแก่เจ้าอย่างไร เขาก็ได้กระทำแล้ว ตามที่มีคำเขียนกล่าวไว้ถึงพวกเจ้า”
14เมื่อพระองค์ได้มายังเหล่าสาวก ก็เห็นฝูงชนเป็นอันมากอยู่ล้อมรอบเขา และพวกคัมภีราจารย์กำลังซักไซ้ไล่เลียงเขาอยู่ 15ในทันใดนั้น เมื่อบรรดาประชาชนเห็นพระองค์ก็ประหลาดใจนัก จึงวิ่งเข้ามาเคารพพระองค์ 16พระองค์จึงถามพวกคัมภีราจารย์ว่า “ท่านซักไซ้ไล่เลียงกับเขาด้วยข้อความอันใด” 17มีคนหนึ่งในหมู่ประชาชนตอบว่า “อาจารย์ครับ ผมได้พาลูกชายของผมมาหาอาจารย์เพราะผีเป็นใบ้เข้าสิง 18ผีพาเขาไปที่ไหน ๆ ก็ทำให้ล้มชักดิ้นไป มีอาการน้ำลายฟูมปาก และขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วก็อ่อนระโหย ผมได้ขอเหล่าสาวกของพระองค์ให้ขับผีนั้นออกเสีย แต่เขาขับให้ออกไม่ได้” 19พระองค์จึงกล่าวแก่คนนั้นว่า “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อ เราจะต้องอยู่กับเจ้านานเท่าใด เราจะต้องอดทนกับเจ้านานเท่าใด จงพาเด็กนั้นมาหาเราเถิด”
20เขาก็พาเด็กนั้นมาหาพระองค์ และเมื่อเห็นพระองค์แล้ว ในทันใดนั้นผีนั้นจึงทำให้เขาชักล้มลงกลิ้งเกลือกที่ดิน มีน้ำลายฟูมปาก 21พระองค์จึงถามบิดาของเด็กนั้นว่า “เป็นอย่างนี้มานานสักเท่าไร” บิดาตอบว่า “ตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก ๆ มา 22และผีก็ทำให้เด็กตกในไฟ และในน้ำบ่อย ๆ หมายจะฆ่าเสียให้ตาย แต่ถ้าพระองค์สามารถทำได้ ขอโปรดกรุณาและช่วยเราด้วยลูกผมด้วยเถิด” 23พระเยซูจึงกล่าวแก่เขานั้นว่า “ถ้าท่านเชื่อได้ ใครเชื่อก็ทำให้ได้ทุกสิ่ง” 24ทันใดนั้น บิดาของเด็กก็ร้องบอกด้วยน้ำตาไหลว่า “ผมเชื่อแล้วครับ ที่ผมยังขาดความเชื่อนั้น ขออาจารย์โปรดช่วยให้เชื่อด้วยเถิด”
25เมื่อพระเยซูเห็นประชาชนกำลังวิ่งเข้ามา พระองค์ก็สำทับผีร้ายนั้นว่า “อ้ายผีใบ้หูหนวก เราสั่งเจ้าให้ออกมาจากเขา อย่าได้กลับเข้าสิงเขาอีกเลย” 26ผีนั้นจึงร้องอื้ออึงทำให้เด็กนั้นชักดิ้นเป็นอันมาก แล้วก็ออกมา เด็กนั้นก็แน่นิ่งเหมือนคนตาย จนมีหลายคนกล่าวว่า “เขาตายแล้ว” 27แต่พระเยซูจับมือพยุงเด็กนั้น เด็กนั้นก็ยืนขึ้น 28เมื่อพระองค์เข้าไปในเรือนแล้ว เหล่าสาวกของพระองค์มาถามเป็นส่วนตัวว่า “ทำไมพวกผมขับผีนั้นออกไม่ได้” 29พระองค์ตอบเขาว่า “ผีอย่างนี้จะขับให้ออกไม่ได้เลย เว้นแต่โดยการอธิษฐานและการถือศีลอด”
30พระองค์กับเหล่าสาวกจึงออกไปจากที่นั่น เดินทางไปในแคว้นกาลิลี แต่พระองค์ไม่ประสงค์จะให้ผู้ใดรู้ 31ด้วยว่าพระองค์ได้พร่ำสอนสาวกของพระองค์ว่า “บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของคน และเขาจะประหารท่านเสีย เมื่อประหารแล้ว ในวันที่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่” 32แต่ถ้อยคำนี้เหล่าสาวกไม่ได้เข้าใจเลย ครั้นจะถามพระองค์ก็เกรงใจ
33พระองค์จึงมายังเมืองคาเปอรนาอุม และเมื่อเข้าไปในเรือนแล้ว พระองค์ถามเหล่าสาวกว่า “เมื่อมาตามทางนั้น พวกเจ้าได้โต้แย้งกันด้วยข้อความอันใด” 34เหล่าสาวกก็นิ่งอยู่ เพราะเมื่อมาตามทางนั้นเขาได้เถียงกันว่า คนไหนจะเป็นใหญ่กว่ากัน 35พระองค์ได้นั่งลง แล้วเรียกสาวกสิบสองคนนั้นมากล่าวแก่เขาว่า “ถ้าผู้ใดอยากจะได้เป็นคนแรก ก็ให้ผู้นั้นเป็นคนท้ายสุด และเป็นผู้รับใช้ของคนทั้งปวง” 36พระองค์จึงเอาเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งมาให้ยืนท่ามกลางเหล่าศิษย์ แล้วอุ้มเด็กนั้นไว้ กล่าวแก่เหล่าสาวกว่า 37“ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็ก ๆ เช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเรา และผู้ใดได้รับเรา ผู้นั้นก็ไม่ใช่รับเรา แต่รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา”
38ยอห์นจึงพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ พวกผมได้เห็นคนหนึ่งขับผีออกโดยนามของอาจารย์ ซึ่งคนนั้นไม่ได้ตามพวกเรามา และพวกผมได้ห้ามเขา เพราะเขาไม่ได้ตามพวกเรามา” 39พระเยซูจึงกล่าวว่า “อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าไม่มีผู้ใดจะกระทำการอัศจรรย์ในนามของเรา แล้วอีกประเดี๋ยวหนึ่งอาจกลับพูดประณามเรา 40เพราะผู้ใดไม่เป็นฝ่ายต่อสู้เรา ผู้นั้นก็เป็นฝ่ายเราแล้ว 41เพราะเราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า ผู้ใดจะเอาน้ำถ้วยหนึ่งให้พวกเจ้าดื่มในนามของเรา เพราะพวกเจ้าเป็นฝ่ายของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้นั้นจะขาดบำเหน็จก็หามิได้
42แต่ผู้ใดจะทำผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งที่เชื่อในเราให้หลงผิด ถ้าเอาหินโม่ก้อนใหญ่ผูกคอผู้นั้นถ่วงเสียในทะเลก็ดีกว่า 43และถ้ามือของพวกเจ้าทำให้หลงผิด จงตัดมันทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่ชีวิตด้วยมือด้วนยังดีกว่ามีสองมือและต้องตกนรกในไฟที่ไม่มีวันดับ 44ในที่นั้นตัวหนอนก็ไม่ตาย และไฟก็ไม่ดับเลย 45ถ้าเท้าของพวกเจ้าทำให้ท่านหลงผิด จงตัดมันทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าสู่ชีวิตด้วยเท้าด้วนยังดีกว่ามีเท้าสองเท้าและต้องถูกทิ้งลงในนรกในไฟที่ไม่มีวันดับ 46ในที่นั้นตัวหนอนก็ไม่ตาย และไฟก็ไม่ดับเลย 47ถ้าตาของพวกเจ้าทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย ซึ่งจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าด้วยตาข้างเดียวยังดีกว่ามีสองตา และต้องถูกทิ้งในไฟนรก 48ในที่นั้นตัวหนอนก็ไม่ตาย และไฟก็ไม่ดับเลย 49ด้วยว่าคนทั้งปวงจะต้องถูกชำระด้วยไฟ และเครื่องบูชาทุกอย่างจะต้องถูกชำระด้วยเกลือ 50เกลือเป็นของดี แต่ถ้าเกลือหมดรสเค็มแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกอย่างไรได้ พวกเจ้าจงมีเกลือในตัว และจงอยู่อย่างสงบสุข สามัคคีซึ่งกันและกัน”
1ฝ่ายพระองค์ได้ลุกขึ้นจากที่นั่น เข้าในเขตแดนมณฑลยูเดีย ไปตามทางแม่น้ำจอร์แดนฟากข้างโน้น และประชาชนพากันมาหาพระองค์อีก พระองค์จึงสั่งสอนเขาอีกตามที่พระองค์เคยสอนนั้น
2พวกฟาริสีมาทดสอบพระองค์ถามว่า “ผู้ชายจะหย่าภรรยาของตนเป็นการถูกต้องตามธรรมบัญญัติหรือไม่?” 3พระองค์ถามเขาว่า “โมเสสได้บัญญัติไว้ว่าอย่างไร?” 4เขาตอบว่า “โมเสสอนุญาตให้ทำหนังสือหย่าภรรยาแล้วก็หย่าให้” 5พระเยซูจึงตอบเขาว่า “โมเสสได้เขียนข้อบังคับนั้นเพราะเหตุใจพวกเจ้าดื้อรั้น 6แต่ตั้งเดิมสร้างโลกมา ‘พระเจ้าได้สร้างพวกเขาให้เป็นชายและหญิง 7เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะจากบิดามารดาของเขา จะไปผูกพันอยู่กับภรรยา 8และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน’ เขาจึงไม่เป็นสองต่อไป แต่เป็นเนื้ออันเดียวกัน 9เหตุฉะนั้น ซึ่งพระเจ้าได้ผูกพันกันแล้ว อย่าให้มนุษย์ทำให้พรากจากกันเลย”
10เมื่อเข้าไปในเรือนแล้วเหล่าสาวกถามพระองค์อีกถึงเรื่องนั้น 11พระองค์จึงกล่าวกับเขาว่า “ถ้าผู้ใดหย่าภรรยาของตน แล้วไปมีภรรยาใหม่ ผู้นั้นก็ได้ผิดประเวณีต่อเธอ 12และถ้าหญิงจะหย่าสามีของตน แล้วไปมีสามีใหม่ หญิงนั้นก็ผิดประเวณี”
13ขณะนั้นเขาพาเด็กเล็ก ๆ มาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ถูกต้องตัวเด็กนั้น แต่เหล่าสาวกก็ห้ามปรามคนที่พาเด็กมานั้น 14เมื่อพระเยซูเห็นดังนั้นก็ไม่พอใจ จึงกล่าวแก่เหล่าสาวกว่า “จงยอมให้เด็กเล็ก ๆ เข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของคนเช่นเด็กอย่างนั้น 15เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า ผู้หนึ่งผู้ใดไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็ก ๆ ผู้นั้นจะเข้าในอาณาจักรนั้นไม่ได้” 16แล้วพระองค์อุ้มเด็กเล็ก ๆ เหล่านั้น วางมือบนเขา แล้วอวยพรให้
17เมื่อพระองค์กำลังออกไปตามทาง มีคนหนึ่งวิ่งมาหาพระองค์คุกเข่าลงถามพระองค์ว่า “อาจารย์ผู้ประเสริฐ ผมจะกระทำประการใดจึงจะได้ชีวิตเข้าสู่นิพานเป็นมรดก” 18พระเยซูถามคนนั้นว่า “เจ้าเรียกเราว่าประเสริฐทำไม ไม่มีใครประเสริฐเว้นแต่พระเจ้าองค์เดียว 19เจ้ารู้จักพระบัญญัติแล้วซึ่งว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่ากระทำการฆาตกรรม อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ อย่าฉ้อโกงเขา จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน’” 20คนนั้นจึงตอบพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ข้อเหล่านั้นผมได้ถือรักษาไว้ตั้งแต่เป็นเด็กมา” 21พระเยซูเพ่งดูคนนั้น ก็เมตตาเขา แล้วกล่าวแก่เขาว่า “เจ้ายังขาดอยู่สิ่งหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งเจ้ามีอยู่ แจกจ่ายให้คนยากคนจน แล้วเจ้าจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงแบกกางเขน และตามเรามา” 22เมื่อเขาได้ยินคำนั้นก็เสียใจ แล้วออกไปเป็นทุกข์เพราะเขามีทรัพย์สิ่งของเป็นอันมาก
23พระเยซูจึงมองดูรอบ ๆ แล้วกล่าวแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า “คนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าก็ยากนักหนา” 24เหล่าสาวกก็ประหลาดใจด้วยคำกล่าวของพระองค์ และพระเยซูกล่าวแก่เขาอีกว่า “ลูกเอ๋ย คนที่วางใจในทรัพย์สมบัติจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าก็ยากนักหนา 25ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า”
26เหล่าสาวกก็ประหลาดใจยิ่งนักจึงพูดกันว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะหลุดพ้นได้” 27พระเยซูมองดูเหล่าสาวกแล้วกล่าวว่า “ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่ไม่เหลือกำลังของพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้ากระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง” 28ฝ่ายเปโตรจึงเริ่มบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ พวกผมได้สละสิ่งสารพัด และได้ติดตามอาจารย์มา” 29พระเยซูตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดได้สละบ้าน หรือพี่น้องชายหญิง หรือบิดามารดา หรือภรรยา หรือลูก หรือไร่นา เพราะเห็นแก่เราและบารมีของพระเจ้านั้น 30ในเวลานี้ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนร้อยเท่า คือบ้าน พี่น้องชายหญิง มารดา ลูกและไร่นา ทั้งจะถูกการข่มเหงด้วย และในโลกหน้าจะได้ชีวิตเข้าสู่นิพาน 31แต่มีหลายคนที่เป็นคนแรก จะต้องกลับไปเป็นคนสุดท้าย และที่เป็นคนสุดท้ายจะกลับเป็นคนแรก”
32เมื่อกำลังเดินทางจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูก็เดินนำหน้าเขา ฝ่ายเหล่าสาวกก็พากันคิดประหลาดใจ และขณะที่เขาตามมาก็หวาดกลัว พระองค์จึงเรียกสาวกสิบสองคนอีก แล้วเริ่มสำแดงให้เขารู้ถึงเหตุการณ์ซึ่งจะเกิดแก่พระองค์นั้น 33ว่า “ดูเถิด เราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และเขาจะมอบบุตรมนุษย์ไว้กับพวกมหาปุโรหิตและพวกคัมภีราจารย์ และเขาเหล่านั้นจะปรับโทษท่านถึงตาย และจะมอบท่านไว้กับคนต่างชาติ 34คนต่างชาตินั้นจะเยาะเย้ยท่าน จะเฆี่ยนตีท่าน จะถ่มน้ำลายรดท่าน และจะฆ่าท่านเสีย และวันที่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่”
35ฝ่ายยากอบกับยอห์น บุตรชายของเศเบดี เข้ามาบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ พวกผมทั้งสองอยากจะขอให้อาจารย์ทำตามคำขอของพวกผม” 36พระองค์จึงถามเขาว่า “เจ้าทั้งสองอยากจะให้เราทำสิ่งใด” 37เขาจึงตอบพระองค์ว่า “เมื่ออาจารย์จะมีสง่าราศีนั้น ขอให้พวกผมนั่งที่เบื้องขวาคนหนึ่ง เบื้องซ้ายคนหนึ่ง” 38พระเยซูจึงกล่าวแก่เขาว่า “ที่เจ้าขอนั้นเจ้าไม่เข้าใจ ถ้วยซึ่งเราจะดื่มนั้นเจ้าจะดื่มได้หรือ? และพิธีมุดน้ำนั้นซึ่งเราจะรับ เจ้าจะรับได้หรือ?” 39เขาทั้งสองตอบพระองค์ว่า “ได้ ครับ” พระเยซูจึงกล่าวแก่เขาว่า “ถ้วยซึ่งเราดื่มเจ้าจะดื่มก็จริง และรับพิธีมุดน้ำด้วยพิธีมุดน้ำที่เราจะรับก็จริง 40แต่ที่จะนั่งข้างขวาและข้างซ้ายของเรานั้น ไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะจัดให้ แต่พระเจ้าได้เตรียมไว้สำหรับผู้ใดก็จะให้แก่ผู้นั้น” 41เมื่อสาวกสิบคนได้ยินแล้ว ก็เริ่มมีความขุ่นเคืองยากอบและยอห์น 42พระเยซูจึงเรียกเขาทั้งหลายมากล่าวแก่เขาว่า “พวกเจ้ารู้อยู่ว่า ผู้ที่นับว่าเป็นผู้ครองของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้าเหนือเขา และผู้ใหญ่ทั้งหลายก็ใช้อำนาจบังคับ 43แต่ในพวกเจ้าหาเป็นอย่างนั้นไม่ ถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นใหญ่ในพวกเจ้า ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้ปรนนิบัติรับใช้คนอื่น 44และถ้าผู้ใดใคร่จะได้เป็นเอกเป็นต้น ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้รับใช้ของคนทั้งปวง 45เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติรับใช้ แต่มาเพื่อจะปรนนิบัติรับใช้ เขา และประทานชีวิตให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก”
46ฝ่ายพระเยซูกับพวกสาวกมายังเมืองเยรีโค และเมื่อพระองค์ออกจากเมืองเยรีโคกับพวกสาวกของพระองค์ และประชาชนเป็นอันมาก มีคนตาบอดคนหนึ่ง ชื่อบารทิเมอัส ซึ่งเป็นลูกชายของทิเมอัส นั่งขอทานอยู่ที่ริมหนทาง 47เมื่อคนนั้นได้ยินว่าพระเยซูชาวนาซาเร็ธเดินทางมา จึงเริ่มร้องเสียงดังว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์ผู้เป็นโอรสของดาวิด ขอโปรดเมตตาผมด้วย” 48มีหลายคนห้ามเขาให้เขานิ่งเสีย แต่เขายิ่งร้องเสียงดังขึ้นว่า “โอรสของดาวิดครับ ขอเมตตาข้าฯด้วยเถิด” 49พระเยซูหยุด ยืนอยู่ แล้วสั่งให้เรียกคนนั้นมา เขาจึงเรียกคนตาบอดนั้นว่าแก่เขาว่า “จงชื่นใจและลุกขึ้นเถิด พระองค์เรียกเจ้า” 50คนนั้นก็ทิ้งผ้าห่ม แล้วลุกขึ้นมาหาพระเยซู 51พระเยซูจึงถามเขาว่า “เจ้าอยากจะให้เราทำอะไรแก่เจ้า” คนตาบอดนั้นบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ขอโปรดให้ตาของผมมองเห็นได้” 52พระเยซูกล่าวแก่เขาว่า “จงไปเถิด ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้าหายปกติแล้ว” ในทันใดนั้นคนตาบอดนั้นก็เห็นได้ และเขาก็ได้เดินทางตามพระเยซูไป
1ครั้นพระองค์กับพวกสาวกมาใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ถึงหมู่บ้านเบธฟายี และหมู่บ้านเบธานีเชิงภูเขามะกอกเทศ พระองค์ใช้สาวกสองคน 2สั่งเขาว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้า ครั้นเข้าไปแล้วในทันใดนั้นจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ที่ยังไม่มีใครขึ้นขี่เลย จงแก้มันจูงมาเถิด 3ถ้าผู้ใดถามว่า ‘เจ้าทำอย่างนี้ทำไม’ จงบอกว่า พระเจ้าผู้เป็นนายอยากได้ลูกลานี้ และประเดี๋ยวพระองค์จะส่งกลับคืนมาให้ที่นี่”
4สาวกสองคนนั้นจึงไป แล้วพบลูกลาตัวนั้นผูกอยู่นอกประตูที่สี่แยก เขาจึงแก้มัน 5บางคนซึ่งยืนอยู่ที่นั่นถามเขาว่า “แก้ลูกลานั้นทำไม?” 6สาวกก็ตอบตามคำสั่งของพระเยซู แล้วเขาก็ยอมให้เอาไป 7สาวกจึงจูงลูกลามาถึงพระเยซู แล้วเอาเสื้อผ้าของตนปูลงบนหลังลา แล้วพระองค์จึงขี่ลานั้น 8มีคนเป็นอันมากเอาเสื้อผ้าของตนปูลงตามถนนหนทาง และคนอื่นก็ตัดกิ่งไม้จากต้นไม้มาปูลงตามทางนั้น 9ฝ่ายคนที่เดินไปข้างหน้า กับผู้ที่ตามมาข้างหลัง ก็โห่ร้องว่า “สรรเสริญพระเจ้า ขอให้ผู้มาในนามของพระเจ้าผู้เป็นนายจงเจริญ 10ความสุขสวัสดิ์มงคลจงมีแก่อาณาจักรของดาวิด บรรพบุรุษของเรา ที่มาตั้งอยู่ในนามของพระเจ้าผู้เป็นนาย สรรเสริญพระเจ้าในที่สูงสุด” 11พระเยซูก็เข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม และเข้าไปในพระวิหาร เมื่อเห็นสิ่งทั้งปวงแล้วเวลาก็จวนค่ำ จึงออกไปยังหมู่บ้านเบธานีกับเหล่าสาวกสิบสองคนนั้น
12ครั้นรุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับสาวกออกมาจากหมู่บ้านเบธานีแล้ว พระองค์ก็รู้สึกหิวข้าว 13พอเห็นต้นมะเดื่อต้นหนึ่งแต่ไกลมีใบ จึงเสด็จเข้าไปดูว่ามีผลหรือไม่ ครั้นมาถึงต้นนั้นแล้ว ไม่เห็นมีผลมีแต่ใบเท่านั้น เพราะยังไม่ถึงฤดูผลมะเดื่อ 14พระเยซูจึงพูดกับต้นมะเดื่อนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ไปจะไม่มีใครได้กินผลจากเจ้าเลย” เหล่าศิษย์ของพระองค์ก็ได้ยินคำซึ่งพระองค์กล่าวนั้น
15เมื่อพระองค์กับสาวกมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูก็ได้เข้าไปในพระวิหาร แล้วเริ่มขับไล่บรรดาผู้ซื้อขายในพระวิหารนั้น และคว่ำโต๊ะผู้รับแลกเงิน กับทั้งคว่ำม้านั่งผู้ขายนกเขาเสีย 16และห้ามมิให้ผู้ใดขนสิ่งใด ๆ เดินลัดพระวิหาร 17พระองค์สั่งสอนเขาว่า “มีพระคำเขียนไว้มิใช่หรือว่า ‘วิหารของเราประชาชาติทั้งหลายจะเรียกว่า เป็นวิหารแห่งการอธิษฐานสวดอ้อนวอน’ แต่เจ้าทั้งหลายได้กระทำให้เป็น ‘ถ้ำของพวกโจร’” 18เมื่อพวกคัมภีราจารย์และพวกมหาปุโรหิตรู้เช่นนั้น จึงหาช่องที่จะประหารพระองค์เสีย เพราะเขากลัวพระองค์ ด้วยว่าประชาชนประหลาดใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ 19และเมื่อถึงเวลาเย็น พระองค์ได้ออกไปจากกรุง
20ครั้นเวลาเช้า เมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกได้ผ่านที่นั่นไป ก็ได้เ ฃห็นมะเดื่อต้นนั้นเหี่ยวแห้งไปจนถึงราก 21ฝ่ายเปโตรระลึกขึ้นได้จึงบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ต้นมะเดื่อที่อาจารย์ได้สาปไว้นั้นก็เหี่ยวแห้งไปแล้ว” 22พระเยซูจึงตอบเหล่าศิษย์ว่า “จงเชื่อในพระเจ้าเถิด 23เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า ถ้าผู้ใด ๆ จะสั่งภูเขานี้ว่า ‘จงลอยไปลงทะเล’ และมิได้สงสัยในใจ แต่เชื่อว่าจะเป็นไปตามที่สั่งนั้น ก็จะเป็นไปตามคำสั่งนั้นจริง 24เหตุฉะนั้นเราบอกพวกเจ้าทั้งหลายว่า ขณะเมื่อท่านจะอธิษฐานขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ และเจ้าก็จะได้รับสิ่งนั้น 25เมื่อเจ้ากำลังอธิษฐานอยู่ ถ้าเจ้ามีเหตุกับผู้หนึ่งผู้ใด จงยกโทษให้ผู้นั้นเสีย เพื่อพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเจ้า ผู้สถิตในสวรรค์ จะโปรดยกการละเมิดของเจ้าด้วย 26แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ยกโทษให้ พระเจ้าผู้เป็นพ่อของท่าน ผู้สถิตในสวรรค์ จะไม่ทรงโปรดยกการละเมิดของเจ้าเหมือนกัน”
27ฝ่ายพระองค์กับเหล่าสาวกมายังกรุงเยรูซาเล็มอีก เมื่อพระองค์เดินอยู่ในพระวิหาร พวกมหาปุโรหิต พวกคัมภีราจารย์ และพวกผู้อาวุโสมาหาพระองค์ 28บอกพระองค์ว่า “เจ้ามีสิทธิอันใดจึงได้ทำสิ่งเหล่านี้ ใครให้สิทธิแก่เจ้าที่จะทำการนี้ได้” 29พระเยซูจึงตอบเขาว่า “เราจะถามท่านทั้งหลายสักข้อหนึ่งเหมือนกัน จงตอบเรา แล้วเราจะบอกท่านว่า เรากระทำการนี้โดยสิทธิอันใด 30คือพิธีมุดน้ำของยอห์นนั้น มาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์ จงตอบเราเถิด” 31เขาจึงปรึกษากันว่า “ถ้าเราจะว่า ‘มาจากสวรรค์’ เขาจะถามเราว่า ‘เหตุไฉนจึงไม่เชื่อยอห์นเล่า’ 32แต่ถ้าเราจะว่า ‘มาจากมนุษย์’” เขากลัวประชาชน เพราะประชาชนถือว่ายอห์นเป็นศาสดาพยากรณ์จริง ๆ 33เขาจึงตอบพระเยซูว่า “พวกข้าพเจ้าไม่ทราบ” พระเยซูจึงกล่าวกับเขาว่า “เราจะไม่บอกท่านทั้งหลายเหมือนกันว่า เรากระทำการนี้โดยสิทธิอันใด”
1พระองค์จึงเริ่มกล่าวแก่เขาเป็นคำอุปมาว่า “ยังมีชายคนหนึ่งได้ทำสวนองุ่น แล้วล้อมรั้วต้นไม้ไว้รอบ เขาได้สกัดบ่อเก็บน้ำองุ่น และสร้างหอเฝ้า ให้ชาวสวนเช่า แล้วก็ไปเมืองไกลเสีย 2ครั้นถึงฤดูผลองุ่นเขาจึงใช้คนรับใช้คนหนึ่งไปหาคนเช่าสวนนั้น เพื่อเขาจะได้รับส่วนผลของสวนองุ่นจากคนเช่าสวน 3ฝ่ายคนเหล่านั้นก็จับคนรับใช้นั้นเฆี่ยนตี แล้วไล่ให้กลับไปมือเปล่า 4อีกครั้งหนึ่งเจ้าของสวนใช้คนรับใช้อีกคนหนึ่งไปหาคนเช่าสวน คนเช่าสวนนั้นก็เอาหินขว้างคนรับใช้นั้นศีรษะแตก และไล่ให้กลับไปอย่างน่าอัปยศ 5อีกครั้งหนึ่งเจ้าของใช้คนรับใช้ไปอีกคนหนึ่ง เขาก็ฆ่าคนรับใช้นั้นเสีย แล้วยังใช้คนรับใช้ไปอีกหลายคน เขาก็เฆี่ยนตีบ้าง ฆ่าเสียบ้าง 6เจ้าของสวนยังมีลูกชายที่รักคนหนึ่ง จึงใช้ลูกชายคนนั้นไปเป็นครั้งสุดท้าย พูดว่า ‘เขาคงจะเคารพลูกชายของเรา’ 7แต่คนเช่าสวนพูดกันว่า ‘คนนี้แหละเป็นทายาท มาเถอะ ให้เราฆ่าเขาเสีย แล้วมรดกนั้นจะตกอยู่กับเรา’ 8เขาจึงพากันจับลูกชายคนนั้นฆ่าเสีย และเอาศพทิ้งไว้นอกสวน 9เหตุฉะนั้น เจ้าของสวนจะทำประการใด ท่านก็จะมาฆ่าคนเช่าสวนเหล่านั้นเสีย แล้วจะเอาสวนองุ่นนั้นให้ผู้อื่นเช่า 10ท่านทั้งหลายอ่านพระคัมภีร์ตอนนี้แล้วมิใช่หรือซึ่งว่า ‘ศิลาซึ่งช่างก่อได้ปฏิเสธเสีย ได้กลับกลายเป็นศิลามุมเอกแล้ว 11การนี้เป็นมาจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อ เป็นการมหัศจรรย์ประจักษ์แก่ตาเรา’” 12ฝ่ายเขาจึงอยากจะจับพระองค์ แต่ว่าเขากลัวประชาชน ด้วยเขารู้อยู่ว่า พระองค์ได้กล่าวคำอุปมานี้กระทบพวกเขาเอง แล้วเขาก็ไปจากพระองค์
13เขาจึงใช้บางคนในพวกฟาริสีและพวกเฮโรดไปหาพระองค์ เพื่อจะคอยจับผิดในคำพูดของพระองค์ 14ครั้นมาถึงแล้วก็บอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ พวกเราทั้งหลายรู้อยู่ว่า อาจารย์เป็นคนซื่อสัตย์และไม่ได้เอาใจผู้ใด เพราะอาจารย์ไม่ได้เห็นแก่หน้าผู้ใด แต่สั่งสอนทางของพระเจ้าจริง ๆ การที่จะเสียภาษีให้แก่ซีซาร์นั้นถูกต้องตามธรรมบัญญัติหรือไม่? 15เราจะส่งดีหรือไม่ส่งดี” แต่พระองค์รู้อุบายของเขาจึงกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายมาทดสอบเราทำไม? จงเอาเงินตราเหรียญหนึ่งมาให้เราดู” 16เขาก็เอามาให้ พระองค์จึงถามเขาว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?” เขาตอบพระองค์ว่า “ของซีซาร์” 17พระเยซูจึงพูดกับเขาว่า “ของของซีซาร์ จงถวายแก่ซีซาร์ และของของพระเจ้า จงถวายแด่พระเจ้า” ฝ่ายเขาก็ประหลาดใจในพระองค์
18มีพวกสะดูสีมาหาพระองค์ พวกนี้เป็นผู้สอนว่าการเป็นขึ้นมาจากความตายนั้นไม่มี เขาถามพระองค์ว่า 19“อาจารย์ครับ โมเสสได้เขียนสั่งข้าพเจ้าทั้งหลายไว้ว่า ‘ถ้าชายผู้ใดตายและภรรยายังอยู่ แต่ไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายรับพี่สะใภ้นั้นไว้เป็นภรรยาของตน เพื่อสืบเชื้อสายของพี่ชายไว้’ 20ยังมีพี่น้องผู้ชายเจ็ดคน พี่หัวปีมีภรรยาแล้วตาย ไม่มีเชื้อสาย 21น้องคนที่หนึ่งจึงรับหญิงนั้นมาเป็นภรรยา แล้วก็ตาย ยังไม่มีเชื้อสาย และน้องคนที่สองที่สามก็ทำเช่นกัน 22พี่น้องทั้งเจ็ดคนนี้ก็ได้รับผู้หญิงนั้นไว้เป็นภรรยาและไม่มีเชื้อสาย ที่สุดผู้หญิงนั้นก็ตายด้วย 23เหตุฉะนั้น ในวันที่จะเป็นขึ้นมาจากความตาย เมื่อเขาทั้งเจ็ดเป็นขึ้นมาแล้ว หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของใครด้วยนางได้เป็นภรรยาของชายทั้งเจ็ดแล้ว” 24พระเยซูจึงตอบเขาว่า “พวกเจ้าคิดผิดเสียแล้ว เพราะเจ้าทั้งหลายไม่รู้พระคัมภีร์หรือฤทธิ์เดชของพระเจ้า 25เพราะเมื่อมนุษย์จะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้น เขาจะไม่มีการสมรส หรือยกให้เป็นสามีภรรยากันอีก แต่จะเป็นเหมือนทูตสวรรค์ในฟ้าสวรรค์ 26และเรื่องคนซึ่งตายแล้วที่เขาจะถูกบันดาลให้เป็นขึ้นอีกนั้น เจ้าทั้งหลายยังไม่ได้อ่านคัมภีร์ของโมเสสตอนเรื่องพุ่มไม้หรือ? ซึ่งพระเจ้าได้พูดไว้กับโมเสสว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของอับราฮัม เป็นพระเจ้าของอิสอัค และเป็นพระเจ้าของยาโคบ’ 27พระองค์มิได้เป็นพระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น เจ้าทั้งหลายจึงผิดมากทีเดียว”
28มีคัมภีราจารย์คนหนึ่ง เมื่อมาถึงได้ยินเขาไล่เลียงกันและเห็นว่าพระองค์ตอบเขาได้ดี จึงถามว่า “ธรรมบัญญัติข้อใดเป็นเอกเป็นใหญ่กว่าบัญญัติทั้งปวง” 29พระเยซูจึงตอบคนนั้นว่า “ธรรมบัญญัติซึ่งเป็นเอกเป็นใหญ่กว่าบัญญัติทั้งปวงนั้นคือว่า ‘โอ คนอิสราเอล จงฟังเถิด พระเจ้าผู้เป็นนายของเราทั้งหลายเป็นองค์พระเจ้าองค์เดียว 30และพวกเจ้าจงมีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต่อพระเจ้าผู้เป็นนายของเจ้า ด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า ด้วยสิ้นสุดความคิด และด้วยสิ้นสุดกำลังของเจ้า’ นี่เป็นธรรมบัญญัติที่เป็นเอกเป็นใหญ่ 31และธรรมบัญญัติที่สองนั้นก็เป็นเช่นกันคือ ‘จงมีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต่อเพื่อนบ้านเหมือนมีต่อตนเอง’ ธรรมบัญญัติอื่นที่ใหญ่กว่าพระบัญญัติทั้งสองนี้ไม่มี”
32ฝ่ายคัมภีราจารย์คนนั้นบอกพระองค์ว่า “ดีแล้วอาจารย์ครับ อาจารย์กล่าวถูกจริงว่าพระเจ้ามีแต่พระองค์เดียว และนอกจากพระองค์แล้วพระเจ้าอื่นไม่มีเลย 33และซึ่งจะมีพรหมวิหารสี่ต่อพระองค์ด้วยสุดใจ สุดความเข้าใจ สุดจิตและสิ้นสุดกำลัง และมีพรหมวิหารสี่ต่อเพื่อนบ้านเหมือนมีต่อตนเอง ก็ประเสริฐกว่าเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตว์บูชาทั้งสิ้น” 34เมื่อพระเยซูเห็นแล้วว่าคนนั้นพูดโดยใช้ความคิด จึงกล่าวแก่เขาว่า “เจ้าไม่ไกลจากอาณาจักรของพระเจ้า” ตั้งแต่นั้นไปไม่มีใครกล้าถามพระองค์ต่อไปอีก
35เมื่อพระเยซูสั่งสอนอยู่ในพระวิหารได้ถามเขาว่า “ที่พวกคัมภีราจารย์ว่าพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ เป็นเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิดนั้นเป็นได้อย่างไร? 36ด้วยว่ากษัตริย์ดาวิดเองก็กล่าวโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ว่า ‘พระเจ้าพูดกับพระเจ้าผู้เป็นนายของข้าฯว่า จงนั่งที่ขวามือของเรา จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านเป็นแท่นรองเท้าของท่าน’ 37ดาวิดเองยังได้เรียกท่านว่า เป็นพระเจ้าผู้เป็นนาย ท่านจะเป็นเพียงเชื้อสายของดาวิดได้อย่างไร?” ฝ่ายประชาชนทั่วไปฟังพระองค์ด้วยความยินดี
38พระเยซูสั่งสอนเขาในคำสอนของพระองค์ว่า “จงระวังพวกคัมภีราจารย์ให้ดี ผู้ที่ชอบสวมเสื้อยาวเดินไปมา และชอบให้คนคำนับกลางตลาด 39ชอบนั่งที่สูงในวัดหรือสุเหร่าและที่อันมีเกียรติในงานกินเลี้ยง 40เขามักริบเอาเรือนของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว เขาทั้งหลายจะต้องมีโทษหนักยิ่งขึ้น”
41พระเยซูได้ไปยืนอยู่ตรงหน้าตู้เก็บเงินถวาย สังเกตเห็นประชาชนเอาเงินมาใส่ไว้ในตู้นั้น และคนมั่งมีหลายคนเอาเงินมากมาใส่ในที่นั้น 42มีหญิงม่ายคนหนึ่งเป็นคนจนเอาเหรียญทองแดงสองอัน มีค่าประมาณสลึงหนึ่งมาใส่ไว้ 43พระองค์จึงเรียกเหล่าสาวกของพระองค์มากล่าวว่า “เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า หญิงม่ายจนคนนี้ได้ใส่ไว้ในตู้เก็บเงินถวาย มากกว่าคนทั้งปวงที่ใส่ไว้นั้น 44เพราะว่าคนทั้งปวงนั้นได้เอาเงินเหลือใช้ของเขามาใส่ไว้ แต่ผู้หญิงนี้ขัดสนที่สุด ยังได้เอาเงินที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตของตนมาใส่จนหมด”
1เมื่อพระองค์ออกจากพระวิหาร มีสาวกของพระองค์คนหนึ่งบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ดูเถิด ศิลาและตึกเหล่านี้ใหญ่จริง” 2พระองค์จึงพูดกับศิษย์คนนั้นว่า “เจ้าเห็นตึกใหญ่เหล่านี้หรือ? ศิลาที่ซ้อนทับกันอยู่ที่นี่ซึ่งจะไม่ถูกทำลายลงก็ไม่มี”
3เมื่อพระองค์พักอยู่บนภูเขามะกอกเทศตรงหน้าพระวิหาร เปโตร ยากอบ ยอห์นและอันดรูว์มาถามพระองค์เป็นการส่วนตัวว่า 4“อาจารย์ครับ ขอให้อาจารย์บอกให้พวกผมรู้ว่า เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่? อะไรจะเป็นหมายสำคัญว่าการณ์ทั้งปวงนี้จวนจะสำเร็จ” 5พระเยซูจึงตั้งต้นตอบเขาว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงพวกเจ้าให้หลง 6ด้วยว่าจะมีหลายคนมาต่างอ้างนามของเราว่า ‘เราเป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์’ และจะล่อลวงคนเป็นอันมากให้หลงไป 7เมื่อพวกเจ้าทั้งหลายจะได้ยินถึงการสงคราม และข่าวลือเรื่องสงคราม อย่าตื่นตระหนกเลย ด้วยว่าบรรดาสิ่งเหล่านี้จำต้องเกิดขึ้นอย่างแน่อน แต่ที่สุดปลายยังไม่มาถึง 8เพราะประชาชาติต่อประชาชาติ ราชอาณาจักรต่อราชอาณาจักรจะต่อสู้กัน ทั้งจะเกิดแผ่นดินไหวในที่ต่าง ๆ และจะเกิดกันดารอาหาร และความทุกข์ยาก เหตุการณ์ทั้งปวงนี้เป็นขั้นแรกแห่งความทุกข์ลำบาก”
9“แต่จงระวังตัวให้ดี เพราะคนเขาจะมอบพวกเจ้าทั้งหลายไว้กับศาล และจะเฆี่ยนเจ้าในวัดหรือสุเหร่า และพวกเจ้าจะต้องยืนต่อหน้าเจ้าเมืองและกษัตริย์เพราะเห็นแก่เรา เพื่อจะได้เป็นพยานแก่เขา 10บารมีของพระเจ้าจะต้องประกาศทั่วประชาชาติทั้งปวงก่อน 11แต่ว่าเมื่อเขาจะนำเจ้ามามอบไว้นั้น อย่าเป็นกังวลก่อนว่าจะพูดอะไรดี และอย่าตรึกตรองเลย แต่จงพูดตามซึ่งได้พระเจ้าโปรดให้เจ้าพูดในเวลานั้น เพราะว่าผู้ที่พูดนั้นไม่ใช่พวกเจ้าเอง แต่เป็นพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ 12แม้ว่าพี่ก็จะทรยศน้องให้ถึงความตาย พ่อก็จะมอบลูก และลูกก็จะทรยศต่อพ่อแม่ให้ถึงแก่ความตาย 13คนทั้งปวงจะเกลียดชังพวกเจ้าเพราะนามของเรา แต่ผู้ใดทนได้จนถึงที่สุด ผู้นั้นจะหลุดพ้น”
14“แต่เมื่อพวกเจ้าทั้งหลายจะเห็นสิ่งที่น่าสะอิดสะเอียนซึ่งกระทำให้เกิดการรกร้างว่างเปล่า ที่ดาเนียลศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวถึงนั้น ตั้งอยู่ในที่ซึ่งไม่สมควรจะตั้ง” (ให้ผู้อ่านเข้าใจเอาเถิด) “เวลานั้นให้ผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปยังภูเขา 15ผู้ที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาบ้าน อย่าให้ลงมาเข้าไปเก็บเอาสิ่งของในบ้านของตนเลย 16ผู้ที่อยู่ตามทุ่งนา อย่าให้กลับไปเอาเสื้อผ้าของตน 17แต่ในวันเหล่านั้น อนิจจาน่าสงสารหญิงที่มีครรภ์หรือมีลูกอ่อนกินนมอยู่ 18พวกเจ้าทั้งหลายจงอธิษฐานสวดอ้อนวอน ขอเพื่อเหตุการณ์เหล่านี้จะไม่เกิดขึ้นในฤดูหนาว”
19“ด้วยว่าในคราวนั้นจะเกิดความทุกข์ลำบากอย่างที่ไม่เคยมี ตั้งแต่พระเจ้าสร้างโลกมาจนถึงทุกวันนี้ และในเบื้องหน้าจะไม่มีต่อไปอีก 20ถ้าพระเจ้าผู้เป็นนายไม่ได้ให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า จะไม่มีมนุษย์คนใดรอดได้เลย แต่เพราะเห็นแก่ผู้ถูกเลือกสรรซึ่งพระองค์ได้เลือกไว้แล้ว พระองค์จึงให้วันเหล่านั้นย่นสั้นเข้า 21และในเวลานั้น ถ้าผู้ใดจะบอกพวกเจ้าว่า ‘นี่แน่ะ พระผู้เป็นพระศรีอาริย์อยู่ที่นี่’ หรือ ‘ดูเถิด อยู่ที่โน่น’ อย่าได้เชื่อเลย 22ด้วยว่าจะมีพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ปลอม และผู้ทำนายปลอมหลายคนเกิดขึ้น ทำหมายสำคัญ และการมหัศจรรย์เพื่อล่อลวงผู้ที่ถูกเลือกสรรแล้วให้หลง ถ้าเป็นได้ 23แต่พวกเจ้าจงระวังให้ดี ดูเถิด เราได้บอกสิ่งสารพัดให้แก่ท่านทั้งหลายไว้ก่อนแล้ว”
24“ภายหลังเมื่อคราวลำบากนั้นพ้นไปแล้ว ‘ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะไม่ส่องแสง 25ดวงดาวทั้งปวงจะตกจากฟ้า และบรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้าน’ 26เมื่อนั้นเขาจะเห็น ‘บุตรมนุษย์จะมาบนเมฆ’ ทรงฤทธานุภาพ และสง่าราศีเป็นอันมาก 27เมื่อนั้นพระองค์จะใช้เหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ ให้รวบรวมคนทั้งปวงที่พระองค์เลือกสรรไว้แล้วทั้งสี่ทิศนั้น ตั้งแต่ที่สุดปลายแผ่นดินโลกจนถึงที่สุดขอบฟ้า”
28“จงเรียนคำอุปมาเรื่องต้นมะเดื่อ เมื่อแตกกิ่งแตกใบ พวกเจ้าก็รู้ว่าฤดูร้อนใกล้จะถึงแล้ว 29เช่นนั้นแหละ เมื่อพวกเจ้าทั้งหลายเห็นเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้น ก็ให้รู้ว่า พระองค์ได้เดินทางมาใกล้จะถึงประตูแล้ว 30เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า คนชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปก่อนสิ่งทั้งปวงนั้นเกิดขึ้น 31ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะสูญหายไปหามิได้เลย
32แต่วันนั้นชั่วโมงนั้นไม่มีใครรู้ ถึงบรรดาทูตสวรรค์ในสวรรค์หรือพระโอรสก็ไม่รู้ รู้แต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อองค์เดียว 33จงเฝ้าระวังและอธิษฐานสวดอ้อนวอนอยู่ เพราะเจ้าไม่รู้ว่าเวลาวันนั้นจะมาถึงเมื่อไหร่? 34ด้วยว่าบุตรมนุษย์เปรียบเหมือนเจ้าของบ้านคนหนึ่งที่ออกจากบ้านไปทางไกล มอบสิทธิอำนาจให้แก่พวกคนรับใช้ของเขา และให้รู้การงานของตนว่ามีหน้าที่อะไร และได้สั่งนายประตูให้เฝ้าบ้านอยู่ 35เหตุฉะนั้น พวกเจ้าทั้งหลายจงเฝ้าระวังอยู่ เพราะพวกเจ้าไม่รู้ว่าเจ้าของบ้านจะมาเมื่อไหร่? จะมาเวลาค่ำ หรือเที่ยงคืน หรือเวลาไก่ขัน หรือรุ่งเช้า 36กลัวว่าจะมาฉับพลัน และจะพบท่านนอนหลับอยู่ 37ซึ่งเราบอกพวกเจ้า เราก็บอกคนทั้งปวงด้วยว่า จงเฝ้าระวังอยู่เถิด”
1เหลืออีกสองวันจะถึงเทศกาลฉลองปัสกา และเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ พวกปุโรหิตใหญ่และพวกคัมภีราจารย์ก็หาช่องที่จะจับพระองค์ด้วยอุบายและจะฆ่าเสีย 2แต่เขาพูดกันว่า “ในวันเลี้ยง อย่าเพ่อทำเลย กลัวว่าประชาชนจะเกิดวุ่นวาย”
3ในเวลาที่พระองค์พักอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี ในเรือนของซีโมนคนโรคเรื้อน ขณะเมื่อรับประทานอาหารอยู่นั้น มีหญิงผู้หนึ่งถือผอบน้ำมันหอมนาระดาที่มีราคามากมาเฝ้าพระองค์ และนางทำให้ผอบนั้นแตกแล้วก็เทน้ำมันนั้นลงบนศีรษะของพระองค์ 4แต่มีบางคนไม่พอใจพูดกันว่า “เหตุใดจึงทำให้น้ำมันนี้เสียเปล่า 5เพราะว่าน้ำมันนี้ ถ้าขายก็คงได้เงินกว่าสามร้อยเหรียญเดนาริอัน แล้วจะแจกให้คนจนก็ได้” เขาจึงบ่นว่าผู้หญิงนั้น 6ฝ่ายพระเยซูกล่าวว่า “อย่าว่านางเลย กวนใจนางทำไม? นางได้กระทำการดีแก่เรา 7ด้วยว่าคนยากจนมีอยู่กับเจ้าเสมอ และเจ้าจะทำการดีแก่เขาเมื่อไรก็ทำได้ แต่เราจะไม่อยู่กับเจ้าเสมอไป 8ซึ่งผู้หญิงนี้ได้ทำก็เป็นการสุดกำลังของนาง นางมาชโลมกายของเราก่อนเพื่องานศพของเรา 9เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า ที่ไหน ๆ ที่บารมีของพระเจ้านี้จะประกาศทั่วพิภพ การซึ่งผู้หญิงนี้ได้กระทำก็จะลือไปเป็นที่ระลึกถึงเขาที่นั่น”
10ฝ่ายยูดาสอิสคาริโอท เป็นคนหนึ่งในพวกสาวกสิบสองคน ได้ไปหาพวกปุโรหิตใหญ่ เพื่อจะขายพระองค์ให้เขา 11ครั้นเขาได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจ และสัญญาว่าจะให้เงินแก่ยูดาส แล้วยูดาสจึงคอยหาช่องที่จะทรยศหักหลังพระองค์ให้แก่เขา
12เมื่อวันต้นเทศกาลกินขนมปังไร้เชื้อ ถึงเวลาเขาเคยฆ่าลูกแกะสำหรับปัสกานั้น พวกสาวกของพระองค์มาถามพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์อยากจะให้พวกผมไปจัดเตรียมปัสกาให้อาจารย์รับประทานที่ไหน?” 13พระองค์จึงใช้สาวกสองคนไป สั่งเขาว่า “จงเข้าไปในกรุง แล้วจะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำมาพบท่าน จงตามคนนั้นไป 14เขาจะเข้าไปในที่ใด เจ้าจงบอกเจ้าของเรือนนั้นว่า อาจารย์ถามว่า ‘ห้องที่เราจะกินปัสกากับเหล่าสาวกของเราได้นั้นอยู่ที่ไหน?’ 15เจ้าของเรือนจะชี้ให้ท่านเห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว ที่นั่นแหละ จงจัดเตรียมไว้สำหรับพวกเราเถิด” 16สาวกสองคนนั้นจึงออกเดินเข้าไปในกรุง และพบเหมือนคำกล่าวที่พระองค์ได้บอกแก่เขา แล้วได้จัดเตรียมปัสกาไว้พร้อม
17ครั้นถึงเวลาค่ำแล้ว พระองค์จึงเดินทางมากับสาวกสิบสองคน 18เมื่อกำลังรับประทานอาหารอยู่ พระเยซูจึงกล่าวว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนหนึ่งในพวกเจ้าจะทรยศหักหลังเราไว้ คือคนหนึ่งที่รับประทานอาหารอยู่กับเรานี่แหละ” 19ฝ่ายพวกสาวกก็เริ่มพากันเป็นทุกข์ และถามพระองค์ทีละคนว่า “คือผมหรือครับ?” และอีกคนหนึ่งถามว่า “คือผมหรือ?” 20พระองค์จึงตอบเขาว่า “เป็นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคนนี้ คือเป็นคนจิ้มในจานเดียวกันกับเรา 21เพราะบุตรมนุษย์จะเป็นไปตามที่ได้มีคำเขียนไว้ถึงพระองค์นั้นจริง แต่วิบัติแก่ผู้ที่จะทรยศหักหลังบุตรมนุษย์ไว้ ถ้าคนนั้นไม่ได้เกิดมาก็จะดีกว่า”
22ระหว่างอาหารมื้อนั้น พระเยซูหยิบขนมปังมา ขอบพระคุณ แล้วหักส่งให้แก่เหล่าสาวกกล่าวว่า “จงรับกินเถิด นี่เป็นกายของเรา” 23แล้วพระองค์จึงหยิบถ้วย ขอบพระคุณและส่งให้เขา เขาก็รับไปดื่มทุกคน 24แล้วพระองค์กล่าวแก่เขาว่า “นี่เป็นเลือดของเราอันเป็นเลือดแห่งพันธสัญญาใหม่ ซึ่งต้องหลั่งออกเพื่อคนเป็นอันมาก 25เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มน้ำผลแห่งเถาองุ่นนี้ต่อไปอีกจนวันนั้นมาถึง คือวันที่เราจะดื่มใหม่ในอาณาจักรของพระเจ้า” 26เมื่อร้องเพลงสรรเสริญแล้ว พระองค์กับเหล่าสาวกก็พากันออกไปยังภูเขามะกอกเทศ
27พระเยซูจึงพูดกับเหล่าสาวกว่า “พวกเจ้าทั้งหลายจะสะดุดใจเพราะเราในคืนนี้เอง ด้วยมีคำเขียนไว้ว่า ‘เราจะตีผู้เลี้ยงแกะ และแกะฝูงนั้นจะกระจัดกระจายไป’ 28แต่เมื่อทรงบันดาลให้เราเป็นขึ้นมาจากตายแล้ว เราจะไปยังแคว้นกาลิลีก่อนหน้าพวกเจ้า” 29เปโตรบอกพระองค์ว่า “แม้คนทั้งปวงจะสะดุดใจ ผมจะไม่สะดุดใจ” 30พระเยซูจึงกล่าวกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า ในวันนี้ คือคืนนี้เอง ก่อนไก่จะขันสองหน เจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง” 31แต่เปโตรบอกอย่างแข็งขันว่า “ถึงแม้ผมจะต้องตายกับอาจารย์ ผมก็จะไม่ปฏิเสธอาจารย์เลย” เหล่าสาวกก็บอกเช่นนั้นเหมือนกันทุกคน
32พระเยซูกับเหล่าสาวกมายังที่แห่งหนึ่งชื่อเกทเสมนี และพระองค์บอกแก่ศิษย์ของพระองค์ว่า “จงนั่งอยู่ที่นี่ขณะเมื่อเราอธิษฐาน” 33พระองค์ก็พาเปโตร ยากอบ และยอห์นไปด้วย แล้วพระองค์เริ่มวิตกยิ่งและหนักใจนัก 34จึงกล่าวกับเหล่าสาวกว่า “ใจเราเป็นทุกข์แทบจะตาย จงเฝ้าอยู่ที่นี่เถิด” 35แล้วพระองค์ก็เดินไปอีกหน่อยหนึ่ง ซบกายลงที่ดินอธิษฐานสวดอ้อนวอนว่า ถ้าเป็นได้ให้เวลานั้นล่วงพ้นไปจากพระองค์ 36พระองค์กล่าวว่า “พ่อครับ พ่อสามารถทำสิ่งทั้งปวงได้ ขอเอาถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากผมด้วยเถิด แต่ว่าอย่าให้เป็นตามใจของผม แต่ให้เป็นไปตามใจของพ่อ” 37พระองค์จึงกลับมาพบเหล่าสาวกนอนหลับอยู่ และพูดกับเปโตรว่า “ซีโมนเอ๋ย เจ้านอนหลับหรือ? จะคอยเฝ้าอยู่สักทุ่มหนึ่งไม่ได้หรือ? 38พวกเจ้าทั้งหลายจงเฝ้าระวังและอธิษฐานสวดอ้อนวอน เพื่อเจ้าจะไม่ต้องถูกการทดสอบ จิตใจพร้อมแล้วก็จริง แต่เนื้อหนังยังอ่อนกำลัง” 39พระองค์จึงไปอธิษฐานสวดอ้อนวอนอีกครั้งหนึ่ง กล่าวคำเหมือนคราวก่อน 40ครั้นพระองค์กลับมาก็พบสาวกนอนหลับอยู่อีก (เพราะตาเขาลืมไม่ขึ้น) และเขาไม่รู้ว่าจะบอกประการใด 41เมื่อกลับมาครั้งที่สามพระองค์จึงพูดกับเขาว่า “เจ้าจงนอนต่อไปให้หายเหนื่อย พอเถอะ ดูเถิด เวลาซึ่งบุตรมนุษย์ต้องถูกทรยศไว้ในมือของคนบาปนั้นมาถึงแล้ว 42ลุกขึ้นไปกันเถิด ดูเถิด ผู้ที่จะทรยศเราไว้มาใกล้แล้ว”
43พระองค์กล่าวยังไม่ทันขาดคำ ในทันใดนั้นยูดาสซึ่งเป็นคนหนึ่งในเหล่าสาวกสิบสองคนนั้น กับหมู่ชนเป็นอันมาก ถือดาบถือไม้ตะบอง ได้มาจากพวกมหาปุโรหิต พวกคัมภีราจารย์ และพวกผู้ใหญ่ 44ผู้ที่จะทรยศหักหลังพระองค์นั้นได้ให้สัญญาณแก่เขาว่า “เราจุบผู้ใด ก็เป็นผู้นั้นแหละ จงจับกุมเขาไปให้มั่นคง” 45และทันทีที่ยูดาสมาถึง เขาตรงเข้ามาหาพระองค์พูดว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์” แล้วจุบพระองค์ 46คนเหล่านั้นก็จับกุมพระองค์ไป 47คนหนึ่งในพวกเหล่านั้นที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ ได้ชักดาบออกฟันคนรับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิตถูกหูของเขาขาด 48พระเยซูจึงถามพวกเหล่านั้นว่า “พวกเจ้าทั้งหลายเห็นเราเป็นโจรหรือจึงถือดาบ ถือตะบองออกมาจับเรา 49เราได้อยู่กับพวกเจ้าทุกวัน สั่งสอนในพระวิหาร เจ้าก็หาได้จับเราไม่ แต่จะต้องสำเร็จตามพระคัมภีร์” 50แล้วสาวกทั้งหมดได้ละทิ้งพระองค์ไว้และพากันหนีไป
51มีชายหนุ่มคนหนึ่งห่มผ้าป่านผืนหนึ่งคลุมร่างกายที่เปลือยเปล่าของตนติดตามพระองค์ไป พวกหนุ่ม ๆ ก็จับเขาไว้ 52แต่เขาได้สลัดผ้าป่านผืนนั้นทิ้งเสีย แล้วเปลือยกายหนีไป
53เขาพาพระเยซูไปหามหาปุโรหิต และมีบรรดาพวกปุโรหิต พวกผู้อาวุโส และพวกคัมภีราจารย์ชุมนุมพร้อมกันอยู่ที่นั่น 54ฝ่ายเปโตรได้ติดตามพระองค์ไปห่าง ๆ จนเข้าไปถึงคฤหาสน์ของมหาปุโรหิต และนั่งผิงไฟอยู่กับพวกคนรับใช้ 55พวกปุโรหิตใหญ่ กับบรรดาสมาชิกสภาจึงหาพยานมาเบิกปรักปรำพระเยซู เพื่อจะประหารพระองค์เสีย แต่หาหลักฐานไม่ได้ 56ด้วยว่ามีหลายคนเป็นพยานเท็จปรักปรำพระองค์ แต่คำของเขาแตกต่างกัน 57มีบางคนยืนขึ้นเบิกความเท็จปรักปรำพระองค์ว่า 58“ข้าฯได้ยินคนนี้ว่า ‘เราจะทำลายพระวิหารนี้ที่สร้างไว้ด้วยมือมนุษย์ และในสามวันจะสร้างขึ้นอีก วิหารหนึ่งซึ่งไม่สร้างด้วยมือมนุษย์เลย’” 59แต่คำพยานของคนเหล่านั้นเองก็ยังแตกต่างไม่ถูกต้องกัน 60มหาปุโรหิตจึงลุกขึ้นยืนท่ามกลางที่ประชาชน ถามพระเยซูว่า “เจ้าจะไม่ตอบอะไรบ้างหรือ? ซึ่งเขาเบิกความปรักปรำเจ้านั้นจะว่าอย่างไร?” 61แต่พระองค์นิ่งอยู่ ไม่ได้ตอบประการใด มหาปุโรหิตจึงถามพระองค์อีกว่า “เจ้าเป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์พระโอรสของผู้ควรแก่การนมัสการหรือ?” 62พระเยซูตอบว่า “เราเป็น และพวกเจ้าทั้งหลายจะได้เห็นบุตรมนุษย์นั่งข้างขวาของผู้ทรงฤทธานุภาพ และจะมาในเมฆแห่งฟ้าสวรรค์” 63มหาปุโรหิตจึงฉีกเสื้อของตนแล้วกล่าวว่า “เราจะต้องการพยานอะไรอีกเล่า 64ท่านทั้งหลายได้ยินมันพูดหมิ่นประมาทแล้ว ท่านทั้งหลายคิดเห็นอย่างไร” คนทั้งปวงจึงเห็นพร้อมกันว่าควรจะมีโทษถึงตาย 65บางคนก็เริ่มถ่มน้ำลายรดพระองค์ ปิดหน้าพระองค์ ตีพระองค์ แล้วพูดกับพระองค์ว่า “พยากรณ์ซิ” และพวกคนรับใช้ก็เอาฝ่ามือตบพระองค์
66และขณะที่เปโตรอยู่ที่ลานบ้านข้างล่างนั้น มีหญิงคนหนึ่งในพวกสาวใช้ของมหาปุโรหิตเดินมา 67เมื่อเห็นเปโตรผิงไฟอยู่เธอเขม้นดูเปโตร แล้วพูดว่า “เจ้าได้อยู่กับเยซูชาวนาซาเร็ธด้วย” 68แต่เปโตรปฏิเสธว่า “ที่เจ้าว่านั้นข้าฯไม่รู้เรื่องและไม่เข้าใจ” เปโตรจึงออกไปที่ระเบียงบ้าน แล้วไก่ก็ขัน 69อีกครั้งหนึ่งสาวใช้คนหนึ่งได้เห็นเปโตร แล้วเริ่มบอกกับคนที่ยืนอยู่ที่นั่นว่า “คนนี้แหละ เป็นพวกเขา” 70แต่เปโตรก็ปฏิเสธอีก แล้วอีกสักครู่หนึ่งคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ที่นั่นได้พูดกับเปโตรว่า “เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกเขาแน่แล้ว ด้วยว่าเจ้าเป็นชาวกาลิลี และสำเนียงของเจ้าก็ส่อไปทางเดียวกันด้วย” 71แต่เปโตรเริ่มสบถ และสาบานว่า “คนที่เจ้าว่านั้นข้าไม่รู้จัก” 72แล้วไก่ก็ขันเป็นครั้งที่สอง เปโตรจึงระลึกถึงคำที่พระเยซูกล่าวไว้กับเขาว่า “ก่อนไก่ขันสองหน เจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง” เมื่อเปโตรหวนคิดขึ้นได้ก็ร้องไห้
1พอรุ่งเช้า พวกมหาปุโรหิตกับพวกผู้อาวุโสและพวกคัมภีราจารย์และบรรดาสมาชิกสภาศาสนาได้ปรึกษากัน แล้วจึงมัดพระเยซูพาไปมอบไว้แก่ปีลาต 2ปีลาตจึงถามพระองค์ว่า “เจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ?” พระองค์ตอบเขาว่า “ท่านว่าแล้วนี่” 3ฝ่ายพวกมหาปุโรหิตได้ฟ้องกล่าวโทษพระองค์เป็นหลายประการ แต่พระองค์ไม่ตอบประการใด 4ปีลาตจึงถามพระองค์อีกว่า “เจ้าจะไม่ตอบอะไรหรือ? เขากล่าวความปรักปรำเจ้าหลายประการทีเดียว” 5แต่พระเยซูไม่ได้ตอบประการใดอีก ปีลาตจึงอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
6ในเทศกาลกินเลี้ยงนั้น ปีลาตเคยปล่อยนักโทษคนหนึ่งให้เขา ตามที่เขาขอ 7มีคนหนึ่งชื่อบารับบัสซึ่งมีโทษอยู่ในจำพวกคนกบฏ ผู้ที่ได้ฆ่าคนในการกบฏนั้น 8ประชาชนจึงได้ร้องเสียงดัง เริ่มขอปีลาตให้ทำตามที่เคยทำให้เขานั้น 9ปีลาตได้ถามเขาว่า “ท่านทั้งหลายอยากจะให้เราปล่อยกษัตริย์ของพวกยิวหรือ?” 10เพราะปีลาตรู้อยู่แล้วว่า พวกมหาปุโรหิตได้มอบพระองค์ไว้ด้วยความอิจฉา 11แต่พวกมหาปุโรหิตยุยงประชาชนให้ขอปีลาตปล่อยบารับบัสแทนพระเยซู 12ฝ่ายปีลาตจึงถามเขาอีกว่า “ท่านทั้งหลายจะให้เราทำอย่างไรกับคนนี้ ซึ่งท่านทั้งหลายเรียกว่ากษัตริย์ของพวกยิว?” 13เขาทั้งหลายร้องตะโกนอีกว่า “ตรึงมันที่กางเขน ๆ ๆ” 14ปีลาตจึงถามเขาทั้งหลายอีกว่า “ตรึงทำไม เขาได้ทำผิดประการใด?” แต่ประชาชนยิ่งร้องว่า “ตรึงมันที่กางเขน ๆ ๆ” 15ปีลาตอยากจะเอาใจประชาชน จึงปล่อยบารับบัสให้เขา และเมื่อได้ให้โบยตีพระองค์แล้ว ก็มอบพระเยซูให้เขาเอาไปตรึงไว้ที่กางเขน
16พวกทหารจึงนำพระองค์เข้าไปข้างในหอประชุม ที่เรียกว่าศาลปรีโทเรียม แล้วเรียกพวกทหารทั้งกองให้มาประชุมกัน 17เขาเอาเสื้อสีม่วงมาสวมพระองค์ เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมศีรษะของพระองค์ 18แล้วเริ่มคำนับพระองค์พูดว่า “กษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญพะยะค่ะ” 19แล้วเขาได้เอาไม้อ้อตีศีรษะของพระองค์ และได้ถ่มน้ำลายรดพระองค์ แล้วคุกเข่าลงนมัสการพระองค์ 20เมื่อเยาะเย้ยพระองค์แล้ว เขาถอดเสื้อสีม่วงนั้นออก แล้วเอาเสื้อผ้าของพระองค์เองสวมให้ และนำพระองค์ออกไปเพื่อจะตรึงที่กางเขน
21มีชายคนหนึ่งชื่อซีโมนชาวไซรีน เป็นบิดาของอเล็กซานเดอร์และรูฟัส เดินทางมาจากบ้านนอกตามทางนั้น เขาก็เกณฑ์ซีโมนให้แบกกางเขนของพระองค์ไป 22เขาพาพระองค์มาถึงตำบลหนึ่งชื่อกลโกธา แปลว่า กะโหลกศีรษะ 23แล้วเขาเอาน้ำองุ่นระคนกับมดยอบให้พระองค์ดื่มแต่พระองค์ไม่รับ 24ครั้นเขาตรึงพระองค์ที่กางเขนแล้ว เขาก็เอาเสื้อผ้าของพระองค์จับสลากแบ่งปันกันเพื่อจะรู้ว่าใครจะได้อะไร? 25เมื่อเขาตรึงพระองค์ไว้นั้นเป็นเวลาเช้าสามโมง 26มีข้อหาที่ลงโทษพระองค์เขียนไว้ข้างบนว่า “กษัตริย์ของพวกยิว” 27เขาเอาโจรสองคนตรึงไว้พร้อมกับพระองค์ ข้างขวาคนหนึ่ง ข้างซ้ายคนหนึ่ง 28คำซึ่งเขียนไว้ในพระคัมภีร์แล้วนั้นจึงสำเร็จ คือที่ว่า ‘ท่านถูกนับเข้ากับบรรดาผู้ละเมิด’ 29ฝ่ายคนทั้งหลายที่เดินผ่านไปมานั้น ก็ด่าว่าพระองค์ สั่นศีรษะของเขากล่าวว่า “เฮ้ย เจ้าผู้จะทำลายพระวิหาร และสร้างขึ้นในสามวันน่ะ 30จงช่วยตัวเองให้รอดและลงมาจากกางเขนเถิด” 31พวกมหาปุโรหิตกับพวกคัมภีราจารย์ก็เยาะเย้ยพระองค์ในระหว่างพวกเขาเองเหมือนกันว่า “เขาช่วยคนอื่นให้หลุดพ้นได้ แต่ช่วยตัวเองไม่ได้ 32ให้เจ้าผู้เป็นพระศรีอาริย์ กษัตริย์แห่งอิสราเอล ลงมาจากกางเขนเดี๋ยวนี้เถอะ เพื่อเราจะได้เห็นและเชื่อ” และสองคนนั้นที่ถูกตรึงไว้กับพระองค์ก็กล่าวคำหยาบช้าต่อพระองค์
33ครั้นเวลาเที่ยงก็เกิดมืดมัวทั่วแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง 34พอบ่ายสามโมงแล้ว พระเยซูร้องเสียงดังว่า “เอโลอี เอโลอี ลามาสะบักธานี” แปลว่า “โอ พระเจ้าของผม พระเจ้าของผม ทำไมพระองค์ละทิ้งผม” 35บางคนที่ยืนอยู่ที่นั่นเมื่อได้ยินก็พูดว่า “ดูเถิด เขาเรียกเอลียาห์” 36มีคนหนึ่งวิ่งไปเอาฟองน้ำชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยว เสียบปลายไม้อ้อ ส่งให้พระองค์ดื่ม แล้วว่า “ปล่อยไว้อย่างนั้น ให้เราคอยดูว่า เอลียาห์จะมาปลดเขาลงหรือไม่” 37ฝ่ายพระเยซูร้องเสียงดัง แล้วก็ขาดใจตาย 38ขณะนั้นม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อน ตั้งแต่บนตลอดล่าง 39ส่วนนายร้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้าของพระองค์ เมื่อเห็นว่าพระองค์ร้องเสียงดังและขาดใจตายแล้ว จึงพูดว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระโอรสของพระเจ้า” 40มีพวกผู้หญิงมองดูอยู่แต่ไกล ในพวกผู้หญิงนั้นมีมารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบน้อยและของโยเสส และนางสะโลเม 41ผู้หญิงเหล่านั้นได้ติดตามและปรนนิบัติรับใช้พระองค์ เมื่อพระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี และผู้หญิงคนอื่นอีกหลายคนที่ได้ขึ้นมายังกรุงเยรูซาเล็มกับพระองค์ได้อยู่ที่นั่น
42ครั้นถึงเวลาพลบค่ำ เหตุที่วันนั้นเป็นวันเตรียม คือวันก่อนวันศีล 43โยเซฟเป็นชาวบ้านอาริมาเธีย ซึ่งอยู่ในพวกสมาชิกสภาศาสนาและเป็นที่นับถือของคนทั้งปวง ทั้งกำลังคอยท่าอาณาจักรของพระเจ้าด้วย จึงกล้าเข้าไปหาปีลาตขอศพของพระเยซู 44ปีลาตก็ประหลาดใจที่พระองค์สิ้นใจแล้ว จึงเรียกนายร้อยมาถามเขาว่า พระองค์ตายแล้วหรือ? 45เมื่อได้รู้เรื่องจากนายร้อยแล้ว ท่านจึงมอบศพให้แก่โยเซฟ 46ฝ่ายโยเซฟได้ซื้อผ้าป่านเนื้อละเอียด และเชิญศพลงมาเอาผ้าป่านพันหุ้มไว้ แล้วเชิญศพไปประดิษฐานไว้ในอุโมงค์ซึ่งได้สกัดไว้ในศิลา แล้วกลิ้งก้อนหินปิดปากอุโมงค์ไว้ 47ฝ่ายมารีย์ชาวมักดาลา และมารีย์มารดาของโยเสส ได้เห็นที่ที่ศพบรรจุไว้
1ครั้นวันศีลล่วงไปแล้ว มารีย์ชาวมักดาลา มารีย์มารดาของยากอบ และนางสะโลเม ซื้อเครื่องหอมมาเพื่อจะไปชโลมศพของพระองค์ 2เวลารุ่งเช้าวันต้นสัปดาห์พอดวงอาทิตย์ขึ้นเขาก็มาถึงอุโมงค์ 3และเขาพูดกันว่า “ใครจะช่วยกลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์ให้เรานะ” 4เมื่อเขามองดูก็เห็นก้อนหินนั้นเคลื่อนออกแล้ว เพราะเป็นก้อนหินโตมาก 5ครั้นเขาเข้าไปในอุโมงค์แล้ว ได้เห็นหนุ่มคนหนึ่งนุ่งห่มผ้ายาวสีขาวนั่งอยู่ข้างขวา ผู้หญิงนั้นก็ตกตะลึง 6ฝ่ายคนหนุ่มนั้นบอกเขาว่า “อย่าตกตะลึงเลย พวกเจ้ามาหาเยซูชาวนาซาเร็ธซึ่งถูกตรึงไว้ที่กางเขนหรือ? ท่านเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว ท่านได้อยู่ที่นี่หรอก จงดูที่ที่เขาได้วางศพของท่านเถิด 7แต่จงไปบอกพวกสาวกของท่าน ทั้งเปโตรเถิดว่า ท่านได้ไปยังแคว้นกาลิลีก่อนพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าจะเห็นท่านที่นั่น เหมือนที่ท่านได้บอกพวกเจ้าไว้แล้ว” 8หญิงเหล่านั้นก็ออกจากอุโมงค์รีบหนีไป เพราะพิศวงตกใจจนตัวสั่น พวกเธอไม่ได้พูดกับผู้ใดเพราะความกลัว
9ครั้นรุ่งเช้าวันต้นสัปดาห์ เมื่อพระเยซูเป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์สำแดงตัวให้ปรากฏแก่มารีย์ชาวมักดาลาก่อน คือมารีย์คนที่พระองค์ได้ขับผีออกเจ็ดผี 10มารีย์จึงไปบอกพวกคนที่เคยอยู่กับพระองค์แต่ก่อน เขากำลังร้องไห้เป็นทุกข์อยู่ 11เมื่อเขาได้ยินว่าพระองค์มีชีวิตอยู่ และมารีย์ได้เห็นพระองค์แล้ว เขาก็ไม่เชื่อ
12ภายหลังพระองค์ได้ปรากฏกายอีกรูปหนึ่งแก่สาวกสองคน เมื่อเขากำลังเดินทางออกไปบ้านนอก 13ศิษย์สองคนนั้นจึงไปบอกศิษย์อื่น ๆ แต่เขามิได้เชื่อ
14ภายหลังพระองค์ได้ปรากฏแก่สาวกสิบเอ็ดคนเมื่อเขากำลังรับประทานอยู่ และได้ติเตียนเขาเพราะเขาไม่เชื่อ และใจดื้อดึง ด้วยเหตุที่เขาไม่ได้เชื่อคนซึ่งได้เห็นพระองค์ เมื่อพระองค์เป็นขึ้นมาแล้ว 15ฝ่ายพระองค์จึงสั่งพวกสาวกว่า “พวกเจ้าทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศบารมีของพระเจ้าแก่มนุษย์ทุกคน 16ผู้ใดเชื่อและทำพิธีมุดน้ำ ผู้นั้นจะหลุดพ้น แต่ผู้ใดไม่เชื่อจะต้องถูกปรับโทษ 17มีคนเชื่อที่ไหน หมายสำคัญเหล่านี้จะเกิดขึ้นที่นั้น คือเขาจะขับผีออกโดยนามของเรา เขาจะพูดภาษาแปลก ๆ 18เขาจะจับงูได้ ถ้าเขาดื่มยาพิษอย่างใด จะไม่เป็นอันตรายแก่เขา และเขาจะปรกมือบนคนไข้คนป่วย แล้วคนเหล่านั้นจะหายโรค”
19ครั้นพระเจ้าผู้เป็นนายสั่งพวกเขาแล้ว พระองค์ก็ถูกรับขึ้นไปในฟ้าสวรรค์ ประทับเบื้องขวาของพระเจ้า 20พวกสาวกเหล่านั้นจึงออกไปเทศนาสั่งสอนทุกแห่งทุกตำบล และพระเจ้าผู้เป็นนายร่วมงานกับเขา และสนับสนุนคำสอนของเขาโดยหมายสำคัญที่ประกอบนั้น
1เรียนท่านเธโอฟีลัส ที่เคารพอย่างสูง ท่านรู้อยู่แล้วว่า มีหลายคนได้อุตส่าห์เรียบเรียงเรื่องราวเหล่านั้น ซึ่งสำเร็จแล้วในท่ามกลางเราทั้งหลาย 2ตามที่เขาผู้ได้เห็นกับตาเองตั้งแต่ต้น และเป็นผู้ประกาศพระคำนั้นได้แสดงให้เรารู้ 3เหตุฉะนั้น เนื่องจากข้าพเจ้าเองได้สืบเสาะถ้วนถี่ตั้งแต่ต้นมา จึงเห็นดีด้วยที่จะเรียบเรียงเรื่องตามลำดับ เพื่อประโยชน์แก่ท่าน 4เพื่อท่านจะได้รู้ความจริงอันเกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านั้น ซึ่งมีผู้แจ้งให้ท่านทราบแล้ว
5ในสมัยรัชกาลของเฮโรด กษัตริย์ของยูเดีย มีปุโรหิตคนหนึ่งชื่อเศคาริยาห์ อยู่ในเวรอาบียาห์ ภรรยาของท่านชื่อเอลีซาเบธ อยู่ในตระกูลอาโรน 6ท่านทั้งสองเป็นคนบุญจำเพาะพระเจ้า และดำเนินตามพระบัญญัติ และกฎทั้งปวงของพระเจ้าผู้เป็นนายไม่มีที่ติเลย 7แต่ท่านไม่มีบุตร เพราะว่านางเอลีซาเบธเป็นหมัน และท่านทั้งสองก็แก่ชราแล้ว
8ต่อมาขณะที่เศคาริยาห์ทำหน้าที่ปุโรหิตเข้าเฝ้าพระเจ้า เมื่อท่านอยู่เวรประจำการของท่าน 9ท่านจับได้สลากตามธรรมเนียมของปุโรหิต ต้องเข้าไปในพระวิหารของพระเจ้าผู้เป็นนายเพื่อเผาเครื่องหอมบูชา 10ส่วนบรรดาประชาชนก็อธิษฐานสวดอ้อนวอนอยู่ภายนอกในเวลาเผาเครื่องหอมนั้น 11ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้ามาปรากฏแก่เศคาริยาห์ ยืนอยู่ที่ข้างขวาแท่นเผาเครื่องหอมบูชา
12เมื่อเศคาริยาห์เห็นก็ตกใจกลัว 13แต่ทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวแก่ท่านว่า “เศคาริยาห์เอ๋ย อย่ากลัวเลย ด้วยพระเจ้าได้ฟังคำอธิษฐานสวดอ้อนวอนของเจ้าแล้ว นางเอลีซาเบธภรรยาของเจ้าจะมีลูกเป็นผู้ชาย และเจ้าจะตั้งชื่อลูกนั้นว่า ยอห์น 14เจ้าจะมีความชื่นชมยินดี และคนเป็นอันมากจะชื่นชมยินดีที่ลูกนั้นเกิดมา 15เพราะว่าเขาจะเป็นใหญ่ในสายตาของพระเจ้า เขาจะไม่ดื่มเหล้าองุ่นหรือของมึนเมาเลย และเขาจะประกอบไปด้วยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา 16เขาจะนำคนอิสราเอลหลายคนให้หันกลับมาหาพระเจ้าของเขาทั้งหลาย 17เขาจะนำหน้าพระองค์โดยแสดงอารมณ์ และฤทธิ์เดชอย่างเอลียาห์ ให้พ่อกลับคืนดีกับลูก และคนที่ไม่เชื่อฟังให้กลับได้ปัญญาของคนบุญ เพื่อจัดเตรียมชนชาติหนึ่งไว้ให้สมกับพระเจ้า”
18เศคาริยาห์จึงพูดกับทูตสวรรค์ว่า “ข้าฯจะรู้แน่ได้อย่างไร เพราะข้าฯก็แก่ชราและเมียของข้าฯก็อายุมากแล้ว” 19ฝ่ายทูตสวรรค์นั้นจึงตอบท่านว่า “ข้าฯคือกาเบรียลซึ่งยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้า และพระองค์ใช้ข้าฯให้มาบอก และนำข่าวดีนี้มาแจ้งแก่เจ้า 20ดูเถิด เพราะเจ้าไม่ได้เชื่อถ้อยคำของข้าฯ ถึงเรื่องที่จะสำเร็จตามกำหนด เจ้าก็จะเป็นใบ้ แล้วไม่สามารถพูดได้ จนถึงวันที่การณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้น”
21ฝ่ายคนทั้งหลายที่คอยเศคาริยาห์ ก็ประหลาดใจ เพราะท่านอยู่ในพระวิหารช้านาน 22เมื่อท่านออกมาแล้วก็พูดกับคนเหล่านั้นไม่ได้ คนทั้งหลายจึงตระหนักว่าท่านได้เห็นนิมิตในพระวิหาร เพราะท่านใช้ภาษาใบ้กับเขาเพราะยังเป็นใบ้อยู่ 23ต่อมาเมื่อหมดเวรของท่านแล้ว ท่านก็กลับไปบ้าน
24ภายหลังนางเอลีซาเบธภรรยาของท่านก็ตั้งครรภ์ แล้วไปซ่อนตัวอยู่ห้าเดือนพูดว่า 25“พระเจ้าได้ทำเช่นนี้แก่ข้าฯ ในวันที่พระองค์ได้มองดูข้าฯ เพื่อนำความอับอายของข้าฯที่มีอยู่ท่ามกลางคนทั้งปวงไปเสีย”
26เมื่อถึงเดือนที่หก พระเจ้าใช้ทูตสวรรค์กาเบรียลนั้น ให้มายังเมือง ๆ หนึ่งในแคว้นกาลิลี ชื่อนาซาเร็ธ 27มาถึงหญิงพรหมจารีคนหนึ่งที่ได้หมั้นหมายกันไว้กับชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ เป็นคนในเชื้อสายวงศ์วานดาวิด หญิงพรหมจารีนั้นชื่อมารีย์ 28ทูตสวรรค์มาถึงหญิงพรหมจารีนั้นแล้วกล่าวว่า “เจ้าเป็นที่พระเจ้าโปรดปรานมาก จงจำเริญเถิด พระเจ้าสถิตอยู่กับเจ้าแล้ว เจ้าได้รับพรท่ามกลางผู้หญิงทั้งปวง” 29เมื่อมารีย์เห็นทูตสวรรค์องค์นั้น นางก็ตกใจเพราะคำของทูตนั้น และรำพึงว่า คำกล่าวนั้นจะหมายความว่าอะไร 30แล้วทูตสวรรค์จึงกล่าวแก่นางว่า “มารีย์เอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะเจ้าเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าแล้ว 31ดูเถิด เจ้าจะตั้งครรภ์และจะคลอดลูกชายคนหนึ่ง จงตั้งชื่อลูกนั้นว่า เยซู 32ลูกนั้นจะเป็นใหญ่ และพระเจ้าจะเรียกท่านว่าเป็นโอรสของพระเจ้า พระเจ้าจะประทานบังลังก์ของดาวิด บรรพบุรุษของท่านให้แก่ท่าน 33และท่านจะครอบครองเชื้อสายวงศ์วานของยาโคบสืบไปเป็นนิตย์ และอาณาจักรของท่านจะไม่รู้จักสิ้นสุดเลย”
34ฝ่ายมารีย์กล่าวกับทูตสวรรค์นั้นว่า “เหตุการณ์นั้นจะเป็นไปได้อย่างไร เพราะข้าฯยังไม่ได้หลับนอนกับชายใด” 35ทูตสวรรค์จึงตอบเธอว่า “พระวิญญาณจะเสด็จลงมาบนเธอ และฤทธิ์เดชของผู้สูงสุดจะปรกคลุมเธอ เหตุฉะนั้นองค์บริสุทธิ์ที่จะเกิดมานั้นจะได้เรียกว่า พระโอรสของพระเจ้า 36ดูเถิด ถึงนางเอลีซาเบธ ญาติของเจ้าที่แก่ชราแล้ว ก็ยังตั้งครรภ์มีลูกเป็นผู้ชายด้วย บัดนี้ นางนั้นที่คนเขาถือว่าเป็นหญิงหมันก็มีครรภ์ได้หกเดือนแล้ว 37เพราะว่าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งพระเจ้าทำไม่ได้” 38ส่วนมารีย์จึงบอกทูตสวรรค์ว่า “ดูเถิด ข้าฯเป็นหญิงคนใช้ของพระเจ้า ขอให้เกิดแก่ข้าฯตามคำของท่านเถิด” แล้วทูตสวรรค์นั้นจึงจากเธอไป
39คราวนั้นนางมารีย์จึงรีบออกไปถึงเมือง ๆ หนึ่งในแถบภูเขาแห่งยูเดีย 40แล้วเข้าไปในเรือนของเศคาริยาห์ทักทายปราศรัยกับนางเอลีซาเบธ 41ต่อมาเมื่อนางเอลีซาเบธได้ยินคำทักทายของนางมารีย์ เด็กในครรภ์ของนางก็ดิ้น และนางเอลีซาเบธก็เต็มไปด้วยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ 42จึงร้องเสียงดังว่า “เจ้าได้รับพรท่ามกลางผู้หญิงทั้งปวง และผู้เกิดจากครรภ์ของเจ้าก็ได้รับพรด้วย 43เป็นไฉนข้าฯจึงได้รับความโปรดปรานเช่นนี้ คือแม่ของพระเจ้าของข้าฯได้มาหาข้าฯ 44เพราะ ดูเถิด พอเสียงทักทายของเจ้าเข้าหูข้าฯ เด็กในครรภ์ของข้าฯก็ดิ้นด้วยความยินดี 45ผู้หญิงที่ได้เชื่อก็เป็นสุข เพราะว่าจะสำเร็จตามพระคำของพระเจ้าที่มาถึงเขาทั้งหลาย”
46นางมารีย์จึงว่า “จิตใจของข้าฯก็ยกย่องพระเจ้า 47และจิตวิญญาณของข้าฯก็เกิด ความปีติยินดีในพระเจ้า พระผู้ทำความหลุดพ้นให้ข้าฯ 48เพราะพระองค์ห่วงใยฐานะอันต่ำต้อย แห่งหญิงคนใช้ของพระองค์ เพราะดูเถิด ตั้งแต่นี้ไปคนทุกชั่วอายุจะเรียกข้าฯว่าผาสุก 49เพราะว่าพระผู้ทรงฤทธิ์ได้ทำการใหญ่กับข้าฯ นามของพระองค์ก็บริสุทธิ์ 50พระกรุณาของพระองค์มีแก่บรรดาผู้ยำเกรงพระองค์ทุกชั่วอายุสืบ ๆ ไป 51พระองค์สำแดงฤทธิ์ด้วยแขนของพระองค์ พระองค์ทำให้คนที่มีใจเย่อหยิ่งแตกฉานซ่านเซ็นไป 52พระองค์ถอดเจ้านายจากบังลังก์ และยกผู้น้อยขึ้น 53พระองค์โปรดให้คนอดอยากอิ่มด้วยสิ่งดี และพระองค์ทำให้คนมั่งมีไปมือเปล่า 54พระองค์ช่วยอิสราเอลผู้รับใช้ของพระองค์ คือจดจำพระกรุณาของพระองค์ 55ที่มีต่ออับราฮัม และต่อเชื้อสายของท่านเป็นนิตย์ ตามที่พระองค์ได้กล่าวไว้กับบรรพบุรุษของเรา” 56มารีย์อาศัยอยู่กับนางเอลีซาเบธประมาณสามเดือน แล้วจึงกลับไปยังบ้านของตน
57ครั้นเวลาซึ่งนางเอลีซาเบธจะคลอดบุตรครบถ้วนแล้ว นางก็คลอดลูกเป็นชาย 58เพื่อนบ้านและญาติพี่น้องของนางได้ยินว่า พระเจ้าผู้เป็นนายได้สำแดงความกรุณาแก่นาง เขาทั้งหลายก็พากันเปรมปรีดิ์ด้วย 59ต่อมาครั้นถึงวันที่แปดแล้ว เขาก็พากันมาให้เด็กทารกนั้นเข้าสุหนัต และเขาจะให้ชื่อทารกนั้นว่า เศคาริยาห์ ตามชื่อบิดา 60ฝ่ายนางเอลีซาเบธจึงตอบว่า “ไม่ใช่ จะต้องให้ชื่อว่ายอห์น” 61เขาพากันตอบนางว่า “ไม่มีผู้ใดในพวกญาติของเจ้าที่มีชื่ออย่างนั้น” 62แล้วเขาจึงใช้ภาษาใบ้กับเศคาริยาห์ ถามว่าท่านอยากจะให้ลูกนั้นชื่ออะไร 63เศคาริยาห์จึงขอกระดานชนวนมาเขียนว่า “ชื่อของลูกคือยอห์น” คนทั้งหลายก็ประหลาดใจนัก 64ในทันใดนั้นปากและลิ้นของท่านก็คืนดีอีก แล้วท่านกล่าวยกย่องสรรเสริญพระเจ้า 65บรรดาเพื่อนบ้านของท่านก็เกิดความกลัว และเหตุการณ์ทั้งปวงนั้นก็เลื่องลือไปทั่วแถบภูเขาแคว้นยูเดีย 66บรรดาคนที่ได้ยินก็จดจำไว้ในใจและว่า “เด็กทารกนั้นจะเป็นอย่างไรหนอ” และการคุ้มครองขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่กับเขา
67ฝ่ายเศคาริยาห์ผู้เป็นพ่อ ประกอบไปด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าแล้วได้พยากรณ์ว่า 68“จงยกย่องสรรเสริญพระเจ้า พระเจ้าของพวกอิสราเอล ด้วยว่าพระองค์ได้เยี่ยมเยียน และช่วยไถ่ชนชาติของพระองค์ 69และได้ยกชูเขาสัตว์แห่งความหลุดพ้นขึ้นมาเพื่อเราในเชื้อสายวงศ์วานของกษัตริย์ดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ 70ตามที่พระองค์ได้กล่าวไว้ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก โดยปากของพวกศาสดาพยากรณ์บริสุทธิ์ของพระองค์ 71ว่าเราจะรอดพ้นจากพวกศัตรูของเราทั้งหลาย และพ้นจากมือของคนทั้งปวงที่ชังเรา 72พระองค์จะสำแดงความกรุณาซึ่งสัญญาแก่บรรพบุรุษของเรา และระลึกถึงพันธสัญญาบริสุทธิ์ของพระองค์ 73คือคำมั่นสัญญาซึ่งพระองค์ได้ทำไว้ กับอับราฮัมบรรพบุรุษของเรา 74ว่าเมื่อเราทั้งหลายพ้นจากมือศัตรูของเราแล้ว จะโปรดให้เราปรนนิบัติรับใช้พระองค์โดยปราศจากความกลัว 75ด้วยความบริสุทธิ์ และด้วยบุญญาธิการ ต่อหน้าพระองค์ตลอดชีวิตของเรา 76ส่วนเจ้า ลูกของพ่อ เจ้าจะได้ชื่อว่าเป็นศาสดาพยากรณ์ขององค์ผู้สูงสุด เพราะเจ้าจะนำหน้าพระเจ้าเพื่อเตรียมทางสำหรับพระองค์ 77เพื่อจะให้ชนชาติของพระองค์มีความรู้ถึงความหลุดพ้น โดยการยกบาปของเขา 78โดยความเมตตา กรุณาแห่งพระเจ้าของเรา แสงอรุณจากฟ้าสวรรค์จึงมาเยี่ยมเยียนเรา 79เพื่อจะส่องสว่างแก่คนทั้งหลายผู้อยู่ในที่มืด และในเงาแห่งความตาย เพื่อจะนำเท้าของเราไปในทางสันติภาพ”
80ฝ่ายเด็กทารกนั้นก็ได้เจริญวัยขึ้น และจิตวิญญาณก็มีกำลังทวีขึ้น และไปอาศัยในถิ่นทุรกันดารจนถึงวันที่ท่านจะได้มาปรากฏแก่ชนชาติอิสราเอล
1อยู่มาคราวนั้น มีรับสั่งจากซีซาร์ ออกัสตัส ให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน 2(นี่เป็นครั้งแรกที่ได้จดทะเบียนสำมะโนครัว เมื่อคีรินิอัสเป็นเจ้าเมืองซีเรีย) 3คนทั้งปวงต่างคนต่างได้ไปขึ้นทะเบียนยังเมืองของตน 4ฝ่ายโยเซฟ ก็ขึ้นไปจากเมืองนาซาเร็ธแคว้นกาลิลี ถึงเมืองของกษัตริย์ดาวิด ชื่อเบธเลเฮมมณฑลยูเดียด้วย (เพราะว่าเขาเป็นวงศ์วานและเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด) 5เขาได้ไปกับมารีย์ที่เขาได้หมั้นหมายไว้แล้ว เพื่อจะขึ้นทะเบียนและนางตั้งครรภ์ 6เมื่อเขาทั้งสองยังอยู่ที่นั่น ก็ถึงเวลาที่มารีย์จะคลอดบุตร 7นางจึงคลอดบุตรชายหัวปี เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า เพราะว่าไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม
8ในแถบนั้น มีคนเลี้ยงแกะอยู่ในทุ่งนา เฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลางคืน 9ดูเถิด มีทูตสวรรค์ของพระเจ้ามาปรากฏแก่เขา และรัศมีของพระเจ้าส่องล้อมรอบเขา และเขากลัวนัก 10ฝ่ายทูตสวรรค์องค์นั้นกล่าวแก่เขาว่า “อย่ากลัวเลย เพราะดูเถิด เรานำข่าวดีมายังพวกเจ้า คือความปรีดียิ่งซึ่งจะมาถึงคนทั้งปวง 11เพราะว่าในวันนี้พระผู้ทำความหลุดพ้นของพวกเจ้า คือพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ มาเกิดที่เมืองดาวิด 12นี่จะเป็นหมายสำคัญแก่พวกเจ้า คือพวกเจ้าจะได้พบเด็กทารกนั้นพันผ้าอ้อมนอนอยู่ในรางหญ้า” 13ทันใดนั้น มีชาวสวรรค์หมู่หนึ่งมาอยู่กับทูตสวรรค์องค์นั้นร่วมสรรเสริญพระเจ้าว่า 14“รัศมีภาพจงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด และบนแผ่นดินโลกสันติภาพ สันติสุขจงมีท่ามกลางมนุษย์ทั้งปวงซึ่งโปรดปรานนั้น”
15ต่อมาเมื่อทูตสวรรค์เหล่านั้นไปจากเขาขึ้นสู่สวรรค์แล้ว พวกเลี้ยงแกะได้พูดกันว่า “บัดนี้ให้เราไปยังเมืองเบธเลเฮม ดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น ซึ่งพระเจ้าได้แจ้งแก่เรา” 16เขาก็รีบไปแล้วพบนางมารีย์กับโยเซฟ และพบเด็กทารกนั้นนอนอยู่ในรางหญ้า 17ครั้นเขาได้เห็นแล้ว จึงเล่าเรื่องซึ่งเขาได้ยินถึงเด็กทารกนั้น 18คนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจ ด้วยเนื้อความที่คนเลี้ยงแกะได้บอกแก่เขา 19ฝ่ายนางมารีย์ก็เก็บบรรดาสิ่งเหล่านี้ไว้ในใจ และรำพึงอยู่ 20คนเลี้ยงแกะจึงกลับไปยกย่องสรรเสริญพระเจ้า เพราะเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งเขาได้ยิน และได้เห็น ดังได้กล่าวไว้แก่เขาแล้ว
21ครั้นครบแปดวันแล้ว เป็นวันให้เด็กทารกนั้นเข้าสุหนัต เขาจึงตั้งชื่อว่า เยซู ตามซึ่งทูตสวรรค์ได้กล่าวไว้ก่อนยังมิได้ปฏิสนธิในครรภ์ 22เมื่อวันทำพิธีชำระตัวของนางมารีย์ตามธรรมบัญญัติของโมเสสเสร็จลงแล้ว เขาทั้งหลายจึงนำเด็กทารกไปยังกรุงเยรูซาเล็มจะถวายแด่พระเจ้า 23ตามที่เขียนไว้แล้วในธรรมบัญญัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ลูกชายทุกคนที่เบิกครรภ์ครั้งแรก จะได้เรียกว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ถวายแด่พระเจ้า” 24และถวายเครื่องบูชาตามที่ได้สั่งไว้แล้วในหนังสือธรรมบัญญัติของพระเจ้า คือ นกเขาคู่หนึ่ง หรือนกพิราบหนุ่มสองตัว
25ดูเถิด มีชายคนหนึ่งในกรุงเยรูซาเล็มชื่อสิเมโอน เป็นคนบุญและเกรงกลัวพระเจ้า และคอยเวลาซึ่งพวกอิสราเอลจะได้รับความบรรเทาทุกข์ และพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าสถิตกับท่าน 26พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้สำแดงแก่ท่านว่า ท่านจะไม่ตายจนกว่าจะได้เห็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ และเป็นพระเจ้า 27สิเมโอนเข้าไปในพระวิหารโดยการทรงนำของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อพ่อแม่ได้นำทารกเยซูเข้าไป เพื่อจะกระทำแก่ทารกตามธรรมเนียมแห่งธรรมบัญญัติ 28สิเมโอนจึงอุ้มทารกน้อย และยกย่องสรรเสริญพระเจ้าว่า 29“ข้าแต่พระเจ้า บัดนี้พระองค์ให้ผู้รับใช้ของพระองค์ไปเป็นสุขตามพระคำของพระองค์ 30เพราะว่าตาของข้าฯได้เห็น ความหลุดพ้นของพระองค์แล้ว 31ซึ่งพระองค์ได้จัดเตรียมไว้ต่อหน้าบรรดาชนชาติทั้งหลาย 32เป็นสว่างส่องแสงแก่คนต่างชาติ และเป็นสง่าราศีของพวกอิสราเอลชนชาติของพระองค์”
33ฝ่ายโยเซฟกับแม่ของทารกน้อยก็ประหลาดใจ เพราะถ้อยคำซึ่งท่านได้กล่าวถึงทารกนั้น 34แล้วสิเมโอนก็อวยพรแก่เขา แล้วกล่าวแก่นางมารีย์แม่ของทารกนั้นว่า “ดูก่อน พระเจ้าตั้งทารกนี้ไว้เป็นเหตุให้หลายคนในพวกอิสราเอลล้มลงหรือยกตั้งขึ้น และจะเป็นหมายสำคัญซึ่งคนปฏิเสธ 35เพื่อความคิดในใจของคนเป็นอันมากจะได้ปรากฏแจ้ง ถึงจิตใจของเขาเองก็ยังจะถูกดาบแทงทะลุด้วย”
36ยังมีผู้พยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้าที่เป็นหญิงคนหนึ่งชื่ออันนา ลูกสาวฟานูเอลในตระกูลอาเซอร์ นางเป็นคนชรามากแล้ว มีสามีตั้งแต่ยังเป็นสาวพรหมจารีอยู่ และอยู่ด้วยกันเจ็ดปี 37แล้วก็เป็นม่ายมาจนถึงอายุแปดสิบสี่ปี นางมิได้ไปจากพระวิหารเลย อยู่รับใช้พระเจ้าด้วยการถือศีลอดและอธิษฐานสวดอ้อนวอน ทั้งกลางคืนกลางวัน 38ในขณะนั้นผู้หญิงคนนี้ก็เข้ามาขอบพระคุณพระเจ้าเช่นกัน และกล่าวถึงทารกน้อยนั้นให้คนทั้งปวงที่คอยการไถ่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มฟัง
39ครั้นโยเซฟกับนางมารีย์ได้ทำการทั้งปวงตามหนังสือธรรมบัญญัติของพระเจ้าเสร็จแล้ว จึงกลับไปถึงนาซาเร็ธเมืองของตนในแคว้นกาลิลี 40ทารกน้อยนั้นก็เจริญวัย และเข้มแข็งขึ้นฝ่ายจิตวิญญาณ ประกอบด้วยสติปัญญา และพระคุณของพระเจ้าอยู่กับเธอด้วย
41ฝ่ายโยเซฟและมารีย์เคยขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มในการเลี้ยงฉลองเทศกาลปัสกาทุกปี ๆ 42เมื่อทารกน้อยมีอายุได้สิบสองปี เขาทั้งหลายก็ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มตามธรรมเนียมการเลี้ยงนั้น 43เมื่อครบกำหนดวันเลี้ยงกันแล้ว ขณะเขากำลังกลับไป เด็กน้อยเยซูก็ยังค้างอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม ฝ่ายโยเซฟกับมารีย์ก็ไม่รู้ 44แต่เพราะเขาทั้งสองคิดว่าเด็กน้อยนั้นอยู่ในหมู่คนที่มาด้วยกัน เขาจึงเดินทางไปได้วันหนึ่ง แล้วหาเด็กน้อยในหมู่ญาติพี่น้องและพวกคนที่รู้จักกัน 45เมื่อไม่พบ พวกเขาจึงกลับไปเที่ยวหาที่กรุงเยรูซาเล็ม
46ต่อมาครั้นหามาได้สามวันแล้ว จึงพบเด็กน้อยนั่งอยู่ในพระวิหารท่ามกลางพวกอาจารย์ ฟังและไต่ถามพวกอาจารย์เหล่านั้นอยู่ 47คนทั้งปวงที่ได้ยินก็ประหลาดใจในสติปัญญาและคำตอบของเด็กน้อยนั้น 48ฝ่ายบิดามารดาเมื่อเห็นลูกชายแล้วก็ประหลาดใจ มารดาจึงถามว่า “ลูกเอ๋ย ทำไมจึงทำแก่เราอย่างนี้ ดูเถิด พ่อกับแม่แสวงหาเป็นทุกข์นัก” 49เด็กน้อยนั้นจึงตอบเขาทั้งสองว่า “พ่อกับแม่เที่ยวหาผมทำไม? ไม่รู้หรือว่า ผมต้องกระทำพันธกิจแห่งพ่อของผม” 50เขาทั้งสองก็ไม่เข้าใจคำซึ่งลูกชายกล่าวแก่เขา 51แล้วเด็กน้อยนั้นก็ลงไปกับเขาไปยังเมืองนาซาเร็ธ อยู่ใต้ความปกครองของเขา มารดาก็เก็บเรื่องราวทั้งหมดนั้นไว้ในใจ
52พระเยซูก็ได้จำเริญขึ้นในด้านสติปัญญา ในด้านร่างกาย และเป็นที่ชอบจำเพาะพระเจ้า และต่อหน้าคนทั้งปวงด้วย
1เมื่อปีที่สิบห้าในรัชกาลทิเบริอัส ซีซาร์ ปอนทิอัสปีลาตเป็นเจ้าเมืองยูเดีย เฮโรดเป็นเจ้าเมืองกาลิลี ฟีลิปน้องชายของเฮโรดเป็นเจ้าเมืองอิทูเรียกับบริเวณมณฑลตราโคนิติส ลีซาเนียสเป็นเจ้าเมืองอาบีเลน 2อันนาสกับคายาฟาสเป็นมหาปุโรหิต คราวนั้นพระคำของพระเจ้ามาถึงยอห์นลูกชายของเศคาริยาห์ในถิ่นทุรกันดาร 3แล้วยอห์นจึงไปทั่วบริเวณรอบแม่น้ำจอร์แดน ประกาศเรื่องการทำพิธีมุดน้ำอันสำแดงการกลับหันหลังจากความผิดบาป เพื่อจะยกความผิดบาป 4ตามที่มีเขียนไว้แล้วในหนังสือถ้อยคำของอิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ว่า “เสียงผู้ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า ‘จงเตรียมหนทางแห่งพระเจ้า จงกระทำหนทางของพระองค์ให้ตรงไป 5หุบเขาทุกแห่งจะถมให้เต็ม ภูเขาและเนินทุกแห่งจะให้ต่ำลง ทางคดจะกลายเป็นทางตรง และทางที่ขรุขระจะกลายเป็นทางราบ 6มนุษย์ทั้งปวงจะได้เห็นความหลุดพ้นของพระเจ้า’”
7ยอห์นจึงกล่าวแก่ประชาชนที่ออกมาทำพิธีมุดน้ำจากท่านว่า “โอ เจ้าชาติงูร้าย ใครได้เตือนเจ้าให้หนีจากโทษทัณฑ์ซึ่งจะมาถึงนั้น 8เหตุฉะนั้น จงพิสูจน์การกลับใจของเจ้าด้วยผลที่เกิดขึ้น อย่าเริ่มนึกเหมาเอาในใจว่าตัวมีอับราฮัมเป็นบรรพบุรุษ เพราะเราบอกเจ้าทั้งหลายว่า พระเจ้าทรงฤทธิ์สามารถจะให้ลูกเกิดขึ้นกับอับราฮัมจากก้อนหินเหล่านี้ได้ 9บัดนี้ขวานวางไว้ที่โคนต้นไม้แล้ว และทุกต้นที่ไม่เกิดผลดีจะต้องตัดเสียแล้วโยนทิ้งในกองไฟ”
10ฝ่ายประชาชนจึงถามท่านว่า “เราจะต้องทำประการใด” 11ท่านจึงตอบเขาว่า “ผู้ใดมีเสื้อสองตัว จงปันให้แก่คนไม่มี และใครมีอาหาร จงปันให้เหมือนกัน” 12พวกเก็บภาษีก็มาขอทำพิธีมุดน้ำด้วย และถามท่านว่า “อาจารย์ครับ พวกผมต้องทำประการใด” 13ท่านจึงตอบเขาว่า “พวกเจ้าทั้งหลายอย่าเก็บภาษีเกินพิกัด” 14ฝ่ายพวกทหารถามท่านด้วยว่า “พวกผมล่ะ จะต้องทำประการใด” ท่านตอบเขาว่า “อย่ากดขี่ผู้ใด อย่าหาความใส่ผู้ใด แต่จงพอใจในค่าจ้างของตน”
15เมื่อคนทั้งหลายกำลังคอยพระผู้เป็นพระศรีอาริย์อยู่ และได้ใคร่ครวญถึงยอห์นว่า ตัวท่านเป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์หรือมิใช่ 16ยอห์นจึงตอบเขาทั้งหลายว่า “เราให้เจ้ารับทำพิธีด้วยน้ำก็จริง แต่จะมีพระองค์หนึ่งเสด็จมาทรงมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งกว่าเราอีก ซึ่งเราไม่คู่ควรแม้จะแก้สายรัดรองเท้าของพระองค์ พระองค์นั้นจะให้พวกเจ้าทั้งหลายทำพิธีด้วยพระวิญญาณและด้วยไฟ 17มือของพระองค์ถือพลั่วพร้อมแล้วเพื่อจะชำระลานข้าวของพระองค์ให้ทั่ว และเพื่อจะเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางของพระองค์ แต่พระองค์จะเผาแกลบด้วยไฟที่ไม่รู้ดับ”
18ยอห์นจึงประกาศตักเตือนอีกหลายประการแก่คนทั้งหลาย 19ฝ่ายเฮโรดเจ้าเมือง เมื่อถูกยอห์นว่าติเตียนเพราะเรื่องนางเฮโรเดียภรรยาของน้องชายชื่อฟีลิป และเพราะการชั่วทั้งหมดที่เฮโรดได้กระทำนั้น 20เฮโรดยังทำความชั่วนี้เพิ่มกับที่ได้ทำมาแล้ว คือได้จับยอห์นจำไว้ในคุก
21อยู่มาเมื่อคนทั้งปวงมาทำพิธีมุดน้ำ และพระเยซูก็มาทำพิธีมุดน้ำด้วย ขณะเมื่ออธิษฐานอยู่ ท้องฟ้าก็แหวกออก 22และพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์รูปทรงสัณฐานเหมือนนกเขา ได้ลงมาบนพระองค์ และมีเสียงมาจากฟ้าสวรรค์ว่า “เจ้าเป็นลูกที่รักของเรา เราชอบใจเจ้ามาก”
23เมื่อพระเยซูมีอายุได้ประมาณสามสิบปี (ตามความคาดหมายของคนทั้งหลาย) เข้าใจว่าเป็นบุตรโยเซฟ ซึ่งเป็นบุตรเฮลี 24ซึ่งเป็นบุตรมัทธัต ซึ่งเป็นบุตรเลวี ซึ่งเป็นบุตรเมลคี ซึ่งเป็นบุตรยันนาย ซึ่งเป็นบุตรโยเซฟ 25ซึ่งเป็นบุตรมัทธาธีอัส ซึ่งเป็นบุตรอาโมส ซึ่งเป็นบุตรนาฮูม ซึ่งเป็นบุตรเอสลี ซึ่งเป็นบุตรนักกาย 26ซึ่งเป็นบุตรมาอาท ซึ่งเป็นบุตรมัทธาธีอัส ซึ่งเป็นบุตรเสเมอิน ซึ่งเป็นบุตรโยเซฟ ซึ่งเป็นบุตรยูดาห์ 27ซึ่งเป็นบุตรโยอานาห์ ซึ่งเป็นบุตรเรซา ซึ่งเป็นบุตรเศรุบบาเบล ซึ่งเป็นบุตรเซลาทิเอล ซึ่งเป็นบุตรเนรี 28ซึ่งเป็นบุตรเมลคี ซึ่งเป็นบุตรอัดดี ซึ่งเป็นบุตรโคสัม ซึ่งเป็นบุตรเอลมาดัม ซึ่งเป็นบุตรเอร์ 29ซึ่งเป็นบุตรโยซี ซึ่งเป็นบุตรเอลีเยเซอร์ ซึ่งเป็นบุตรโยริม ซึ่งเป็นบุตรมัทธัต ซึ่งเป็นบุตรเลวี 30ซึ่งเป็นบุตรสิเมโอน ซึ่งเป็นบุตรยูดาห์ ซึ่งเป็นบุตรโยเซฟ ซึ่งเป็นบุตรโยนาน ซึ่งเป็นบุตรเอลียาคิม 31ซึ่งเป็นบุตรเมเลอา ซึ่งเป็นบุตรเมนนัน ซึ่งเป็นบุตรมัทตะธา ซึ่งเป็นบุตรนาธัน ซึ่งเป็นบุตรดาวิด 32ซึ่งเป็นบุตรเจสซี ซึ่งเป็นบุตรโอเบด ซึ่งเป็นบุตรโบอาส ซึ่งเป็นบุตรสัลโมน ซึ่งเป็นบุตรนาโซน 33ซึ่งเป็นบุตรอัมมีนาดับ ซึ่งเป็นบุตรราม ซึ่งเป็นบุตรเฮสโรน ซึ่งเป็นบุตรเปเรศ ซึ่งเป็นบุตรยูดาห์ 34ซึ่งเป็นบุตรยาโคบ ซึ่งเป็นบุตรอิสอัค ซึ่งเป็นบุตรอับราฮัม ซึ่งเป็นบุตรเทราห์ ซึ่งเป็นบุตรนาโฮร์ 35ซึ่งเป็นบุตรเสรุก ซึ่งเป็นบุตรเรกู ซึ่งเป็นบุตรเปเลก ซึ่งเป็นบุตรเอเบอร์ ซึ่งเป็นบุตรเซลาห์ 36ซึ่งเป็นบุตรเคนัน ซึ่งเป็นบุตรอารฟาซัด ซึ่งเป็นบุตรเชม ซึ่งเป็นบุตรโนอาห์ ซึ่งเป็นบุตรลาเมค 37ซึ่งเป็นบุตรเมธูเสลาห์ ซึ่งเป็นบุตรเอโนค ซึ่งเป็นบุตรยาเรด ซึ่งเป็นบุตรมาหะลาเลล ซึ่งเป็นบุตรเคนัน 38ซึ่งเป็นบุตรเอโนช ซึ่งเป็นบุตรเสท ซึ่งเป็นบุตรอาดัม ซึ่งเป็นบุตรพระเจ้า
1พระเยซูประกอบด้วยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าได้กลับไปจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้นำพระองค์ไปในถิ่นทุรกันดาร 2พระองค์ถูกมารทดลองถึงสี่สิบวัน ในวันเหล่านั้นพระองค์ไม่ได้กินดื่มอะไรเลย และเมื่อสิ้นสี่สิบวันแล้ว พระองค์อยากรับประทานอาหาร 3พญามารจึงบอกพระองค์ว่า “ถ้าเจ้าเป็นโอรสของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินนี้ให้กลายเป็นขนมปังสิ”
4ฝ่ายพระเยซูตอบมารว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารอย่างเดียวก็ไม่ได้ แต่บำรุงด้วยพระคำทุกคำของพระเจ้า’” 5แล้วพญามารจึงนำพระองค์ขึ้นไปยังภูเขาที่สูง สำแดงบรรดาอาณาจักรทั่วโลกในขณะเดียวให้พระองค์ดู 6แล้วพญามารได้บอกพระองค์ว่า “อำนาจทั้งสิ้นนี้และสง่าราศีของอาณาจักรนั้นเราจะยกให้เจ้า เพราะว่าพระเจ้าได้มอบเป็นสิทธิไว้แก่เราแล้ว และเราปรารถนาจะให้แก่ผู้ใดก็จะให้แก่ผู้นั้น 7เหตุฉะนั้น ถ้าท่านจะกราบไหว้เรา สรรพสิ่งนั้นจะเป็นของเจ้าทั้งหมด” 8ฝ่ายพระเยซูตอบมารว่า “อ้ายซาตาน จงถอยไปข้างหลังเรา เพราะมีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘จงกราบไหว้พระเจ้าของเจ้า และรับใช้พระองค์แต่ผู้เดียว’” 9แล้วมารจึงนำพระองค์ไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และให้พระองค์ขึ้นไปอยู่ที่หลังคาพระวิหาร แล้วบอกพระองค์ว่า “ถ้าเจ้าเป็นพระโอรสของพระเจ้า จงกระโดดลงไปจากที่นี่เถิด 10เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘พระองค์จะรับสั่งเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์ในเรื่องเจ้า ให้ป้องกันรักษาเจ้าไว้’ 11และ ‘เหล่าทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูเจ้าไว้ เกรงว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดเท้าของเจ้าจะกระแทกหิน’” 12พระเยซูจึงตรัสตอบมารว่า “มีคำกล่าวไว้ว่า อย่าทดสอบพระเจ้าของเจ้า” 13เมื่อพญามารทำการทดลองทุกอย่างสิ้นแล้ว จึงละจากพระองค์ไปชั่วคราว
14พระเยซูได้กลับไปยังมณฑลกาลิลีด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณ และกิตติศัพท์ของพระองค์เลื่องลือไปตามถิ่นโดยรอบ 15พระองค์ทรงสั่งสอนในวัดหรือสุเหร่าต่าง ๆ ของเขา และได้รับความสรรเสริญจากคนทั้งปวง
16แล้วพระองค์เดินทางมาถึงเมืองนาซาเร็ธ เป็นที่ซึ่งพระองค์เจริญเติบโตขึ้น พระองค์เข้าไปในวัดหรือสุเหร่าในวันศีลตามเคย และยืนขึ้นเพื่อจะอ่านพระคัมภีร์ 17เขาจึงส่งพระคัมภีร์อิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ให้แก่พระองค์ เมื่อพระองค์คลี่หนังสือนั้นออก ก็ค้นพบข้อที่เขียนไว้ว่า 18“พระวิญญาณแห่งองค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่บนข้าพเจ้าเพราะว่าพระองค์ได้แต่งตั้งข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศบารมีของพระเจ้าแก่คนยากจน พระองค์ได้ทรงใช้ข้าพเจ้าให้รักษาคนที่ชอกช้ำระกำใจ ให้ร้องประกาศอิสรภาพแก่บรรดาเชลย ให้ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ให้ปล่อยผู้ชอกช้ำเป็นอิสระ 19และให้ประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า”
20แล้วพระองค์ก็ม้วนหนังสือส่งคืนให้แก่เจ้าหน้าที่ แล้วนั่งลงและตาของคนทั้งปวงในวัดหรือสุเหร่าก็เพ่งดูพระองค์ 21พระองค์จึงเริ่มพูดกับเขาว่า “คัมภีร์ตอนนี้ที่พวกท่านได้ยินกับหูของท่านก็สำเร็จในวันนี้แล้ว” 22คนทั้งปวงก็เป็นพยานรับรองคำของพระองค์ และประหลาดใจด้วยถ้อยคำอันประกอบด้วยคุณ ซึ่งออกมาจากปากของพระองค์ และว่า “คนนี้เป็นลูกชายของโยเซฟมิใช่หรือ?”
23พระองค์จึงพูดกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายจะกล่าวคำสุภาษิตข้อนี้แก่เราเป็นแน่ คือว่า ‘หมอจงรักษาตัวเองเถิด คือบรรดาการซึ่งเราได้ยินว่า ท่านได้กระทำในเมืองคาเปอรนาอุม จงกระทำในเมืองของตนที่นี่ด้วย’” 24พระองค์กล่าวว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีศาสดาพยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้าคนใดได้รับการต้อนรับในบ้านเมืองของตน 25แต่เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มีหญิงม่ายหลายคนในพวกอิสราเอลคราวเอลียาห์ เมื่อท้องฟ้าปิดลงถึงสามปีกับหกเดือนจึงเกิดการกันดารอาหารมากทั่วแผ่นดิน 26และเอลียาห์ไม่ได้ถูกรับใช้ให้ไปหาหญิงม่ายคนใด เว้นแต่หญิงม่ายคนหนึ่งในบ้านศาเรฟัทแคว้นเมืองไซดอน 27และมีคนโรคเรื้อนหลายคนในพวกอิสราเอลคราวเอลีชาศาสดาพยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้า แต่ไม่มีผู้ใดได้รับการรักษาให้หายโรคนั้นเลย เว้นแต่นาอามานชาวซีเรีย”
28เมื่อคนทั้งปวงในวัดหรือสุเหร่าได้ยินดังนั้นก็โกรธยิ่งนัก 29จึงลุกขึ้นผลักพระองค์ออกจากเมือง พาไปยังแง่ของเงื้อมเขาที่เมืองของเขา ซึ่งตั้งอยู่บนเนินนั้น หมายจะผลักพระองค์ลงไป 30แต่พระองค์เดินผ่านท่ามกลางเขาพ้นไป
31พระองค์เดินทางลงไปถึงเมืองคาเปอรนาอุมมลฑลกาลิลี และได้สั่งสอนเขาทั้งหลายทุกวันศีล 32คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์ เพราะคำสอนของพระองค์ประกอบด้วยอำนาจ 33มีชายคนหนึ่งในวัดหรือสุเหร่าที่มีผีโสโครกเข้าสิง เขาร้องเสียงดัง 34กล่าวว่า “ไฮ้ เยซูชาวนาซาเร็ธ ปล่อยเราไว้ เราเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้า เจ้ามาเพื่อจะทำลายเราหรือ? เรารู้ว่าเจ้าเป็นผู้ใด เจ้าคือองค์บริสุทธิ์ของพระเจ้า” 35พระเยซูจึงห้ามมันว่า “จงนิ่งเสีย ออกมาจากเขาเดี๋ยวนี้” เมื่อผีนั้นได้ทำให้เขาล้มลงท่ามกลางประชาชนแล้ว ก็ออกมาจากเขา แต่มิได้ทำอันตรายเขาเลย 36คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนักพูดกันว่า “คำนี้เป็นอย่างไรหนอ เพราะว่าเขาได้สั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและด้วยฤทธิ์เดช มันก็ออกมา” 37กิตติศัพท์ของพระองค์จึงได้เลื่องลือไปทุกตำบลที่อยู่รอบนั้น
38ฝ่ายพระองค์ลุกขึ้นออกจากวัดหรือสุเหร่า เข้าไปในเรือนของซีโมน แม่ยายซีโมนป่วยเป็นไข้หนัก เขาทั้งหลายจึงอ้อนวอนพระองค์ให้ช่วยหญิงนั้น 39พระองค์ยืนอยู่ข้างคนเจ็บ รักษาไข้ ไข้ก็หาย และในทันใดนั้นแม่ยายของซีโมนก็ลุกขึ้นรับใช้เขาทั้งหลาย 40ครั้นเวลาตะวันยอแสง ใครมีคนเจ็บเป็นโรคต่าง ๆ ก็พามาหาพระองค์ พระองค์ก็ปรกมือให้เขาทุกคน ให้เขาหายโรค 41ผีก็ออกมาจากคนหลายคนด้วย ร้องว่า “เจ้าเป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์พระโอรสของพระเจ้า” ฝ่ายพระองค์ก็ห้ามมิให้มันพูด เพราะว่ามันรู้แล้วว่าพระองค์เป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์
42ครั้นรุ่งเช้าพระองค์ออกไปยังที่เปลี่ยว ประชาชนเที่ยวเสาะหาพระองค์ ครั้นพบแล้วก็หน่วงเหนี่ยวพระองค์ไว้ไม่ให้ไปจากเขา 43แต่พระองค์พูดกับเขาว่า “เราต้องไปประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าแก่เมืองอื่นด้วย เพราะว่าที่เราได้รับใช้มาก็เพราะเหตุนี้เอง” 44พระองค์ประกาศในวัดหรือสุเหร่าทั่วมณฑลกาลิลี
1ต่อมาครั้นเมื่อประชาชนกำลังเบียดเสียดพระองค์เพื่อฟังพระคำของพระเจ้า พระองค์ยืนอยู่ที่ฝั่งทะเลสาบเยนเนซาเรท 2และพระองค์เห็นเรือสองลำจอดอยู่ริมฝั่งทะเลสาบนั้น แต่ชาวประมงขึ้นจากเรือแล้วกำลังซักอวนอยู่ 3พระองค์จึงลงเรือลำหนึ่ง เป็นเรือของซีโมน และขอให้เขาถอยไปจากฝั่งหน่อยหนึ่ง แล้วพระองค์นั่งลงสอนประชาชนจากเรือนั้น
4เมื่อพระองค์สอนเสร็จแล้ว จึงบอกซีโมนว่า “จงถอยออกไปที่น้ำลึกหย่อนอวนต่าง ๆ ลงจับปลา” 5ซีโมนตอบพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ พวกผมทอดอวนคืนยังรุ่ง ไม่ได้อะไรเลย แต่ผมก็จะหย่อนอวนลงตามคำของอาจารย์” 6เมื่อเขาหย่อนลงแล้ว ก็ล้อมปลาไว้เป็นอันมาก จนอวนของเขาขาด 7เขาจึงทำสำคัญแก่ผู้ร่วมงานที่อยู่ในเรืออีกลำหนึ่งให้มาช่วย เขาก็มาช่วย แล้วได้ปลาเต็มเรือทั้งสองลำ จนเรือเริ่มจมลง 8ฝ่ายซีโมนเปโตรเมื่อเห็นดังนั้น ก็กราบลงที่หัวเข่าของพระเยซูบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ขอไปให้ห่างจากผมเถิด เพราะว่าผมเป็นคนบาป” 9เพราะว่าเขากับคนทั้งหลายที่อยู่ด้วยกันประหลาดใจด้วยปลาเป็นอันมากที่เขาจับได้นั้น 10ยากอบและยอห์นลูกชายของเศเบดี ผู้ร่วมงานกับซีโมนก็ประหลาดใจเหมือนกัน พระเยซูบอกแก่ซีโมนว่า “อย่ากลัวเลย ตั้งแต่นี้ไปเจ้าจะเป็นผู้จับคน” 11เมื่อเขานำเรือมาถึงฝั่งแล้ว เขาก็ละทิ้งสิ่งสารพัด และตามพระองค์ไป
12ต่อมาเมื่อพระองค์อยู่ในเมือง ๆ หนึ่ง ดูเถิด มีคนเป็นโรคเรื้อนเต็มทั้งตัว เมื่อเขาเห็นพระเยซูก็ซบหน้าลงถึงดิน อ้อนวอนพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ เพียงแต่อาจารย์จะโปรดก็จะบันดาลให้ผมสะอาดได้” 13พระองค์ยื่นมือถูกต้องเขาแล้วกล่าวว่า “เราพอใจแล้ว จงสะอาดเถิด” ในทันใดนั้นโรคเรื้อนของเขาก็หาย 14พระองค์จึงกำชับเขาไม่ให้บอกผู้ใด และกล่าวว่า “แต่จงไปแสดงตัวแก่ปุโรหิต และถวายเครื่องบูชาสำหรับคนที่หายโรคเรื้อนแล้ว ตามซึ่งโมเสสได้สั่งไว้ เพื่อเป็นหลักฐานต่อคนทั้งหลายว่าเจ้าหายโรคแล้ว” 15แต่กิตติศัพท์ของพระองค์ยิ่งเลื่องลือไป และประชาชนเป็นอันมากมาชุมนุมกันเพื่อจะฟังพระองค์ และรับการรักษาโรคต่าง ๆ ของเขา 16แต่พระองค์ได้ออกไปในที่เปลี่ยว และอธิษฐานสวดอ้อนวอน
17คราวนั้นวันหนึ่งเมื่อพระองค์สั่งสอนอยู่ มีพวกฟาริสีและพวกคัมภีราจารย์ฝ่ายธรรมบัญญัตินั่งอยู่ด้วย เป็นผู้มาจากทุกเมืองในมณฑลกาลิลี มณฑลยูเดีย และจากกรุงเยรูซาเล็ม ฤทธิ์เดชขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็สถิตอยู่เพื่อจะรักษาเขาให้หายโรค 18และดูเถิด มีผู้หามคนอัมพาตคนหนึ่งนอนบนที่นอน และเขาหาช่องที่จะหามคนอัมพาตนั้นเข้ามาวางตรงหน้าของพระองค์ 19เมื่อหาช่องเอาเข้ามาไม่ได้เพราะคนมาก เขาจึงขึ้นไปบนดาดฟ้าหลังคาบ้านหย่อนคนอัมพาตลงมา ทั้งที่นอนตามช่องกระเบื้องตรงกลางหมู่คนตรงหน้าพระเยซู 20เมื่อพระองค์เห็นความเชื่อของเขาทั้งหลาย พระองค์จึงพูดกับคนอัมพาตว่า “ชายหนุ่มเอ๋ย บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว”
21ฝ่ายพวกคัมภีราจารย์และพวกฟาริสีเริ่มคิดในใจว่า “คนนี้ที่พูดหมิ่นประมาทเป็นผู้ใดเล่า ใครจะยกความผิดบาปได้เว้นแต่พระเจ้าเท่านั้น” 22แต่เมื่อพระเยซูทราบความคิดของเขา พระองค์จึงกล่าวกับเขาว่า “ไฉนท่านทั้งหลายจึงคิดในใจอย่างนี้ 23ที่จะว่า ‘บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว’ หรือจะว่า ‘จงลุกขึ้นเดินไปเถิด’ นั้นอันไหนจะง่ายกว่ากัน 24แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีฤทธิ์อำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” (พระองค์จึงสั่งคนอัมพาตว่า) “เราสั่งเจ้าว่า จงลุกขึ้นยกที่นอนไปบ้านของเจ้าเถิด” 25ในทันใดนั้น เขาจึงลุกขึ้นต่อหน้าคนทั้งปวง ยกที่นอนซึ่งเขาได้นอนนั้น กลับไปบ้านของตน พลางร้องสรรเสริญพระเจ้า 26คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจและได้สรรเสริญพระเจ้า ต่างเต็มไปด้วยความกลัวและพูดว่า “วันนี้เราได้เห็นสิ่งแปลกประหลาดมหัศจรรย์แล้ว”
27ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้พระองค์ได้เดินทางออกไป และเห็นคนเก็บภาษีคนหนึ่ง ชื่อเลวีนั่งอยู่ที่ด่านศุลกากร พระองค์จึงพูดกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” 28เขาก็ละทิ้งสิ่งสารพัด ลุกขึ้นตามพระองค์ไป 29เลวีได้จัดให้มีการเลี้ยงใหญ่ในเรือนของตนเพื่อเป็นเกียรติยศแก่พระองค์ มีคนมากมายเป็นคนเก็บภาษีและคนอื่น ๆ มาเอนกายลงรับประทานด้วยกัน 30ฝ่ายพวกคัมภีราจารย์ และพวกฟาริสีกระซิบบ่นติพวกสาวกของพระองค์ว่า “เหตุไฉนพวกเจ้ามากินและดื่มร่วมกับพวกเก็บภาษีและพวกคนบาป” 31พระเยซูตอบเขาว่า “คนปกติไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บต้องการหมอ 32เราไม่ได้มาเพื่อจะเรียกคนที่เห็นว่าตัวเป็นคนบุญ แต่มาเรียกคนบาปให้กลับใจหันหนังจากความผิดบาป”
33เขาทั้งหลายถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกศิษย์ของยอห์นถือศีลอดเนือง ๆ และอธิษฐานสวดอ้อนวอน และศิษย์ของพวกฟาริสีก็ถือเหมือนกัน แต่สาวกของท่านกินและดื่ม” 34ฝ่ายพระองค์กล่าวแก่เขาว่า “พวกท่านจะให้เพื่อนของเจ้าบ่าวอดอาหารเมื่อเจ้าบ่าวยังอยู่กับเขากระนั้นหรือ? 35แต่วันนั้นจะมาถึงเมื่อเจ้าบ่าวจะต้องจากเพื่อนเจ้าบ่าวไป ในวันนั้นเพื่อนเจ้าบ่าวจะถือศีลอด”
36“พระองค์ยังพูดคำอุปมาข้อหนึ่งแก่เขาด้วยว่า “ไม่มีผู้ใดฉีกท่อนผ้าจากเสื้อใหม่มาปะเสื้อเก่า ถ้าทำอย่างนั้นเสื้อใหม่นั้นจะขาดเสียไป ทั้งท่อนผ้าที่เอามาจากเสื้อใหม่นั้นก็จะไม่สมกับเสื้อเก่าด้วย 37ไม่มีผู้ใดเอาเหล้าองุ่นใหม่มาใส่ในถุงหนังเก่า ถ้าทำอย่างนั้นเหล้าองุ่นใหม่จะทำให้ถุงหนังเก่าขาดไป และเหล้าองุ่นจะรั่ว ถุงหนังก็จะเสียไปด้วย 38แต่เหล้าองุ่นใหม่ต้องใส่ในถุงหนังใหม่ ทั้งสองจะถนอมรักษาด้วยกันได้ 39ไม่มีผู้ใดเมื่อดื่มเหล้าองุ่นเก่าแล้ว จะอยากได้เหล้าองุ่นใหม่ทันที เพราะเขาว่า ของเก่านั้นก็ดีกว่า”
1ต่อมาในวันศีลวันที่สอง หลังจากวันแรกนั้น พระองค์กำลังเดินทางไปที่ในนา และพวกสาวกของพระองค์ก็เด็ดรวงข้าวขยี้กิน 2บางคนในพวกฟาริสีจึงกล่าวแก่เขาว่า “ทำไมพวกเจ้าจึงทำการซึ่งธรรมบัญญัติห้ามไว้ในวันศีล” 3พระเยซูตอบเขาว่า “ท่านทั้งหลายยังไม่ได้อ่านเรื่องนี้อีกหรือ ที่กษัตริย์ดาวิดได้กระทำเมื่ออดอยาก ทั้งท่านและพรรคพวกด้วย 4คือท่านได้เข้าไปในพระวิหารของพระเจ้า และรับประทานขนมปังศักด์สิทธิ์ทั้งให้พรรคพวกด้วย ซึ่งธรรมบัญญัติห้ามไม่ให้ใครรับประทานเว้นแต่พวกปุโรหิตเท่านั้น” 5พระองค์จึงพูดกับเขาว่า “บุตรมนุษย์เป็นเจ้าเป็นใหญ่เหนือวันศีลด้วย”
6ต่อมาในวันศีลอีกวันหนึ่ง พระองค์เข้าไปในวัดหรือสุเหร่าและสั่งสอน ที่นั่นมีชายคนหนึ่งมือขวาลีบ 7ฝ่ายพวกคัมภีราจารย์และพวกฟาริสีคอยดูพระองค์ว่า พระองค์จะรักษาเขาในวันศีลหรือไม่ เพื่อจะหาเหตุฟ้องพระองค์ได้ 8แต่พระองค์ทราบความคิดของเขา จึงกล่าวแก่คนมือลีบนั้นว่า “จงลุกขึ้นมายืนอยู่ข้างหน้า” เขาก็ลุกขึ้นยืน 9แล้วพระเยซูพูดกับเขาทั้งหลายว่า “เราจะถามท่านทั้งหลายว่า ในวันศีล ถูกต้องตามธรรมบัญญัติทำการดีหรือทำการร้าย จะช่วยชีวิตดีหรือจะทำลายชีวิต” 10พระองค์จึงมองดูทุกคนโดยรอบ แล้วพูดกับชายคนนั้นว่า “จงเหยียดมือออกเถิด” เขาก็กระทำตาม และมือของเขาก็หายเป็นปกติเหมือนมืออีกข้างหนึ่ง 11แต่คนเหล่านั้นต่างก็มีความเดือดดาล และปรึกษากันว่าจะกระทำอย่างไรกับพระเยซูได้
12ต่อมาคราวนั้นพระองค์ขึ้นไปที่ภูเขาเพื่อจะอธิษฐานสวดอ้อนวอน และได้อธิษฐานสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าคืนยังรุ่ง 13ครั้นรุ่งเช้าแล้วพระองค์เรียกสาวกของพระองค์ แล้วเลือกสิบสองคนออกจากหมู่สาวกนั้น ที่พระองค์ทรงเรียกว่า อัครทูต 14คือซีโมน (ที่พระองค์ให้ชื่ออีกว่า เปโตร) อันดรูว์น้องชายของเปโตร ยากอบและยอห์น ฟีลิปและบารโธโลมิว 15มัทธิวและโธมัส ยากอบบุตรชายของอัลเฟอัส ซีโมนที่เรียกว่า เศโลเท 16ยูดาสน้องชายของยากอบ และยูดาสอิสคาริโอทที่เป็นผู้ทรยศหักหลังพระองค์ด้วย
17แล้วพระองค์กับอัครทูตก็ลงมายืน ณ ที่ราบแห่งหนึ่ง พร้อมกับหมู่สาวกของพระองค์ และประชาชนเป็นอันมากซึ่งมาจากทั่วมณฑลยูเดีย กรุงเยรูซาเล็ม และจากตำบลชายทะเลในเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน เพื่อจะฟังพระองค์และให้พระองค์รักษาโรคของเขา 18และบรรดาคนที่ต้องทนทุกข์เพราะผีร้าย เขาก็ได้รับการรักษาให้หายด้วย 19ประชาชนต่างก็พยายามที่จะถูกต้องพระองค์ เพราะว่ามีฤทธิ์ซ่านออกจากพระองค์รักษาเขาให้หายทุกคน
20พระองค์แลดูเหล่าสาวกของพระองค์แล้วกล่าวว่า “พวกเจ้าทั้งหลายที่เป็นคนยากจนก็เป็นสุข เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าเป็นของเจ้า 21พวกเจ้าทั้งหลายที่อดอยากเวลานี้ก็เป็นสุข เพราะว่าพวกเจ้าจะได้อิ่มหนำ พวกเจ้าทั้งหลายที่ร้องไห้เวลานี้ก็เป็นสุข เพราะว่าพวกเจ้าจะได้หัวเราะ 22พวกเจ้าทั้งหลายจะเป็นสุขเมื่อคนทั้งหลายจะเกลียดชังเจ้า และจะไล่พวกเจ้าออกจากพวกเขา และจะประณามเจ้า และจะเหยียดชื่อของพวกเจ้าว่าเป็นคนชั่วช้า เพราะพวกเจ้าเห็นแก่บุตรมนุษย์ 23ในวันนั้นพวกเจ้าทั้งหลายจงชื่นชม และกระโดดโลดเต้นด้วยความยินดี เพราะ ดูเถิด บุญของพวกเจ้ามีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะว่าบรรพบุรุษของเขาได้กระทำอย่างนั้นแก่พวกศาสดาพยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้าเหมือนกัน 24แต่วิบัติแก่พวกเจ้าทั้งหลายที่มั่งมี เพราะว่าเจ้าได้รับสิ่งที่ปลอบประโลมใจแล้ว 25วิบัติแก่พวกเจ้าทั้งหลายที่อิ่มหนำแล้ว เพราะว่าพวกเจ้าจะอดอยาก วิบัติแก่พวกเจ้าทั้งหลายที่หัวเราะเวลานี้ เพราะว่าพวกเจ้าจะเป็นทุกข์และร้องไห้ 26วิบัติแก่พวกเจ้าทั้งหลายเมื่อคนทั้งหลายจะยอว่าเจ้าดี เพราะบรรพบุรุษของเขาได้กระทำอย่างนั้นแก่ผู้พยากรณ์เท็จเหมือนกัน”
27“แต่เราบอกพวกเจ้าทั้งหลายที่กำลังฟังอยู่ว่า จงมีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อศัตรูของพวกเจ้า จงทำดีแก่ผู้ที่เกลียดชังพวกเจ้า 28จงอวยพรแก่คนที่แช่งด่าพวกเจ้า จงอธิษฐานเพื่อคนที่เคี่ยวเข็ญพวกเจ้า 29ผู้ใดตบแก้มของพวกเจ้าข้างหนึ่ง จงหันอีกข้างหนึ่งให้เขาด้วย และผู้ใดริบเอาเสื้อคลุมของพวกเจ้าไป ถ้าเขาจะเอาเสื้อด้วยก็อย่าหวงห้าม 30จงให้แก่ทุกคนที่ขอจากพวกเจ้า และถ้าใครได้ริบเอาของของท่านไป อย่าทวงเอาคืน 31จงปฏิบัติต่อผู้อื่น อย่างที่พวกเจ้าปรารถนาให้เขาปฏิบัติต่อพวกเจ้า 32แม้ว่าพวกเจ้าทั้งหลายมีพรหมวิหารสี่ต่อผู้ที่มีต่อพวกเจ้า จะนับว่าเป็นคุณอะไรแก่พวกเจ้า ถึงแม้คนบาปก็ยังมีพรหมวิหารสี่ต่อผู้ที่มีต่อเขาเหมือนกัน 33ถ้าพวกเจ้าทั้งหลายทำดีแก่ผู้ที่ทำดีแก่พวกเจ้า จะนับว่าเป็นคุณอะไรแก่พวกเจ้า เพราะว่าคนบาปก็กระทำเหมือนกัน 34ถ้าพวกเจ้าทั้งหลายให้ยืมเฉพาะแต่ผู้ที่พวกเจ้าหวังจะได้คืนจากเขาอีก จะนับว่าเป็นคุณอะไรแก่พวกเจ้า ถึงแม้คนบาปก็ยังให้คนบาปยืมโดยหวังว่าจะได้รับคืนจากเขาอีกเท่ากัน 35แต่จงมีพรหมวิหารสี่ต่อศัตรูของพวกเจ้าทั้งหลาย และทำการดีต่อเขา จงให้เขายืมโดยไม่หวังที่จะได้คืนอีก บำเหน็จของพวกเจ้าทั้งหลายจึงจะมีบริบูรณ์ และพวกเจ้าทั้งหลายจะเป็นบุตรของผู้สูงสุด เพราะว่าพระองค์ยังทรงโปรดแก่คนอกตัญญูและคนชั่ว 36เหตุฉะนั้น พวกเจ้าทั้งหลายจงมีความเมตตากรุณา เหมือนอย่างพ่อของพวกเจ้ามีใจเมตตากรุณา”
37“อย่าพิพากษาโทษเขา และพวกเจ้าทั้งหลายจะไม่ได้ถูกพิพากษาโทษ อย่ากล่าวโทษเขา และพวกเจ้าทั้งหลายจะไม่ถูกกล่าวโทษ จงยกโทษให้เขา และพวกเจ้าจะได้รับการอภัยโทษ 38จงให้ และพวกเจ้าจะได้รับด้วย และในตักของพวกเจ้าจะได้รับตวงด้วยทะนานถ้วนยัดสั่นแน่นพูนล้นใส่ให้ เพราะว่าพวกเจ้าจะตวงให้เขาด้วยทะนานอันใด จะตวงให้พวกเจ้าด้วยทะนานอันนั้น”
39พระองค์พูดกับเขาทั้งหลายเป็นคำอุปมาด้วยว่า “คนตาบอดจะนำทางคนตาบอดได้หรือ? ทั้งสองจะไม่ตกลงไปในบ่อหรือ? 40ศิษย์ไม่ใหญ่กว่าครู แต่ศิษย์ทุกคนที่ได้รับการฝึกสอนครบแล้วก็จะเป็นเหมือนครูของตน 41เหตุไฉนพวกเจ้ามองดูผงที่ในตาพี่น้องของพวกเจ้า แต่ไม่ยอมพิจารณาไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของพวกเจ้าเอง 42เหตุไฉนพวกเจ้าจึงจะพูดกับพี่น้องของพวกเจ้าว่า ‘พี่น้องเอ๋ย ให้เราเขี่ยผงออกจากตาของเธอ’ แต่ที่จริงพวกเจ้าเองยังไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของพวกเจ้า พวกเจ้าเป็นคนหน้าซื่อใจคด จงชักไม้ทั้งท่อนออกจากตาของพวกเจ้าก่อน แล้วพวกเจ้าจะเห็นได้ถนัดจึงจะเขี่ยผงออกจากตาพี่น้องของพวกเจ้าได้”
43“ด้วยว่าต้นไม้ดีย่อมไม่เกิดผลเลว หรือต้นไม้เลวย่อมไม่เกิดผลดี 44เพราะว่าจะรู้จักต้นไม้ทุกต้นได้ก็เพราะผลของมัน เพราะว่าเขาย่อมไม่เก็บผลมะเดื่อจากต้นไม้มีหนาม หรือย่อมไม่เก็บผลองุ่นจากพุ่มไม้หนาม 45คนดีก็ย่อมเอาของดีออกจากคลังดีแห่งใจของตน และคนชั่วก็ย่อมเอาของชั่วออกจากคลังชั่วแห่งใจของตน ด้วยใจเต็มด้วยอะไร ปากก็พูดออกมาอย่างนั้น”
46“เหตุไฉนพวกเจ้าทั้งหลายจึงเรียกเราว่า ‘อาจารย์ครับ อาจารย์ขา’ แต่ไม่ทำตามที่เราบอกนั้น 47ทุกคนที่มาหาเราและฟังคำของเรา และทำตามคำนั้น เราจะแจ้งให้พวกเจ้าทั้งหลายรู้ว่า เขาเปรียบเหมือนผู้ใด 48เขาเปรียบเหมือนคนหนึ่งที่สร้างเรือน เขาขุดลึกลงไป แล้วตั้งรากบนศิลา และเมื่อน้ำมาท่วม กระแสน้ำไหลเชี่ยวกระทบกระทั่ง แต่ทำให้เรือนนั้นหวั่นไหวไม่ได้ เพราะได้ตั้งรากบนศิลา 49ส่วนคนที่ได้ยินและมิได้กระทำตาม เปรียบเหมือนคนหนึ่งที่สร้างเรือนบนดินทรายไม่ก่อราก เมื่อกระแสน้ำไหลเชี่ยวกระทบกระทั่ง เรือนนั้นก็พังทลายลงทันที และความพินาศของเรือนนั้นก็ใหญ่ยิ่งนัก”
1เมื่อพระองค์บอกคำเหล่านั้นให้คนทั้งหลายฟังเสร็จแล้ว พระองค์จึงเดินทางเข้าไปในเมืองคาเปอรนาอุม 2มีทาสของนายร้อยคนหนึ่งที่นายรักมากป่วยเกือบจะตายแล้ว 3เมื่อนายร้อยได้ยินถึงพระเยซู จึงใช้ผู้อาวุโสบางคนของพวกยิวให้ไปอ้อนวอนเชิญพระองค์มารักษาทาสของตน 4เมื่อเขาเหล่านั้นมาถึงพระเยซูแล้ว เขาก็อ้อนวอนพระองค์ด้วยใจร้อนรนว่า “นายร้อยนั้นเป็นคนสมควรที่พระองค์จะทำการนั้นให้ท่าน 5เพราะว่าท่านรักชนชาติของเราและท่านได้สร้างวัดหรือสุเหร่าให้เรา”
6พระเยซูจึงไปกับเขา เมื่อพระองค์ไปเกือบจะถึงบ้านแล้ว นายร้อยจึงใช้เพื่อนฝูงไปหาพระองค์บอกว่า “อาจารย์ครับ อย่าลำบากเลย เพราะว่าผมเป็นคนไม่สมควรที่จะต้อนรับอาจารย์เข้าใต้ชายคาของผม 7เพราะเหตุนั้น ผมจึงคิดเห็นว่าไม่สมควรที่ผมจะไปหาอาจารย์ด้วย แต่ขอเพียงอาจารย์สั่ง และทาสของผมก็จะหายโรค 8ด้วยว่าผมอยู่ใต้วินัยทหาร แต่ก็ยังมีทหารอยู่ใต้บังคับบัญชาของผม ผมจะบอกแก่คนนี้ว่า ไป เขาก็ไป บอกแก่คนนั้นว่า มา เขาก็มา บอกทาสของผมว่า ‘จงทำสิ่งนี้’ เขาก็ทำ” 9เมื่อพระเยซูทรงได้ยินคำเหล่านั้นแล้ว ก็ประหลาดใจเกี่ยวกับคนนั้น จึงเหลียวหลังพูดกับประชาชนที่ตามพระองค์มาว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า แม้ในพวกอิสราเอล เราไม่เคยพบความเชื่อมากเท่านี้” 10ฝ่ายคนที่รับใช้มานั้นเมื่อกลับไปถึงบ้านก็ได้เห็นทาสนั้นหายเป็นปกติแล้ว
11ต่อมาในวันรุ่งขึ้นพระองค์เดินทางไปยังเมืองหนึ่งชื่อนาอิน เหล่าสาวกของพระองค์กับคนเป็นอันมากก็ไปด้วยกันกับพระองค์ 12เมื่อพระองค์มาใกล้ประตูเมืองนั้น ดูเถิด มีคนหามศพชายหนุ่มคนหนึ่งมา เป็นลูกชายคนเดียวของแม่ และนางก็เป็นหญิงม่าย ชาวเมืองเป็นอันมากมากับหญิงนั้น 13เมื่อพระองค์ได้เห็นมารดานั้น พระองค์ก็เมตตากรุณาเขาและกล่าวแก่เขาว่า “อย่าร้องไห้เลย” 14แล้วพระองค์เข้าไปใกล้ถูกต้องโลงศพ คนหามศพนั้นก็หยุดยืนอยู่ พระองค์จึงกล่าวว่า “พ่อหนุ่มเอ๋ย เราสั่งเจ้าว่า ลุกขึ้นเถิด” 15คนที่ตายนั้นก็ลุกขึ้นนั่งเริ่มพูด พระองค์จึงมอบชายหนุ่มให้แก่มารดาของเขา 16ฝ่ายคนทั้งปวงมีความกลัวและเขาสรรเสริญพระเจ้าว่า “ศาสดาพยากรณ์ผู้ยิ่งใหญ่ได้เกิดขึ้นท่ามกลางเราแล้ว” และ “พระเจ้าได้มาเยี่ยมเยียนชนชาติของพระองค์แล้ว” 17และกิตติศัพท์ของพระองค์ได้เลื่องลือไปตลอดทั่วมณฑลยูเดีย และทั่วมณฑลโดยรอบ
18ฝ่ายพวกศิษย์ของยอห์นก็ได้เล่าเหตุการณ์ทั้งปวงนั้นให้ท่านฟัง 19ยอห์นจึงเรียกศิษย์ของท่านสองคน ใช้เขาไปหาพระเยซูทูลถามว่า “อาจารย์เป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ? หรือเราจะต้องคอยผู้อื่นอีก” 20เมื่อคนทั้งสองนั้นมาถึงพระองค์แล้วเขาทูลว่า “ยอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำใช้ผมมาหาอาจารย์ให้ถามว่า ‘อาจารย์เป็นผู้ที่จะมานั้นหรือ? หรือเราจะต้องคอยผู้อื่น’” 21ในเวลานั้น พระองค์ได้รักษาคนเจ็บเป็นอันมากให้หายจากความเจ็บ และโรคต่าง ๆ และให้พ้นจากวิญญาณชั่ว และคนตาบอดหลายคนพระองค์ได้รักษาให้เห็นได้ 22แล้วพระเยซูตอบศิษย์สองคนนั้นว่า “จงไปแจ้งแก่ยอห์นตามซึ่งท่านได้เห็น และได้ยินคือว่า คนตาบอดก็หายบอด คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายสะอาด คนหูหนวกได้ยิน คนตายแล้วเป็นขึ้นมา และบารมีของพระเจ้าก็ประกาศแก่คนอนาถา 23บุคคลผู้ใดไม่เห็นว่าเราเป็นอุปสรรค ผู้นั้นเป็นสุข”
24เมื่อผู้ส่งข่าวทั้งสองของยอห์นไปแล้ว พระองค์จึงตั้งต้นพูดกับประชาชนถึงยอห์นว่า “ท่านทั้งหลายได้ออกไปในถิ่นทุรกันดารเพื่อดูอะไร ดูต้นอ้อไหวโดยถูกลมพัดหรือ? 25แต่ท่านทั้งหลายได้ไปดูอะไร ดูคนนุ่งห่มผ้าเนื้ออ่อนนิ่มหรือ? ดูเถิด คนนุ่งห่มผ้างดงามและอยู่อย่างดีวิเศษย่อมอยู่ในราชสำนัก 26แต่ท่านทั้งหลายออกไปดูอะไร? ดูศาสดาพยากรณ์หรือ? แน่ทีเดียว เราบอกท่านว่า ยิ่งกว่าศาสดาพยากรณ์อีก 27คือผู้นั้นเองที่พระคัมภีร์ได้เขียนถึงว่า ‘ดูเถิด เราใช้ทูตของเราไปข้างหน้าท่าน ผู้นั้นจะเตรียมหนทางของท่านไว้ข้างหน้าท่าน’ 28เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในบรรดาคนที่เกิดจากผู้หญิงมานั้น ไม่มีศาสดาพยากรณ์ผู้ใดใหญ่กว่ายอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำ แต่ว่าผู้ต่ำต้อยที่สุดในอาณาจักรของพระเจ้า ก็ใหญ่กว่ายอห์นเสียอีก” 29ฝ่ายคนทั้งปวงเมื่อได้ยิน รวมทั้งพวกเก็บภาษีด้วย ก็ได้รับว่าพระเจ้ายุติธรรมโดยที่เขาได้ทำพิธีมุดน้ำกับยอห์นแล้ว 30แต่พวกฟาริสี และพวกคัมภีราจารย์ฝ่ายธรรมบัญญัติปฏิเสธความประสงค์ของพระเจ้าสำหรับเขา โดยที่ไม่ได้ทำพิธีมุดน้ำจากยอห์น
31และพระเจ้าผู้เป็นนายกล่าวว่า “เหตุฉะนั้นเราจะเปรียบคนยุคนี้เหมือนกับอะไรดี และเขาเหมือนอะไร 32เปรียบเหมือนเด็กนั่งที่กลางตลาดร้องบอกเพื่อนว่า ‘พวกฉันได้เป่าปี่ให้พวกเธอ และเธอมิได้เต้นรำ พวกฉันได้ร้องห่มร้องไห้ ให้แก่พวกเธอ และพวกเธอไม่ได้ร้องไห้’ 33ด้วยว่ายอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำก็ไม่ได้รับประทานขนมปังหรือดื่มเหล้าองุ่น และท่านทั้งหลายว่า ‘เขามีผีเข้าสิงอยู่’ 34ฝ่ายบุตรมนุษย์มาทั้งกินและดื่ม และท่านทั้งหลายว่า ‘ดูเถิด นี่เป็นคนกินเติบและดื่มเหล้าองุ่นมาก เป็นเพื่อนกับพวกคนเก็บภาษีและพวกคนบาป’ 35แต่ปัญญาของพระเจ้าก็ปรากฏว่าชอบแล้วโดยบรรดาผลแห่งพระปัญญานั้น”
36มีคนหนึ่งในพวกฟาริสี เชิญพระองค์ไปรับประทานอาหารกับเขา พระองค์ก็เข้าไปในเรือนของคนฟาริสีคนนั้น แล้วนั่งลง 37และดูเถิด มีผู้หญิงคนหนึ่งในเมืองนั้นซึ่งเป็นหญิงชั่ว เมื่อรู้ว่าพระเยซูเอนกายลงรับประทานอาหารอยู่ในบ้านของคนฟาริสีนั้น นางจึงถือผอบน้ำมันหอม 38มายืนอยู่ข้างหลังใกล้เท้าของพระองค์ เริ่มร้องไห้น้ำตาไหลถูกเท้าของพระองค์และเธอก็เอาผมเช็ด จุบเท้าของพระองค์ และชโลมเท้าด้วยน้ำมันหอมนั้น
39ฝ่ายคนฟาริสีที่ได้เชิญพระองค์ เมื่อเห็นแล้วก็นึกในใจว่า “ถ้าคนผู้นี้เป็นศาสดาพยากรณ์ก็จะรู้ว่า หญิงผู้นี้ที่ถูกต้องกายของเขาเป็นผู้ใดและเป็นคนอย่างไร? เพราะนางเป็นคนชั่ว” 40ฝ่ายพระเยซูตอบเขาว่า “ซีโมนเอ๋ย เรามีอะไรจะพูดกับท่านบ้าง” เขากล่าวว่า “อาจารย์ครับ เชิญพูดไปเถิด” 41พระองค์จึงกล่าวว่า “เจ้าหนี้คนหนึ่งมีลูกหนี้สองคน คนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าร้อยเหรียญเดนาริอัน อีกคนหนึ่งเป็นหนี้เงินห้าสิบเหรียญ 42เมื่อเขาไม่มีอะไรจะใช้หนี้แล้ว เจ้าหนี้จึงโปรดยกหนี้ให้เขาทั้งสองคน เพราะฉะนั้นจงบอกเราว่า ในสองคนนั้น คนไหนจะรักเจ้าหนี้มากกว่า” 43ซีโมนจึงตอบพระองค์ว่า “ผมเห็นว่า คนที่เจ้าหนี้ได้โปรดยกหนี้ให้มากกว่า” พระองค์จึงพูดกับเขาว่า “ท่านคิดเห็นถูกแล้ว” 44พระองค์จึงเหลียวหลังดูผู้หญิงนั้น และกล่าวแก่ซีโมนว่า “ท่านเห็นผู้หญิงนี้หรือ เราได้เข้ามาในบ้านของท่าน ท่านมิได้ให้น้ำล้างเท้าของเรา แต่นางได้เอาน้ำตาชำระเท้าของเรา และได้เอาผมของตนเช็ด 45ท่านมิได้จุบเรา แต่ผู้หญิงนี้ตั้งแต่เราเข้ามาไม่ได้หยุดจุบเท้าของเรา 46ท่านไม่ได้เอาน้ำมันชโลมศีรษะของเรา แต่นางได้เอาน้ำมันหอมชโลมเท้าของเรา 47เหตุฉะนั้น เราบอกท่านว่า ความผิดบาปของนางซึ่งมีมากได้โปรดยกเสียแล้วเพราะนางรักมาก แต่ผู้ที่ได้รับการยกโทษน้อย ผู้นั้นก็รักน้อย”
48พระองค์จึงพูดกับนางว่า “ความผิดบาปของเจ้าโปรดยกให้แล้ว” 49ฝ่ายคนทั้งหลายที่นั่งอยู่ด้วยกันกับพระองค์ เริ่มนึกในใจว่า “คนนี้เป็นใคร แม้ความผิดบาปก็ยกให้ได้” 50พระองค์จึงกล่าวแก่ผู้หญิงนั้นว่า “ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้าหลุดพ้น จงไปเป็นสุขเถิด”
1ต่อมาภายหลังพระองค์ก็เดินทางไปตามทุกบ้านทุกเมือง ได้ประกาศบารมีของพระเจ้าเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า สาวกสิบสองคนนั้นก็อยู่กับพระองค์ 2พร้อมกับผู้หญิงบางคนที่มีวิญญาณชั่วออกจากนางและที่หายโรคต่าง ๆ คือมารีย์ที่เรียกว่าชาวมักดาลา ที่พระองค์ได้ขับผีออกจากนางเจ็ดผี 3และโยอันนาภรรยาของคูซา หัวหน้าคนรับใช้ของเฮโรด และซูซันนา และผู้หญิงอื่น ๆ หลายคนที่เคยรับใช้พระองค์ด้วยการนำสิ่งของของเขามามอบให้พระองค์
4เมื่อประชาชนเป็นอันมากอยู่พร้อมกัน และคนกำลังมาหาพระองค์จากทุกเมือง พระองค์จึงกล่าวเป็นคำอุปมาว่า 5“มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืชของตน และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชนั้นก็ตกตามหนทางบ้าง ถูกเหยียบย่ำ และนกในอากาศมากินเสีย 6บ้างก็ตกที่หิน และเมื่องอกขึ้นแล้วก็เหี่ยวแห้งไปเพราะที่ไม่ชื้น 7บ้างก็ตกที่กลางต้นหนาม ต้นหนามก็งอกขึ้นมาด้วยปกคลุมเสีย 8บ้างก็ตกที่ดินดี จึงงอกขึ้นเกิดผลร้อยเท่า” ครั้นพระองค์กล่าวอย่างนั้นแล้ว จึงร้องว่า “ใครมีหูฟังได้ จงฟังเถิด”
9เหล่าสาวกจึงได้ถามพระองค์ว่า “คำอุปมานั้นหมายความอย่างไร?” 10พระองค์จึงกล่าวว่า “ข้อความลึกลับแห่งอาณาจักรของพระเจ้าโปรดให้ท่านทั้งหลายรู้ได้ แต่สำหรับคนอื่นนั้นได้ให้เป็นคำอุปมา เพื่อเมื่อเขาดูก็ไม่เห็น และเมื่อเขาได้ยินก็ไม่เข้าใจ”
11“คำอุปมานั้นก็อย่างนี้ เมล็ดพืชนั้นได้แก่พระคำของพระเจ้า 12ที่ตกตามหนทางได้แก่คนเหล่านั้นที่ได้ยิน แล้วมารมาชิงเอาพระคำนั้นจากใจของเขา เพื่อไม่ให้เขาเชื่อและหลุดพ้นได้ 13ซึ่งตกที่หินนั้นได้แก่คนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้วก็รับพระคำนั้นด้วยความปรีดี แต่ไม่มีราก เชื่อได้แต่ชั่วคราว เมื่อถูกทดลองเขาก็หลงเสียไป 14ที่ตกกลางหนามนั้นได้แก่คนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้วออกไป และความลุ่มหลงในทรัพย์สมบัติ ความสนุกสนานแห่งชีวิตนี้ก็ปกคลุมเขา ผลของเขาจึงไม่เติบโต 15และซึ่งตกที่ดินดีนั้น ได้แก่คนเหล่านั้นที่ได้ยินพระคำด้วยใจซื่อสัตย์และดีแล้วก็จดจำไว้ จึงเกิดผลด้วยความเพียร”
16“ไม่มีผู้ใดเมื่อจุดตะเกียงแล้วจะเอาภาชนะครอบไว้ หรือวางไว้ใต้เตียง แต่ตั้งไว้ที่เชิงตะเกียง เพื่อคนทั้งหลายที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่างได้ 17ด้วยว่าไม่มีสิ่งใดที่ซ่อนไว้ซึ่งจะไม่ปรากฏแจ้ง และไม่มีสิ่งใดที่ปิดบังไว้ซึ่งจะไม่รู้จะไม่ต้องแพร่งพราย 18เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจะฟังอย่างไรก็จงเอาใจจดจ่อ เพราะว่าผู้ใดมีอยู่แล้วจะเพิ่มเติมให้แก่ผู้นั้นอีก แต่ผู้ใดไม่มี แม้ซึ่งเขาคิดว่ามีอยู่นั้นจะเอาไปจากเขา”
19ครั้งนั้นมารดาและพวกน้องชายของพระองค์มาหาพระองค์ แต่เข้าไปถึงพระองค์ไม่ได้เพราะคนมาก 20มีคนบอกพระองค์ว่า “แม่และน้องชายของอาจารย์ ยืนอยู่ข้างนอกอยากจะพบพระองค์” 21แต่พระองค์ตอบเขาว่า “แม่ของเรา และพี่น้องของเราคือคนเหล่านั้นที่ได้ฟังพระคำของพระเจ้าและทำตาม”
22อยู่มาวันหนึ่งพระองค์ได้ลงเรือไปกับเหล่าสาวกของพระองค์ แล้วพระองค์กล่าวแก่เขาว่า “ให้เราข้ามทะเลสาบไปฟากข้างโน้น” เขาก็ถอยเรือออกไป 23เมื่อกำลังแล่นไปพระองค์นอนหลับไป และเกิดพายุกล้ากลางทะเลสาบ น้ำเข้าเรืออยู่น่ากลัวจะมีอันตราย 24เขาจึงมาปลุกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์ครับ พวกเรากำลังจะตายอยู่แล้ว” พระองค์จึงตื่นขึ้นห้ามลมและคลื่น แล้วคลื่นลมก็หยุดเงียบสงบทีเดียว 25พระองค์จึงกล่าวแก่เขาว่า “ความเชื่อของเจ้าอยู่ที่ไหน?” เขาเหล่านั้นกลัวและประหลาดใจพูดกันว่า “คนผู้นี้เป็นใคร จึงสั่งบังคับลมและน้ำได้ และลมกับน้ำนั้นก็เชื่อฟังท่าน”
26เขาแล่นไปถึงแขวงของชาวเมืองกาดาราที่อยู่ตรงข้ามกาลิลี 27เมื่อพระองค์ขึ้นบกแล้ว มีชายคนหนึ่งจากเมืองนั้นมาพบพระองค์ คนนั้นมีผีเข้าสิงอยู่นานแล้ว และไม่ได้สวมเสื้อ ไม่ได้อยู่ในเรือน แต่อยู่ตามอุโมงค์ฝังศพ 28ครั้นเห็นพระเยซูเขาก็โห่ร้อง และกราบลงตรงหน้าพระองค์ ร้องเสียงดังว่า “เยซู ท่านเป็นโอรสของพระเจ้าสูงสุด ข้าฯเกี่ยวข้องอะไรกับท่านเล่า ขอท่านอย่าทรมานข้าฯเลย” 29(ที่พูดเช่นนี้ก็เพราะพระองค์ได้สั่งผีร้ายให้ออกมาจากตัวคนนั้น ด้วยว่าผีนั้นแผลงฤทธิ์ในตัวเขาบ่อย ๆ และเขาถูกจำด้วยโซ่ตรวน แต่เขาได้หักเครื่องจำนั้นเสีย แล้วผีก็นำเขาไปในที่เปลี่ยว) 30ฝ่ายพระเยซูถามมันว่า “เจ้าชื่ออะไร” มันตอบพระองค์ว่า “ชื่อกอง” ด้วยว่ามีผีหลายตนเข้าสิงอยู่ในตัวเขา 31ผีนั้นจึงอ้อนวอนขอพระองค์ไม่ให้สั่งให้มันลงไปยังนรกขุมลึก 32ตำบลนั้นมีสุกรฝูงใหญ่กำลังหากินอยู่ที่ภูเขา ผีเหล่านั้นได้อ้อนวอนพระองค์ขออนุญาตให้มันเข้าสิงในฝูงสุกร พระองค์ก็อนุญาต 33ผีเหล่านั้นจึงออกมาจากคนนั้น แล้วเข้าอยู่ในตัวสุกร สุกรทั้งฝูงก็วิ่งพุ่งกระโดดจากหน้าผาชันลงไปในทะเลสาบสำลักน้ำตาย
34ฝ่ายคนเลี้ยงสุกรเมื่อเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างก็หนีไปเล่าเรื่องนั้นทั้งในเมืองและนอกเมือง 35คนทั้งหลายจึงออกไปดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเมื่อเขามาถึงพระเยซู ก็เห็นคนนั้นที่มีผีออกจากตัวนุ่งห่มผ้ามีสติอารมณ์ดี นั่งอยู่แทบเท้าของพระเยซู เขาทั้งหลายก็พากันกลัว 36ฝ่ายคนทั้งหลายที่ได้เห็น ก็เล่าให้เขาทั้งหลายฟังถึงเรื่องคนที่ผีสิงได้หายปกติอย่างไร 37ชาวเมืองเกดาราและคนทั้งปวงที่อยู่ตามชนบทโดยรอบ จึงอ้อนวอนพระองค์ให้ไปเสียจากเขา เพราะว่าเขากลัวยิ่งนัก พระองค์จึงได้ลงเรือกลับไป 38คนที่ผีออกจากตัวนั้นอ้อนวอนขอติดตามพระองค์ แต่พระเยซูสั่งเขาว่า 39“จงกลับไปบ้านเรือนของเจ้า และบอกถึงเรื่องการใหญ่ซึ่งพระเจ้าได้ทำแก่เจ้า” แล้วคนนั้นก็ไปประกาศแก่คนทั้งเมืองถึงเหตุการณ์ใหญ่ยิ่งที่พระเยซูได้ทำแก่ตน
40ต่อมาเมื่อพระเยซูเดินทางกลับมาแล้ว ประชาชนก็ต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี เพราะเขาทั้งหลายคอยท่าพระองค์อยู่ 41ดูเถิด มีชายคนหนึ่งชื่อไยรัส เป็นเจ้าอาวาสวัดหรือสุเหร่าของพวกยิว มากราบลงแทบเท้าของพระเยซู อ้อนวอนพระองค์ให้เข้าไปในบ้านของเขา 42เพราะว่าเขามีลูกสาวคนเดียว อายุประมาณสิบสองปี และลูกสาวนั้นนอนป่วยอยู่เกือบจะตายแล้ว
เมื่อพระองค์เดินไปนั้น ประชาชนเบียดเสียดพระองค์ 43มีผู้หญิงคนหนึ่งเป็นโรคตกเลือดได้สิบสองปีมาแล้ว และได้ใช้ทรัพย์ทั้งหมดของเธอเป็นค่าหมอ ไม่มีผู้ใดรักษาให้หายได้ 44ผู้หญิงนั้นแอบมาข้างหลังถูกต้องชายเสื้อของพระองค์ และในทันใดนั้นเลือดที่ตกก็หยุด 45พระเยซูจึงถามว่า “ใครได้ถูกต้องเรา” เมื่อคนทั้งหลายได้ปฏิเสธ เปโตรกับคนที่อยู่ด้วยกันจึงบอกว่า “อาจารย์ครับ ก็เป็นเพราะประชาชนเบียดเสียดอาจารย์ และอาจารย์ยังจะถามอีกหรือว่า ‘ใครได้ถูกต้องเรา’” 46แต่พระเยซูพูดว่า “มีผู้หนึ่งได้ถูกต้องเรา เพราะเรารู้สึกว่าฤทธิ์ได้ซ่านออกจากตัวเรา” 47เมื่อผู้หญิงนั้นเห็นว่าจะซ่อนตัวไว้ไม่ได้แล้ว เธอก็เข้ามาตัวสั่นกราบลงตรงหน้าของพระองค์ บอกพระองค์ต่อหน้าคนทั้งปวงว่า เธอได้ถูกต้องพระองค์เพราะเหตุอะไร และได้หายโรคในทันใดนั้น 48พระองค์จึงกล่าวแก่เขาว่า “ลูกเอ๋ย จงมีกำลังใจเถิด ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้าหายโรคแล้ว จงไปเป็นสุขเถิด”
49เมื่อพระองค์กำลังพูดอยู่ มีคนหนึ่งมาจากบ้านเจ้าอาวาสวัดหรือสุเหร่าของพวกยิว บอกเขาว่า “ลูกสาวของท่านตายเสียแล้ว ไม่ต้องรบกวนอาจารย์ต่อไป” 50ฝ่ายพระเยซูเมื่อได้ยินจึงกล่าวแก่เขาว่า “อย่ากลัวเลย จงเชื่อเท่านั้นและลูกเจ้าจะหายดี” 51เมื่อพระองค์เข้าไปในเรือน พระองค์ไม่ยอมให้ผู้ใดเข้าไป เว้นแต่เปโตร ยากอบ ยอห์น และพ่อแม่ของเด็กนั้น 52คนทั้งหลายจึงร้องไห้ร่ำไรเพราะเด็กนั้น แต่พระองค์พูดว่า “อย่าร้องไห้เลย เขาไม่ตาย แต่นอนหลับอยู่” 53คนทั้งปวงก็พากันหัวเราะเยาะพระองค์ เพราะรู้ว่าเด็กนั้นตายแล้ว 54ฝ่ายพระองค์ได้ไล่คนทั้งหมดออกไป แล้วจับมือเด็กนั้น พูดว่า “ลูกเอ๋ย จงลุกขึ้นเถิด” 55แล้วจิตวิญญาณก็กลับเข้าในเด็กนั้น เขาก็ลุกขึ้นทันที พระองค์จึงสั่งให้เอาอาหารมาให้เธอกิน 56ฝ่ายพ่อแม่ของเด็กนั้นก็ประหลาดใจ แต่พระองค์ทรงกำชับเขาไม่ให้บอกผู้ใดให้รู้เหตุการณ์ซึ่งเป็นมานั้น
1พระองค์ได้เรียกสาวกสิบสองคนของพระองค์มาพร้อมกัน แล้วมอบอำนาจเหนือผีทั้งปวง และการรักษาโรคต่าง ๆ ให้หายให้แก่เขา 2แล้วพระองค์ใช้เขาไปประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และรักษาคนเจ็บป่วยให้หาย 3พระองค์จึงสั่งเขาว่า “อย่าเอาอะไรไปใช้ตามทาง เช่น ไม้เท้า หรือย่าม หรืออาหาร หรือเงิน หรือเสื้อคลุมสองตัว 4และถ้าเข้าไปในเรือนไหน? จงอาศัยอยู่ในเรือนนั้นจนกว่าจะไป 5ผู้ใดไม่ต้อนรับพวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าจะไปจากเมืองนั้น จงสะบัดผงคลีดินจากเท้าของพวกเจ้า ออก เพื่อส่อให้เห็นความผิดของเขา” 6เหล่าสาวกจึงออกไปตามเมืองต่าง ๆ ประกาศบารมีของพระเจ้า และรักษาคนป่วยเจ็บทุกแห่งให้หาย
7ฝ่ายกษ้ตริย์เฮโรดผู้เป็นเจ้าครองเมืองได้ยินเรื่องเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งเกิดขึ้นนั้น จึงคิดสงสัยมาก เพราะบางคนว่ายอห์นเป็นขึ้นมาจากความตาย 8บางคนก็ว่าเป็นเอลียาห์มาปรากฏ คนอื่นว่าเป็นศาสดาพยากรณ์โบราณกลับเป็นขึ้นมาอีก 9กษ้ตริย์เฮโรดจึงว่า “ยอห์นนั้นเราได้ตัดศีรษะแล้ว แต่คนนี้ที่เราได้ยินเหตุการณ์ของเขาอย่างนี้คือผู้ใดเล่า” แล้วเฮโรดจึงหาโอกาสที่จะเห็นพระเยซู
10ครั้นอัครทูตกลับมาแล้ว เขาบอกพระองค์ถึงบรรดาการซึ่งเขาได้ทำนั้น พระองค์จึงพาเขาไปยังที่เปลี่ยวแต่ลำพังใกล้เมืองที่เรียกว่าเบธไซดา 11แต่เมื่อประชาชนรู้แล้วจึงตามพระองค์ไป พระองค์ต้อนรับเขา สั่งสอนเขาถึงอาณาจักรของพระเจ้า และทุกคนที่ต้องการให้หายโรคพระองค์ก็รักษาให้ 12ครั้นกำลังจะเย็นแล้ว สาวกสิบสองคนมาบอกพระองค์ว่า “ขอให้ประชาชนไปตามเมืองต่าง ๆ และชนบทที่อยู่แถบนี้ หาที่พักนอนและหาอาหารรับประทาน เพราะที่เราอยู่นี้เป็นที่เปลี่ยว”
13แต่พระองค์กล่าวแก่เขาว่า “พวกเจ้าจงเลี้ยงเขาเถิด” เขาบอกพระองค์ว่า “เราไม่มีอะไรมาก มีแต่ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว เว้นเสียแต่เราจะไปซื้ออาหารสำหรับคนทั้งปวงนี้” 14เพราะว่าคนเหล่านั้นนับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน พระองค์จึงสั่งเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “จงให้คนทั้งปวงนั่งลงเป็นหมู่ ๆ ราวหมู่ละห้าสิบคน” 15เขาก็กระทำตาม คือให้คนทั้งปวงนั่งลง 16เมื่อพระองค์รับขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวนั้นแล้ว ก็แหงนหน้าขึ้นฟ้าสวรรค์ขอบพระคุณ แล้วหักส่งให้แก่เหล่าสาวก ให้เขาแจกแก่ประชาชน 17เขาได้กินอิ่มทุกคน แล้วเขาเก็บเศษอาหารที่ยังเหลือนั้นได้สิบสองกระบุง
18ต่อมาเมื่อพระองค์กำลังอธิษฐานสวดอ้อนวอนอยู่แต่ลำพัง เหล่าสาวกอยู่กับพระองค์ พระองค์จึงถามเขาว่า “คนทั้งปวงพูดกันว่า เราเป็นผู้ใด” 19เหล่าสาวกทูลตอบว่า “เขาว่าเป็นยอห์นผู้ทำพิธีมุดน้ำ บางคนว่าเป็นเอลียาห์ แต่คนอื่นว่าเป็นคนหนึ่งในพวกศาสดาพยากรณ์โบราณเป็นขึ้นมาใหม่” 20พระองค์จึงถามเขาว่า “แล้วพวกเจ้าว่าเราเป็นผู้ใด” เปโตรตอบว่า “เป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ของพระเจ้า”
21พระองค์จึงกำชับสั่งเขาไม่ให้บอกความนี้แก่ผู้ใด 22และกล่าวว่า “บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ พวกผู้อาวุโส พวกมหาปุโรหิต และพวกคัมภีราจารย์จะปฏิเสธท่าน ในที่สุดท่านจะต้องถูกประหารชีวิต แต่ในวันที่สามท่านจะถูกบันดาลให้เป็นขึ้นมาใหม่” 23พระองค์จึงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “ถ้าผู้ใดจะใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นทิ้งตัวกูของกู และรับกางเขนของตนแบกทุกวัน และตามเรามา 24เพราะว่าผู้ใดใคร่จะเอาชีวิตรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะเสียชีวิตเพราะเห็นแก่เรา ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด 25เพราะถ้าผู้ใดจะได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียตัวของตนเองหรือถูกทิ้งเสีย ผู้นั้นจะได้ประโยชน์อะไร 26เพราะถ้าผู้ใดมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะผู้นั้น เมื่อท่านมาด้วยสง่าราศีของท่านเอง และของพระเจ่าผู้เป็นพ่อ และของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์ 27แต่เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มีบางคนที่ยืนอยู่ที่นี่ ซึ่งยังจะไม่รู้รสความตายจนกว่าจะได้เห็นอาณาจักรของพระเจ้า”
28ต่อมาภายหลังพระองค์ได้กล่าวคำเหล่านั้นประมาณแปดวัน พระองค์จึงพาเปโตร ยอห์น และยากอบขึ้นไปบนภูเขาเพื่อจะอธิษฐานสวดอ้อนวอน 29ขณะที่พระองค์กำลังอธิษฐานสวดอ้อนวอนอยู่นั้น ใบหน้าของพระองค์ก็เปลี่ยนไป และเสื้อผ้าของพระองค์ก็ขาวเป็นมันระยับ 30ดูเถิด มีชายสองคนสนทนาอยู่กับพระองค์ คือโมเสส และเอลียาห์ 31ผู้มาปรากฏด้วยสง่าราศี และกล่าวถึงการตายของพระองค์ ซึ่งจะสำเร็จในกรุงเยรูซาเล็ม 32ฝ่ายเปโตรกับคนที่อยู่ด้วยนั้นก็ง่วงเหงาหาวนอน แต่เมื่อเขาตาสว่างขึ้นแล้วเขาก็ได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ และเห็นชายสองคนนั้นที่ยืนอยู่กับพระองค์
33ต่อมาเมื่อสองคนนั้นกำลังลาไปจากพระองค์ เปโตรจึงบอกกับพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ ซึ่งเราอยู่ที่นี่ก็ดี ให้พวกผมสร้างพลับพลาสามหลัง สำหรับอาจารย์หลังหนึ่ง สำหรับโมเสสหลังหนึ่ง สำหรับเอลียาห์หลังหนึ่ง” เปโตรไม่เข้าใจว่าตัวได้พูดอะไร 34เมื่อเขากำลังพูดคำเหล่านี้ มีเมฆมาคลุมเขาไว้ และเมื่อเข้าอยู่ในเมฆนั้นเขาก็กลัว 35มีเสียงออกมาจากเมฆนั้นว่า “คนผู้นี้เป็นลูกที่รักของเรา จงฟังท่านเถิด” 36เมื่อเสียงนั้นสงบแล้ว พระเยซูก็อยู่ที่นั่นคนเดียว เขาทั้งสามก็เก็บเรื่องนี้ไว้ และในกาลครั้งนั้นเขาไม่ได้บอกเหตุการณ์ซึ่งเขาได้เห็นแก่ผู้ใด
37ต่อมาวันรุ่งขึ้นเมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกลงมาจากภูเขาแล้ว มีคนมากมายมาพบพระองค์ 38ดูเถิด มีชายคนหนึ่งในหมู่ประชาชนนั้นร้องว่า “อาจารย์ครับ ขออาจารย์โปรดดูลูกชายของผมด้วย เพราะว่าผมมีลูกคนเดียว 39และ ดูเถิด ผีมักจะเข้าสิงเขา เด็กก็โห่ร้องขึ้นทันที ผีทำให้เด็กนั้นชักดิ้น น้ำลายฟูมปาก ทำให้ตัวฟกช้ำ ไม่ใคร่ออกจากเขาเลย 40ผมได้ขอเหล่าสาวกของอาจารย์ให้ขับมันออกเสีย แต่เขากระทำไม่ได้” 41พระเยซูตอบว่า “โอ คนในยุคที่ขาดความเชื่อและมีความดื้อรั้น เราจะต้องอยู่กับเจ้าทั้งหลายและอดทนเพราะพวกเจ้านานเท่าใด จงพาลูกของท่านมาที่นี่เถิด” 42เมื่อเด็กนั้นกำลังมา ผีก็ทำให้เขาล้มชักดิ้นใหญ่ แต่พระเยซูสำทับผีร้ายนั้น และรักษาเด็กให้หาย แล้วส่งคืนให้บิดาเขา 43คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนัก เพราะฤทธิ์เดชอันใหญ่ยิ่งของพระเจ้า
แต่เมื่อเขาทั้งหลายยังประหลาดใจอยู่ เพราะเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งพระเยซูได้ทำนั้น พระองค์จึงกล่าวแก่เหล่าสาวกของพระองค์ว่า 44“จงให้คำเหล่านี้เข้าหูของพวกเจ้า เพราะว่าบุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย” 45แต่คำเหล่านั้นสาวกไม่เข้าใจ ความหมายก็ถูกซ่อนไว้จากเขา เพื่อเขาจะไม่ได้เข้าใจ และเขาไม่กล้าถามพระองค์ถึงคำนั้น
46แล้วเหล่าสาวกก็เกิดการทุ่มเถียงกันว่า ในพวกเขาใครจะเป็นใหญ่ที่สุด 47ฝ่ายพระเยซูหยั่งรู้ความคิดในใจของพวกเขา จึงให้เด็กคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้พระองค์ 48แล้วพูดกับพวกเขาว่า “ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็ก ๆ คนนี้ในนามของเรา ผู้นั้นก็ได้รับเรา และผู้ใดได้รับเรา ผู้นั้นก็ได้รับพระองค์ผู้ใช้เรามา เพราะว่าในพวกเจ้าทั้งหลาย ผู้ใดเป็นผู้ต่ำต้อยที่สุด ผู้นั้นแหละเป็นผู้ใหญ่”
49ฝ่ายยอห์นบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ พวกผมเห็นผู้หนึ่งขับผีออกในนามของอาจารย์ และผมได้ห้ามเขาไว้ เพราะเขาไม่ตามพวกเรามา” 50พระเยซูบอกแก่เขาว่า “อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าผู้ใดไม่เป็นฝ่ายต่อสู้เรา ก็เป็นฝ่ายเราแล้ว”
51ต่อมา ครั้นจวนเวลาที่พระองค์จะถูกรับขึ้นไป พระองค์ทรงมุ่งหน้าไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 52และพระองค์ใช้ผู้ส่งข่าวล่วงหน้าไปก่อน เขาก็เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่งของชาวสะมาเรีย เพื่อจะเตรียมไว้ให้พระองค์ 53ชาวบ้านนั้นไม่รับรองพระองค์ เพราะดูเหมือนว่าพระองค์กำลังมุ่งหน้าไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 54และเมื่อสาวกของพระองค์ คือยากอบและยอห์นได้เห็นดังนั้น เขาบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์พอใจที่จะให้ผมขอไฟลงมาจากสวรรค์ เผาผลาญเขาเหมือนอย่างเอลียาห์ได้ทำนั้นหรือ?” 55แต่พระองค์เหลียวมาห้ามปรามเขา และกล่าวว่า “เจ้าไม่รู้ว่าเจ้ามีจิตใจทำนองใด 56เพราะว่าบุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อทำลายชีวิตมนุษย์ แต่มาเพื่อช่วยเขาทั้งหลายให้หลุดพ้น” แล้วพระองค์กับเหล่าสาวกก็เลยไปที่หมู่บ้านอีกแห่งหนึ่ง
57ต่อมาเมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกกำลังเดินทางไป มีคนหนึ่งบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์จะไปทางไหน พวกผมก็จะตามอาจารย์ไปทางนั้น” 58พระเยซูบอกแก่เขาว่า “สุนัขจิ้งจอกยังมีโพรง และนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ” 59พระองค์กล่าวแก่อีกคนหนึ่งว่า “จงตามเรามาเถิด” แต่คนนั้นตอบว่า “อาจารย์ครับ ขอให้ผมไปฝังศพพ่อของผมก่อน” 60พระเยซูจึงพูดกับเขาว่า “ปล่อยให้คนตายฝังคนตายเองเถิด แต่ส่วนเจ้าจงไปประกาศอาณาจักรของพระเจ้า” 61อีกคนหนึ่งพูดว่า “อาจารย์ครับ ผมจะตามอาจารย์ไป แต่ขออนุญาตให้ผมไปลาคนที่อยู่ในบ้านของผมก่อน” 62พระเยซูพูดกับเขาว่า “ผู้ใดเอามือจับคันไถแล้วหันหน้ากลับเสีย ผู้นั้นก็ไม่สมควรกับอาณาจักรของพระเจ้า”
1ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้ พระเยซูได้ตั้งสาวกอีกเจ็ดสิบคนไว้และใช้เขาออกไปทีละสองคน ๆ ให้ล่วงหน้าพระองค์ไปก่อน ให้เข้าไปทุกเมืองและทุกตำบลที่พระองค์จะเดินทางไปนั้น 2พระองค์พูดกับเขาว่า “การเก็บเกี่ยวนั้นเป็นการใหญ่นักหนา แต่คนงานยังน้อยอยู่ เหตุฉะนั้นพวกเจ้าจงอ้อนวอนพระองค์ ผู้เป็นเจ้าของการเก็บเกี่ยวนั้น ให้ส่งคนงานมาในการเก็บเกี่ยวของพระองค์ 3ไปเถอะ ดูเถิด เราใช้พวกเจ้าทั้งหลายไปดุจลูกแกะอยู่ท่ามกลางฝูงสุนัขป่า 4อย่าเอากระเป๋าใส่เงิน หรือย่าม หรือรองเท้าไป และอย่าคำนับผู้ใดตามทาง 5ถ้าพวกเจ้าจะเข้าไปในเรือนใด ๆ จงพูดก่อนว่า ‘ให้ความสุขมีแก่เรือนนี้เถิด’ 6ถ้าลูกแห่งสันติภาพอยู่ที่นั่น สันติภาพของพวกเจ้าจะอยู่กับเขา ถ้าหาไม่ สันติภาพของพวกเจ้าจะกลับอยู่กับพวกเจ้าอีก 7จงอาศัยอยู่ในเรือนนั้น กินและดื่มของซึ่งเขาจะให้นั้นด้วยว่าผู้ทำงานสมควรจะได้รับค่าจ้างของตน อย่าเที่ยวจากเรือนนี้ไปเรือนโน้น 8ถ้าพวกเจ้าจะเข้าไปในเมืองใด ๆ และเขารับรองพวกเจ้าไว้ จงกินของที่เขาตั้งให้ 9และจงรักษาคนป่วยในเมืองนั้นให้หาย และแจ้งแก่เขาว่า ‘อาณาจักรของพระเจ้ามาใกล้ท่านทั้งหลายแล้ว’ 10ถ้าพวกเจ้าจะเข้าไปในเมืองใด ๆ และเขาไม่รับรองท่านไว้ จงออกไปที่กลางถนนของเมืองนั้นกล่าวว่า 11‘ถึงแม้ผงคลีดินแห่งเมืองของเจ้าทั้งหลายที่ติดอยู่กับเรา เราก็จะสะบัดออกเป็นที่แสดงว่า เราไม่เห็นพ้องกับเจ้า แต่เจ้าทั้งหลายจงเข้าใจความนี้เถิด คืออาณาจักรของพระเจ้ามาใกล้เจ้าทั้งหลายแล้ว’ 12เราบอกพวกเจ้าทั้งหลายว่า โทษของเมืองโสโดมในวันนั้นจะเบากว่าโทษของเมืองนั้น”
13“วิบัติแก่เจ้า เมืองโคราซิน วิบัติแก่เจ้า เมืองเบธไซดา เพราะถ้าการมหัศจรรย์ซึ่งได้กระทำท่ามกลางเจ้า ได้กระทำในเมืองไทระและเมืองไซดอน คนในเมืองทั้งสองจะได้นุ่งห่มผ้ากระสอบ นั่งบนขี้เถ้า กลับใจหันหลังจากความผิดบาปนานมาแล้ว 14แต่ในการพิพากษานั้น โทษของเมืองไทระและเมืองไซดอนจะเบากว่าโทษของเจ้า 15ฝ่ายเจ้าเมืองคาเปอรนาอุม ซึ่งได้ถูกยกขึ้นเทียมฟ้า เจ้าจะต้องลงไปถึงนรกต่างหาก 16ผู้ที่ฟังพวกเจ้าทั้งหลายก็ได้ฟังเรา ผู้ที่เกลียดชังพวกเจ้าทั้งหลายก็เกลียดชังเรา ผู้ที่เกลียดชังเราก็เกลียดชังผู้ที่ใช้เรามา”
17ฝ่ายสาวกเจ็ดสิบคนนั้นกลับมาด้วยความดีอกดีใจบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ถึงผีทั้งหลายก็ได้อยู่ใต้บังคับของพวกผมโดยนามของอาจารย์” 18พระองค์พูดกับเขาทั้งหลายว่า “เราได้เห็นซาตานตกจากสวรรค์เหมือนฟ้าแลบ 19ดูเถิด เราได้ให้พวกเจ้ามีอำนาจเหยียบงูร้ายและแมลงป่อง และมีอำนาจใหญ่ยิ่งกว่ากำลังศัตรู ไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดจะทำอันตรายแก่พวกเจ้าได้เลย 20แต่ว่าอย่าดีใจในสิ่งนี้ คือที่พวกผีอยู่ใต้บังคับของท่าน แต่จงดีใจเพราะชื่อของพวกเจ้าจดไว้ในสวรรค์”
21ในโมงนั้นเอง พระเยซูมีความเปรมปรีดิ์ในพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ จึงพูดว่า “พ่อครับ พ่อเป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ผมขอบคุณพ่อที่พ่อได้ปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากคนมีปัญญา และคนสุขุมรอบคอบ และได้เปิดเผยสิ่งเหล่านี้แก่ทารกน้อย พ่อครับ ที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะเป็นที่พอใจในสายตาของพ่อ 22พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราได้มอบสิ่งสารพัดให้แก่เรา และไม่มีใครรู้ว่าพระโอรสเป็นผู้ใดนอกจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อ และไม่มีใครรู้ว่าพระเจ้าผู้เป็นพ่อเป็นผู้ใดนอกจากพระโอรส และผู้ที่พระโอรสประสงค์จะสำแดงให้รู้”
23พระองค์เหลียวหลังไปทางเหล่าสาวกกล่าวเฉพาะแก่พวกเขาว่า “นัยน์ตาทั้งหลายที่ได้เห็นการณ์ ซึ่งพวกเจ้าได้เห็นก็เป็นสุข 24เพราะเราบอกพวกเจ้าทั้งหลายว่า ศาสดาพยากรณ์หลายคน และกษัตริย์หลายองค์ ปรารถนาจะเห็นซึ่งพวกเจ้าทั้งหลายเห็นอยู่นี้ แต่เขาไม่เคยได้เห็น และอยากจะได้ยินซึ่งพวกเจ้าทั้งหลายได้ยิน แต่เขาไม่เคยได้ยิน”
25ดูเถิด มีคัมภีราจารย์ฝ่ายธรรมบัญญัติคนหนึ่งยืนขึ้นทดสอบพระองค์ถามว่า “อาจารย์ครับ ผมจะต้องทำประการใดเพื่อจะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพานเป็นมรดก” 26พระองค์ตอบเขาว่า “ในธรรมบัญญัติมีคำเขียนว่าอย่างไร ท่านได้อ่านเข้าใจอย่างไร?” 27เขาตอบว่า “จงมีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อพระเจ้าผู้เป็นนายของเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของเจ้า ด้วยสุดกำลังและสิ้นสุดความคิดของเจ้า และจงมีพรหมวิหารสี่ต่อเพื่อนบ้านเหมือนมีต่อตนเอง” 28พระองค์จึงกล่าวแก่เขาว่า “ท่านตอบถูกแล้ว จงกระทำอย่างนั้นแล้วท่านจะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน” 29แต่คนนั้นปรารถนาจะแก้ตัวจึงถามพระเยซูว่า “แล้วใครเป็นเพื่อนบ้านของผมครับ”
30พระเยซูตอบเขาว่า “มีชายคนหนึ่งลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มจะไปยังเมืองเยรีโค และเขาถูกพวกโจรปล้น โจรนั้นได้แย่งชิงเสื้อผ้าของเขาและทุบตี แล้วก็ละทิ้งเขาไว้เกือบจะตายแล้ว 31เผอิญปุโรหิตคนหนึ่งเดินลงไปทางนั้น เมื่อเห็นคนนั้นก็เดินเลยไปอีกฟากหนึ่ง 32คนหนึ่งในพวกเลวีก็ทำเหมือนกัน เมื่อมาถึงที่นั่นและเห็นแล้วก็เลยไปอีกฟากหนึ่ง 33แต่ชาวสะมาเรียคนหนึ่งเมื่อเดินมาถึงคนนั้น ครั้นเห็นแล้วก็มีใจเมตตา 34เข้าไปหาเขาเอาผ้าพันบาดแผลให้ พลางเอาน้ำมันกับเหล้าองุ่นเทใส่บาดแผลนั้น แล้วให้เขาขึ้นขี่สัตว์ของตนเองพามาถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง และรักษาพยาบาลเขาไว้ 35วันรุ่งขึ้นเมื่อจะไป เขาก็เอาเงินสองเดนาริอันมอบให้เจ้าของโรงแรม บอกเขาว่า ‘จงรักษาเขาไว้เถิด และเงินที่จะเสียเกินนี้ เมื่อกลับมาฉันจะใช้ให้’ 36ในสามคนนั้น เจ้าคิดเห็นว่า คนไหนปรากฏว่าเป็นเพื่อนบ้านของคนที่ถูกพวกโจรปล้น” 37เขาตอบว่า “คือคนนั้นแหละที่ได้แสดงความเมตตาแก่เขา” พระเยซูจึงพูดกับเขาว่า “เจ้าจงไปทำเหมือนอย่างนั้นเถิด”
38และต่อมาเมื่อพระองค์กับเหล่าสาวกกำลังเดินทางไป พระองค์จึงเข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อมารธาต้อนรับพระองค์ไว้ในเรือนของเธอ 39มารธามีน้องสาวชื่อมารีย์ มารีย์ก็นั่งอยู่แทบเท้าพระเยซูฟังถ้อยคำของพระองค์ด้วย 40แต่มารธายุ่งในการรับใช้มาก จึงมาบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ขา อาจารย์ไม่สนใจหรือ? ซึ่งน้องสาวของหนูปล่อยให้หนูทำการรับใช้เพียงคนเดียว ขอให้อาจารย์สั่งเขาให้มาช่วยหนูด้วย” 41แต่พระเยซูตอบเธอว่า “มารธา มารธา เอ๋ย เธอวิตกกังวลและร้อนใจด้วยสิ่งเหล่านี้เกินไป 42สิ่งซึ่งต้องการนั้นมีแต่สิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนดีนั้น ใครจะชิงเอาไปจากเธอไม่ได้”
1ต่อมาเมื่อพระเยซูอธิษฐานสวดอ้อนวอนอยู่ในที่แห่งหนึ่ง พอจบแล้วสาวกของพระองค์คนหนึ่งพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ขอสอนพวกผมให้อธิษฐานสวดอ้อนวอน เหมือนยอห์นได้สอนพวกศิษย์ของท่านด้วยครับ” 2พระองค์จึงพูดกับเขาว่า “เมื่อพวกเจ้าอธิษฐานสวดอ้อนวอน จงว่า ‘ข้าแต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของข้าฯทั้งหลาย ผู้อยู่ในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้อาณาจักรของพระองค์มาตั้งอยู่ จิตใจของพระองค์สำเร็จในสวรรค์อย่างไร ก็ให้สำเร็จบนแผ่นดินโลกเหมือนกันอย่างนั้น 3ขอให้ประทานอาหารประจำวันแก่ข้าฯทั้งหลายทุก ๆ วัน 4ขอโปรดยกบาปผิดของข้าฯทั้งหลาย ด้วยว่าข้าฯยกความผิดของทุกคนที่ทำผิดต่อข้าฯนั้น ขออย่านำข้าฯเข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พ้นจากความชั่วร้าย’”
5พระองค์กล่าวแก่เขาว่า “ผู้ใดในพวกท่านมีเพื่อนฝูงคนหนึ่ง และจะไปหาเพื่อนฝูงนั้นในเวลาเที่ยงคืนพูดกับเขาว่า ‘เพื่อนเอ๋ย ขอให้ฉันยืมขนมปังสามก้อนเถิด 6เพราะเพื่อนของฉันคนหนึ่งเพิ่งเดินทางมาหาฉัน และฉันไม่มีอะไรจะให้เขารับประทาน’ 7ฝ่ายเพื่อนฝูงที่อยู่ข้างในจะตอบว่า ‘อย่ารบกวนฉันเลย ประตูก็ปิดเสียแล้ว ทั้งพวกลูกก็นอนร่วมเตียงกับฉันแล้ว ฉันจะลุกขึ้นหยิบให้เธอไม่ได้’ 8เราบอกพวกเจ้าทั้งหลายว่า แม้เขาจะไม่ลุกขึ้นหยิบให้คนนั้นเพราะเป็นเพื่อนฝูงกัน แต่ว่าเพราะวิงวอนมากเข้า เขาจึงจะลุกขึ้นหยิบให้ตามที่เขาต้องการ 9เราบอกพวกเจ้าทั้งหลายว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน 10เพราะว่าทุกคนที่ขอก็จะได้ ทุกคนที่แสวงหาก็จะพบ และทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา 11มีผู้ใดในพวกเจ้าที่เป็นพ่อ ถ้าลูกขอขนมปังจะเอาก้อนหินให้เขาหรือ? หรือถ้าขอปลาจะเอางูให้เขาแทนปลาหรือ? 12หรือถ้าเขาขอไข่จะเอาแมลงป่องให้เขาหรือ? 13เพราะฉะนั้น ถ้าพวกเจ้าทั้งหลายเองผู้เป็นคนชั่ว ยังรู้จักให้ของดีแก่ลูกของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระเจ้าผู้เป็นพ่อของพวกเจ้าผู้สถิตในสวรรค์ จะประทานพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แก่ผู้ที่ขอต่อพระองค์”
14พระองค์กำลังขับผีใบ้ และต่อมาเมื่อผีออกแล้ว คนใบ้จึงพูดได้ และประชาชนก็ประหลาดใจ 15แต่บางคนในพวกเขาพูดว่า “คนนี้ขับผีออกได้โดยใช้อำนาจของเบเอลเซบูลนายผีนั้น” 16คนอื่น ๆ ทดลองพระองค์ โดยขอจากพระองค์ให้เห็นหมายสำคัญจากสวรรค์ 17แต่พระองค์ทราบความคิดของเขา จึงพูดกับเขาว่า “ราชอาณาจักรใด ๆ ซึ่งแตกแยกกันเองก็จะรกร้างไป ครัวเรือนใด ๆ ซึ่งแตกแยกกับครัวเรือนก็จะล่มสลาย 18และถ้าซาตานแก่งแย่งกันระหว่างมันเอง อาณาจักรของมันจะตั้งอยู่อย่างไรได้ เพราะท่านทั้งหลายว่าเราขับผีออกโดยเบเอลเซบูล 19ถ้าเราขับผีออกโดยเบเอลเซบูลนั้น พวกพ้องของท่านทั้งหลายขับมันออกโดยอำนาจของใครเล่า เหตุฉะนั้นพวกพ้องของท่านเองจะเป็นผู้ตัดสินกล่าวโทษพวกท่าน 20แต่ถ้าเราขับผีออกด้วยมือของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงท่านแล้ว 21เมื่อผู้มีกำลังมากคนหนึ่งถืออาวุธเฝ้าบ้านของตนอยู่ สิ่งของของเขาก็ปลอดภัย 22แต่เมื่อคนมีกำลังมากกว่าเขามาต่อสู้ชนะเขา คนนั้นก็ชิงเอาเครื่องอาวุธที่เขาได้วางใจนั้นไปเสีย แล้วแบ่งปันของที่เขาได้ริบเอาไปนั้น 23ผู้ที่ไม่อยู่ฝ่ายเราก็เป็นปฏิปักษ์ต่อเรา และผู้ที่ไม่รวบรวมไว้กับเราก็เป็นผู้กระทำให้กระจัดกระจายไป”
24“เมื่อผีโสโครกออกมาจากผู้ใดแล้ว มันก็ท่องเที่ยวไปในที่กันดารเพื่อแสวงหาที่หยุดพัก และเมื่อไม่พบมันจึงกล่าวว่า ‘ข้าจะกลับไปยังเรือนของข้าที่ได้ออกมานั้น’ 25และเมื่อมาถึงก็เห็นเรือนนั้นกวาดและตกแต่งไว้แล้ว 26มันจึงไปรับเอาผีอื่นอีกเจ็ดผีร้ายกว่ามันเอง แล้วก็เข้าไปอาศัยอยู่ที่นั่น และในที่สุดคนนั้นก็เลวร้ายกว่าตอนแรก”
27ต่อมาเมื่อพระองค์ยังกล่าวคำเหล่านั้น มีผู้หญิงคนหนึ่งในหมู่ประชาชนร้องขอพระองค์ว่า “ครรภ์ซึ่งปฏิสนธิอาจารย์ และหัวนมที่อาจารย์ดูดนั้นก็เป็นสุข” 28แต่พระองค์กล่าวว่า “ไม่ใช่เช่นนั้น แต่คนทั้งหลายที่ได้ยินพระคำของพระเจ้า และได้ถือรักษาพระคำนั้นไว้ ก็เป็นสุข”
29เมื่อคนทั้งปวงประชุมมากขึ้น พระองค์ตั้งต้นกล่าวว่า “คนยุคนี้เป็นคนชั่ว มีแต่แสวงหาหมายสำคัญ และพระเจ้าจะไม่โปรดให้หมายสำคัญแก่เขา เว้นไว้แต่หมายสำคัญของโยนาห์ศาสดาพยากรณ์เท่านั้น 30ด้วยว่าโยนาห์ได้เป็นหมายสำคัญแก่ชาวนีนะเวห์ฉันใด บุตรมนุษย์จะเป็นหมายสำคัญแก่คนยุคนี้ฉันนั้น 31พระราชินีฝ่ายทิศใต้จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้ และจะกล่าวโทษคนในยุคนี้ ด้วยว่าพระนางนั้นได้มาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลกเพื่อจะฟังสติปัญญาของซาโลมอน และดูเถิด ซึ่งใหญ่กว่าซาโลมอนก็มีอยู่ที่นี่ 32ชนชาวนีนะเวห์จะลุกขึ้นในวันพิพากษาพร้อมกับคนยุคนี้ และจะกล่าวโทษคนในยุคนี้ ด้วยว่าชาวนีนะเวห์ได้กลับใจหันหลังให้กับความผิดบาป เพราะคำประกาศของโยนาห์ และดูเถิด ซึ่งใหญ่กว่าโยนาห์มีอยู่ที่นี่
33ไม่มีผู้ใดเมื่อจุดตะเกียงแล้วจะตั้งไว้ในที่กำบัง หรือเอาถังครอบไว้ แต่ตั้งไว้บนเชิงตะเกียง เพื่อคนทั้งหลายที่เข้ามาจะเห็นแสงสว่างได้ 34ตาเป็นประทีปของร่างกาย เหตุฉะนั้นเมื่อตาของพวกเจ้าดี ทั้งตัวก็เต็มไปด้วยความสว่าง แต่เมื่อตาของพวกเจ้าชั่ว ทั้งตัวของท่านก็เต็มไปด้วยความมืด 35เหตุฉะนั้น จงระวังให้ดีไม่ให้ความสว่างซึ่งอยู่ในพวกเจ้าเป็นความมืดนั่นเอง 36เหตุฉะนั้น ถ้ากายทั้งสิ้นของพวกเจ้าเต็มด้วยความสว่าง ไม่มีที่มืดเลย ก็จะสว่างตลอด เหมือนอย่างแสงสว่างของตะเกียงที่ส่องมาให้พวกเจ้า”
37เมื่อพระองค์ยังพูดอยู่ คนหนึ่งในพวกฟาริสีอ้อนวอนพระองค์ให้ไปรับประทานอาหารกับเขา พระองค์จึงเข้าไปและนั่งลง 38ฝ่ายคนฟาริสีเมื่อเห็นพระองค์ไม่ได้ล้างก่อนรับประทานอาหาร ก็ประหลาดใจ 39องค์พระผู้เป็นเจ้าพูดกับเขาว่า “เจ้าพวกฟาริสีย่อมชำระถ้วยชามภายนอก แต่ภายในของเจ้าเต็มไปด้วยความโลภ และความชั่วร้าย 40คนโฉดเขลา ผู้ที่ได้สร้างภายนอกก็ได้สร้างภายในด้วยไม่ใช่หรือ? 41แต่จงให้ทานตามซึ่งเจ้ามีอยู่ภายใน และดูเถิด สิ่งสารพัดก็บริสุทธิ์แก่เจ้าทั้งหลาย”
42“แต่วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี ด้วยว่าพวกเจ้าถวายสิบเปอร์เซ็นต์ของสะระแหน่ และขมิ้นและผักทุกอย่าง และได้ละเว้นการพิพากษาและความรักของพระเจ้าเสีย สิ่งเหล่านั้นพวกเจ้าควรได้ทำอยู่แล้ว แต่สิ่งอื่นนั้นก็ไม่ควรละเว้นด้วย 43วิบัติแก่เจ้า พวกฟาริสี ด้วยว่าพวกเจ้าชอบที่นั่งอันมีเกียรติในวัดหรือสุเหร่า และชอบให้เขาคำนับที่กลางตลาด 44วิบัติแก่เจ้า พวกคัมภีราจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยว่าเจ้าทั้งหลายเป็นเหมือนที่ฝังศพซึ่งมิได้ปรากฏ และคนที่เดินเหยียบที่นั่นก็ไม่รู้ว่ามีอะไร”
45พวกคัมภีราจารย์ฝ่ายธรรมบัญญัติคนหนึ่งพูดพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ซึ่งอาจารย์ว่าอย่างนั้น อาจารย์ก็ติเตียนพวกเราด้วย” 46พระองค์ตรัสว่า “วิบัติแก่เจ้า พวกคัมภีราจารย์ฝ่ายธรรมบัญญัติด้วย เพราะพวกเจ้าเอาของหนักที่แบกยากนักวางบนมนุษย์ แต่ส่วนพวกเจ้าเองก็ไม่จับต้องของหนักนั้นเลยแม้แต่นิ้วเดียว 47วิบัติแก่เจ้าทั้งหลาย เพราะเจ้าก่ออุโมงค์ฝังศพของพวกศาสดาพยากรณ์ และบรรพบุรุษของเจ้าเองก็ได้ฆ่าศาสดาพยากรณ์นั้น 48ดังนั้นพวกเจ้าจึงเป็นพยานว่าเจ้าเห็นชอบในการของบรรพบุรุษของเจ้า ด้วยว่าเขาได้ฆ่าพวกศาสดาพยากรณ์นั้น แล้วพวกเจ้าก็ก่ออุโมงค์ฝังศพให้”
49“เหตุฉะนั้น พระปัญญาของพระเจ้าก็พูดด้วยว่า ‘เราจะใช้พวกศาสดาพยากรณ์และอัครทูตไปหาเขา และเขาจะฆ่าเสียบ้าง และข่มเหงบ้าง’ 50เพื่อคนยุคนี้แหละจะต้องรับผิดชอบในเรื่องโลหิตของบรรดาศาสดาพยากรณ์ ซึ่งต้องไหลออกตั้งแต่แรกสร้างโลก 51คือตั้งแต่โลหิตของอาแบล จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์ที่ถูกฆ่าตายระหว่างแท่นบูชากับพระวิหาร เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนยุคนี้จะต้องรับผิดชอบในโลหิตนั้น 52วิบัติแก่เจ้า พวกคัมภีราจารย์ฝ่ายธรรมบัญญัติ ด้วยว่าเจ้าได้เอาลูกกุญแจแห่งความรู้ไปเสีย คือพวกเจ้าเองก็ไม่เข้าไป และคนที่กำลังเข้าไปนั้นเจ้าก็ได้ขัดขวางไว้” 53เมื่อพระองค์ยังตรัสคำเหล่านั้นแก่เขา พวกคัมภีราจารย์และพวกฟาริสีก็ตั้งต้นยั่วเย้าพระองค์อย่างรุนแรง หมายให้พูดต่อไปหลายประการ 54คอยหวังจับผิดในคำพูดของพระองค์ เพื่อเขาจะฟ้องพระองค์ได้
1ในระหว่างนั้นคนเป็นอันมากนับไม่ถ้วนชุมนุมเบียดเสียดกันอยู่ พระองค์ตั้งต้นพูดกับเหล่าสาวกของพระองค์ก่อนว่า “พวกเจ้าทั้งหลายจงระวังเชื้อของพวกฟาริสี ซึ่งเป็นความหน้าซื่อใจคด 2เพราะว่าไม่มีสิ่งใดปิดบังไว้ที่จะไม่ต้องเปิดเผย หรือการลับที่จะไม่เผยให้ประจักษ์ 3เหตุฉะนั้น สิ่งสารพัดซึ่งพวกเจ้าได้กล่าวในที่มืดจะได้ยินในที่สว่าง และซึ่งได้กระซิบในหูที่ห้องส่วนตัวจะต้องประกาศบนดาดฟ้าหลังคาบ้าน”
4“เพื่อน ๆ ของเราเอ๋ย เราบอกพวกเจ้าทั้งหลายว่า อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย และภายหลังไม่มีอะไรที่จะทำได้อีก 5แต่เราจะเตือนให้พวกเจ้ารู้ว่าควรจะกลัวผู้ใด จงกลัวพระองค์ผู้ฆ่าแล้วก็ยังมีฤทธิ์อำนาจที่จะทิ้งลงในนรกได้ แท้จริงเราบอกพวกเจ้าว่า จงกลัวพระองค์นั้นแหละ 6นกกระจอกห้าตัวเขาขายสองบาทมิใช่หรือ? และนกนั้นแม้สักตัวเดียว พระเจ้าไม่ได้ลืมเลย 7ถึงเส้นผมของพวกเจ้าทั้งหลายก็นับไว้แล้วทุกเส้น เหตุฉะนั้น อย่ากลัวเลย พวกเจ้าทั้งหลายก็ประเสริฐกว่านกกระจอกหลายตัว”
8“และเราบอกพวกเจ้าทั้งหลายด้วยว่า ผู้ใดที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ บุตรมนุษย์ก็จะรับผู้นั้นต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าด้วย 9แต่ผู้ที่ปฏิเสธเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะปฏิเสธผู้นั้นต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้า 10ผู้ใดจะกล่าวร้ายต่อบุตรมนุษย์ พระองค์จะยกโทษให้ผู้นั้นได้ แต่ถ้าผู้ใดจะกล่าวหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ จะยกโทษให้ผู้นั้นไม่ได้ 11เมื่อเขาพาพวกเจ้าเข้าในวัดหรือสุเหร่า หรือต่อหน้าเจ้าเมือง และผู้ที่มีอำนาจ อย่าวิตกกังวลว่าจะตอบอย่างไรหรืออะไร หรือจะกล่าวอะไร? 12เพราะว่าพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะสอนพวกเจ้าในเวลาโมงนั้นเองว่า พวกเจ้าควรจะพูดอะไรบ้าง”
13และมีผู้หนึ่งในหมู่คนทูลพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ขอสั่งพี่ชายของผมให้แบ่งมรดกให้แก่ผม” 14แต่พระองค์ตอบเขาว่า “พ่อหนุ่มเอ๋ย ใครได้ตั้งเราให้เป็นตุลาการ หรือเป็นผู้แบ่งมรดกให้เจ้า” 15แล้วพระองค์จึงกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “จงระวังและเว้นเสียจากความโลภ เพราะว่าชีวิตของบุคคลใด ๆ ไม่ได้อยู่ในของบริบูรณ์ซึ่งเขามีอยู่นั้น” 16และพระองค์จึงพูดคำอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาฟังว่า “ไร่นาของเศรษฐีคนหนึ่งเกิดผลบริบูรณ์มาก 17เศรษฐีคนนั้นจึงคิดในใจว่า ‘เราจะทำอย่างไรดี เพราะว่าเราไม่มีที่ที่จะเก็บผลิตผลของเรา’ 18เขาจึงคิดว่า ‘เราจะทำอย่างนี้ คือจะรื้อยุ้งฉางของเราเสีย และจะสร้างใหม่ให้โตขึ้น แล้วเราจะรวบรวมข้าว และสมบัติทั้งหมดของเราไว้ที่นั่น 19แล้วเราจะว่าแก่จิตใจของเราว่า “จิตใจเอ๋ย เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากเก็บไว้พอหลายปี จงอยู่สบาย กิน ดื่ม และรื่นเริงเถิด”’ 20แต่พระเจ้าบอกแก่เขาว่า ‘เจ้าคนโง่ ในคืนวันนี้ชีวิตของเจ้าจะออกไปจากเจ้า แล้วของซึ่งเจ้าได้รวบรวมไว้นั้นจะเป็นของใครเล่า’ 21คนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตัวเอง และไม่ได้มั่งมีจำเพาะพระเจ้าก็เป็นเช่นนั้นแหละ”
22และพระองค์พูดกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “เหตุฉะนั้นเราบอกพวกเจ้าทั้งหลายว่า อย่าวิตกกังวลถึงชีวิตของตนว่าจะเอาอะไรกิน และอย่าวิตกกังวลถึงร่างกายของตนว่าจะเอาอะไรนุ่งห่ม 23เพราะว่าชีวิตสำคัญยิ่งกว่าอาหาร และร่างกายสำคัญยิ่งกว่าเครื่องนุ่งห่ม 24จงพิจารณาดูอีกา มันไม่ได้หว่าน ไม่ได้เก็บเกี่ยว และไม่ได้มียุ้งฉาง แต่พระเจ้ายังเลี้ยงมันไว้ พวกเจ้าทั้งหลายก็ประเสริฐกว่านกมากทีเดียว 25มีใครในพวกท่าน โดยความวิตกกังวล อาจต่อความสูงให้ยาวออกไปอีกศอกหนึ่งได้หรือ? 26เหตุฉะนั้น ถ้าสิ่งเล็กน้อยที่สุดยังทำไม่ได้ ท่านยังจะวิตกกังวลถึงสิ่งอื่นทำไมอีกเล่า 27จงพิจารณาดอกไม้ว่ามันงอกเจริญขึ้นอย่างไร? มันไม่ทำงาน มันไม่ปั่นด้าย แต่เราบอกท่านทั้งหลายว่า ซาโลมอนเมื่อบริบูรณ์ด้วยสง่าราศี ก็ไม่ได้ทรงเครื่องงามเท่าดอกไม้นี้ดอกหนึ่ง 28แม้ว่าพระเจ้าได้ตกแต่งหญ้าที่ทุ่งนาอย่างนั้น ซึ่งเป็นอยู่วันนี้และรุ่งขึ้นต้องทิ้งในเตาไฟ โอ ผู้ที่มีความเชื่อน้อย พระองค์จะตกแต่งพวกเจ้ามากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด 29พวกเจ้าทั้งหลายอย่าเสาะหาว่าจะกินอะไรดีหรือจะดื่มอะไร และอย่ามีใจสงสัยเลย 30เพราะว่าคนทุกประเทศทั่วโลกเสาะหาสิ่งของทั้งปวงนี้ แต่ว่าพระเจ้าผู้เป็นพ่อของท่านทั้งหลายรู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าต้องการสิ่งเหล่านี้ 31แต่พวกเจ้าทั้งหลายจงแสวงหาอาณาจักรของพระเจ้า แล้วพระองค์จะเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงเหล่านี้ให้แก่ท่าน
32ฝูงแกะน้อยเอ๋ย อย่ากลัวเลย เพราะว่าพระเจ้าผู้เป็นพ่อของพวกเจ้าชอบใจที่จะมอบอาณาจักรนั้นให้แก่พวกเจ้า 33จงขายของที่พวกเจ้ามีอยู่และทำทาน จงกระทำถุงใส่เงินสำหรับตนซึ่งไม่รู้เก่า คือให้มีทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ซึ่งไม่เสื่อมสูญไป ที่ขโมยไม่ได้เข้ามาใกล้ และที่ตัวมอดไม่ได้ทำลายเสีย 34เพราะว่าทรัพย์สมบัติของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน ใจของพวกเจ้าก็อยู่ที่นั่นด้วย
35พวกเจ้าทั้งหลายจงคาดเอวของตนเองไว้ และให้ตะเกียงของท่านจุดอยู่ 36พวกเจ้าเองจงเหมือนคนที่คอยรับนายของตน เมื่อนายจะกลับมาจากงานสมรส เพื่อเมื่อนายมาเคาะประตูแล้ว เขาจะเปิดให้นายทันทีได้ 37ผู้รับใช้ซึ่งนายมาพบกำลังคอยเฝ้าอยู่ก็เป็นสุข เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า นายนั้นจะคาดเอวไว้และให้ผู้รับใช้เหล่านั้นเอนกายลง และนายนั้นจะมารับใช้เขา 38ถ้านายมาเวลาสองยามหรือสามยาม และพบผู้รับใช้อยู่อย่างนั้น ผู้รับใช้เหล่านั้นก็จะเป็นสุข 39ให้เข้าใจอย่างนี้เถอะว่า ถ้าเจ้าของบ้านล่วงรู้ได้ว่าขโมยจะมาเวลาไหน เขาจะตื่นอยู่และระวังไม่ให้ทะลวงเรือนของเขาได้ 40เหตุฉะนั้น พวกเจ้าทั้งหลายจงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมด้วย เพราะบุตรมนุษย์จะมาในโมงที่พวกเจ้าไม่คิดไม่ฝัน”
41ฝ่ายเปโตรบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์ได้พูดคำอุปมานั้นแก่พวกผมหรือ? หรือกล่าวแก่คนทั้งปวง” 42องค์พระผู้เป็นเจ้าพูดว่า “ใครเป็นหัวหน้าคนใช้ในบ้านที่สัตย์ซื่อและฉลาด ที่นายได้ตั้งไว้เหนือพวกคนใช้สำหรับแจกอาหารตามเวลา 43เมื่อนายมาพบเขากระทำอยู่อย่างนั้น ผู้รับใช้ผู้นั้นก็จะเป็นสุข 44เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า นายจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลบรรดาข้าวของทั้งสิ้นของท่าน 45แต่ถ้าผู้รับใช้นั้นจะคิดในใจว่า ‘นายของข้าคงจะมาช้า’ แล้วจะตั้งต้นโบยตีผู้รับใช้ชายหญิงและกินดื่มเมาไป 46นายของผู้รับใช้ผู้นั้นจะมาในวันที่เขาไม่คิด ในเวลาที่เขาไม่รู้ และจะทำโทษเขาถึงสาหัส ทั้งจะขับไล่เขาให้ไปอยู่กับคนที่ไม่เชื่อ 47ผู้รับใช้นั้นที่ได้รู้น้ำใจของนาย และไม่ได้เตรียมตัวไว้ ไม่ได้กระทำตามใจของนาย จะต้องถูกเฆี่ยนมาก 48แต่ผู้ที่ไม่ได้รู้ แล้วได้กระทำสิ่งซึ่งสมจะถูกเฆี่ยน ก็จะถูกเฆี่ยนน้อย ผู้ใดได้รับมาก จะต้องเรียกเอาจากผู้นั้นมาก และผู้ใดได้รับฝากไว้มาก ก็จะต้องทวงเอาจากผู้นั้นมาก”
49“เรามาเพื่อจะทิ้งไฟลงบนแผ่นดินโลก ถ้าหากไฟนั้นได้ติดขึ้นแล้ว และเราจะอยากได้อะไรเล่า 50เราจะต้องทำพิธีมุดน้ำอย่างหนึ่ง เราเป็นทุกข์มากจนกว่าจะสำเร็จ 51พวกเจ้าทั้งหลายคิดว่า เรามาเพื่อจะให้เกิดสันติภาพในโลกหรือ? เราบอกพวกเจ้าว่า ไม่ใช่ แต่จะให้แตกแยกกันต่างหาก 52ด้วยว่าตั้งแต่นี้ไปห้าคนในเรือนหนึ่งก็จะแตกแยกกัน คือสามต่อสองและสองต่อสาม 53พ่อจะแตกแยกจากลูกชาย และลูกชายจะแตกแยกจากพ่อ แม่จากลูกสาว และลูกสาวจากแม่ แม่สามีจากลูกสะใภ้ และลูกสะใภ้จากแม่สามี”
54และพระองค์พูดกับประชาชนอีกว่า “เมื่อท่านทั้งหลายเห็นเมฆเกิดขึ้นในทิศตะวันตก ท่านก็กล่าวทันทีว่า ฝนจะตก และก็เป็นอย่างนั้นจริง 55เมื่อท่านเห็นลมพัดมาแต่ทิศใต้ ท่านก็ว่า จะร้อนจัด และก็เป็นจริง 56เจ้าคนหน้าซื่อใจคด เจ้าทั้งหลายรู้จักวิจัยความเป็นไปของแผ่นดินและท้องฟ้า แต่เหตุไฉนพวกเจ้าวิจัยความเป็นไปของยุคนี้ไม่ได้”
57“เหตุไฉนเจ้าทั้งหลายไม่ตัดสินเอาเองว่าสิ่งใดเป็นสิ่งที่ถูก 58เพราะเมื่อเจ้ากับโจทก์พากันไปหาผู้พิพากษา จงอุตส่าห์หาช่องที่จะปรองดองกับเขาเมื่อยังอยู่กลางทาง เกลือกว่าเขาจะฉุดลากเจ้าเข้าไปถึงผู้พิพากษา และผู้พิพากษาจะมอบเจ้าไว้กับผู้คุม และผู้คุมจะขังเจ้าไว้ในเรือนจำ 59เราบอกเจ้าว่า เจ้าจะออกจากที่นั่นไม่ได้จนกว่าจะได้ใช้หนี้ครบทุกสตางค์”
1ขณะนั้น มีบางคนอยู่ที่นั่นเล่าเรื่องชาวกาลิลี ซึ่งปีลาตเอาเลือดของเขาระคนกับเครื่องบูชาให้พระองค์ฟัง 2พระเยซูจึงตอบเขาว่า “ท่านทั้งหลายคิดว่าชาวกาลิลีเหล่านั้นเป็นคนบาปยิ่งกว่าชาวกาลิลีอื่น ๆ ทั้งปวง เพราะว่าเขาได้ทุกข์ทรมานอย่างนั้นหรือ? 3เราบอกท่านทั้งหลายว่า ไม่ใช่ แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้กลับใจหันหลังจากความผิดบาป ก็จะต้องตายเหมือนกัน 4หรือสิบแปดคนนั้นซึ่งหอรบที่สิโลอัมได้พังทับเขาตายเสียนั้น ท่านทั้งหลายคิดว่า เขาเป็นคนบาปยิ่งกว่าคนทั้งปวงที่อาศัยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มหรือ? 5เราบอกท่านทั้งหลายว่า ไม่ใช่ แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้กลับใจหันหลังจากความผิดบาปจะต้องตายเหมือนกัน”
6พระองค์พูดคำอุปมาต่อไปนี้ว่า “คนหนึ่งมีต้นมะเดื่อต้นหนึ่งปลูกไว้ในสวนองุ่นของตน และเขามาหาผลที่ต้นนั้นแต่ไม่พบ 7เขาจึงว่าแก่คนที่รักษาสวนองุ่นว่า ‘ดูเถิด เรามาหาผลที่ต้นมะเดื่อนี้ได้สามปีแล้ว แต่ไม่พบ จงโค่นมันเสีย จะให้ดินรกไปเปล่า ๆ ทำไม’ 8แต่ผู้รักษาสวนองุ่นตอบเขาว่า ‘นายขอรับ ขอเอาไว้ปีนี้อีก ให้ผมพรวนดินเอาปุ๋ยใส่ 9แล้วถ้ามันเกิดผลก็ดีอยู่ ถ้าไม่เกิดผล ภายหลังท่านจงโค่นมันเสีย’”
10พระองค์กำลังสั่งสอนอยู่ที่วัดหรือสุเหร่าแห่งหนึ่งในวันศีล 11และดูเถิด มีหญิงคนหนึ่งซึ่งมีผีเข้าสิงทำให้พิการมาสิบแปดปีแล้ว หลังโกง ยืดตัวขึ้นไม่ได้เลย 12เมื่อพระเยซูเห็นนาง จึงเรียกและพูดกับเธอว่า “หญิงเอ๋ย เจ้าหายจากโรคของเจ้าแล้ว” 13พระองค์ปรกมือไปที่ตัวของเธอ และในทันใดนั้นเธอก็ยืดตัวตรงได้ และสรรเสริญพระเจ้า 14แต่เจ้าอาวาสวัดหรือสุเหร่าก็เคืองใจ เพราะพระเยซูได้รักษาโรคในวันศีล จึงว่าแก่ประชาชนว่า “มีหกวันที่ควรจะทำงาน เหตุฉะนั้นในหกวันนั้นจงมาให้รักษาโรคเถิด แต่ในวันศีลนั้นอย่าเลย” 15แต่พระเจ้าผู้เป็นนายตอบเขาว่า “คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าทุกคนได้แก้วัวแก้ลาจากคอกมัน พาไปให้กินน้ำในวันศีลไม่ใช่หรือ? 16ดูเถิด ฝ่ายหญิงผู้นี้เป็นลูกสาวของอับราฮัม ซึ่งซาตานได้ผูกมัดไว้สิบแปดปีแล้ว ไม่ควรหรือที่จะให้เขาหลุดจากเครื่องจำจองอันนี้ในวันศีล” 17เมื่อพระองค์พูดคำเหล่านั้นแล้ว บรรดาคนที่เป็นปฏิปักษ์กับพระองค์ต้องขายหน้า และประชาชนทั้งหลายก็เปรมปรีดิ์เพราะสรรพคุณความดีที่พระองค์ได้กระทำ
18พระองค์จึงกล่าวว่า “อาณาจักรของพระเจ้าเหมือนสิ่งใด และเราจะเปรียบอาณาจักรนั้นกับอะไรดี 19ก็เปรียบเหมือนเมล็ดพืชเมล็ดหนึ่ง ที่คนหนึ่งได้เอาไปปลูกในสวนของตน มันงอกขึ้นเป็นต้นใหญ่ และนกในอากาศมาอาศัยอยู่ตามกิ่งก้านของต้นนั้น”
20พระองค์พูดอีกว่า “เราจะเปรียบอาณาจักรของพระเจ้ากับสิ่งใด 21ก็เปรียบเหมือนเชื้อขนม ซึ่งผู้หญิงคนหนึ่งเอาเจือลงในแป้งสามถังจนแป้งนั้นฟูขึ้นทั้งหมด”
22พระองค์ได้เดินทางไปตามบ้านตามเมืองสั่งสอนเขา และเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 23มีคนหนึ่งถามพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ คนที่หลุดพ้นนั้นมีน้อยหรือ?” พระองค์กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า 24“จงพยายามเข้าไปทางประตูคับแคบ เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า คนเป็นอันมากจะพยายามเข้าไป แต่จะเข้าไม่ได้ 25เมื่อเจ้าบ้านลุกขึ้นปิดประตูแล้ว และท่านทั้งหลายเริ่มยืนอยู่ภายนอกเคาะที่ประตูว่า ‘เจ้านายครับ ขอเปิดประตูให้ผมด้วยเถิด’ และเจ้าของบ้านนั้นจะตอบท่านทั้งหลายว่า ‘เราไม่รู้จักเจ้าว่าเจ้ามาจากไหน?’ 26ขณะนั้นท่านทั้งหลายเริ่มจะว่า ‘ผมได้กินได้ดื่มกับท่าน และท่านได้สั่งสอนที่ถนนของพวกผม’ 27เจ้าบ้านนั้นจะว่า ‘เราบอกเจ้าทั้งหลายว่า เราไม่รู้จักเจ้าว่าเจ้ามาจากไหน? เจ้าผู้กระทำความชั่วช้า จงไปเสียให้พ้นหน้าเรา’ 28เมื่อท่านทั้งหลายจะเห็นอับราฮัม อิสอัค ยาโคบ และบรรดาศาสดาพยากรณ์ในอาณาจักรของพระเจ้า แต่ตัวท่านเองถูกขับไล่ไสส่งออกไปภายนอก ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน 29จะมีคนมาจากทิศตะวันออก ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศใต้ จะมาเอนกายลงในอาณาจักรของพระเจ้า”
30“และดูเถิด จะมีผู้ที่เป็นคนสุดท้ายกลับเป็นคนต้น และผู้ที่เป็นคนต้นกลับเป็นคนสุดท้าย” 31ในวันนั้นเอง มีพวกฟาริสีบางคนมาบอกพระองค์ว่า “เจ้าจงไปจากที่นี่เถิด เพราะว่าเฮโรดอยากจะประหารชีวิตของท่านเสีย” 32พระองค์จึงกล่าวกับเขาว่า “จงไปบอกหมาจิ้งจอกนั้นว่า ‘ดูเถิด เราขับผีออก และรักษาโรคในวันนี้ และพรุ่งนี้ แล้ววันที่สามเราจะทำการให้สำเร็จ’ 33แต่ว่าจำเป็นซึ่งเราจะเดินไปวันนี้ พรุ่งนี้ และมะรืนนี้ เพราะว่าศาสดาพยากรณ์จะถูกฆ่านอกกรุงเยรูซาเล็มก็หามิได้ 34โอ เยรูซาเล็ม ๆ ที่ได้ฆ่าบรรดาศาสดาพยากรณ์และเอาหินขว้างผู้ที่ได้รับใช้มาหาเจ้าให้ถึงตาย เราอยากจะรวบรวมลูกของเจ้าไว้เนือง ๆ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอมเลยหนอ 35ดูเถิด ‘บ้านเมืองของเจ้าจะถูกละทิ้งให้รกร้างสำหรับเจ้า’ และเราบอกความจริงแก่เจ้าทั้งหลายว่า เจ้าจะไม่ได้เห็นเราอีก จนกว่าเวลานั้นจะมาถึงเมื่อเจ้าจะกล่าวว่า ‘ขอให้พระองค์ผู้มาในนามของพระเจ้าผู้เป็นนายทรงพระเจริญ’”
1ต่อมา เมื่อพระองค์เข้าไปในบ้านของสมาชิกสภาศาสนาคนหนึ่งในพวกฟาริสี ในวันศีล เพื่อจะรับประทานอาหาร เขาทั้งหลายคอยมองดูพระองค์ 2ดูเถิด มีชายคนหนึ่งเป็นโรคมานน้ำอยู่ต่อหน้าพระองค์ 3พระเยซูจึงถามพวกคัมภีราจารย์ฝ่ายธรรมบัญญัติ และพวกฟาริสีว่า “ถ้าจะรักษาคนป่วยในวันศีลจะผิดธรรมบัญญัติหรือไม่?” 4เขาทั้งหลายก็นิ่งอยู่ พระองค์รับและรักษาคนนั้นให้หาย แล้วก็ให้เขาไป 5พระองค์จึงพูดกับเขาทั้งหลายว่า “คนไหนในพวกท่าน ถ้าจะมีลาหรือวัวตกบ่อ จะไม่รีบฉุดลากมันออกในวันศีลหรือ?” 6เขาทั้งหลายตอบข้อนี้ไม่ได้
7ฝ่ายพระองค์เมื่อเห็นคนทั้งหลายที่รับเชิญนั้นได้เลือกเอาที่นั่งอันมีเกียรติ พระองค์จึงพูดคำอุปมาให้เขาฟังว่า 8“เมื่อผู้ใดเชิญท่านไปกินเลี้ยงในงานแต่งงาน อย่านั่งในที่อันมีเกียรติ เกรงว่าเขาได้เชิญคนมีเกียรติมากกว่าท่านอีก 9และเจ้าภาพที่ได้เชิญท่านทั้งสองนั้นจะมาพูดกับท่านว่า ‘จงให้ที่นั่งแก่ท่านผู้นี้เถิด’ แล้วท่านจะต้องเริ่มเลื่อนลงมาที่ต่ำ จะได้รับความอดสู 10แต่เมื่อท่านได้รับเชิญแล้ว จงไปนั่งในที่ต่ำก่อน เพื่อว่าเมื่อเจ้าภาพที่ได้เชิญท่านมา พูดกับท่านว่า ‘เพื่อนเอ๋ย เชิญเลื่อนไปนั่งที่อันมีเกียรติ’ แล้วท่านจะได้เกียรติต่อหน้าคนทั้งหลายที่นั่งรับประทานด้วยกันนั้น 11เพราะว่าผู้ใดที่ได้ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง และผู้ที่ถ่อมตัวลงนั้นจะได้รับการยกขึ้น” 12ฝ่ายพระองค์พูดกับคนที่เชิญพระองค์ว่า “เมื่อท่านจะทำการเลี้ยง จะเป็นกลางวันหรือเวลาเย็นก็ตาม อย่าเชิญเฉพาะเพื่อนฝูง หรือพี่น้องหรือญาติ หรือเพื่อนบ้านที่มั่งมี เกรงว่าเขาจะเชิญท่านอีก และท่านจะได้รับการตอบแทน 13แต่เมื่อท่านทำการเลี้ยง จงเชิญคนจน คนพิการ คนง่อย คนตาบอด 14และท่านจะเป็นสุขเพราะว่าเขาไม่มีอะไรจะตอบแทนท่าน ด้วยว่าท่านจะได้รับตอบแทนเมื่อคนบุญเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว”
15ฝ่ายคนหนึ่งที่นั่งรับประทานด้วยกัน เมื่อได้ยินคำเหล่านั้นจึงบอกพระองค์ว่า “ผู้ที่จะรับประทานอาหารในอาณาจักรของพระเจ้าก็เป็นสุข” 16พระองค์พูดกับเขาว่า “ยังมีชายคนหนึ่งได้ทำการเลี้ยงใหญ่ และได้เชิญคนเป็นอันมาก 17เมื่อถึงเวลาเลี้ยงแล้ว เขาก็ใช้คนรับใช้ของตนไปบอกคนทั้งหลายที่ได้รับเชิญไว้แล้วว่า ‘เชิญมาเถิด เพราะสิ่งสารพัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว’ 18บรรดาคนทั้งหลายก็เริ่มพากันขอตัว คนแรกบอกเขาว่า ‘ข้าฯได้ซื้อนาไว้และจะต้องไปดูนานั้น ข้าฯขอตัวเถอะ’ 19อีกคนหนึ่งว่า ‘ข้าฯได้ซื้อวัวไว้ห้าคู่และจะต้องไปลองดูวัวนั้น ข้าฯขอตัวเถอะ’ 20อีกคนหนึ่งว่า ‘ข้าฯพึ่งแต่งงานใหม่ เหตุฉะนั้นข้าฯไปไม่ได้’ 21คนรับใช้นั้นจึงกลับมาเล่าเนื้อความให้เจ้านายฟัง นายเจ้าก็โกรธ จึงสั่งคนรับใช้ว่า ‘จงออกไปโดยเร็วตามถนนใหญ่ และตรอกซอกซอยในเมือง พาคนจน คนพิการ คนง่อย และคนตาบอดเข้ามาที่นี่’ 22แล้วคนรับใช้จึงบอกว่า ‘นายครับ ผมได้กระทำตามนายสั่งแล้ว และยังมีที่ว่างอยู่’ 23เจ้านายจึงสั่งคนรับใช้นั้นว่า ‘จงออกไปตามทางใหญ่และรั้วต้นไม้ทั้งหลาย และเร่งเร้าเขาให้เข้ามาเพื่อเรือนของเราจะเต็ม 24เพราะเราบอกเจ้าว่า ในพวกคนทั้งหลายที่ได้รับเชิญไว้นั้น ไม่มีสักคนหนึ่งจะได้ลิ้มรสอาหารของเราเลย’”
25คนเป็นอันมากได้ไปกับพระองค์ พระองค์จึงเหลียวหลังมาพูดกับเขาว่า 26“ถ้าผู้ใดมาหาเรา และไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้กระทั้งชีวิตของตนเองด้วย ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ 27ผู้ใดไม่ได้แบกกางเขนของตนตามเรามา ผู้นั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ 28ด้วยว่าในพวกท่านมีผู้ใดเมื่ออยากจะสร้างป้อม จะไม่นั่งลงคิดราคาดูเสียก่อนว่า จะมีพอสร้างให้สำเร็จได้หรือไม่ 29เกรงว่าเมื่อลงรากแล้ว และกระทำให้สำเร็จไม่ได้ คนทั้งปวงที่เห็นจะเริ่มเยาะเย้ยเขา 30ว่า ‘คนนี้ตั้งต้นก่อ แต่ทำให้สำเร็จไม่ได้’ 31หรือมีแม่ทัพเมืองใดเมื่อจะยกกองทัพไปทำสงครามกับเมืองอื่น จะไม่ได้นั่งลงคิดดูก่อนหรือว่า ที่ตนมีกำลังทหารหมื่นหนึ่งจะสู้กับกองทัพที่ยกมารบสองหมื่นนั้นได้หรือไม่? 32ถ้าสู้ไม่ได้ เมื่อยังอยู่ห่างกันก็จะใช้พวกทูตไปขอเป็นไมตรีกัน 33ก็เช่นนั้นแหละ ผู้ใดในพวกท่านที่ไม่ได้สละสิ่งสารพัดที่ตนมีอยู่ จะเป็นสาวกของเราไม่ได้
34เกลือเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเกลือนั้นหมดรสเค็มไปแล้ว จะทำให้กลับเค็มอีกได้อย่างไร 35จะใช้เป็นปุ๋ยใส่ดินก็ไม่ได้ จะหมักไว้กับกองมูลสัตว์ทำปุ๋ยก็ไม่ได้ แต่เขาก็ทิ้งเสียเท่านั้น ใครมีหู จงฟังเถิด”
1ครั้งนั้นบรรดาคนเก็บภาษี และพวกคนบาปก็เข้ามาใกล้เพื่อจะฟังพระองค์ 2ฝ่ายพวกฟาริสีและพวกคัมภีราจารย์บ่นว่า “คนนี้ต้อนรับคนบาป และอยู่กินด้วยกันกับเขา” 3พระองค์จึงพูดคำอุปมาให้เขาฟังดังต่อไปนี้ว่า 4“ในพวกท่านมีคนใดที่มีแกะร้อยตัว และตัวหนึ่งหายไป จะไม่ปล่อยแกะเก้าสิบเก้าตัวนั้นไว้ที่กลางทุ่งหญ้า และไปเที่ยวหาตัวที่หายไปนั้นจนกว่าจะได้พบหรือ? 5เมื่อพบแล้วเขาก็ยกขึ้นใส่บ่าแบกมาด้วยความเปรมปรีดิ์ 6เมื่อมาถึงบ้านแล้ว จึงเชิญพวกเพื่อนฝูงและเพื่อนบ้านให้มาพร้อมกัน พูดกับเขาว่า ‘จงยินดีกับข้าฯเถิด เพราะข้าฯได้พบแกะของข้าฯที่หายไปนั้นแล้ว’ 7เราบอกท่านทั้งหลายว่า เช่นนั้นแหละ จะมีความปรีดีในสวรรค์เพราะคนบาปคนเดียวที่กลับใจหันหลังจากความผิดบาป มากกว่า เพราะคนบุญเก้าสิบเก้าคนที่ไม่ต้องการกลับใจ”
8“หญิงคนใดที่มีเหรียญเงินสิบเหรียญ และเหรียญหนึ่งหายไป จะไม่จุดตะเกียงกวาดเรือนค้นหาให้ละเอียดจนกว่าจะพบหรือ? 9เมื่อพบแล้ว จึงเชิญเหล่าเพื่อนฝูง และเพื่อนบ้านให้มาพร้อมกัน พูดว่า ‘จงยินดีกับข้าฯเถิด เพราะข้าฯได้พบเหรียญเงินที่หายไปนั้นแล้ว’ 10เช่นนั้นแหละ เราบอกท่านทั้งหลายว่า จะมีความชืนชมยินดีในพวกทูตสวรรค์ของพระเจ้า เพราะคนบาปคนเดียวที่กลับใจหันหลังจากความผิดบาป”
11พระเยซูกล่าวว่า “ชายคนหนึ่งมีลูกชายสองคน 12ลูกคนเล็กพูดกับพ่อว่า ‘พ่อครับ ขอทรัพย์สินเงินทองที่เป็นส่วนของผมเถิด’ พ่อจึงแบ่งสมบัติให้แก่ลูกทั้งสอง 13ต่อมาไม่กี่วัน ลูกคนเล็กนั้นก็รวบรวมทรัพย์เงินทองทั้งหมดแล้วไปเมืองไกล และได้ผลาญทรัพย์สินเงินทองของตนที่นั่นด้วยการเที่ยวเตร่ เป็นนักเลง 14เมื่อใช้ทรัพย์สินเงินทองหมดแล้ว ก็เกิดกันดารอาหารยิ่งนักทั่วเมืองนั้น เขาจึงเริ่มขัดสน 15เขาไปอาศัยอยู่กับชาวเมืองนั้นคนหนึ่ง และคนนั้นก็ใช้เขาไปเลี้ยงหมูที่ทุ่งนา 16เขาอยากจะได้กินอิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกินนั้น แต่ไม่มีใครให้อะไรเขากิน 17เมื่อเขารู้สำนึกตัวแล้วจึงพูดว่า ‘ลูกจ้างของพ่อเรามีมาก ยังมีอาหารกินอิ่มและเหลืออีก ส่วนเราจะมาตายเสียเพราะอดอาหาร 18เราจะลุกขึ้นไปหาพ่อของเรา และพูดกับท่านว่า “พ่อครับ ผมได้ทำผิดต่อสวรรค์ และผิดต่อพ่อด้วย 19ผมไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป ขอพ่อให้ผมเป็นเหมือนลูกจ้างของพ่อคนหนึ่งเถิด”’ 20แล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหาพ่อของตน แต่เมื่อเขายังอยู่แต่ไกล พ่อแลเห็นเขาก็มีความเมตตา จึงวิ่งออกไปกอดคอจุบเขา 21ฝ่ายลูกนั้นจึงพูดกับพ่อว่า ‘พ่อครับ ผมได้ทำผิดต่อสวรรค์ และต่อสายตาของพ่อด้วย ผมไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของพ่ออีกต่อไป’ 22แต่พ่อสั่งคนรับใช้ของตนว่า ‘จงรีบไปเอาเสื้ออย่างดีที่สุดมาสวมให้ลูกข้า และเอาแหวนมาสวมนิ้วมือ กับเอารองเท้ามาสวมให้เขา 23จงเอาลูกวัวอ้วนพีมาฆ่าเลี้ยงกัน เพื่อความรื่นเริงยินดีเถิด 24เพราะว่าลูกของข้าฯคนนี้ตายแล้ว แต่กลับมาอีก หายไปแล้ว แต่ได้พบกันอีก’ เขาทั้งหลายต่างก็เริ่มมีความรื่นเริงยินดี”
25“ฝ่ายลูกชายคนโตนั้นกำลังอยู่ที่ทุ่งนา เมื่อเขากลับมาใกล้บ้านแล้วก็ได้ยินเสียงมโหรี และการเต้นรำ 26เขาจึงเรียกคนรับใช้คนหนึ่งมาถามว่า เขาทำอะไรกัน 27คนรับใช้จึงตอบเขาว่า ‘น้องของท่านกลับมาแล้ว และนายท่านได้ให้ฆ่าลูกวัวอ้วนพี เพราะได้ลูกกลับมาโดยสวัสดิภาพ’ 28ฝ่ายพี่ชายก็โกรธไม่ยอมเข้าไป พ่อจึงออกมาชักชวนเขา 29แต่เขาบอกพ่อว่า ‘พ่อครับ ผมได้รับใช้พ่อมากี่ปีมาแล้ว และไม่ได้ละเมิดคำสั่งของพ่อสักข้อหนึ่งเลย แม้แต่เพียงลูกแพะสักตัวหนึ่งพ่อก็ยังไม่เคยให้ผม เพื่อจะเลี้ยงกันเป็นที่รื่นเริงยินดีกับเพื่อนฝูงของผม 30แต่เมื่อลูกคนนี้ของพ่อ ผู้ได้ผลาญสิ่งเลี้ยงชีพของพ่อโดยคบหญิงโสเภณีมาแล้ว พ่อยังได้ฆ่าลูกวัวอ้วนพีเลี้ยงเขา’ 31พ่อจึงตอบเขาว่า ‘ลูกเอ๋ย เจ้าอยู่กับพ่อเสมอ และสิ่งของทั้งหมดของเราก็เป็นของเจ้า 32แต่สมควรที่เราจะรื่นเริง และยินดี เพราะน้องของเจ้าคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นขึ้นอีก หายไปแล้วแต่ได้พบกันอีก เจ้าควรจะยินดีมิใช่หรือ?’”
1พระเยซูพูดกับเหล่าสาวกของพระองค์อีกว่า “ยังมีเศรษฐีที่มีหัวหน้าคนใช้ในบ้านคนหนึ่ง และมีคนมาฟ้องเศรษฐีว่า หัวหน้าคนใช้ในบ้านคนนั้นผลาญสมบัติของท่านเสีย 2เศรษฐีจึงเรียกหัวหน้าคนใช้ในบ้านคนนั้นมาพูดกับเขาว่า ‘เรื่องราวที่เราได้ยินเกี่ยวกับเจ้านั้นเป็นอย่างไร จงส่งบัญชีหน้าที่หัวหน้าคนใช้ในบ้านของเจ้า เพราะว่าเจ้าจะเป็นหัวหน้าคนใช้ในบ้านต่อไปไม่ได้’ 3หัวหน้าคนใช้ในบ้านคนนั้นคิดในใจว่า ‘เราจะทำอะไรดี เพราะนายจะถอดเราเสียจากหน้าที่หัวหน้าคนใช้ในบ้านต จะขุดดินก็ไม่มีกำลัง จะขอทานก็อายเขา 4เรารู้แล้วว่าจะทำอะไรดี เพื่อเมื่อเราถูกถอดจากหน้าที่หัวหน้าคนใช้ในบ้านแล้ว เขาจะรับเราไว้ในเรือนของเขาได้’ 5หัวหน้าคนใช้ในบ้านคนนั้นจึงเรียกลูกหนี้ของนายมาทุกคน แล้วถามคนแรกว่า ‘เจ้าเป็นหนี้นายของเรากี่มากน้อย’ 6เขาตอบว่า ‘เป็นหนี้น้ำมันร้อยถัง’ หัวหน้าคนใช้ในบ้านจึงบอกเขาว่า ‘เอาบัญชีของเจ้านั่งลงเร็ว ๆ แล้วแก้เป็นห้าสิบถัง’ 7แล้วเขาก็ถามอีกคนหนึ่งว่า ‘เจ้าเป็นหนี้กี่มากน้อย’ เขาตอบว่า ‘เป็นหนี้ข้าวสาลีร้อยกระสอบ’ หัวหน้าคนใช้ในบ้านจึงบอกเขาว่า ‘จงเอาบัญชีของเจ้ามาแก้เป็นแปดสิบ’ 8แล้วเศรษฐีก็ชมหัวหน้าคนใช้ในบ้านที่ไม่สัตย์ซื่อนั้น เพราะเขาได้ทำโดยความฉลาด ด้วยว่าลูกทั้งหลายของโลกนี้ ตามกาลสมัยเดียวกัน เขาใช้สติปัญญาฉลาดกว่าลูกของความสว่างอีก 9เราบอกท่านทั้งหลายว่า จงกระทำตัวให้มีเพื่อนฝูงด้วยทรัพย์สมบัติฝ่ายโลก เพื่อเมื่อท่านพลาดไป เขาทั้งหลายจะได้ต้อนรับท่านไว้ในที่อาศัยอันถาวรเป็นนิตย์ 10คนที่สัตย์ซื่อในของเล็กน้อยที่สุดจะสัตย์ซื่อในของมากด้วย และคนที่ไม่สัตย์ซื่อในของเล็กน้อยที่สุด จะไม่สัตย์ซื่อในของมากเช่นกัน 11เหตุฉะนั้น ถ้าท่านทั้งหลายไม่สัตย์ซื่อในทรัพย์สมบัติฝายโลก ใครจะมอบทรัพย์สมบัติอันแท้ให้แก่ท่านเล่า 12และถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้สัตย์ซื่อในของของคนอื่น ใครจะมอบทรัพย์อันแท้ให้เป็นของของท่านเล่า 13ไม่มีคนรับใช้ผู้ใดจะปรนนิบัตินายสองนายได้ เพราะว่าจะชังนายข้างหนึ่ง และจะรักนายอีกข้างหนึ่งหรือจะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านจะปรนนิบัติพระเจ้าและจะปรนนิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้”
14ฝ่ายพวกฟาริสีที่มีใจรักลุ่มหลงในเงิน เมื่อได้ยินคำเหล่านั้นแล้วจึงเยาะเย้ยพระองค์ 15แต่พระองค์กล่าวแก่เขาว่า “พวกเจ้าทั้งหลายเป็นผู้ที่ทำทีดูเป็นคนชอบธรรมต่อหน้ามนุษย์ แต่พระเจ้าล่วงรู้จิตใจของพวกเจ้าทั้งหลาย ด้วยว่าซึ่งเป็นที่นับถือมากท่ามกลางมนุษย์ ก็ยังเป็นที่สะอิดสะเอียนในสายตาของพระเจ้า 16มีธรรมบัญญัติและศาสดาพยากรณ์มาจนถึงยอห์น ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ประกาศเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และคนทั้งปวงก็ชิงกันเข้าไปในอาณาจักรนั้น 17ฟ้าและดินจะล่วงไปก็ง่ายกว่าที่ธรรมบัญญัติสักจุดหนึ่งจะขาดตกไป
18ผู้ใดหย่าภรรยาของตน แล้วไปมีภรรยาใหม่ก็ผิดประเวณี และผู้ใดรับหญิงที่สามีได้หย่าแล้ว มาเป็นภรรยาของตนก็ผิดประเวณีด้วย
19ยังมีเศรษฐีคนหนึ่งนุ่งห่มผ้าสีม่วง และผ้าป่านเนื้อละเอียด รับประทานอาหารอย่างประณีตทุกวัน ๆ 20และมีคนขอทานคนหนึ่งชื่อลาซารัส เป็นแผลทั้งตัว นอนอยู่ที่ประตูรั้วบ้านของเศรษฐี 21และเขาใคร่จะกินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของเศรษฐีนั้น แม้สุนัขก็มาเลียแผลของเขา 22อยู่มาคนขอทานนั้นตายและเหล่าทูตสวรรค์ได้นำเขาไปไว้ที่อกของอับราฮัม ฝ่ายเศรษฐีนั้นก็ตายด้วย และเขาก็ฝังไว้ 23แล้วเมื่ออยู่ในนรกเป็นทุกข์ทรมานยิ่งนัก เศรษฐีนั้นจึงแหงนดูเห็นอับราฮัมอยู่แต่ไกล และลาซารัสอยู่ที่อกของท่าน 24เศรษฐีจึงร้องว่า ‘ท่านอับราฮัมขอรับ ขอเอ็นดูผมด้วยเถิด ขอใช้ให้ลาซารัสมาเพื่อจะเอาปลายนิ้วจุ่มน้ำมาแตะลิ้นของผมให้เย็น ด้วยว่าผมตรากตรำทุกข์ทรมานอยู่ในเปลวไฟนี้’ 25แต่อับราฮัมตอบว่า ‘ลูกเอ๋ย เจ้าจงระลึกว่าเมื่อเจ้ายังมีชีวิตอยู่ เจ้าได้ของดีสำหรับตัว และลาซารัสได้ของเลว แต่เดี๋ยวนี้เขาได้รับการปลอบประโลม แต่เจ้าได้รับความทุกข์ทรมาน 26นอกจากนั้น ระหว่างพวกเรากับพวกเจ้ามีเหวใหญ่ตั้งขวางอยู่ เพื่อว่าถ้าผู้ใดปรารถนาจะข้ามไปจากที่นี่ถึงเจ้าก็ไม่ได้ หรือถ้าจะข้ามจากที่นั่นมาถึงเราก็ไม่ได้’ 27เศรษฐีนั้นจึงว่า ‘ท่านอับราฮัมขอรับ ถ้าอย่างนั้นขอท่านใช้ลาซารัสไปยังบ้านพ่อของผม 28เพราะว่าผมมีพี่น้องห้าคน ให้ลาซารัสเป็นพยานแก่เขา เพื่อมิให้เขามาถึงที่ทรมานนี้’ 29แต่อับราฮัมตอบเขาว่า ‘เขามีโมเสส และพวกศาสดาพยากรณ์นั้นแล้ว ให้เขาฟังคนเหล่านั้นเถิด’ 30เศรษฐีนั้นจึงว่า ‘ไม่ได้ ท่านอับราฮัมขอรับ แต่ถ้าคนหนึ่งจากหมู่คนตายไปหาเขา เขาจะกลับใจหันจากความผิดบาป’ 31อับราฮัมจึงตอบเขาว่า ‘ถ้าเขาไม่ฟังโมเสส และพวกศาสดาพยากรณ์ แม้คนหนึ่งจะเป็นขึ้นมาจากความตาย เขาก็จะยังไม่เชื่อหรอก’”
1พระเยซูพูดกับเหล่าสาวกอีกว่า “จำเป็นต้องมีเหตุให้หลงผิด แต่วิบัติแก่ผู้ที่ก่อเหตุให้เกิดความหลงผิดนั้น 2ถ้าเอาหินโม่แป้งผูกคอคนนั้นถ่วงเสียที่ทะเล ก็ดีกว่าให้เขานำผู้เล็กน้อยเหล่านี้คนหนึ่งให้หลงผิด 3จงระวังตัวให้ดี ถ้าพี่น้องทำการละเมิดต่อพวกเจ้า จงเตือนเขา และถ้าเขากลับใจแล้ว จงยกโทษให้เขา 4แม้เขาจะทำการละเมิดต่อพวกเจ้า วันหนึ่งเจ็ดหน และจะกลับมาหาพวกเจ้าทั้งเจ็ดหนในวันเดียวนั้น แล้วว่า ‘ฉันกลับใจแล้ว’ จงยกโทษให้เขาเถิด”
5ฝ่ายอัครทูตบอกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “ขอให้อาจารย์โปรดให้ความเชื่อของพวกผมมากยิ่งขึ้นด้วยครับ” 6พระเจ้าผู้เป็นนายจึงพูดว่า “ถ้าพวกเจ้า มีความเชื่อเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่ง พวกเจ้า ก็จะสั่งต้นหม่อนนี้ได้ว่า ‘จงถอนขึ้นออกไปปักในทะเล’ และมันจะเชื่อฟังพวกเจ้า”
7“ในพวกเจ้ามีคนใดที่มีคนรับใช้ไถนาหรือเลี้ยงแกะ เมื่อผู้คนรับใช้คนนั้นกลับมาจากทุ่งนาจะบอกเขาทีเดียวว่า ‘เชิญนั่งลงรับประทานเถิด’ 8หรือจะไม่บอกเขาว่า ‘จงหาให้เรารับประทานและคาดเอวไว้ปรนนิบัติเรา จนเราจะกินและดื่มอิ่มแล้ว และภายหลังเจ้าจงค่อยกินและดื่มเถิด’ 9นายจะขอบใจคนรับใช้นั้นเพราะคนรับใช้ได้ทำตามคำสั่งหรือ? เราคิดว่าไม่ 10ฉันใดก็ดี เมื่อพวกเจ้าทั้งหลายได้ทำสิ่งสารพัดซึ่งพระเจ้าได้สั่งท่านนั้น ก็จงพูดด้วยว่า ‘ข้าฯทั้งหลายเป็นคนรับใช้ที่ไม่มีบุญคุณต่อนาย ข่าฯได้ทำตามหน้าที่ซึ่งข้าฯควรทำเท่านั้น’”
11ต่อมาเมื่อพระองค์กำลังเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์จึงเดินเลียบไประหว่างมณฑลสะมาเรีย และกาลิลี 12เมื่อพระองค์เข้าไปในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง มีคนเป็นโรคเรื้อนสิบคนมาพบพระองค์ยืนอยู่แต่ไกล 13และส่งเสียงร้องว่า “อาจารย์ครับ ได้โปรดเมตตาพวกผมด้วย” 14เมื่อพระองค์เห็นแล้วจึงพูดกับเขาว่า “จงไปแสดงตัวแก่พวกปุโรหิตเถิด” ต่อมาเมื่อกำลังเดินไป เขาทั้งหลายก็หายสะอาด 15ฝ่ายคนหนึ่งในพวกนั้น เมื่อเห็นว่าตัวหายโรคแล้ว จึงกลับมาสรรเสริญพระเจ้าด้วยเสียงดัง 16และกราบลงแทบเท้าของพระองค์ ขอบพระคุณพระองค์ คนนั้นเป็นชาวสะมาเรีย 17ฝ่ายพระเยซูพูดว่า “มีสิบคนหายสะอาดมิใช่หรือ? แต่เก้าคนนั้นอยู่ที่ไหน? 18ไม่เห็นผู้ใดกลับมาสรรเสริญพระเจ้า เว้นไว้แต่คนต่างชาติคนนี้” 19แล้วพระองค์พูดกับคนนั้นว่า “จงลุกขึ้นไปเถิด ความเชื่อของเจ้าได้กระทำให้ตัวเจ้าหายปกติ”
20เมื่อพวกฟาริสีถามพระองค์ว่า อาณาจักรของพระเจ้าจะมาถึงเมื่อไหร่ พระองค์ตอบเขาว่า “อาณาจักรของพระเจ้าไม่มาโดยให้เป็นที่สังเกตได้ 21และเขาจะไม่พูดว่า มาดูนี่ หรือ ไปดูโน่น เพราะ ดูเถิด อาณาจักรของพระเจ้าอยู่ภายในท่านทั้งหลาย”
22พระองค์พูดกับเหล่าสาวกว่า “วันนั้นจะมาถึงเมื่อพวกเจ้าทั้งหลายอยากจะเห็นวันของบุตรมนุษย์สักวันหนึ่ง แต่จะไม่เห็น 23เขาจะพูดกับพวกเจ้าทั้งหลายว่า มาดูนี่ หรือ ไปดูโน่น อย่าออกไป อย่าตามเขา 24ด้วยว่าเปรียบเหมือนฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง บุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้นแหละในวันของพระองค์ 25ก่อนนั้นจำเป็นที่พระองค์จะต้องทนทุกข์ทรมานหลายประการ และคนยุคนี้จะปฏิเสธพระองค์ 26ในสมัยของโนอาห์เหตุการณ์ได้เป็นมาแล้วอย่างไร? ในสมัยของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นไปอย่างนั้นด้วย 27เขาได้กินและดื่ม ได้สมรสกันและได้ยกให้เป็นสามีภรรยากัน จนถึงวันนั้นที่โนอาห์ได้เข้าในนาวา และน้ำได้มาท่วมล้างผลาญเขาเสียทั้งสิ้น 28ในสมัยของโลทก็เหมือนกัน เขาได้กินดื่ม ซื้อขาย หว่านปลูก ก่อสร้าง 29แต่ในวันนั้นที่โลทออกไปจากเมืองโสโดม ไฟและกำมะถันได้ตกจากฟ้ามาเผาผลาญเขาเสียทั้งสิ้น 30ในวันที่บุตรมนุษย์จะมาปรากฏก็เป็นเหมือนอย่างนั้น 31ในวันนั้นคนที่อยู่บนดาดฟ้าหลังคาบ้าน และของของเขาอยู่ในบ้าน อย่าให้เขาลงมาเก็บของนั้นไป และคนที่อยู่ตามทุ่งนา อย่าให้เขากลับมาเหมือนกัน 32จงระลึกถึงภรรยาของโลทนั้นเถิด 33ผู้ใดอุตส่าห์เอาชีวิตของตนรอด ผู้นั้นจะเสียชีวิต แต่ผู้ใดจะสู้เสียชีวิต ผู้นั้นจะได้ชีวิตรอด 34เราบอกท่านทั้งหลายว่า ในคืนวันนั้นจะมีชายสองคนนอนในที่นอนอันเดียวกัน จะรับคนหนึ่ง จะละคนหนึ่ง 35ผู้หญิงสองคนจะโม่แป้งด้วยกัน จะรับคนหนึ่ง จะละคนหนึ่ง 36ชายสองคนจะอยู่ในทุ่งนา จะรับคนหนึ่ง จะละคนหนึ่ง” 37เขาจึงถามพระองค์ว่า “จะเกิดขึ้นที่ไหนครับอาจารย์” พระองค์ตอบเขาว่า “ซากศพอยู่ที่ไหน ฝูงอีแร้งจะตอมกันอยู่ที่นั่น”
1พระองค์ได้พูดคำอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาฟังเพื่อสอนว่า คนทั้งหลายควรอธิษฐานสวดอ้อนวอนอยู่เสมอ ไม่อ่อนระอาใจ 2พระองค์กล่าวว่า “ในเมือง ๆ หนึ่งมีผู้พิพากษาคนหนึ่ง ที่ไม่ได้เกรงกลัวพระเจ้า และไม่ได้เห็นแก่มนุษย์ 3ในเมืองนั้นนั้นมีหญิงม่ายคนหนึ่งมาหาผู้พิพากษาผู้นั้นพูดว่า ‘ขอแก้แค้นศัตรูของข้าฯให้ข้าฯเถิด’ 4ฝ่ายผู้พิพากษานั้นไม่ยอมทำจนช้านาน แต่ภายหลังเขานึกในใจว่า ‘แม้ว่าเราไม่เกรงกลัวพระเจ้า และไม่เห็นแก่มนุษย์ 5แต่เพราะแม่ม่ายคนนี้มากวนเราให้ลำบาก เราจะแก้แค้นให้เขา เพื่อไม่ให้นางมารบกวนบ่อย ๆ ทำให้เรารำคาญใจ’” 6และพระเจ้าผู้เป็นนายกล่าวว่า “จงฟังคำที่ผู้พิพากษาที่ไม่ยุติธรรมนี้ได้พูด 7พระเจ้าจะไม่แก้แค้นให้คนที่พระองค์ได้เลือกไว้ ผู้ร้องถึงพระองค์ทั้งกลางวันกลางคืนหรือ? พระองค์จะอดใจไว้ช้านานหรือ? 8เราบอกท่านทั้งหลายว่า พระองค์จะแก้แค้นให้เขาโดยเร็ว แต่เมื่อบุตรมนุษย์มา ท่านจะพบความเชื่อในแผ่นดินโลกหรือ?”
9สำหรับบางคนที่ไว้ใจในตัวเองว่าเป็นคนบุญ และได้ดูถูกคนอื่นนั้น พระองค์ได้กล่าวเป็นคำอุปมานี้ว่า 10“มีชายสองคนขึ้นไปอธิษฐานสวดอ้อนวอนในพระวิหาร คนหนึ่งเป็นพวกฟาริสี และคนหนึ่งเป็นพวกเก็บภาษี 11คนฟาริสีนั้นยืนนึกในใจของตนอธิษฐานสวดอ้อนวอนว่า ‘สาธุพระเจ้า ข้าฯขอบพระคุณพระองค์ ที่ข้าฯไม่เหมือนคนอื่นซึ่งเป็นคนฉ้อโกง คนชั่วช้า และ คนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้ 12ในสัปดาห์หนึ่งข้าฯถือศีลอดสองหน และของสารพัดซึ่งข้าฯหาได้ ข้าฯได้เอาสิบเปอร์เซ็นต์มาถวาย’ 13ฝ่ายคนเก็บภาษีนั้นยืนอยู่แต่ไกล ไม่แหงนดูฟ้า แต่ตีอกของตนว่า ‘สาธุพระเจ้า ขอโปรดพระเมตตาแก่ข้าฯผู้เป็นคนบาป ที่อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชาด้วยเถิด’ 14เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนนี้แหละเมื่อกลับลงไปยังบ้านของตนก็นับเป็นคนบุญยิ่งกว่าอีกคนหนึ่งนั้น เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ได้ถ่อมตัวลงจะต้องถูกยกขึ้น”
15แล้วเขาอุ้มเด็กทารกมาหาพระองค์ เพื่อจะให้พระองค์ถูกต้องเด็กทารกนั้น แต่เหล่าสาวกเมื่อเห็นเข้าก็ห้ามเขา 16แต่พระเยซูเรียกเขามา แล้วพูดว่า “จงยอมให้เด็กเล็ก ๆ เข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาเลย เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าย่อมเป็นของคนเช่นเด็กเหล่านั้น 17เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้หนึ่งผู้ใดไม่ได้รับอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเด็กเล็ก ๆ ผู้นั้นจะเข้าในอาณาจักรนั้นไม่ได้”
18มีสมาชิกสภาศาสนาคนหนึ่งถามพระองค์ว่า “ท่านอาจารย์ผู้ประเสริฐ ผมจะทำประการใดจึงจะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพานเป็นมรดก” 19พระเยซูถามคนนั้นว่า “ท่านเรียกเราว่าประเสริฐทำไม ไม่มีใครประเสริฐเว้นแต่พระเจ้าองค์เดียว 20ท่านรู้จักบัญญัติหรือศีลแล้ว ซึ่งกล่าว ว่า ‘อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าฆ่าคน อย่าลักทรัพย์ อย่าเป็นพยานเท็จ จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของตน’” 21สมาชิกสภาศาสนาคนนั้นจึงกล่าวว่า “ข้อเหล่านี้ผมได้ถือรักษาไว้ตั้งแต่เป็นเด็ก ๆ มา” 22เมื่อพระเยซูได้ยินอย่างนั้นพระองค์กล่าวแก่เขาว่า “ท่านยังขาดสิ่งหนึ่ง จงไปขายบรรดาสิ่งของซึ่งท่านมีอยู่ และแจกจ่ายให้คนยากคนจน ท่านจึงจะมีทรัพย์สมบัติในสวรรค์ แล้วจงตามเรามา” 23แต่เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้นก็เป็นทุกข์นัก เพราะเขาเป็นคนร่ำรวยมาก 24เมื่อพระเยซูเห็นเขาเป็นทุกข์นัก พระองค์จึงกล่าวว่า “คนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าก็ยากจริงหนา 25เพราะว่าตัวอูฐจะรอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า” 26ฝ่ายคนทั้งหลายที่ได้ยินจึงว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะหลุดพ้นได้” 27แต่พระองค์กล่าวว่า “สิ่งที่มนุษย์ทำไม่ได้ พระเจ้าทำได้” 28เปโตรจึงพูดว่า “อาจารย์ครับ พวกผมได้สละทิ้งสิ่งสารพัด ติดตามอาจารย์มา” 29พระองค์จึงพูดกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดได้สละเรือน หรือบิดามารดา หรือพี่น้อง หรือภรรยา หรือบุตร เพราะเห็นแก่อาณาจักรของพระเจ้า 30ในเวลานี้ผู้นั้นจะได้รับตอบแทนหลายเท่า และในโลกหน้าจะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน”
31พระองค์พาสาวกสิบสองคนไปกับพระองค์ แล้วพูดกับเขาว่า “ดูเถิด เราทั้งหลายจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และสิ่งสารพัดซึ่งเหล่าศาสดาพยากรณ์ได้เขียนไว้ว่าด้วยบุตรมนุษย์นั้นจะสำเร็จ 32ด้วยว่าบุตรมนุษย์นั้นจะต้องถูกมอบไว้กับคนต่างชาติ และเขาจะเยาะเย้ยท่าน กระทำหยาบคายแก่ท่าน ถ่มน้ำลายรดท่าน 33เขาจะโบยตีและฆ่าท่านเสีย แล้วในวันที่สามท่านจะเป็นขึ้นมาใหม่” 34ฝ่ายเหล่าสาวกไม่ได้เข้าใจในสิ่งเหล่านั้นเลย และคำนั้นก็ถูกซ่อนไว้จากเขา และเขาไม่รู้เนื้อความซึ่งพระองค์กล่าวนั้น
35ต่อมาเมื่อพระองค์เดินทางมาใกล้เมืองเยรีโค มีคนตาบอดคนหนึ่งนั่งขอทานอยู่ริมหนทาง 36เมื่อเขาได้ยินเสียงประชาชนเดินผ่านไป จึงถามว่าเรื่องอะไรกัน 37คนพวกนั้นจึงบอกเขาว่า เยซูชาวนาซาเร็ธเดินผ่านไป 38คนตาบอดนั้นจึงร้องว่า “ท่านเยซู โอรสของดาวิดขอรับ ขอโปรดเมตตาผมด้วยเถิด” 39คนที่เดินไปข้างหน้านั้นจึงห้ามเขาให้นิ่ง แต่เขายิ่งร้องขึ้นว่า “โอรสของดาวิดขอรับ ขอได้เมตตาผมด้วยเถิด” 40พระเยซูยืนอยู่สั่งให้พาคนตาบอดมาหาพระองค์ เมื่อเขามาใกล้แล้ว พระองค์ถามเขา 41ว่า “เจ้าอยากจะให้เราทำอะไรให้เจ้า” เขาบอกว่า “อาจารย์ขอรับ ขอได้โปรดให้ผมมองเห็นได้” 42พระเยซูพูดกับเขาว่า “จงมองเห็นเถิด ความเชื่อของเจ้าได้ทำให้เจ้าหายเป็นปกติ” 43ในทันใดนั้นเขาก็มองเห็นได้ และติดตามพระองค์ไป พลางถวายเกียรติแด่พระเจ้า และเมื่อคนทั้งปวงได้เห็นเช่นนั้นก็สรรเสริญพระเจ้า
1ฝ่ายพระเยซูจึงเดินทางเข้าในเมืองเยรีโค และกำลังจะผ่านไป 2ดูเถิด มีชายคนหนึ่งชื่อศักเคียส ผู้ซึ่งเป็นคนเก็บภาษี และเป็นคนร่ำรวย 3ศักเคียสพยายามจะดูให้เห็นว่าพระเยซูเป็นผู้ใด แต่ดูไม่เห็นเพราะคนแน่น และเขาเป็นคนตัวเตี้ย 4เขาจึงวิ่งไปข้างหน้าขึ้นต้นมะเดื่อเพื่อจะได้เห็นพระองค์ เพราะว่าพระองค์จะเดินไปทางนั้น 5เมื่อพระเยซูมาถึงที่นั่น พระองค์แหงหน้าดูศักเคียสแล้วพูดกับเขาว่า “ศักเคียสเอ๋ย จงรีบลงมา เพราะว่าเราจะพักอยู่ในบ้านของเจ้าวันนี้” 6แล้วเขาก็รีบลงมาต้อนรับพระองค์ด้วยความยินดี 7เมื่อคนทั้งปวงเห็นแล้วเขาก็พากันบ่นว่า “ท่านอาจารย์เข้าไปพักอยู่กับคนบาป” 8ฝ่ายศักเคียสยืนบอกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า “อาจารย์ครับ ทรัพย์สิ่งของของผม ผมยอมให้คนยากคนจนครึ่งหนึ่ง และถ้าผมได้ฉ้อโกงของของผู้ใด ผมยอมคืนให้เขาสี่เท่า” 9พระเยซูพูดกับเขาว่า “วันนี้ความหลุดพ้นมาถึงครอบครัวนี้แล้ว เพราะคนนี้เป็นลูกของอับราฮัมด้วย 10เพราะว่าบุตรมนุษย์ได้มาเพื่อจะแสวงหาและช่วยผู้ที่หลงหายไปนั้นให้หลุดพ้น”
11เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินเหตุการณ์นั้น พระองค์ได้พูดเป็นคำอุปมาเรื่องหนึ่งให้เขาฟังต่อไป เพราะพระองค์เดินทางมาใกล้กรุงเยรูซาเล็มแล้ว และเพราะเขาทั้งหลายคิดว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะปรากฏโดยพลัน 12เหตุฉะนั้นพระองค์จึงกล่าวว่า “มีเจ้าชายองค์หนึ่งจะเดินทางไปเมืองไกล เพื่อจะรับอำนาจมาครองอาณาจักร แล้วจะกลับมา 13ท่านจึงเรียกคนรับใช้สิบคนมา มอบเงินไว้แก่เขาสิบมินา สั่งเขาว่า ‘จงเอาไปค้าขายจนเราจะกลับมา’ 14แต่ชาวเมืองชังท่านผู้นั้น จึงใช้คณะทูตตามไปทูลท่านว่า ‘เราไม่ต้องการให้ผู้นี้ครอบครองเรา’ 15ต่อมาเมื่อท่านได้รับอำนาจครองอาณาจักรกลับมาแล้ว ท่านจึงสั่งให้เรียกคนรับใช้ทั้งหลายที่ท่านได้ให้เงินไว้นั้นมา เพื่อจะได้รู้ว่าเขาทุกคนค้าขายได้กำไรกี่มากน้อย 16ฝ่ายคนแรกมาบอกว่า ‘นายครับ เงินมินาหนึ่งของท่านได้กำไรสิบมินา’ 17ท่านจึงพูดกับเขาว่า ‘ดีแล้ว เจ้าเป็นคนรับใช้ที่ดี เพราะเจ้าสัตย์ซื่อในของเล็กน้อย เจ้าจงมีอำนาจครอบครองสิบเมืองเถิด’
18คนที่สองมาบอกว่า ‘นายครับ เงินมินาหนึ่งของท่านได้กำไรห้ามินา’ 19ท่านจึงพูดกับเขาเหมือนกันว่า ‘เจ้าจงครอบครองห้าเมืองเถิด’ 20อีกคนหนึ่งมาบอกว่า ‘นายครับ ดูเถิด นี่เงินมินาหนึ่งของท่าน ซึ่งข้าฯได้เอาผ้าห่อเก็บไว้ 21เพราะข้าฯกลัวท่าน ด้วยว่าท่านเป็นคนเข้มงวด ท่านเก็บผลซึ่งท่านไม่ได้ลงแรง และเกี่ยวที่ท่านไม่ได้หว่าน’ 22ท่านจึงตอบเขาว่า ‘เจ้าคนรับใช้ชาติชั่ว เราจะปรับโทษเจ้าโดยคำของเจ้าเอง เจ้าก็รู้หรือว่าเราเป็นคนเข้มงวด เก็บผลซึ่งเราไม่ได้ลงแรง และเกี่ยวที่เราไม่ได้หว่าน 23ก็เหตุไฉนเจ้าไม่ได้ฝากเงินของเราไว้ที่ธนาคารเล่า เมื่อเรามาจะได้รับเงินของเรากับดอกเบี้ยด้วย’
24แล้วท่านสั่งคนที่ยืนอยู่ที่นั่นว่า ‘จงเอาเงินมินาหนึ่งนั้นไปจากเขา ให้แก่คนที่มีสิบมินา’ 25(คนเหล่านั้นบอกท่านว่า ‘นายครับ เขามีสิบมินาแล้ว’) 26‘เราบอกเจ้าทั้งหลายว่า ทุกคนที่มีอยู่แล้วจะเพิ่มเติมให้เขาอีก แต่ผู้ที่ไม่มีแม้ว่าซึ่งเขามีอยู่นั้นจะต้องเอาไปจากเขา 27ฝ่ายพวกศัตรูของเราที่ไม่ต้องการให้เราครอบครองเขานั้น จงพาเขามาที่นี่และฆ่าเสียต่อหน้าเรา’”
28เมื่อพระองค์กล่าวคำเหล่านั้นแล้ว พระองค์เดินนำหน้าเขาไปจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 29ต่อมาเมื่อพระองค์เดินทางมาใกล้หมู่บ้านเบธฟายี และหมู่บ้านเบธานีบนภูเขาซึ่งเรียกว่า มะกอกเทศ พระองค์ใช้สาวกสองคนของพระองค์ไป 30สั่งว่า “จงเข้าไปในหมู่บ้านที่อยู่ตรงหน้า เมื่อเข้าไปแล้วจะพบลูกลาตัวหนึ่งผูกอยู่ ที่ยังไม่เคยมีใครขึ้นขี่เลย จงแก้มันจูงมาเถิด 31ถ้ามีผู้ใดถามเจ้าว่า เจ้าแก้มันทำไม จงบอกเขาว่า เพราะพระเจ้าผู้เป็นนายอยากได้ลูกลาตัวนี้” 32สาวกที่รับใช้นั้นได้ไปพบเหมือนที่พระองค์บอกแก่เขาแล้ว 33เมื่อเขากำลังแก้ลูกลานั้น พวกเจ้าของก็ถามเขาว่า “เจ้าแก้ลูกลาทำไม?” 34ฝ่ายเขาตอบว่า “พระเจ้าผู้เป็นนายอยากได้ลูกลาตัวนี้” 35แล้วเขาก็จูงลูกลามาถึงพระเยซู และเอาเสื้อของตนปูลงบนหลังลา และเชิญพระเยซูขึ้นขี่ลานั้น 36เมื่อพระองค์เดินทางไป เขาทั้งหลายก็เอาเสื้อผ้าของตนปูลงตามหนทาง 37เมื่อพระองค์มาใกล้ที่ซึ่งจะลงไปจากภูเขามะกอกเทศแล้ว เหล่าสาวกทุกคนมีความเปรมปรีดิ์เพราะบรรดากิจกรรมซึ่งเขาได้เห็นนั้น จึงเริ่มสรรเสริญพระเจ้าเสียงดัง 38ว่า “ขอให้พระราชาผู้ที่มาในนามของพระเจ้าผู้เป็นนายทรงพระเจริญ จงมีสันติภาพและสันติสุขในสวรรค์ และสง่าราศีในที่สูงสุด” 39ฝ่ายฟาริสีบางคนในหมู่ประชาชนนั้นบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ จงห้ามเหล่าสาวกของอาจารย์หน่อย” 40พระองค์ตอบเขาว่า “เราบอกท่านทั้งหลายว่า ถึงคนเหล่านี้จะนิ่งเสีย ศิลาทั้งหลายก็ยังจะส่งเสียงร้องทันที”
41ครั้นพระองค์เดินทางเข้ามาใกล้มองเห็นกรุงแล้ว ก็ร้องไห้สงสารกรุงนั้น 42กล่าวว่า “ถ้าเจ้า คือเจ้าเอง รู้ในกาลวันนี้ว่า สิ่งอะไรจะให้สันติภาพและสันติสุข แต่เดี๋ยวนี้สิ่งนั้นบังซ่อนไว้จากตาของเจ้าแล้ว 43ด้วยว่าเวลาจะมาถึงเจ้า เมื่อศัตรูของเจ้าจะก่อเชิงเทินต่อสู้เจ้า และล้อมขังเจ้าไว้ทุกด้าน 44แล้วจะเหวี่ยงเจ้าลงให้ราบบนพื้นดิน กับลูกทั้งหลายของเจ้าซึ่งอยู่ในเจ้า และเขาจะไม่ปล่อยให้ศิลาซ้อนทับกันไว้ภายในเจ้าเลย เพราะเจ้าไม่ได้รู้เวลาที่พระองค์เสด็จมาเยี่ยมเจ้า”
45ฝ่ายพระองค์ได้เข้าในพระวิหาร แล้วเริ่มขับไล่คนทั้งหลายที่ซื้อขายอยู่นั้น 46บอกเขาทั้งหลายว่า “มีพระคำเขียนไว้ว่า ‘วิหารของเราเป็นวิหารสำหรับอธิษฐานสวดอ้อนวอน’ แต่พวกเจ้าทั้งหลายมากระทำให้เป็น ‘ถ้ำของพวกโจร’” 47พระองค์สั่งสอนในพระวิหารทุกวัน แต่พวกมหาปุโรหิต พวกคัมภีราจารย์ และคนสำคัญของพลเมืองได้หาช่องที่จะประหารพระองค์เสีย 48แต่เขาไม่พบช่องทางที่จะกระทำอะไรได้ เพราะว่าคนทั้งปวงชอบฟังพระองค์มาก
1ต่อมาวันหนึ่งเมื่อพระองค์กำลังสั่งสอนคนทั้งปวงในพระวิหารและประกาศบารมีของพระเจ้า พวกมหาปุโรหิต พวกคัมภีราจารย์ และพวกผู้อาวุโสมาพบพระองค์ 2และพูดกับพระองค์ว่า “จงบอกพวกเราเถิด เจ้าทำการเหล่านี้โดยสิทธิอันใด หรือใครให้สิทธินี้แก่เจ้า” 3พระองค์ตอบเขาว่า “เราจะถามท่านทั้งหลายสักข้อหนึ่งด้วย จงตอบเราเถิด 4คือพิธีมุดน้ำของยอห์นนั้นมาจากสวรรค์หรือมาจากมนุษย์” 5เขาจึงปรึกษากันว่า “ถ้าเราจะว่า ‘มาจากสวรรค์’ เขาจะถามว่า ‘เหตุไฉนเจ้าจึงไม่เชื่อยอห์นเล่า’ 6แต่ถ้าเราจะว่า ‘มาจากมนุษย์’ คนทั้งปวงก็จะเอาหินขว้างเรา เพราะเขาทั้งหลายถือกันว่ายอห์นเป็นศาสดาพยากรณ์” 7เขาจึงตอบว่าเขาไม่ทราบว่ามาจากไหน? 8พระเยซูจึงกับเขาว่า “เราจะไม่บอกท่านทั้งหลายเหมือนกันว่า เรากระทำการเหล่านี้โดยสิทธิอันใด”
9แล้วพระองค์ตั้งต้นสอนเป็นคำอุปมาให้คนทั้งหลายฟังดังต่อไปนี้ว่า “ยังมีชายคนหนึ่งได้ทำสวนองุ่น และให้ชาวสวนเช่า แล้วก็เดินทางไปเมืองไกลเสียช้านาน 10เมื่อถึงเวลาแล้วจึงใช้คนรับใช้คนหนึ่งไปหาคนเช่าสวนเหล่านั้น เพื่อเขาทั้งหลายจะได้มอบผลจากสวนองุ่นแก่เขาบ้าง แต่คนเช่าสวนนั้นได้เฆี่ยนตีคนรับใช้คนนั้นและไล่ให้กลับไปมือเปล่า 11แล้วเจ้าของสวนจึงใช้คนรับใช้อีกคนหนึ่ง แต่คนเช่าสวนได้เฆี่ยนตีและทำการน่าอัปยศต่าง ๆ แก่คนรับใช้นั้นด้วย และได้ไล่ให้กลับไปมือเปล่า 12แล้วเจ้าของสวนจึงใช้คนที่สามไปและคนเช่าสวนนั้นก็ทำให้เขาบาดเจ็บ แล้วผลักไสออกไป 13ฝ่ายเจ้าของสวนองุ่นจึงว่า ‘เราจะทำอย่างไรดี เราจะใช้บลูกชายที่รักของเราไป เมื่อเห็นลูกชายคนนั้นพวกเขาคงจะเคารพนับถือ’ 14แต่พวกคนเช่าสวนเมื่อเห็นลูกชายคนนั้นก็ปรึกษากันว่า ‘คนนี้แหละเป็นทายาท มาเถิด ให้เราฆ่ามันเสีย เพื่อมรดกจะตกแก่เรา’ 15แล้วเขาก็ผลักลูกชายคนนั้นออกไปนอกสวนองุ่นฆ่าเสีย เหตุฉะนั้นเจ้าของสวนองุ่นจะทำอย่างไรกับเขาเหล่านั้น 16ท่านจะมาฆ่าคนเช่าสวนเหล่านั้นเสีย แล้วจะเอาสวนองุ่นนั้นให้ผู้อื่นเช่า” คนทั้งหลายเมื่อได้ยินดังนั้นจึงว่า “ขอพระเจ้าอย่ายอมให้เป็นเช่นนั้นเลย” 17ฝ่ายพระเยซูจ้องมองดูเขาและพูดว่า “เหตุฉะนั้นพระคำของพระเจ้าซึ่งเขียนไว้นั้นหมายความอย่างไรกัน ซึ่งว่า ‘ศิลาซึ่งช่างก่อได้ปฏิเสธเสีย ได้กลับกลายเป็นศิลามุมเอกแล้ว’ 18ผู้ใดล้มทับศิลานั้น ผู้นั้นจะต้องแตกหักไป แต่ศิลานั้นจะตกทับผู้ใด ก็จะบดขยี้ผู้นั้นจนแหลกเป็นผุยผง”
19ฝ่ายพวกปุโรหิตใหญ่และพวกคัมภีราจารย์รู้อยู่ว่า พระองค์ได้กล่าวคำอุปมานั้นกระทบพวกเขาเอง จึงอยากจะจับพระองค์ในเวลานั้นแต่เขากลัวประชาชน 20เขาจึงตามดูพระองค์ และใช้คนให้ปลอมเป็นเหมือนคนดีไปสอดแนม หวังจะจับผิดในถ้อยคำของพระองค์ เพื่อจะมอบพระองค์ไว้ในอำนาจ และอาชญาของเจ้าเมือง 21คนเหล่านั้นจึงถามพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ พวกเรารู้อยู่ว่าที่ อาจารย์พูดและสั่งสอน ล้วนแต่เป็นความจริง และไม่ได้เลือกหน้าผู้ใด แต่สั่งสอนทางของพระเจ้าจริง ๆ 22การที่จะเสียภาษีให้แก่ซีซาร์นั้นถูกต้องตามธรรมบัญญัติหรือไม่” 23ฝ่ายพระองค์หยั่งรู้อุบายของเขาจึงกล่าวแก่เขาว่า “ท่านทั้งหลายทดลองเราทำไม? 24จงให้เราดูเงินตราเหรียญหนึ่งเถิด รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร?” เขาตอบว่า “ของซีซาร์” 25แล้วพระองค์พูดกับเขาว่า “ของของซีซาร์จงถวายแก่ซีซาร์ และของของพระเจ้าจงถวายแด่พระเจ้า” 26คนเหล่านั้นจับผิดในคำพูดของพระองค์ต่อหน้าประชาชนไม่ได้ และเขาก็ประหลาดใจในคำตอบของพระองค์จึงนิ่งไป
27ยังมีพวกสะดูสีบางคนมาหาพระองค์ ซึ่งเขาทั้งหลายว่าการฟื้นขึ้นมาจากความตายนั้นไม่มี เขาจึงถามพระองค์ 28ว่า “อาจารย์ครับ โมเสสได้เขียนสั่งข้าพเจ้าทั้งหลายไว้ว่า ‘ถ้าชายผู้ใดตายและมีภรรยา แต่ไม่มีบุตร ก็ให้น้องชายรับพี่สะใภ้นั้นไว้เป็นภรรยาของตน เพื่อสืบเชื้อสายของพี่ชายไว้’ 29ยังมีพี่น้องผู้ชายเจ็ดคน พี่หัวปีมีภรรยาแล้วก็ตายไม่มีบุตร 30แล้วน้องที่สองก็รับหญิงนั้นเป็นภรรยา แล้วเขาก็ตายไม่มีบุตร 31ที่สามนั้นก็รับหญิงนั้นเป็นภรรยา ทั้งเจ็ดคนก็เหมือนกันไม่มีบุตร แล้วก็ตาย 32ที่สุดผู้หญิงนั้นก็ตายด้วย 33เหตุฉะนั้น ในวันที่จะฟื้นขึ้นมาจากความตาย หญิงนั้นจะเป็นภรรยาของใคร ด้วยนางได้เป็นภรรยาของชายทั้งเจ็ดนั้นแล้ว” 34พระเยซูตอบเขาว่า “คนในโลกนี้มีการสมรสกัน และยกให้เป็นสามีภรรยากัน 35แต่เขาเหล่านั้นที่สมควรจะลุถึงโลกหน้า และลุถึงการฟื้นขึ้นมาจากความตาย ไม่มีการสมรสกัน หรือยกให้เป็นสามีภรรยากัน 36และเขาจะตายอีกไม่ได้ เพราะเขาเป็นเหมือนทูตสวรรค์ เป็นบุตรของพระเจ้า ด้วยว่าเป็นลูกแห่งการฟื้นขึ้นมาจากความตาย 37แต่คนที่ตายจะถูกบันดาลให้เป็นขึ้นมาใหม่นั้น โมเสสก็ยังได้สำแดงในเรื่องพุ่มไม้ คือที่ได้เรียกองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า ‘เป็นพระเจ้าของอับราฮัม เป็นพระเจ้าของอิสอัค และเป็นพระเจ้าของยาโคบ’ 38พระองค์มิได้ทรงเป็นพระเจ้าของคนตาย แต่เป็นพระเจ้าของคนเป็น ด้วยว่าจำเพาะพระเจ้าคนทุกคนเป็นอยู่” 39ค้มภีราจารย์บางคนจึงพูดกับว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์พูดดีแล้ว” 40หลังจากนั้น พวกเขาก็ไม่กล้าจะถามพระองค์ต่อไปอีก
41พระองค์จึงถามเขาว่า “ที่คนทั้งหลายว่า พระผู้เป็นพระศรีอาริย์เป็นโอรสของดาวิดนั้นเป็นได้อย่างไร? 42ด้วยว่าท่านดาวิดเองได้กล่าวไว้ในหนังสือสดุดีว่า ‘พระเจ้าผู้เป็นนายกล่าวกับพระเจ้าผู้เป็นนายของข้าพเจ้าว่า จงนั่งที่ขวามือของเรา 43จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านเป็นแท่นรองเท้าของท่าน’ 44กษัตริย์ดาวิดยังได้เรียกท่านว่าเป็นพระเจ้าผู้เป็นนาย ท่านจะเป็นโอรสของดาวิดได้อย่างไร?”
45เมื่อคนทั้งหลายกำลังฟังอยู่ พระองค์จึงพูดกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า 46“จงระวังพวกคัมภีราจารย์ให้ดี ผู้ที่ชอบสวมเสื้อยาวเดินไปมา ชอบให้คนคำนับกลางตลาด ชอบนั่งที่สูงในวัดหรือสุเหร่าและที่อันมีเกียรติในงานกินเลี้ยง 47เขาริบเอาเรือนของหญิงม่าย และอธิษฐานโอ้อวดเสียยืดยาว เขาทั้งหลายนั้นจะต้องมีโทษหนักยิ่งขึ้น”
1พระองค์เงยหน้าขึ้น มองเห็นคนร่ำรวยทั้งหลายนำเงินมาใส่ในตู้เงินถวาย 2พระองค์เห็นหญิงม่ายคนหนึ่ง เป็นคนยากจนนำเหรียญทองแดงสองอันมาใส่ด้วย 3พระองค์กล่าวว่า “เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า หญิงม่ายยากจนคนนี้ได้ใส่เงินไว้มากกว่าคนทั้งปวงนี้ 4เพราะว่าคนทั้งปวงนี้ได้เอาเงินเหลือใช้ของเขามาใส่ถวายแด่พระเจ้า แต่ผู้หญิงนี้ขัดสนที่สุด ยังได้เอาเงินที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตของตนมาใส่จนหมด”
5เมื่อบางคนพูดชมพระวิหารว่าได้ตกแต่งไว้ด้วยศิลางาม และเครื่องถวาย พระองค์จึงกล่าวว่า 6“สิ่งเหล่านี้ที่พวกเจ้าทั้งหลายเห็น วันหนึ่งศิลาที่ซ้อนทับกันอยู่ที่นี่ ซึ่งจะไม่ถูกทำลายลงก็หามิได้”
7เขาทั้งหลายถามพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่? อะไรเป็นหมายสำคัญว่าการณ์ทั้งปวงนี้จวนจะเกิดขึ้น” 8พระองค์จึงกล่าวว่า “ระวังให้ดี อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านให้หลง ด้วยว่าจะมีหลายคนมา ต่างอ้างนามของเราและว่า ‘เราเป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์’ และว่า ‘เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว’ พวกเจ้าทั้งหลายอย่าตามเขาไปเลย 9เมื่อพวกเจ้าทั้งหลายจะได้ยินถึงการสงคราม และการจลาจล อย่าตกใจกลัว เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นจำต้องเกิดขึ้นก่อน แต่ที่สุดปลายยังจะไม่มาทันที”
10แล้วพระองค์กล่าวแก่เขาว่า “ประชาชาติจะลุกขึ้นต่อสู้ประชาชาติ อาณาจักรต่อสู้อาณาจักร 11ทั้งจะเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในที่ต่าง ๆ และจะเกิดกันดารอาหาร และโรคระบาดอย่างร้ายแรง และจะมีความวิบัติอันน่ากลัว และหมายสำคัญใหญ่ ๆ จากฟ้าสวรรค์ 12แต่ก่อนเหตุการณ์เหล่านั้น เขาจะจับพวกเจ้าไว้ และจะข่มเหงพวกเจ้าและมอบพวกเจ้าไว้ในวัดหรือสุเหร่าและในคุก และพาพวกเจ้าไปต่อหน้ากษัตริย์และเจ้าเมืองเพราะเหตุนามของเรา 13การนั้นจะเกิดแก่พวกเจ้าเพื่อพวกเจ้าจะได้เป็นพยาน 14เหตุฉะนั้น พวกเจ้าทั้งหลายต้องปลงใจไว้ว่า จะไม่คิดนึกก่อนว่าจะแก้ตัวอย่างไร? 15ด้วยว่าเราจะให้ปากและปัญญาแก่พวกเจ้า ซึ่งศัตรูทั้งหลายของพวกเจ้าจะต่อต้านและคัดค้านไม่ได้ 16แม้แต่บิดามารดาญาติพี่น้อง และเพื่อนฝูงจะทรยศพวกเจ้า และพวกเขาจะฆ่าบางคนในพวกเจ้าเสีย 17คนทั้งปวงจะเกลียดชังพวกเจ้าเพราะเหตุนามของเรา 18แต่ผมของพวกเจ้าสักเส้นหนึ่งจะเสียไปก็หามิได้ 19พวกเจ้าจะได้ชีวิตรอดโดยความอดทนของพวกเจ้า”
20“เมื่อพวกเจ้าเห็นกองทัพทั้งหลายมาตั้งล้อมรอบกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อนั้นจงรู้ว่าวิบัติของกรุงนั้นก็ใกล้เข้ามาแล้ว 21เวลานั้นให้ผู้ที่อยู่ในแคว้นยูเดียหนีไปยังภูเขา และผู้ที่อยู่ในกรุงให้ออกไป และผู้ที่อยู่บ้านนอกอย่าให้เข้ามาในกรุง 22เพราะว่าเวลานั้นเป็นวันแห่งการแก้แค้นเพื่อจะให้สิ่งสารพัดที่เขียนไว้นั้นสำเร็จ 23แต่ในวันเหล่านั้นวิบัติแก่หญิงที่มีครรภ์หรือมีลูกอ่อนกินนมอยู่ เพราะว่าจะมีความทุกข์ร้อนใหญ่หลวงบนแผ่นดิน และพระพิโรธจะมีแก่พลเมืองนี้ 24เขาจะล้มลงด้วยคมดาบ และต้องถูกกวาดเอาไปเป็นเชลยทั่วทุกประชาชาติ และคนต่างชาติจะเหยียบย่ำกรุงเยรูซาเล็ม จนกว่าเวลากำหนดของคนต่างชาตินั้นจะครบถ้วน”
25“จะมีหมายสำคัญที่ดวงอาทิตย์ ที่ดวงจันทร์ และที่ดวงดาวทั้งปวง และบนแผ่นดินก็จะมีความทุกข์ร้อนตามชาติต่าง ๆ ซึ่งมีความฉงนสนเท่ห์ เพราะเสียงกึกก้องของทะเลและคลื่น 26จิตใจมนุษย์ก็จะสลบไสลไป เพราะความกลัว และเพราะสังหรณ์ถึงเหตุการณ์ซึ่งจะเกิดในโลก ด้วยว่า ‘บรรดาสิ่งที่มีอำนาจในท้องฟ้าจะสะเทือนสะท้านไป’ 27เมื่อนั้นเขาจะเห็นบุตรมนุษย์เสด็จมาในเมฆ ทรงฤทธานุภาพและสง่าราศีเป็นอันมาก 28เมื่อเหตุการณ์ทั้งปวงนี้เริ่มจะเกิดขึ้นนั้น จงยืดตัวและผงกศีรษะขึ้น ด้วยการไถ่ท่านใกล้จะถึงแล้ว”
29พระองค์ได้กล่าวคำอุปมากับเขาว่า “จงดูต้นมะเดื่อและต้นไม้ทั้งปวงเถิด 30เมื่อผลิใบออกแล้ว ท่านทั้งหลายก็เห็นและรู้อยู่เองว่าฤดูร้อนจวนจะถึงแล้ว 31เช่นนั้นแหละ เมื่อท่านทั้งหลายเห็นเหตุการณ์เหล่านั้นเกิดขึ้น ก็ให้รู้ว่าอาณาจักรของพระเจ้าใกล้จะถึงแล้ว 32เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า คนในชั่วอายุนี้จะไม่ล่วงลับไปจนกว่าสิ่งทั้งปวงนี้จะสำเร็จ 33ฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของเราจะสูญหายไปหามิได้เลย”
34“แต่จงระวังตัวให้ดี เกรงว่าในเวลาหนึ่งเวลาใดใจของพวกเจ้าจะมุ่งไปสู่การกินและดื่มจนเมามาย และด้วยคิดกังวลถึงชีวิตนี้ แล้วเวลานั้นจะมาถึงพวกเจ้าโดยไม่ทันรู้ตัว 35เพราะว่าวันนั้นจะมาดุจบ่วงแร้วถึงคนทั้งปวงที่อยู่ทั่วพื้นแผ่นดินโลก 36เหตุฉะนั้นจงเฝ้าระวังและอธิษฐานสวดอ้อนวอนอยู่ทุกเวลา เพื่อพวกเจ้าทั้งหลายจะสมควรที่จะพ้นเหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งจะเกิดมานั้น และจะยืนอยู่ต่อหน้าบุตรมนุษย์ได้” 37กลางวันพระองค์สั่งสอนในพระวิหาร และกลางคืนก็ออกไปพักอยู่ที่ภูเขาชื่อมะกอกเทศ 38คนทั้งปวงก็มาหาพระองค์ในพระวิหารแต่เช้าตรู่เพื่อจะฟังพระองค์”
1เทศกาลฉลองเลี้ยงขนมปังไร้เชื้อ ที่เรียกว่าปัสกามาใกล้แล้ว 2พวกมหาปุโรหิต กับพวกคัมภีราจารย์หาช่องทางว่าเขาจะฆ่าพระองค์ได้อย่างไร เพราะเขากลัวประชาชน
3ฝ่ายซาตานเข้าดลใจยูดาสที่เรียกว่าอิสคาริโอทที่นับเข้าในพวกสาวกสิบสองคน 4ยูดาสได้ไปปรึกษากับพวกมหาปุโรหิต และพวกนายทหารว่า จะทรยศพระองค์ให้เขาได้ด้วยวิธีใด 5คนเหล่านั้นดีใจ และตกลงกับยูดาสว่าจะให้เงิน 6ยูดาสจึงให้สัญญา และคอยหาโอกาสที่จะทรยศพระองค์ให้แก่เขาเมื่อว่างคน
7พอถึงวันกินขนมปังไร้เชื้อ เมื่อเขาต้องฆ่าลูกแกะสำหรับปัสกา 8พระองค์จึงใช้เปโตรและยอห์นไป สั่งว่า “จงไปจัดเตรียมปัสกาให้เราทั้งหลายกิน” 9เขาถามพระองค์ว่า “อาจารย์อยากจะให้พวกผมจัดเตรียมที่ไหน?” 10พระองค์ตอบเขาว่า “ดูเถิด เมื่อพวกเจ้าเข้าไปในกรุงก็จะมีชายคนหนึ่งทูนหม้อน้ำมาพบพวกเจ้า เขาจะเข้าไปเรือนไหน? จงตามเขาไปในเรือนนั้น 11จงพูดกับเจ้าของเรือนว่า ‘อาจารย์ให้ถามว่า “ห้องที่เราจะกินปัสกากับเหล่าสาวกของเราได้นั้นอยู่ที่ไหน?”’ 12เจ้าของเรือนจะชี้ให้พวกเจ้าเห็นห้องใหญ่ชั้นบนที่ตกแต่งไว้แล้ว ที่นั่นแหละจงจัดเตรียมไว้เถิด” 13เขาทั้งสองจึงไปและพบเหมือนคำที่พระองค์ได้บอกเขา แล้วได้จัดเตรียมปัสกาไว้พร้อม
14เมื่อถึงเวลาพระองค์ก็นั่งลงกินปัสกาพร้อมกับอัครทูตสิบสองคน
15พระองค์พูดกับเขาว่า “เรามีความต้องการอย่างยิ่งที่จะกินปัสกานี้กับพวกเจ้า ก่อนเราจะต้องทนทุกข์ทรมาน 16ด้วยเราบอกพวกเจ้าทั้งหลายว่า เราจะไม่กินปัสกานี้อีกจนกว่าจะสำเร็จในอาณาจักรของพระเจ้า” 17พระองค์หยิบถ้วย ขอบพระคุณแล้วกล่าวว่า “จงรับถ้วยนี้แบ่งกันดื่ม 18เพราะเราบอกท่านทั้งหลายว่า เราจะไม่ดื่มเหล้าน้ำองุ่นจากเถาองุ่นต่อไปอีก จนกว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะมา” 19พระองค์หยิบขนมปัง ขอบพระคุณแล้วหักส่งให้แก่เขาทั้งหลายกล่าวว่า “นี่เป็นกายของเรา ซึ่งได้ให้สำหรับพวกเจ้าทั้งหลาย จงกระทำอย่างนี้ให้เป็นที่ระลึกถึงเรา” 20เมื่อรับประทานแล้ว จึงหยิบถ้วยกระทำเหมือนกันกล่าวว่า “ถ้วยนี้เป็นพันธสัญญาใหม่โดยเลือดของเราซึ่งเทออกเพื่อพวกเจ้าทั้งหลาย 21แต่ดูเถิด มือของผู้ที่จะทรยศเราก็อยู่กับเราบนโต๊ะ 22เพราะบุตรมนุษย์จะเป็นไปเหมือนได้ไตร่ตรองไว้แต่ก่อนแล้ว แต่วิบัติแก่ผู้นั้นที่ทรยศท่านไว้” 23เหล่าสาวกจึงเริ่มถามกันและกันว่า จะเป็นใครในพวกเขาที่จะกระทำการนั้น
24มีการเถียงกันด้วยว่าจะนับว่าใครในพวกเขาเป็นใหญ่ที่สุด 25พระองค์จึงกล่าวแก่เขาว่า “กษัตริย์ของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้าเหนือเขา และผู้ที่มีอำนาจเหนือเขานั้น เขาเรียกว่าเจ้าบุญนายคุณ 26แต่พวกเจ้าจะหาเป็นอย่างนั้นไม่ ผู้ใดในพวกเจ้าที่เป็นใหญ่ที่สุด ให้ผู้นั้นเป็นเหมือนผู้เล็กน้อยที่สุด และผู้ใดเป็นนาย ให้ผู้นั้นเป็นเหมือนคนรับใช้ 27ด้วยว่าใครเป็นใหญ่กว่า ผู้ที่นั่งรับประทานหรือผู้รับใช้ ผู้ที่นั่งรับประทานมิใช่หรือ? แต่ว่าเราอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลายเหมือนผู้รับใช้
28ฝ่ายท่านทั้งหลายเป็นคนที่ได้อยู่กับเราในเวลาที่เราถูกทดลอง 29และพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราได้จัดเตรียมอาณาจักรมอบให้แก่เราอย่างไร? เราก็จะจัดเตรียมอาณาจักรมอบให้แก่ท่านทั้งหลายเหมือนกัน 30คือท่านทั้งหลายจะกินและดื่มที่โต๊ะของเราในอาณาจักรของเรา และจะนั่งบนที่นั่งพิพากษาพวกอิสราเอลสิบสองตระกูล”
31และพระเจ้าผู้เป็นนายพูดว่า “ซีโมน ซีโมนเอ๋ย ดูเถิด ซาตานได้ขอเจ้าไว้เพื่อจะฝัดร่อนเจ้าเหมือนฝัดข้าวสาลี 32แต่เราได้อธิษฐานสวดอ้อนวอนเผื่อตัวเจ้า เพื่อความเชื่อของเจ้าจะไม่ได้ขาด และเมื่อเจ้าได้หันกลับแล้ว จงชูกำลังพี่น้องทั้งหลายของเจ้า” 33ฝ่ายเขาจึงพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ผมพร้อมแล้วที่จะไปกับอาจารย์ ถึงจะต้องติดคุกและถึงความตายก็ดี” 34พระองค์กล่าวว่า “เปโตร เราบอกเจ้าว่าวันนี้ก่อนไก่ขัน เจ้าจะปฏิเสธว่าไม่รู้จักเราถึงสามครั้ง”
34พระองค์จึงถามเหล่าสาวกว่า “เมื่อเราได้ใช้พวกเจ้าทั้งหลายออกไปโดยไม่มีถุงเงิน ไม่มีย่าม ไม่มีรองเท้านั้น พวกเจ้าขัดสนสิ่งใดบ้างหรือ?” เขาทั้งหลายตอบว่า “ไม่ขาดสิ่งใดเลยครับ” 36พระองค์จึงกล่าวกับเขาว่า “แต่เดี๋ยวนี้ใครมีถุงเงินให้เอาไปด้วย และย่ามก็ให้เอาไปเหมือนกัน และผู้ใดที่ไม่มีดาบก็ให้ขายเสื้อคลุมของตนไปซื้อดาบ 37ด้วยเราบอกพวกเจ้าทั้งหลายว่า พระคำซึ่งเขียนไว้แล้วนั้นต้องสำเร็จในเรา คือว่า ‘ท่านถูกนับเข้ากับบรรดาผู้ละเมิด’ เพราะว่าคำพยากรณ์ที่เล็งถึงเรานั้นจะสำเร็จ” 38เขาตอบว่า “อาจารย์ครับ ดูเถิด มีดาบสองเล่ม” พระองค์กล่าวกับเขาว่า “พอเสียทีเถอะ”
39ฝ่ายพระองค์ได้ออกไปยังภูเขามะกอกเทศตามเคย และเหล่าสาวกของพระองค์ก็ตามไปด้วย 40เมื่อมาถึงที่นั่นแล้ว พระองค์กล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “จงอธิษฐานสวดอ้อนวอนเพื่อไม่ให้เข้าในการทดลอง” 41แล้วพระองค์เดินไปจากเขาไกลประมาณขว้างหินตกและคุกเข่าลงอธิษฐาสวดอ้อนวอนน 42ว่า “พ่อครับ ถ้าพ่อพอใจ ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากผมด้วยเถิด แต่อย่างไรก็ดีอย่าให้เป็นไปตามใจของผม แต่ให้เป็นไปตามใจของพ่อเถิด” 43ทูตสวรรค์องค์หนึ่งจากสวรรค์มาปรากฏแก่พระองค์ ช่วยชูกำลังพระองค์ 44เมื่อพระองค์เป็นทุกข์มากนักพระองค์ยิ่งปลงใจอธิษฐาน เหงื่อของพระองค์เป็นเหมือนเลือด ไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่ 45เมื่ออธิษฐานสวดอ้อนวอนเสร็จและลุกขึ้นแล้ว พระองค์ก็เดินมาหาเหล่าสาวก พบเขานอนหลับอยู่ด้วยกำลังทุกข์โศก 46พระองค์จึงกล่าวกับเขาว่า “นอนหลับทำไม จงลุกขึ้นอธิษฐานสวดอ้อนวอนเพื่อท่านจะไม่เข้าในการทดสอบ”
47พระองค์พูดยังไม่ทันขาดคำ ดูเถิด มีคนเป็นอันมาก และผู้ที่ชื่อว่า ยูดาส เป็นคนหนึ่งในสาวกสิบสองคนนำหน้าเขามา ยูดาสเข้ามาใกล้พระเยซูเพื่อจุบพระองค์ 48แต่พระเยซูถามเขาว่า “ยูดาส เจ้าจะทรยศบุตรมนุษย์ด้วยการจุบหรือ?” 49เมื่อคนทั้งปวงที่อยู่รอบพระองค์เห็นว่าจะเกิดเหตุอะไรต่อไป เขาจึงถามพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ให้เราเอาดาบฟันเขาหรือ?” 50และมีคนหนึ่งในเหล่าสาวก ได้ฟันคนรับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิต ถูกหูข้างขวาของเขาขาด 51แต่พระเยซูพูดว่า “พอเสียทีเถอะ” แล้วพระองค์จึงถูกต้องใบหูคนนั้นให้เขาหาย 52ฝ่ายพระเยซูกล่าวแก่พวกมหาปุโรหิต พวกนายทหารรักษาพระวิหาร และพวกผู้อาวุโสที่ออกมาจับพระองค์นั้นว่า “พวกเจ้าทั้งหลายเห็นเราเป็นโจรหรือจึงถือดาบถือตะบองออกมา 53เมื่อเราอยู่กับพวกเจ้าทั้งหลายในพระวิหารทุก ๆ วัน พวกเจ้าก็ไม่ได้ยื่นมือออกจับเรา แต่เวลานี้เป็นทีของพวกเจ้า และเป็นอำนาจแห่งความมืด”
54เขาก็จับพระองค์พาเข้าไปในบ้านมหาปุโรหิต เปโตรติดตามไปห่าง ๆ 55เมื่อเขาก่อไฟที่กลางลานบ้าน และนั่งลงด้วยกันแล้ว เปโตรก็นั่งอยู่ท่ามกลางเขา 56มีสาวใช้คนหนึ่งเห็นเปโตรนั่งอยู่ใกล้ไฟ จึงเพ่งดูแล้วว่า “อ้าว คนนี้ได้อยู่กับคนนั้นด้วยนี่” 57แต่เปโตรปฏิเสธว่า “ข้าไม่รู้จักคนนั้นเลย เขาเป็นใคร?” 58สักครู่หนึ่ง มีอีกคนหนึ่งเห็นเปโตรจึงว่า “เจ้าเป็นคนหนึ่งในพวกนั้นด้วย” เปโตรจึงว่า “ไม่ใช่ ข้าฯไม่ได้เป็น” 59อยู่มาประมาณอีกชั่วโมงหนึ่งมีอีกคนหนึ่งยืนยันแข็งแรงว่า “แน่แล้ว คนนี้อยู่กับเขาด้วย เพราะเขาเป็นชาวกาลิลี” 60แต่เปโตรพูดว่า “ที่ท่านว่านั้นข้าไม่รู้เรื่อง” เมื่อเปโตรกำลังพูดยังไม่ทันขาดคำ ในทันใดนั้นไก่ก็ขัน 61พระเจ้าผู้เป็นนายเหลียวดูเปโตร แล้วเปโตรก็ระลึกถึงคำของพระเจ้าผู้เป็นนายซึ่งพระองค์ได้บอกแก่เขาไว้แล้วว่า “ก่อนไก่ขัน เจ้าจะปฏิเสธเราถึงสามครั้ง” 62แล้วเปโตรก็ออกไปข้างนอกร้องไห้เป็นทุกข์นัก
63ฝ่ายคนที่คุมพระเยซูก็เยาะเย้ยโบยตีพระองค์ 64และเมื่อเขาเอาผ้าผูกปิดตาของพระองค์แล้ว เขาจึงตบหน้าของพระองค์ถามว่า “จงพยากรณ์ดูซิว่า ใครตบเจ้า” 65และเขาพูดคำหมิ่นประมาทแก่พระองค์อีกหลายประการ
66ครั้นรุ่งเช้าพวกผู้อาวุโสของพลเมืองกับพวกมหาปุโรหิต และพวกคัมภีราจารย์ได้ประชุมกัน และเขาพาพระองค์เข้าไปในศาลสูงของเขา และพูดว่า 67“ถ้าเจ้าเป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ จงบอกเราเถิด” แต่พระองค์ตอบเขาว่า “ถึงเราจะบอกท่าน ท่านก็จะไม่เชื่อ 68และถึงเราถามท่าน ท่านก็จะไม่ตอบเรา และจะไม่ปล่อยให้เราไป 69แต่ตั้งแต่นี้ไปบุตรมนุษย์จะนั่งข้างขวาของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ” 70คนทั้งปวงจึงถามว่า “เจ้าเป็นโอรสของพระเจ้าหรือ?” พระองค์พูดกับเขาว่า “ก็ท่านว่าแล้วว่าเราเป็น” 71เขาทั้งหลายจึงว่า “เราต้องการพยานอะไรอีกเล่า เพราะว่าพวกเราได้ยินจากปากของเขาเองแล้ว”
1เขาทั้งปวงจึงลุกขึ้นพาพระองค์ไปหาปีลาต 2และเขาเริ่มฟ้องพระองค์ว่า “เราได้พบคนนี้ยุยงชนชาติของเราและห้ามมิให้เสียภาษีแก่ซีซาร์ และกล่าวว่าตัวเองเป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์กษัตริย์องค์หนึ่ง” 3ปีลาตจึงถามพระองค์ว่า “เจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ?” พระองค์ตอบปีลาตว่า “ก็ท่านว่าแล้วนี่” 4ปีลาตจึงว่าแก่พวกมหาปุโรหิตกับประชาชนว่า “เราไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิด” 5เขาทั้งหลายยิ่งกล่าวแข็งแรงว่า “คนนี้ยุยงพลเมืองให้วุ่นวาย และสั่งสอนทั่วตลอดยูเดีย ตั้งแต่กาลิลีจนถึงที่นี่”
6เมื่อปีลาตได้ยินถึงมณฑลกาลิลี ท่านจึงถามว่าคนนี้เป็นชาวกาลิลีหรือ? 7เมื่อรู้แล้วว่าพระเยซูเป็นคนอยู่ในท้องที่ของกษัตริย์เฮโรด ท่านจึงส่งพระองค์ไปหาเฮโรด ผู้กำลังอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มในเวลานั้น 8เมื่อเฮโรดได้เห็นพระเยซูก็มีความยินดีมาก ด้วยนานมาแล้วท่านอยากจะพบพระองค์ เพราะได้ยินถึงพระองค์หลายประการ และหวังว่าคงจะได้เห็นพระองค์ทำการอัศจรรย์บ้าง 9ท่านจึงซักถามพระองค์เป็นหลายข้อ แต่พระองค์หาได้ตอบประการใดไม่ 10ฝ่ายพวกมหาปุโรหิตและพวกคัมภีราจารย์ก็ยืนขึ้นฟ้องพระองค์แข็งแรงมาก 11เฮโรดกับพวกทหารของท่านกระทำต่อพระองค์อย่างดูหมิ่น เยาะเย้ย เอาเสื้อที่งามยิ่งสวมให้พระองค์ และส่งกลับไปหาปีลาตอีก 12ฝ่ายปีลาตกับเฮโรดคืนดีกันในวันนั้น ด้วยแต่ก่อนเป็นศัตรูกัน
13ปีลาตจึงสั่งพวกมหาปุโรหิต พวกสมาชิกสภาศาสนาและประชาชนให้ประชุมพร้อมกัน 14จึงกล่าวแก่เขาว่า “ท่านทั้งหลายได้พาคนนี้มาหาเราฟ้องว่าเขาได้ยุยงประชาชน ดูเถิด เราได้สืบถามต่อหน้าท่านทั้งหลาย และไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิดในข้อที่ท่านทั้งหลายฟ้องเขานั้น 15และเฮโรดก็ไม่เห็นว่าเขามีความผิดด้วย เพราะเราได้ส่งพวกท่านทั้งหลายไปหาเฮโรด ดูเถิด คนนี้ไม่ได้ทำผิดอะไรซึ่งสมควรจะมีโทษถึงตาย 16เหตุฉะนั้น เมื่อเราเฆี่ยนเขาแล้ว เราก็จะปล่อยเสีย” 17(เพราะท่านต้องปล่อยคนหนึ่งให้เขาทั้งหลายในเทศกาลเลี้ยงนั้น)
18แต่คนทั้งปวงร้องขึ้นพร้อมกันว่า “กำจัดคนนี้เสีย และจงปล่อยบารับบัสให้เราเถิด” 19(บารับบัสนั้นติดคุกอยู่เพราะก่อการจลาจลที่เกิดขึ้นในกรุงและการฆาตกรรม) 20ฝ่ายปีลาตยังมีน้ำใจอยากจะปล่อยพระเยซูจึงพูดกับเขาอีก 21แต่คนเหล่านั้นกลับตะโกนร้องว่า “ตรึงมันเสีย ตรึงมันเสียที่กางเขน” 22ปีลาตจึงถามเขาครั้งที่สามว่า “ตรึงทำไม เขาได้ทำผิดประการใด? เราไม่เห็นเขาทำผิดอะไรที่สมควรจะมีโทษถึงตาย เหตุฉะนั้นเมื่อเราเฆี่ยนเขาแล้วก็จะปล่อยเขา” 23ฝ่ายคนทั้งปวงก็เร่งเร้าเสียงดังให้ตรึงพระองค์ที่กางเขน และเสียงของพวกเขาและของพวกมหาปุโรหิตนั้นก็มีชัย 24ปีลาตจึงสั่งให้เป็นไปตามที่เขาทั้งหลายต้องการ 25ท่านจึงปล่อยคนที่เขาขอนั้น ซึ่งติดคุกอยู่เพราะการจลาจลและการฆาตกรรม แต่ท่านได้มอบพระเยซูไว้ตามใจเขา
26เมื่อเขาพาพระองค์ออกไป เขาเกณฑ์ซีโมนชาวไซรีนที่มาจากบ้านนอก แล้วเอากางเขนวางบนเขาให้แบกตามพระเยซูไป 27มีคนเป็นอันมากตามพระองค์ไป ทั้งพวกผู้หญิงที่ร้องไห้และคร่ำครวญเพราะพระองค์ 28พระเยซูจึงหันหน้ามาทางเขากล่าวว่า “ลูกสาวแห่งเยรูซาเล็มเอ๋ย อย่าร้องไห้เพราะเราเลย แต่จงร้องไห้เพราะตนเอง และเพราะลูกทั้งหลายของตนเถิด 29ด้วยว่า ดูเถิด จะมีเวลาหนึ่งที่เขาทั้งหลายจะว่า ‘ผู้หญิงเหล่านั้นที่เป็นหมัน และครรภ์ที่ไม่ได้ปฏิสนธิ และหัวนมที่ไม่ได้ให้ดูดเลย ก็เป็นสุข’ 30คราวนั้นเขาจะเริ่มกล่าวแก่ภูเขาทั้งหลายว่า ‘จงล้มทับเราเถิด’ และแก่เนินเขาว่า ‘จงปกคลุมเราไว้’ 31เพราะว่าถ้าเขาทำอย่างนี้เมื่อไม้สด อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไม้แห้งแล้วเล่า”
32มีอีกสองคนที่เป็นผู้ร้ายซึ่งเขาได้พามาจะประหารพร้อมกับพระองค์ 33เมื่อมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า กะโหลกศีรษะ เขาก็ตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนที่นั่น พร้อมกับผู้ร้ายสองคนนั้น ข้างขวาคนหนึ่ง และข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง 34ฝ่ายพระเยซูจึงอธิษฐานสวดอ้อนวอนว่า “พ่อครับ ขอได้โปรดอภัยโทษให้แก่พวกเขา เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร?” เขาก็เอาเสื้อผ้าของพระองค์จับสลากแบ่งปันกัน 35คนทั้งปวงก็ยืนมองดู พวกสามาชิกสภาศาสนาก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วยว่า “มันช่วยคนอื่นให้หลุดพ้นได้ ถ้ามันเป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ของพระเจ้าที่ถูกเลือกไว้ ให้มันช่วยตัวเองเถิด” 36พวกทหารก็เยาะเย้ยพระองค์ด้วย เข้ามาเอาเหล้าองุ่นเปรี้ยวส่งให้พระองค์ 37แล้วว่า “ถ้าแกเป็นกษัตริย์ของพวกยิว จงช่วยตัวเองให้รอดเถิด” 38และมีคำเขียนไว้เหนือศีรษะของพระองค์ด้วยเป็นอักษรกรีก ลาติน และฮีบรูว่า “ผู้นี้เป็นกษัตริย์ของพวกยิว”
39ฝ่ายคนหนึ่งในผู้ร้ายที่ถูกตรึงไว้จึงพูดหยาบช้าต่อพระองค์ว่า “ถ้าเจ้าเป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ จงช่วยตัวเองกับเราให้รอดเถิด” 40แต่อีกคนหนึ่งห้ามปรามเขาว่า “เจ้าก็ไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือ? เพราะเจ้าเป็นคนมีโทษเหมือนกัน 41และเราก็สมกับโทษนั้นจริง เพราะเราได้รับสมกับการที่เราได้กระทำ แต่คนผู้นี้ไม่ได้กระทำผิดอะไรเลย” 42แล้วคนนั้นจึงบอกพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ ขอได้โปรดระลึกถึงผมด้วย เมื่ออาจารย์ได้เข้าในอาณาจักรของพระเจ้า” 43ฝ่ายพระเยซูตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในสวนสวรรค์ของพระเจ้า”
44เวลานั้นประมาณเวลาเที่ยง ก็เกิดความมืดไปทั่วทั้งแผ่นดินจนถึงบ่ายสามโมง 45ดวงอาทิตย์ก็มืดไป ม่านในพระวิหารก็ขาดตรงกลาง 46พระเยซูร้องเสียงดังพูดว่า “พ่อครับ ผมขอฝากจิตวิญญาณของผมไว้ในมือของพ่อด้วย” เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็ขาดใจตาย 47ฝ่ายนายร้อยเมื่อเห็นเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นนั้น จึงสรรเสริญพระเจ้าว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นผู้มีบุญของพระเจ้า” 48คนทั้งปวงที่มาชุมนุมกันเพื่อจะดูการณ์นี้ เมื่อเห็นแล้วก็พากันตีอกของตัวกลับไป 49คนทั้งปวงที่รู้จักพระองค์ และพวกผู้หญิงซึ่งได้ตามพระองค์มาจากกาลิลี ก็ยืนอยู่แต่ไกล มองดูเหตุการณ์เหล่านี้
50และดูเถิด มีชายคนหนึ่งชื่อโยเซฟ ท่านเป็นสมาชิกสภาศาสนา เป็นคนดีและเป็นคนเที่ยงธรรม 51ท่านไม่ได้เห็นด้วยในมติและการกระทำของเขาทั้งหลาย ท่านเป็นชาวบ้านอาริมาเธียหมู่บ้านพวกยิว และเป็นผู้รอคอยอาณาจักรของพระเจ้า 52ชายคนนี้จึงเข้าไปหาปีลาตขอศพพระเยซู 53เมื่อเชิญศพลงจากกางเขนแล้ว เขาจึงเอาผ้าป่านพันหุ้มไว้ แล้วเชิญศพไปฝังไว้ในอุโมงค์ ซึ่งเจาะไว้ในศิลาที่ยังไม่ได้วางศพผู้ใดเลย 54วันนั้นเป็นวันจัดเตรียม และวันศีลก็เกือบจะมาถึงแล้ว 55ฝ่ายพวกผู้หญิงที่ตามพระองค์มาจากแคว้นกาลิลีก็ตามไป และได้เห็นอุโมงค์ ทั้งได้เห็นเขาวางพระศพของพระองค์ไว้อย่างไรด้วย 56แล้วเขาก็กลับไปจัดแจงเครื่องหอมกับน้ำมันหอม ในวันศีลนั้นเขาก็หยุดการงานไว้ตามพระบัญญัติ
1แต่เช้ามืดในวันอาทิตย์ ผู้หญิงเหล่านั้นจึงนำเครื่องหอมที่เขาได้จัดเตรียมไว้มาถึงอุโมงค์ และคนอื่น ๆ ก็มาพร้อมกับเขา 2เขาเหล่านั้นเห็นก้อนหินกลิ้งออกพ้นจากปากอุโมงค์แล้ว 3และเมื่อเข้าไปก็ไม่ได้เห็นศพของพระเยซู 4ต่อมา เมื่อเขากำลังคิดฉงนด้วยเหตุการณ์นั้น ดูเถิด มีชายสองคนยืนอยู่ใกล้เขา เครื่องนุ่งห่มแพรวพราว
5ฝ่ายผู้หญิงเหล่านั้นกลัว และซบหน้าลงถึงดิน ชายสองคนนั้นจึงพูดกับเขาว่า “พวกเจ้าแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไมเล่า? 6พระองค์ไม่อยู่ที่นี่ แต่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว จงระลึกถึงคำที่พระองค์ได้กล่าวกับพวกเจ้าทั้งหลาย เมื่อพระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี 7ว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของคนบาป และต้องถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่’” 8เขาจึงระลึกถึงคำพูดของพระองค์ได้ 9และกลับไปจากอุโมงค์ แล้วบอกเหตุการณ์ทั้งปวงนั้นแก่สาวกสิบเอ็ดคน และคนอื่น ๆ ทั้งหมดด้วย 10ผู้ที่ได้บอกเหตุการณ์นั้นแก่อัครทูต คือมารีย์ชาวมักดาลา โยอันนา มารีย์มารดาของยากอบ และหญิงอื่น ๆ ที่อยู่กับเขา 11ฝ่ายอัครทูตไม่เชื่อ ถือว่าเป็นคำเหลวไหล 12แต่เปโตรลุกขึ้นวิ่งไปถึงอุโมงค์ ก้มลงมองดูก็เห็นแต่ผ้าป่านวางอยู่ต่างหาก แล้วกลับไปคิดพิศวงถึงเหตุการณ์ซึ่งได้เป็นไปนั้น
13ดูเถิด วันนั้นเองมีสาวกสองคนไปยังหมู่บ้านชื่อเอมมาอูส ไกลจากกรุงเยรูซาเล็มประมาณสิบเอ็ดกิโลเมตร 14เขาสนทนากันถึงเหตุการณ์ซึ่งได้เป็นไปนั้น 15และต่อมาเมื่อเขากำลังพูดปรึกษากันอยู่ พระเยซูเองก็เข้ามาใกล้ และเดินทางไปกับเขา 16แต่ตาเขาฝ้าฟางไป และจำพระองค์ไม่ได้ 17พระองค์กล่าวกับเขาว่า “เมื่อเดินมานี่ พวกเจ้าคุยกันถึงถึงเรื่องอะไร” 18คนหนึ่งชื่อเคลโอปัสจึงถามพระองค์ว่า “ท่านเป็นคนต่างด้าวในกรุงเยรูซาเล็มหรือ? จึงไม่รู้เหตุการณ์ทั้งปวงซึ่งเป็นไปในวันเหล่านี้” 19พระองค์ถามเขาว่า “เหตุการณ์อะไร?” เขาจึงตอบพระองค์ว่า “เหตุการณ์เรื่องเยซูชาวนาซาเร็ธ ผู้เป็นศาสดาพยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้า ประกอบด้วยฤทธิ์เดชในการงาน และในถ้อยคำจำเพาะพระเจ้า และต่อหน้าประชาชนทั้งหลาย 20และพวกมหาปุโรหิตกับสมาชิกสภาศาสนาทั้งหลายของเรา ได้มอบท่านไว้ให้ปรับโทษถึงตาย และตรึงท่านที่กางเขน 21แต่เราทั้งหลายหวังใจว่าจะเป็นท่านผู้นั้นที่จะไถ่ชนชาติอิสราเอล ยิ่งกว่านั้นอีก วันนี้เป็นวันที่สามตั้งแต่เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น 22และยังมีผู้หญิงบางคนในพวกเราที่ได้ทำให้เราประหลาดใจ นางได้ไปที่อุโมงค์เมื่อเวลาเช้ามืด 23แต่เมื่อไม่พบศพของท่าน จึงมาเล่าว่านางได้เห็นนิมิตเป็นทูตสวรรค์ และทูตนั้นบอกว่าท่านเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว 24บางคนที่อยู่กับเราก็ไปจนถึงอุโมงค์ และได้พบเหมือนพวกผู้หญิงเหล่านั้นได้บอก แต่เขาหาได้เห็นท่านไม่”
25พระองค์พูดกับสองคนนั้นว่า “โอ คนโง่เขลา และมีใจเฉื่อยชาในการเชื่อบรรดาคำซึ่งพวกศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวไว้นั้น 26จำเป็นซึ่งพระผู้เป็นพระศรีอาริย์จะต้องทนทุกข์ทรมานอย่างนั้น แล้วเข้าในสง่าราศีของพระองค์มิใช่หรือ?” 27พระองค์จึงเริ่มอธิบายพระคัมภีร์ที่อ้างถึงพระองค์ทุกข้อให้เขาฟัง เริ่มต้นตั้งแต่โมเสส และบรรดาศาสดาพยากรณ์
28เมื่อเขามาใกล้หมู่บ้านที่จะไปนั้น พระองค์ทำเหมือนจะเดินผ่านเลยไป 29เขาจึงพูดหน่วงเหนี่ยวพระองค์ว่า “เชิญหยุดพักกับเรา เพราะว่าจวนจะค่ำอยู่แล้ว และวันก็ล่วงไปมาก” พระองค์จึงเข้าไปเพื่อพักอยู่กับเขา 30ต่อมาเมื่อพระองค์นั่งลงรับประทานอาหารกับเขา พระองค์หยิบขนมปัง ขอบพระคุณ แล้วหักส่งให้เขา 31ตาของเขาก็หายฝ้าฟาง และเขาก็รู้จักพระองค์ แล้วพระองค์ก็อันตรธานหายไปจากเขา 32เขาจึงพูดกันว่า “ใจเราเร่าร้อนภายใน เมื่อพระองค์พูดกับเราตามทาง เมื่อพระองค์อธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟังมิใช่หรือ?” 33แล้วคนทั้งสองนั้นก็ลุกขึ้นในเวลานั้นเอง กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และพบพวกสาวกสิบเอ็ดคนประชุมกันอยู่พร้อมทั้งพรรคพวก 34กำลังพูดกันว่า “พระเจ้าผู้เป็นนายเป็นขึ้นมาแล้วจริง ๆ และได้ปรากฏแก่ซีโมน” 35ฝ่ายสองคนนั้นจึงเล่าความซึ่งเกิดขึ้นที่กลางทาง และที่เขาได้รู้จักพระองค์โดยการหักขนมปังนั้น
36เมื่อเขาทั้งสองกำลังเล่าเหตุการณ์เหล่านั้น พระเยซูก็ยืนอยู่ที่ท่ามกลางเขา และกล่าวกับเขาว่า “พวกเจ้าทั้งหลายจงเป็นสุขเถิด” 37ฝ่ายเขาทั้งหลายสะดุ้งตกใจกลัวคิดว่าเห็นผี 38พระองค์จึงกล่าวแก่เขาว่า “พวกเจ้าทั้งหลายวุ่นวายใจทำไม เหตุไฉนความคิดสงสัยจึงเกิดขึ้นในใจของพวกเจ้าเล่า 39จงดูมือของเราและเท้าของเราว่า เป็นเราเอง จงคลำตัวเราดู เพราะว่าผีไม่มีเนื้อและกระดูกเหมือนพวกเจ้าเห็นเรามีอยู่นั้น” 40เมื่อกล่าวอย่างนั้นแล้ว พระองค์สำแดงมือและเท้าให้เขาเห็น 41เมื่อเขาทั้งหลายยังไม่ปลงใจเชื่อ เพราะเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างเหลือเชื่อ และกำลังประหลาดใจอยู่ พระองค์จึงถามเขาว่า “พวกเจ้ามีอาหารกินที่นี่บ้างไหม?” 42เขาก็เอาปลาย่างชิ้นหนึ่งกับรวงผึ้งชิ้นหนึ่งมาให้พระองค์ 43พระองค์รับมารับประทานต่อหน้าเขาทั้งหลาย
44พระองค์พูดกับเขาว่า “นี่เป็นถ้อยคำของเรา ซึ่งเราได้บอกไว้แก่พวกเจ้าทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับท่านว่า บรรดาคำที่เขียนไว้ในธรรมบัญญัติของโมเสส และในคัมภีร์ศาสดาพยากรณ์ และในหนังสือสดุดีกล่าวถึงเรานั้น จำเป็นจะต้องสำเร็จ” 45ครั้งนั้น พระองค์บันดาลให้ใจเขาทั้งหลายเกิดความสว่างขึ้น เพื่อจะได้เข้าใจพระคัมภีร์ 46พระองค์พูดกับเขาว่า “มีคำเขียนไว้อย่างนั้นว่า พระผู้เป็นพระศรีอาริย์จะต้องทนทุกข์ทรมาน และเป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สาม 47และจะต้องประกาศในนามของพระองค์ เรื่องการกลับใจหันหลังจากความผิดบาป และเรื่องยกบาปทั่วทุกประเทศ ตั้งต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม 48พวกเจ้าทั้งหลายเป็นพยานด้วยข้อความเหล่านั้น 49และดูเถิด เราจะส่งสิ่งที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา สัญญานั้นมาเหนือพวกเจ้าทั้งหลาย แต่พวกเจ้าทั้งหลายจงคอยอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม จนกว่าพวกเจ้าจะได้ประกอบด้วยฤทธิ์เดชที่มาจากเบื้องบน”
50พระองค์จึงพาเขาออกไปถึงหมู่บ้านเบธานี แล้วยกมืออวยพรเขา 51ต่อมาเมื่ออวยพรอยู่นั้น พระองค์จึงไปจากเขา แล้วถูกรับขึ้นไปสู่สวรรค์ 52เขาทั้งหลายจึงกราบไหว้พระองค์ แล้วกลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม มีความยินดีเป็นอันมาก 53เขาทั้งหลายอยู่ในพระวิหารทุกวัน สรรเสริญและเทิดทูนพระเจ้า
1ในปฐมกาลนั้นพระธรรมเป็นอยู่แล้ว และพระธรรมอยู่กับพระเจ้า และพระธรรมนั้นเป็นพระเจ้า 2ในปฐมกาลนั้นพระธรรมนั้นอยู่กับพระเจ้า 3พระธรรมสร้างสิ่งทั้งปวงขึ้นมา โดยพระธรรม ในบรรดาสิ่งที่เป็นมานั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระธรรม 4พระธรรมเป็นแหล่งชีวิต และชีวิตนั้นเป็นความสว่างของมนุษย์ 5ความสว่างนั้นส่องเข้ามาในความมืด และความมืดหาได้ชนะความสว่างไม่
6มีชายคนหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้มา ชื่อยอห์น 7ท่านผู้นี้มาเพื่อเป็นพยาน เพื่อเป็นพยานถึงความสว่างนั้น เพื่อคนทั้งปวงจะได้มีความเชื่อเพราะท่าน 8ท่านไม่ใช่ความสว่างนั้น แต่รับใช้มาเพื่อเป็นพยานถึงความสว่างนั้น
9ความสว่างแท้ที่ทำให้มนุษย์ทุกคนเห็นความจริงได้ ซึ่งขณะนั้นกำลังเข้ามาในโลก 10พระองค์อยู่ในโลก ซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นมาทางพระองค์ แต่โลกหาได้รู้จักพระองค์ไม่ 11พระองค์ได้มายังบ้านเมืองของพระองค์ และชาวบ้านชาวเมืองของพระองค์ไม่ได้ต้อนรับพระองค์ 12แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ ผู้ที่เชื่อในนามของพระองค์ พระองค์ก็ประทานสิทธิให้เป็นบุตรของพระเจ้าได้ 13ซึ่งในฐานะนั้นเป็นผู้ที่มิได้เกิดจากเลือดเนื้อ หรือกาม หรือความประสงค์ของมนุษย์ แต่เกิดจากพระเจ้า
14พระธรรมได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ และอยู่ท่ามกลางเรา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง เราทั้งหลายได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ คือสง่าราศีอันสมกับพระโอรสองค์เดียวของพระเจ้าผู้เป็นพ่อ 15ยอห์นได้เป็นพยานถึงพระองค์และร้องประกาศว่า “นี่แหละคือพระองค์ผู้ที่ข้าฯได้กล่าวถึงว่า พระองค์ผู้มาภายหลังข้าพเจ้าเป็นใหญ่กว่าข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ดำรงอยู่ก่อนข้าพเจ้า” 16และเราทั้งหลายได้รับจากความบริบูรณ์ของพระองค์ เป็นพระคุณซ้อนพระคุณ 17เพราะว่าได้พระเจ้าทรงประทานศีลทางโมเสส ส่วนพระคุณและความจริงมาทางพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 18ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย พระโอรสองค์เดียวผู้อยู่ในทรวงอกของพระเจ้าผู้เป็นพ่อ พระองค์ได้สำแดงพระเจ้าแล้ว
19นี่เป็นคำพยานของยอห์น เมื่อพวกยิวส่งพวกปุโรหิตและพวกเลวีจากกรุงเยรูซาเล็มไปถามท่านว่า “ท่านคือผู้ใด” 20ยอห์นได้ยอมรับ และมิได้ปฏิเสธ คือได้ยอมรับว่า “ข้าฯไม่ใช่พระศรีอาริย์” 21เขาทั้งหลายจึงถามว่า “ถ้าเช่นนั้นท่านเป็นใครเล่า ท่านเป็นเอลียาห์หรือ?” ยอห์นตอบว่า “ข้าฯไม่ใช่เอลียาห์” “ท่านเป็นศาสดาพยากรณ์ผู้นั้นหรือ?” และยอห์นตอบว่า “ไม่ใช่” 22คนเหล่านั้นจึงถามยอห์นว่า “ท่านเป็นใคร ขอให้เราได้รับคำตอบเพื่อจะได้ไปบอกผู้ที่ใช้เรามาว่า ท่านกล่าวว่าท่านเป็นใคร” 23ยอห์นตอบว่า “ข้าฯเป็นเสียงของผู้ที่ร้องในถิ่นทุรกันดารว่า ‘จงกระทำหนทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าให้ตรงไป’ ตามที่อิสยาห์ศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวไว้”
24ฝ่ายผู้ที่พวกฟาริสีส่งไปนั้น 25เขาเหล่านั้นก็ได้ถามยอห์นว่า “ถ้าท่านไม่ใช่พระศรีอาริย์ หรือเอลียาห์ หรือศาสดาพยากรณ์ผู้นั้นแล้ว ทำไมท่านจึงทำพิธีจุ่มน้ำ” 26ยอห์นได้ตอบเขาเหล่านั้นว่า “ข้าฯให้ทำพิธีด้วยน้ำ แต่มีผู้หนึ่งซึ่งอยู่ในหมู่พวกท่านนั้น ท่านไม่รู้จัก 27ท่านผู้นั้นแหละ ผู้มาภายหลังข้าฯเป็นใหญ่กว่าข้าฯ แม้สายรัดรองเท้าของท่าน ข้าฯก็ไม่สมควรที่จะแก้” 28เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่เบธานีฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างตะวันออก อันเป็นที่ซึ่งยอห์นกำลังให้ทำพิธีจุ่มน้ำอยู่
29วันรุ่งขึ้นยอห์นเห็นพระเยซูกำลังเดินมาหาตน ท่านจึงกล่าวว่า “จงดูลูกแกะของพระเจ้า ผู้จะรับความผิดบาปของโลกไป 30ท่านผู้นี้แหละที่ข้าฯได้กล่าวว่า ‘ภายหลังข้าฯจะมีผู้หนึ่งมาเป็นใหญ่กว่าข้าฯ เพราะว่าท่านผู้นั้นดำรงอยู่ก่อนข้าฯ’ 31ข้าฯเองก็ไม่ได้รู้จักท่าน แต่เพื่อให้ท่านเป็นที่ประจักษ์แก่พวกอิสราเอล ข้าฯจึงได้มาให้ทำพิธีจุ่มน้ำ” 32และยอห์นกล่าวเป็นพยานว่า “ข้าฯเห็นพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหมือนดังนกเขาลงมาจากสวรรค์ และมาอยู่บนท่าน 33ข้าฯเองไม่รู้จักท่าน แต่ท่านได้ใช้ให้ข้าฯทำพิธีจุ่มน้ำด้วยน้ำ ท่านผู้นั้นได้กล่าวกับข้าฯว่า ‘เมื่อเจ้าเห็นพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ลงมา และอยู่บนผู้ใด ผู้นั้นแหละเป็นผู้ให้ทำพิธีมุดน้ำด้วยพระวิญญาณ’ 34และข้าฯก็ได้เห็นแล้ว และได้เป็นพยานว่า ท่านผู้นี้แหละ เป็นโอรสของพระเจ้า”
35รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่งยอห์นกำลังยืนอยู่กับศิษย์ของท่านสองคน 36และท่านมองดูพระเยซู ขณะที่พระองค์เดินมา และกล่าวว่า “จงดูลูกแกะของพระเจ้า” 37ศิษย์สองคนนั้นได้ยินท่านพูดเช่นนี้ เขาจึงติดตามพระเยซูไป 38พระเยซูเหลียวกลับมา และเห็นเขาตามพระองค์ไป จึงถามเขาว่า “เจ้าหาอะไร” และเขาทั้งสองบอกพระองค์ว่า “รับบี” (ซึ่งแปลว่า อาจารย์) “อาจารย์อยู่ที่ไหนครับ” 39พระองค์ตอบเขาว่า “มาดูสิ” เขาก็ไป และเห็นที่ซึ่งพระองค์อาศัย และวันนั้นเขาก็ได้พักอยู่กับพระองค์ เพราะขณะนั้นประมาณสี่โมงเย็นแล้ว 40คนหนึ่งในสองคนที่ได้ยินยอห์นพูด และได้ติดตามพระองค์ไปนั้น คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตร 41แล้วอันดรูว์ก็ไปหาซีโมนพี่ชายของตนก่อน และบอกเขาว่า “ฉันได้พบพระศรีอาริย์แล้ว” 42อันดรูว์จึงพาซีโมนไปเฝ้าพระเยซู และเมื่อพระองค์เห็นเขาแล้วจึงกล่าวว่า “เจ้าคือซีโมนบุตรชายโยนาห์หรือ ต่อไปเขาจะเรียกเจ้าว่าเคฟาส” (ซึ่งแปลว่า ศิลา)
43วันรุ่งขึ้นพระเยซูตั้งใจจะไปยังแคว้นกาลิลี และพระองค์พบฟีลิปจึงกล่าวกับเขาว่า “จงตามเรามา” 44ฟีลิปมาจากเบธไซดา เมืองของอันดรูว์และเปโตร 45ฟีลิปไปหานาธานาเอล และบอกเขาว่า “เราได้พบท่านผู้ที่โมเสสได้กล่าวถึงในหนังสือธรรมบัญญัติ และที่พวกศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวถึง คือเยซูชาวนาซาเร็ธลูกชายโยเซฟ” 46นาธานาเอลถามเขาว่า “สิ่งดีจะมาจากเมืองนาซาเร็ธได้หรือ?” ฟีลิปตอบเขาว่า “มาดูสิ” 47พระเยซูเห็นนาธานาเอลมาหาพระองค์ จึงบอกถึงเรื่องตัวเขาว่า “ดูเถิด ชนอิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่มีอุบาย” 48นาธานาเอลถามพระองค์ว่า “อาจารย์รู้จักผมได้อย่างไร?” พระเยซูตอบเขาว่า “ก่อนที่ฟีลิปจะเรียกเจ้า เมื่อเจ้าอยู่ที่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น เราเห็นเจ้าแล้ว” 49นาธานาเอลตอบพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์เป็นโอรสของพระเจ้า เป็นกษัตริย์ของชนชาติอิสราเอล” 50พระเยซูตอบเขาว่า “เพราะเราบอกเจ้าว่า เราเห็นเจ้าอยู่ใต้ต้นมะเดื่อนั้น เจ้าจึงเชื่อหรือ เจ้าจะได้เห็นเหตุการณ์ใหญ่กว่านั้นอีก” 51และพระองค์กล่าวกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าทั้งหลายว่า ภายหลังเจ้าจะได้เห็นท้องฟ้าเปิดออก และเหล่าทูตสวรรค์ของพระเจ้าขึ้น และลงอยู่เหนือบุตรมนุษย์”
1วันที่สามมีงานแต่งงานที่หมู่บ้านคานาแคว้นกาลิลี และมารดาของพระเยซูก็อยู่ที่นั่นด้วย 2พระเยซู และศิษย์ของพระองค์ได้รับเชิญไปในงานนั้น 3เมื่อเหล้าองุ่นหมดแล้ว มารดาของพระเยซูบอกพระองค์ว่า “เหล้าองุ่นของเขาหมดแล้วนะ” 4พระเยซูกล่าวกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ขอให้เป็นธุระของข้าฯเถิด เวลาของข้าฯยังไม่มาถึง”
5มารดาของพระองค์จึงบอกพวกคนใช้ว่า “ถ้าท่านจะสั่งพวกเจ้าให้ทำสิ่งใด ก็จงกระทำตามเถิด” 6ที่นั่นมีโอ่งหินตั้งอยู่หกใบตามธรรมเนียมการชำระของพวกยิว จุน้ำใบละสี่ห้าถัง 7พระเยซูสั่งเขาว่า “จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็มเถิด” และเขาก็ตักน้ำใส่โอ่งเต็มเสมอปาก 8แล้วพระองค์สั่งเขาว่า “จงตักเอาไปให้ประธานในพิธีแต่งงานเถิด” เขาก็เอาไปให้ 9เมื่อประธานในพิธีแต่งงานชิมน้ำที่กลายเป็นเหล้าองุ่นแล้ว และไม่รู้ว่าเหล้าองุ่นนั้นมาจากไหน (แต่คนใช้ที่ตักน้ำนั้นรู้) ประธานจึงเรียกเจ้าบ่าวมา 10และพูดกับเขาว่า “ใคร ๆ เขาก็เอาเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน และเมื่อได้ดื่มกันมากแล้วจึงเอาที่ไม่สู้ดีมา แต่เจ้าเก็บเหล้าองุ่นอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้” 11นี่เป็นการกระทำอันเป็นหมายสำคัญครั้งแรก ที่พระเยซู ได้กระทำที่บ้านคานาแคว้นกาลิลี และได้สำแดงสง่าราศีของพระองค์ และศิษย์ของพระองค์ก็ได้วางใจในพระองค์
12ภายหลังเหตุการณ์นี้พระองค์ก็ได้ลงไปยังเมืองคาเปอรนาอุม พร้อมกับมารดา และน้องชายและศิษย์ของพระองค์ และอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่วัน
13เทศกาลปัสกาของพวกยิวใกล้เข้ามาแล้ว และพระเยซูได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 14ในบริเวณพระวิหาร พระองค์เห็นคนขายวัว ขายแกะ ขายนกเขา และคนรับแลกเงินนั่งอยู่ 15พระองค์เอาเชือกทำเป็นแส้ ไล่คนเหล่านั้น พร้อมกับแกะและวัวออกไปจากบริเวณพระวิหาร และเทเงินของคนรับแลกเงินและคว่ำโต๊ะ 16และพระองค์กล่าวแก่บรรดาคนขายนกเขาว่า “จงเอาของเหล่านี้ไปเสีย อย่าทำพระวิหารของพ่อเราให้เป็นที่ค้าขาย” 17พวกศิษย์ของพระองค์ ก็ระลึกขึ้นได้ถึงคำที่เขียนไว้ว่า ‘ความร้อนใจในเรื่องพระวิหารของพระองค์ ได้ท่วมท้นข้าพระองค์’ 18พวกยิวจึงบอกพระองค์ว่า “เจ้าจะแสดงหมายสำคัญอะไรให้เราเห็น ว่าเจ้ามีอำนาจกระทำการเช่นนี้ได้” 19พระเยซูจึงตอบเขาทั้งหลายว่า “ถ้าทำลายวิหารนี้เสีย แล้วเราจะยกขึ้นในสามวัน” 20พวกยิวจึงกล่าวว่า “พระวิหารนี้เขาสร้างถึงสี่สิบหกปีจึงสำเร็จ และเจ้าจะยกขึ้นใหม่ในสามวันหรือ?” 21แต่พระวิหารที่พระองค์กล่าวถึงนั้นคือร่างกายของพระองค์ 22เหตุฉะนั้นเมื่อพระองค์เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พวกศิษย์ของพระองค์ก็ระลึกได้ว่าพระองค์ได้กล่าวเช่นนี้ไว้แก่เขา และเขาก็เชื่อพระคัมภีร์และคำกล่าวที่พระเยซูได้กล่าวแล้วนั้น
23เมื่อพระองค์พักอยู่ ณ กรุงเยรูซาเล็มในวันเลี้ยงเทศกาลปัสกานั้น มีคนเป็นอันมากได้เชื่อในนามของพระองค์ เมื่อเขาได้เห็นการอัศจรรย์ที่พระองค์ได้กระทำ 24แต่พระเยซูมิได้เชื่อใจในคนเหล่านั้น เพราะพระองค์รู้จักมนุษย์ทุกคน 25และไม่มีความจำเป็นที่จะมีพยานในเรื่องมนุษย์ ด้วยพระองค์เองทราบว่าอะไรมีอยู่ในมนุษย์
1มีชายคนหนึ่งในพวกฟาริสีชื่อนิโคเดมัสเป็นสมาชิกสภาศาสนาของพวกยิว 2ชายผู้นี้ได้มาหาพระเยซูในเวลากลางคืนและบอกกับพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ พวกเรารู้อยู่ว่าอาจารย์เป็นครูที่มาจากพระเจ้า เพราะไม่มีผู้ใดกระทำหมายสำคัญซึ่งอาจารย์ได้กระทำนั้นได้ นอกจากว่าพระเจ้าอยู่ด้วย” 3พระเยซูตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้บังเกิดใหม่ ผู้นั้นจะเห็นแผ่นดินของพระเจ้าไม่ได้” 4นิโคเดมัสบอกกับพระองค์ว่า “คนชราแล้วจะเกิดใหม่อย่างไรได้ จะเข้าไปในครรภ์มารดาครั้งที่สองและเกิดใหม่ได้หรือ?”
5พระเยซูตอบว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ ผู้นั้นจะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้ 6ซึ่งบังเกิดจากเนื้อหนังก็เป็นเนื้อหนัง และซึ่งบังเกิดจากพระวิญญาณ ก็คือจิตวิญญาณ 7อย่าประหลาดใจที่เราบอกท่านว่า ท่านต้องเกิดใหม่ 8ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่เกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุกคน” 9นิโคเดมัสบอกกับพระองค์ว่า “เหตุการณ์อย่างนี้จะเป็นไปอย่างไรได้” 10พระเยซูตอบเขาว่า “ท่านเป็นอาจารย์ของชนอิสราเอล และยังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้หรือ? 11เราบอกความจริงแก่ท่านว่า พวกเราพูดสิ่งที่เรารู้ และเป็นพยานถึงสิ่งที่เราได้เห็น และท่านไม่ได้รับคำพยานของเรา 12ถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งฝ่ายโลก และท่านไม่เชื่อ ถ้าเราบอกท่านถึงสิ่งฝ่ายสวรรค์ ท่านจะเชื่อได้อย่างไร? 13ไม่มีผู้ใดได้ขึ้นไปสวรรค์ นอกจากผู้ที่ลงมาจากสวรรค์ คือบุตรมนุษย์ผู้สถิตในสวรรค์นั้น 14โมเสสได้ยกงูขึ้นในถิ่นทุรกันดารฉันใด บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้นฉันนั้น 15เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระองค์จะไม่พินาศ แต่จะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน
16เพราะว่าพระเจ้า(หรือผู้ศักดิ์สิทธิ์สูงสุด) มีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อมนุษย์ พระองค์จึงได้ประทานพระโอรสองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่เชื่อในพระโอรสนั้นจะไม่พินาศ แต่จะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน 17เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ใช้พระโอรสของพระองค์เข้ามาในโลกเพื่อจะพิพากษา แต่เพื่อช่วยโลกให้หลุดพ้นโดยพระโอรสนั้น 18ผู้ที่เชื่อในพระโอรสก็ไม่ต้องถูกพิพากษา แต่ผู้ที่มิได้เชื่อก็ต้องถูกพิพากษาอยู่แล้ว เพราะเขามิได้เชื่อในนามพระโอรสองค์เดียวของพระเจ้า 19หลักของการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะกิจการของเขาชั่ว 20เพราะทุกคนที่ประพฤติชั่วก็เกลียดความสว่าง และไม่มาถึงความสว่าง ด้วยกลัวว่าการกระทำของตนจะถูกตำหนิ 21แต่ผู้ที่ประพฤติตามความจริงก็มาสู่ความสว่าง เพื่อจะให้การกระทำของตนปรากฏว่า ได้กระทำการนั้นโดยพึ่งพระเจ้า”
22ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้พระเยซูก็เข้าไปในแคว้นยูเดียกับศิษย์ของพระองค์ และพักอยู่ที่นั่นกับเขา และได้ทำพิธีมุดน้ำ 23ยอห์นก็ทำพิธีมุดน้ำอยู่ที่อายโนนใกล้หมู่บ้านสาลิมเหมือนกัน เพราะที่นั่นมีน้ำมาก และผู้คนก็พากันมาทำพิธีมุดน้ำ 24เพราะยอห์นยังไม่ติดคุก 25ได้เกิดการโต้เถียงกันขึ้นระหว่างศิษย์ของยอห์นกับพวกยิวเรื่องการชำระ 26ศิษย์ของยอห์นจึงไปหาท่านและพูดว่า “อาจารย์ครับ ท่านผู้ที่อยู่กับอาจารย์ฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้น ผู้ที่อาจารย์เป็นพยานถึงนั้น ตอนนี้ ท่านผู้นั้นได้ทำพิธีมุดน้ำ และคนทั้งปวงก็พากันไปหา” 27ยอห์นตอบว่า “มนุษย์จะรับสิ่งใดไม่ได้ นอกจากที่พระเจ้าประทานจากสวรรค์ให้เขา 28พวกเจ้าทั้งหลายเองก็ได้เป็นพยานของข้าฯว่า ข้าฯได้พูดว่า ข้าฯมิใช่พระศรีอาริย์ แต่ข้าฯได้รับคำสั่งให้นำหน้าท่านผู้นั้น 29ท่านผู้ที่มีเจ้าสาวนั่นแหละคือเจ้าบ่าว แต่สหายของเจ้าบ่าวที่ยืนฟังเจ้าบ่าว ก็ชื่นชมยินดีอย่างยิ่งเมื่อได้ยินเสียงของเจ้าบ่าว ฉะนั้นความปีติยินดีของข้าฯจึงเต็มเปี่ยมแล้ว 30ท่านผู้นั้นต้องยิ่งใหญ่ขึ้น แต่ข้าฯต้องด้อยลง”
31ท่านผู้มาจากเบื้องบนเป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง ผู้ที่มาจากโลกก็เป็นฝ่ายโลก และพูดตามอย่างโลก ท่านผู้มาจากสวรรค์เป็นใหญ่เหนือทุกสิ่ง 32ท่านเป็นพยานถึงสิ่งซึ่งท่านเห็น และได้ยิน แต่ไม่มีผู้ใดรับคำพยานของท่าน 33ผู้ที่รับคำพยานของท่านก็ประทับตราลงว่า พระเจ้าทรงสัตย์จริง 34เพราะท่านผู้ที่พระเจ้าใช้มานั้น กล่าวธรรมะของพระเจ้า เพราะพระเจ้ามิได้ประทานพระวิญญาณอย่างจำกัด 35พระบิดารักพระโอรสและมอบทุกสิ่งไว้ในมือของท่าน 36ผู้ที่เชื่อในพระโอรสก็ได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน ผู้ที่ไม่เชื่อก็จะไม่เห็นชีวิต แต่พระพิโรธของพระเจ้าตกอยู่กับเขา
1เหตุฉะนั้นเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้ารู้ว่า พวกฟาริสีได้ยินว่า พระเยซูมีศิษย์ และทำพิธีมุดน้ำมากกว่ายอห์น 2(ความจริงพระเยซูไม่ได้ทำพิธีมุดน้ำด้วยพระองค์เอง แต่ศิษย์ของพระองค์เป็นผู้ทำ) 3พระองค์จึงออกจากแคว้นยูเดีย และกลับไปยังแคว้นกาลิลีอีก 4พระองค์จำต้องเดินทางผ่านแคว้นสะมาเรีย 5พระองค์จึงไปถึงเมืองหนึ่งชื่อสิคาร์ในแคว้นสะมาเรีย ใกล้ที่ดินซึ่งยาโคบให้แก่โยเซฟลูกชายของตน 6บ่อน้ำของยาโคบอยู่ที่นั่น พระเยซูเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย จึงนั่งพักบนขอบบ่อนั้น เป็นเวลาประมาณเที่ยง
7มีหญิงชาวสะมาเรียคนหนึ่งมาตักน้ำ พระเยซูพูดกับนางว่า “ขอน้ำให้เราดื่มหน่อยนะ” 8(ขณะนั้นศิษย์ของพระองค์เข้าไปซื้ออาหารในเมือง) 9หญิงชาวสะมาเรียพูดกับพระองค์ว่า “ทำไมท่านผู้เป็นยิวจึงขอน้ำดื่มจากข้าฯ ผู้เป็นหญิงชาวสะมาเรีย เพราะพวกยิวไม่คบหาชาวสะมาเรียเลยมิใช่หรือ?” 10พระเยซูตอบนางว่า “ถ้าเจ้าได้รู้จักของประทานของพระเจ้า และรู้จักผู้ที่พูดกับเจ้าว่า ‘ขอน้ำให้เราดื่มหน่อยนะ’ เจ้าจะได้ขอจากท่านผู้นั้น และท่านผู้นั้นจะให้น้ำประกอบด้วยชีวิตแก่เจ้า” 11นางพูดกับพระองค์ว่า “ท่านเจ้าขา ท่านไม่มีถังตัก และบ่อนี้ก็ลึก ท่านจะได้น้ำประกอบด้วยชีวิตนั้นมาจากไหน? 12ท่านเป็นใหญ่กว่ายาโคบบรรพบุรุษของเรา ผู้ได้ให้บ่อน้ำนี้แก่เราหรือ? และยาโคบเองก็ได้ดื่มจากบ่อนี้รวมทั้งบุตร และฝูงสัตว์ของท่านด้วย” 13พระเยซูตอบนางว่า “ทุกคนที่ดื่มน้ำนี้จะกระหายอีก 14แต่ผู้ที่ดื่มน้ำซึ่งเราจะให้แก่เขานั้นจะไม่กระหายอีกเลย แต่น้ำซึ่งเราจะให้เขานั้นจะเกิดเป็นบ่อน้ำพุในตัวเขาพลุ่งขึ้นถึงนิพพาน” 15นางบอกพระองค์ว่า “ท่านเจ้าขา ขอน้ำนั้นให้ข้าฯเถิด เพื่อข้าฯจะได้ไม่กระหายอีก และจะได้ไม่ต้องมาตักที่นี่”
16พระเยซูกล่าวกับนางว่า “ไปเรียกสามีของเจ้ามานี่เถิด” 17นางตอบว่า “ข้าฯไม่มีสามีหรอก” พระเยซูกล่าวกับนางว่า “เจ้าพูดถูกแล้วว่า ‘เจ้าไม่มีสามี’ 18เพราะเจ้าได้มีสามีห้าคนแล้ว และคนที่เจ้ามีอยู่เดี๋ยวนี้ก็ไม่ใช่สามีของเจ้า เรื่องนี้เจ้าพูดจริง” 19นางบอกพระองค์ว่า “ท่านเจ้าขา ข้าฯเห็นจริงแล้วว่าท่านเป็นศาสดาพยากรณ์ 20บรรพบุรุษของพวกเรานมัสการที่ภูเขานี้ แต่พวกท่านว่าสถานที่ที่ควรนมัสการนั้นคือกรุงเยรูซาเล็ม” 21พระเยซูพูดกับนางว่า “หญิงเอ๋ย เชื่อเราเถิด จะมีเวลาหนึ่งที่พวกเจ้าจะมิได้นมัสการพระเจ้าเฉพาะที่ภูเขานี้ หรือที่กรุงเยรูซาเล็ม 22ซึ่งพวกเจ้านมัสการนั้นเจ้าไม่รู้จัก ซึ่งพวกเรานมัสการเรารู้จัก เพราะความหลุดพ้นนั้นมาจากพวกยิว 23แต่เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่นมัสการอย่างถูกต้อง จะนมัสการพระเจ้าผู้เป็นพ่อด้วยจิตวิญญาณ และความจริง เพราะว่าพระเจ้าผู้เป็นพ่อแสวงหาคนเช่นนั้นนมัสการพระองค์ 24พระเจ้าทรงเป็นพระวิญญาณ และผู้ที่นมัสการพระองค์ต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง” 25นางบอกพระองค์ว่า “ข้าฯทราบว่าพระเมสสิยาห์ที่เรียกว่า พระศรีอาริย์จะมา เมื่อพระองค์มา พระองค์จะชี้แจงทุกสิ่งแก่เรา” 26พระเยซูกล่าวกับนางว่า “เราที่พูดกับเจ้าคือท่านผู้นั้น”
27ขณะนั้นศิษย์ของพระองค์ก็มาถึง และเขาประหลาดใจที่พระองค์สนทนากับผู้หญิง แต่ไม่มีใครถามว่า “พระองค์ประสงค์อะไร?” หรือ “ทำไมพระองค์จึงสนทนากับนาง?” 28หญิงนั้นจึงทิ้งหม้อน้ำไว้ และเข้าไปในเมืองและบอกคนทั้งปวงว่า 29“มาดูท่านผู้หนึ่งที่เล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้กระทำ ท่านผู้นี้มิใช่พระศรีอาริย์หรือ” 30คนทั้งหลายจึงพากันออกจากเมืองไปหาพระองค์
31ในระหว่างนั้นพวกศิษย์เชิญพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ เชิญรับประทานครับ” 32แต่พระองค์กล่าวกับเขาว่า “เรามีอาหารรับประทานที่ท่านทั้งหลายไม่รู้” 33พวกศิษย์จึงถามกันว่า “มีใครเอาอาหารมาให้อาจารย์แล้วหรือ?” 34พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “อาหารของเราคือการกระทำตามใจของผู้ใช้เรามา และทำให้งานของท่านสำเร็จ 35พวกเจ้าทั้งหลายว่า อีกสี่เดือนจะถึงฤดูเกี่ยวข้าวมิใช่หรือ? ดูเถิด เราบอกพวกเจ้าว่า เงยหน้าขึ้นดูนาเถิด ว่าทุ่งนาก็เหลืองอร่าม ถึงเวลาเกี่ยวแล้ว 36คนที่เกี่ยวก็กำลังได้รับค่าจ้าง และกำลังสระสมพืชผลไว้สำหรับนิพพาน เพื่อทั้งคนหว่าน และคนเกี่ยวจะชื่นชมยินดีด้วยกัน 37เพราะในเรื่องนี้คำที่กล่าวไว้นี้เป็นความจริง คือ ‘คนหนึ่งหว่าน และอีกคนหนึ่งเกี่ยว’ 38เราใช้พวกเจ้าไปเกี่ยวสิ่งที่พวกเจ้ามิได้ลงแรงทำ คนอื่นได้ลงแรงทำ และพวกเจ้าได้ประโยชน์จากแรงของเขา”
39ชาวสะมาเรียเป็นอันมากที่มาจากเมืองนั้นได้เชื่อในพระองค์ เพราะคำพยานของหญิงผู้นั้น ที่ว่า “ท่านเล่าถึงสิ่งสารพัดซึ่งฉันได้กระทำ” 40ฉะนั้นเมื่อชาวสะมาเรียมาถึงพระองค์ เขาจึงเชิญพระองค์ให้พักอยู่กับเขา และพระองค์ก็พักอยู่ที่นั่นสองวัน 41และคนเป็นอันมากได้เชื่อเพราะถ้อยคำของพระองค์ 42เขาเหล่านั้นพูดกับหญิงนั้นว่า “ตั้งแต่นี้ไปที่เราเชื่อนั้นมิใช่เพราะคำของเจ้า แต่เพราะเราได้ยินเอง และเรารู้แน่ว่าท่านผู้นี้เป็นผู้ช่วยโลกให้หลุดพ้น พระองค์คือพระศรีอาริย์”
43ครั้นล่วงไปสองวัน พระองค์ก็ออกจากที่นั่นไปยังแคว้นกาลิลี 44เพราะพระเยซูเองเป็นพยานว่า “ศาสดาพยากรณ์ไม่ได้รับเกียรติในเมืองของตน” 45ฉะนั้นเมื่อพระองค์เดินทางไปถึงแคว้นกาลิลี ชาวกาลิลีได้ต้อนรับพระองค์ เพราะเขาได้เห็นทุกสิ่งซึ่งพระองค์ได้กระทำในเทศกาลเลี้ยง ณ กรุงเยรูซาเล็ม เพราะเขาทั้งหลายได้ไปในเทศกาลเลี้ยงนั้นด้วย
46ฉะนั้นพระเยซูจึงได้ไปยังหมู่บ้านคานาแคว้นกาลิลีอีก อันเป็นที่ซึ่งพระองค์ได้กระทำให้น้ำกลายเป็นเหล้าองุ่น และที่เมืองคาเปอรนาอุมมีสมาชิกสภาศาสนาคนหนึ่ง บุตรชายของเขาป่วยหนัก 47เมื่อเขาได้ยินข่าวว่า พระเยซูเดินทางจากแคว้นยูเดียไปยังแคว้นกาลิลีแล้ว เขาจึงไปอ้อนวอนพระองค์ให้ลงไปรักษาลูกชายของเขา เพราะลูกชายจวนจะตายแล้ว 48พระเยซูจึงกล่าวกับเขาว่า “ถ้าพวกเจ้าไม่เห็นหมายสำคัญ และการมหัศจรรย์ เจ้าก็จะไม่เชื่อ” 49สมาชิกสภาศาสนาผู้นั้นบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ขอได้ไปก่อนที่ลูกชายของผมจะตาย” 50พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “กลับไปเถิด ลูกชายของท่านจะไม่ตาย” เขาก็เชื่อคำที่พระเยซูบอกกับเขา จึงได้บอกลาไป 51ขณะที่เขากลับไปนั้น พวกผู้รับใช้ของเขาได้มาพบ และบอกว่า “ลูกชายของท่านหายแล้ว” 52เขาจึงถามถึงเวลาที่บุตรค่อยทุเลาขึ้นนั้น และพวกผู้รับใช้ก็บอกเขาว่า “ไข้หายเมื่อวานนี้เวลาบ่ายโมง” 53เขาจึงรู้ว่าชั่วโมงนั้นเป็นเวลาที่พระเยซูได้บอกกับเขาว่า “ลูกชายของท่านจะไม่ตาย” และเขาเองก็เชื่อพร้อมทั้งครัวเรือนด้วย 54นี่เป็นการอัศจรรย์ที่สองซึ่งพระเยซูกระทำ เมื่อพระองค์เดินทางจากแคว้นยูเดียไปยังแคว้นกาลิลี
1หลังจากนั้นก็ถึงเทศกาลของพวกยิว และพระเยซูก็ได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 2ในกรุงเยรูซาเล็มที่ริมประตูแกะมีสระอยู่สระหนึ่ง ภาษาฮีบรูเรียกสระนั้นว่า เบธซาธา เป็นที่ซึ่งมีศาลาห้าหลัง 3ในศาลาเหล่านั้นมีคนป่วยเป็นอันมากนอนอยู่ คนตาบอด คนง่อย คนผอมแห้ง กำลังคอยน้ำกระเพื่อม 4ด้วยมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งลงมากวนน้ำในสระนั้นเป็นครั้งคราว เมื่อน้ำกระเพื่อมนั้น ผู้ใดก้าวลงไปในน้ำก่อน ก็จะหายจากโรคที่เขาเป็นอยู่นั้น 5ที่นั่นมีชายคนหนึ่งป่วยมาสามสิบแปดปีแล้ว 6เมื่อพระเยซูเห็นชายคนนั้นนอนอยู่และล่วงรู้ว่า เขาป่วยอยู่อย่างนั้นนานแล้ว พระองค์กล่าวกับเขาว่า “เจ้าอยากจะหายโรคหรือ?” 7คนป่วยนั้นตอบพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ เมื่อน้ำกำลังกระเพื่อมนั้น ไม่มีผู้ใดที่จะเอาตัวผมลงไปในสระ และเมื่อผมกำลังไป คนอื่นก็ลงไปก่อนแล้ว” 8พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “จงลุกขึ้นยกแคร่ของเจ้าและเดินไปเถิด” 9ในทันใดนั้นคนนั้นก็หายโรค และเขาก็ยกแคร่ของเขาเดินไป วันนั้นเป็นวันศีล 10ดังนั้นพวกยิวจึงพูดกับชายที่หายโรคนั้นว่า “วันนี้เป็นวันศีล ที่เจ้าแบกแคร่ไปนั้นก็ผิดศีล” 11คนนั้นจึงตอบเขาเหล่านั้นว่า “ผู้ที่รักษาข้าฯให้หายโรคได้สั่งข้าฯว่า ‘จงยกแคร่ของเจ้าแบกเดินไปเถิด’” 12เขาเหล่านั้นถามคนนั้นว่า “คนที่สั่งเจ้าว่า ‘จงยกแคร่ของเจ้าแบกเดินไปเถิด’ นั้น เป็นผู้ใด?” 13คนที่ได้รับการรักษาให้หายโรคนั้นไม่รู้ว่าเป็นผู้ใด เพราะพระเยซูได้หลบไปแล้ว เนื่องจากขณะนั้นมีคนอยู่ที่นั่นเป็นอันมาก 14ภายหลังพระเยซูได้พบคนนั้นในพระวิหารและกล่าวกับเขาว่า “เจ้าหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีกนะ มิฉะนั้นเหตุร้ายกว่านั้นจะเกิดกับเจ้า”
15ชายคนนั้นก็ได้ออกไปและบอกพวกยิวว่า ผู้ที่ได้รักษาเขาให้หายโรคนั้นคือเยซู 16เหตุฉะนั้นพวกยิวจึงข่มเหงพระเยซู และแสวงหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ เพราะพระองค์กระทำเช่นนั้นในวันศีล 17แต่พระเยซูตอบเขาว่า “พ่อของเราก็ยังทำการอยู่จนถึงบัดนี้ และเราก็ทำด้วย” 18เหตุฉะนั้นพวกยิวยิ่งแสวงหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ มิใช่เพราะพระองค์ล่วงกฎวันศีลเท่านั้น แต่ยังได้เรียกพระเจ้าว่าเป็นพ่อของตนด้วย ซึ่งเป็นการกระทำตนเสมอกับพระเจ้า
19ดังนั้นพระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ลูกจะกระทำสิ่งใดตามใจไม่ได้ นอกจากที่ได้เห็นพ่อกระทำ เพราะสิ่งใดที่พ่อกระทำ สิ่งนั้นลูกจึงกระทำด้วย 20เพราะว่าพ่อรักลูก และสำแดงให้ลูกเห็นทุกสิ่งที่พ่อกระทำ และพ่อจะสำแดงให้ลูกเห็นการที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพื่อพวกเจ้าทั้งหลายจะประหลาดใจ 21เพราะพ่อทำให้คนที่ตายแล้วเป็นขึ้นมา และมีชีวิตฉันใด ถ้าพ่ออยากจะกระทำให้ผู้ใดมีชีวิตก็จะกระทำเหมือนกันฉันนั้น 22เพราะว่าพ่อมิได้พิพากษาผู้ใด แต่ท่านได้มอบการพิพากษาทั้งสิ้นไว้กับลูก 23เพื่อคนทั้งปวงจะได้ให้เกียรติแก่ลูกเหมือนที่เขาให้เกียรติแด่พ่อ ผู้ใดไม่ให้เกียรติแก่ลูก ผู้นั้นก็ไม่ให้เกียรติแก่พ่อผู้ใช้ลูกมา 24เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า ถ้าผู้ใดฟังคำของเรา และเชื่อในพระเจ้าผู้เป็นพ่อผู้ใช้เรามา ผู้นั้นก็จะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน และไม่ถูกพิพากษา แต่ได้ผ่านพ้นความตายไปสู่นิพพานแล้ว
25เราบอกความจริงต่อพวกเจ้าว่า เวลาที่กำหนดนั้นใกล้จะถึงแล้ว และบัดนี้ก็ถึงแล้ว คือเมื่อผู้ที่ตายแล้วจะได้ยินเสียงแห่งพระโอรสของพระเจ้า และบรรดาผู้ที่ได้ยินจะมีชีวิต 26เพราะว่าพระเจ้าผู้เป็นพ่อมีชีวิตในพระองค์เองฉันใด พระองค์ก็ได้ประทานให้พระโอรสมีชีวิตในพระองค์ฉันนั้น 27และได้ประทานให้พระโอรสมีสิทธิอำนาจที่จะพิพากษาด้วย เพราะท่านเป็นบุตรมนุษย์ 28อย่าประหลาดใจในข้อนี้เลย เพราะใกล้จะถึงเวลาที่บรรดาผู้ที่อยู่ในอุโมงค์ฝังศพจะได้ยินเสียงของท่าน 29และจะได้ออกมา บรรดาผู้ที่ได้ประพฤติดีก็ฟื้นขึ้นสู่ชีวิต บรรดาผู้ที่ได้ประพฤติชั่วก็จะฟื้นขึ้นสู่การพิพากษา
30เราจะทำสิ่งใดตามอำเภอใจไม่ได้ เราได้ยินอย่างไร เราก็พิพากษาอย่างนั้น และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเรามิได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของพระเจ้าผู้เป็นพ่อผู้ใช้เรามา 31ถ้าเราเป็นพยานถึงตัวเราเอง คำพยานของเราก็ไม่จริง 32มีอีกผู้หนึ่งที่เป็นพยานถึงเรา และเรารู้ว่าคำพยานที่ท่านเป็นพยานถึงเรานั้น เป็นความจริง 33พวกเจ้าทั้งหลายได้ใช้คนไปหายอห์น และยอห์นก็ได้เป็นพยานถึงความจริง 34เรามิได้รับคำพยานจากมนุษย์ แต่ที่เรากล่าวสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อให้พวกเจ้าทั้งหลายหลุดพ้น
35ยอห์นเป็นโคมไฟที่จุดสว่างไสว และพวกเจ้าทั้งหลายก็พอใจที่จะชื่นชมยินดีชั่วขณะหนึ่งในความสว่างของยอห์นนั้น 36แต่คำพยานที่เรามีนั้นยิ่งใหญ่กว่าคำพยานของยอห์น เพราะว่างานที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อมอบให้เราทำให้สำเร็จ งานนี้แหละเรากำลังทำอยู่เป็นพยานถึงเราว่าพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราใช้เรามา 37และพระเจ้าผู้เป็นพ่อผู้ใช้เรามา ท่านเองก็ได้เป็นพยานถึงเรา พวกเจ้าทั้งหลายไม่เคยได้ยินเสียงของท่าน และไม่เคยเห็นรูปร่างของท่าน 38และพวกเจ้าทั้งหลายไม่มีธรรมะอยู่ในตัวพวกเจ้า เพราะว่าพวกเจ้าทั้งหลายมิได้เชื่อในผู้ที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อใช้มานั้น 39จงค้นดูในคัมภีร์ เพราะพวกเจ้าคิดว่าในคัมภีร์นั้นมีหนทางไปสู่นิพพาน และคัมภีร์นั้นเป็นพยานถึงเรา 40แต่พวกเจ้าทั้งหลายไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน 41เราไม่รับเกียรติจากมนุษย์ 42แต่เรารู้ว่าพวกเจ้าไม่มีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาของพระเจ้าในตัวพวกเจ้า 43เราได้มาในนามพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และพวกเจ้าทั้งหลายมิได้รับเรา ถ้าผู้อื่นจะมาในนามของเขาเอง พวกเจ้าทั้งหลายก็จะรับผู้นั้น 44ผู้ที่ได้รับยศศักดิ์จากกันเอง และมิได้แสวงหายศศักดิ์ซึ่งมาจากพระเจ้าเท่านั้น พวกเจ้าจะเชื่อผู้นั้นได้อย่างไร 45อย่าคิดว่าเราจะฟ้องท่านทั้งหลายต่อพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา มีผู้ฟ้องพวกเจ้าแล้ว คือโมเสส ผู้ซึ่งพวกเจ้าทั้งหลายหวังใจอยู่ 46ถ้าพวกเจ้าเชื่อโมเสส พวกเจ้าก็จะเชื่อเรา เพราะโมเสสได้เขียนกล่าวถึงเรา 47แต่ถ้าพวกเจ้าไม่เชื่อเรื่องที่โมเสสเขียนแล้ว พวกเจ้าจะเชื่อถ้อยคำของเราอย่างไรได้”
1ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้พระเยซูก็ไปข้ามทะเลกาลิลี คือทะเลทิเบเรียส 2คนเป็นอันมากได้ตามพระองค์ไป เพราะเขาเหล่านั้นได้เห็นหมายสำคัญ ที่พระองค์ได้กระทำต่อบรรดาคนป่วย 3พระเยซูได้ขึ้นไปบนภูเขา และพักอยู่กับเหล่าศิษย์ของพระองค์ที่นั่น 4ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาซึ่งเป็นงานเลี้ยงของพวกยิวแล้ว
5เมื่อพระเยซูเห็นคนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ พระองค์จึงพูดกับฟีลิปว่า “เราจะซื้ออาหารที่ไหนให้คนเหล่านี้กินได้” 6พระองค์พูดอย่างนั้นเพื่อจะลองใจฟีลิป เพราะพระองค์รู้แล้วว่าจะทำอย่างไร 7ฟีลิปตอบพระองค์ว่า “สองร้อยเหรียญเดนาริอันก็ไม่พอซื้ออาหารให้เขากินกันคนละเล็กละน้อยนะครับ” 8ศิษย์คนหนึ่งของพระองค์ คืออันดรูว์น้องชายของซีโมนเปโตรบอกพระองค์ว่า 9“ที่นี่มีเด็กชายคนหนึ่งมีขนมปังห้าก้อนกับปลาเล็ก ๆ สองตัว แต่เท่านั้นจะพออะไรกับคนมากอย่างนี้” 10พระเยซูกล่าวว่า “ให้คนทั้งปวงนั่งลงเถิด” ที่นั่นมีหญ้ามาก คนเหล่านั้นจึงนั่งลง นับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน 11แล้วพระเยซูก็หยิบขนมปังนั้น และเมื่อขอบพระคุณแล้ว ก็แจกจ่ายแก่พวกศิษย์ และพวกศิษย์แจกจ่ายแก่บรรดาคนที่นั่งอยู่นั้น และให้ปลาด้วยตามที่เขาอยากได้ 12เมื่อเขาทั้งหลายกินอิ่มแล้ว พระองค์กล่าวกับเหล่าศิษย์ของพระองค์ว่า “จงเก็บเศษอาหารที่เหลือไว้ เพื่อไม่ให้มีสิ่งใดเสียไป” 13เขาจึงเก็บเศษขนมปังห้าก้อนซึ่งเหลือจากที่คนทั้งหลายได้กินแล้วนั้น ใส่กระบุงได้สิบสองกระบุงเต็ม 14เมื่อคนเหล่านั้นได้เห็นการอัศจรรย์ซึ่งพระเยซูได้กระทำ เขาก็พูดกันว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นศาสดาพยากรณ์นั้นที่พระเจ้ากำหนดไว้ให้เข้ามาในโลก”
15เมื่อพระเยซูรู้ว่า เขาทั้งหลายจะมาจับพระองค์ไปตั้งให้เป็นกษัตริย์ พระองค์ก็ไปที่ภูเขาอีกแต่ลำพัง
16พอค่ำลงเหล่าศิษย์ของพระองค์ก็ได้ลงไปที่ทะเล 17แล้วลงเรือข้ามฟากไปยังเมืองคาเปอรนาอุม มืดแล้วแต่พระเยซูก็ยังมิได้เดินทางไปถึงเขา 18ทะเลก็กำเริบขึ้นเพราะลมพัดแรง 19เมื่อเขาทั้งหลายตีกรรเชียงไปได้ประมาณห้าหกกิโลเมตร เขาก็เห็นพระเยซูเดินมาบนน้ำทะเลใกล้เรือ เขาต่างก็ตกใจกลัว 20แต่พระองค์กล่าวแก่เขาว่า “เราเอง ๆ อย่ากลัวเลย” 21ดังนั้นเขาจึงรับพระองค์ขึ้นเรือด้วยความเต็มใจ แล้วทันใดนั้นเรือก็ถึงฝั่งที่เขาจะไปนั้น
22วันรุ่งขึ้น เมื่อคนที่อยู่ฝั่งข้างโน้นเห็นว่าไม่มีเรืออื่นที่นั่น เว้นแต่ลำที่เหล่าศิษย์ของพระองค์ลงไปเพียงลำเดียว และเห็นว่าพระเยซูมิได้ลงเรือลำนั้นไปกับเหล่าศิษย์ แต่เหล่าศิษย์ของพระองค์ไปตามลำพังเท่านั้น 23แต่มีเรือลำอื่นมาจากทิเบเรียส ใกล้สถานที่ที่เขาได้กินขนมปัง หลังจากที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ขอบพระคุณพระเจ้าแล้ว 24เหตุฉะนั้นเมื่อประชาชนเห็นว่า พระเยซูและเหล่าศิษย์ไม่ได้อยู่ที่นั่น เขาจึงลงเรือไปและตามหาพระเยซูที่เมืองคาเปอรนาอุม
25ครั้นเขาได้พบพระองค์ที่ฝั่งทะเลข้างโน้นแล้ว เขาทั้งหลายถามพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์มาที่นี่เมื่อไหร่?” 26พระเยซูตอบเขาว่า “เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า พวกเจ้าตามหาเรามิใช่เพราะได้เห็นการอัศจรรย์นั้น แต่เพราะได้กินขนมปังอิ่ม 27อย่าแสวงหาอาหารที่เสื่อมสูญไป แต่จงหาอาหารที่ยั่งยืนอยู่จนถึงนิพพานซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่พวกเจ้า เพราะพระเจ้าคือพ่อของเราได้ประทับตรามอบอำนาจแก่พระโอรสแล้ว” 28แล้วเขาทั้งหลายก็บอกพระองค์ว่า “พวกข้าฯจะต้องทำอย่างไร จึงจะทำงานของพระเจ้าได้” 29พระเยซูตอบเขาว่า “งานของพระเจ้านั้นคือการที่พวกเจ้าเชื่อพึ่งอาศัยในผู้ที่พระเจ้าใช้มานั้น” 30เขาทั้งหลายจึงบอกกับพระองค์ว่า “ถ้าเช่นนั้น ท่านจะกระทำหมายสำคัญอะไร เพื่อพวกข้าฯจะเห็นและเชื่อในท่าน ท่านจะกระทำการอะไรบ้าง 31บรรพบุรุษของพวกข้าฯได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารนั้น ตามที่มีคำเขียนไว้ว่า ‘ท่านได้ให้เขากินอาหารทิพย์จากฟ้าสวรรค์’” 32พระเยซูจึงกล่าวกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า มิใช่โมเสสที่ให้อาหารทิพย์จากฟ่าสวรรค์นั้นแก่ท่าน แต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราได้ให้อาหารแท้ซึ่งมาจากฟ้าสวรรค์ให้แก่พวกเจ้าทั้งหลาย 33เพราะว่าอาหารของพระเจ้านั้น คือผู้ที่ลงมาจากฟ้าสวรรค์ และมอบชีวิตให้แก่โลก” 34เขาทั้งหลายจึงบอกกับพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ โปรดให้อาหารนั้นแก่พวกข้าฯเสมอไปเถิด”
35พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต ผู้ที่มาหาเราจะไม่หิวอีก และผู้ที่เชื่อพึ่งอาศัยในเราจะไม่กระหายอีกเลย 36แต่เราได้บอกพวกเจ้าแล้วว่า พวกเจ้าได้เห็นเราแล้วแต่ก็ไม่เชื่อ 37สารพัดที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อมอบแก่เรา จะมาหาเรา และผู้ที่มาหาเรา เราก็จะไม่ทิ้งเขาเลย 38เพราะว่าเราได้ลงมาจากสวรรค์ มิใช่เพื่อกระทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อกระทำตามประสงค์ของผู้ใช้เรามา 39และความประสงค์ของผู้ใช้เรามานั้น ก็คือให้เรารักษาบรรดาผู้ที่ท่านได้มอบไว้กับเรา มิให้หายไปสักคนเดียว แต่ให้เป็นขึ้นมาจากความตายในวันที่สุด 40เพราะนี่แหละเป็นความประสงค์ของผู้ที่ใช้เรามานั้น ที่จะให้ทุกคนที่เห็นพระโอรส และเชื่อพึ่งอาศัยในพระโอรสนั้นได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาจากตายในวันสุดท้าย”
41พวกยิวจึงบ่นพึมพำกันเรื่องพระองค์ เพราะพระองค์กล่าวว่า “เราเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์” 42เขาทั้งหลายว่า “คนนี้เป็นเยซูลูกชายของโยเซฟมิใช่หรือ? พ่อแม่ของเขาเราก็รู้จัก เหตุใดคนนี้จึงพูดว่า ‘เราได้ลงมาจากสวรรค์’” 43พระเยซูจึงตอบเขาเหล่านั้นว่า “อย่าบ่นกันเลย 44ไม่มีผู้ใดมาถึงเราได้นอกจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ผู้ใช้เรามาจะชักนำให้เขามา และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาจากตายในวันสุดท้าย 45มีคำเขียนไว้ในคัมภีร์หมวดศาสดาพยากรณ์ว่า ‘ทุกคนจะเรียนรู้จากพระเจ้า’ เหตุฉะนั้นทุกคนที่ได้ยินได้ฟัง และได้เรียนรู้จากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราก็มาถึงเรา 46ไม่มีผู้ใดได้เห็นพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา นอกจากผู้ที่มาจากพ่อ ผู้นั้นแหละได้เห็นพ่อแล้ว 47เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อพึ่งอาศัยในเราก็ได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน 48เราเป็นอาหารแห่งชีวิตนั้น 49บรรพบุรุษของท่านทั้งหลายได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารและสิ้นชีวิต 50แต่นี่เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์ เพื่อให้ผู้ที่ได้กินแล้วไม่ตาย 51เราเป็นอาหารที่ดำรงชีวิตซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดกินอาหารนี้ ผู้นั้นจะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน และอาหารที่เราจะให้เพื่อเป็นชีวิตของโลกนั้นก็คือเลือดเนื้อของเรา”
52แล้วพวกยิวก็ทุ่มเถียงกันว่า “ผู้นี้จะเอาเนื้อของเขาให้เรากินได้อย่างไร?” 53พระเยซูจึงกล่าวกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า ถ้าพวกเจ้าไม่กินเนื้อและดื่มเลือดของบุตรมนุษย์ พวกเจ้าก็ไม่มีชีวิต 54ผู้ที่กินเนื้อและดื่มเลือดของเราก็ได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน และเราจะให้ผู้นั้นเป็นขึ้นมาจากตายในวันสุดท้าย 55เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และเลือดของเราก็เป็นเครื่องดื่มแท้ 56ผู้ที่กินเนื้อ และดื่มเลือดของเรา ผู้นั้นก็อยู่ในเราและเราอยู่ในเขา 57พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราผู้มีชีวิตอยู่ได้ใช้เรามา และเรามีชีวิตเพราะพ่อของเรานั้นฉันใด ผู้ที่กินเรา ผู้นั้นก็จะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น 58นี่แหละเป็นอาหารซึ่งลงมาจากสวรรค์ ไม่เหมือนกับมานาที่พวกบรรพบุรุษของพวกเจ้าได้กิน และสิ้นชีวิต ผู้ที่กินอาหารนี้จะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน” 59คำเหล่านี้พระองค์ได้กล่าวในวัดหรือสุเหร่าของพวกยิว ขณะที่พระองค์สั่งสอนอยู่ที่เมืองคาเปอรนาอุม
60ดังนั้นเมื่อเหล่าศิษย์ของพระองค์หลายคนได้ฟังเช่นนั้นก็พูดว่า “ถ้อยคำเหล่านี้ยากนัก ใครจะเข้าใจได้” 61เมื่อพระเยซูรู้ว่าเหล่าศิษย์ของพระองค์บ่นถึงเรื่องนั้น พระองค์จึงกล่าวกับเขาว่า “เรื่องนี้ทำให้พวกเจ้าทั้งหลายลำบากใจหรือ? 62ถ้าพวกเจ้าจะได้เห็นบุตรมนุษย์ขึ้นไปยังที่ที่ท่านอยู่แต่ก่อนนั้น พวกเจ้าจะว่าอย่างไร? 63จิตวิญญาณเป็นที่ให้มีชีวิต ส่วนเนื้อหนังไม่มีประโยชน์อันใด ถ้อยคำซึ่งเราได้กล่าวกับพวกเจ้าทั้งหลายนั้น เป็นจิตวิญญาณและเป็นชีวิต 64แต่ในพวกเจ้าบางคนที่ไม่เชื่อ” เพราะพระเยซูล่วงรู้ตั้งแต่แรกว่าผู้ใดไม่เชื่อ และเป็นผู้ใดที่จะทรยศพระองค์ไว้ 65และพระองค์กล่าวว่า “เหตุฉะนั้นเราจึงได้บอกพวกเจ้าว่า ‘ไม่มีผู้ใดจะมาถึงเราได้ นอกจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราจะบอกผู้นั้น’”
66ตั้งแต่นั้นมาศิษย์ของพระองค์หลายคนก็ท้อถอยไม่ติดตามพระองค์อีกต่อไป 67พระเยซูกล่าวกับสิบสองคนนั้นว่า “พวกเจ้าก็จะจากเราไปด้วยหรือ?” 68ซีโมนเปโตรทูลตอบพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ พวกผมจะจากไปหาผู้ใดเล่า อาจารย์มีถ้อยคำซึ่งทำให้ได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน 69และพวกผมก็เชื่อและแน่ใจแล้วว่า อาจารย์เป็นพระศรีอาริย์โอรสของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่” 70พระเยซูตอบเขาว่า “เราเลือกพวกท่านสิบสองคนมิใช่หรือ? และคนหนึ่งในพวกท่านเป็นมารร้าย” 71พระองค์หมายถึงยูดาสอิสคาริโอทลูกชายซีโมน เพราะว่าเขาเป็นผู้ที่จะทรยศพระองค์ไว้ คือคนหนึ่งในอัครทูตสิบสองคนนั่นเอง
1ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้พระเยซูก็ได้ไปในแคว้นกาลิลี ด้วยว่าพระองค์ไม่ประสงค์ที่จะไปในแคว้นยูเดีย เพราะพวกยิวหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ 2ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลอยู่เพิงของพวกยิวแล้ว 3พวกน้อง ๆ ของพระองค์จึงพูดกับพระองค์ว่า “จงออกจากที่นี่ไปยังแคว้นยูเดีย เพื่อเหล่าศิษย์ของพี่จะได้เห็นกิจการที่พี่กระทำ 4เพราะว่าไม่มีผู้ใดทำสิ่งใดลับ ๆ เมื่อผู้นั้นอยากให้ตัวปรากฏ ถ้าพี่กระทำการเหล่านี้ก็จงสำแดงตัวให้ปรากฏแก่โลกเถิด”
5แม้พวกน้อง ๆ ของพระองค์ก็มิได้เชื่อในพระองค์ 6พระเยซูกล่าวกับพวกเขาว่า “ยังไม่ถึงเวลาของเรา แต่เวลาของพวกเจ้ามีอยู่เสมอ 7โลกจะเกลียดชังพวกเจ้าไม่ได้ แต่โลกเกลียดชังเรา เพราะเราเป็นพยานว่าการงานของโลกนั้นชั่ว 8พวกเจ้าจงขึ้นไปในเทศกาลนั้นเถิด เราจะยังไม่ขึ้นไปในเทศกาลนั้น เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของเรา” 9เมื่อพระองค์กล่าวเช่นนั้นแก่เขาแล้ว พระองค์ก็ยังพักอยู่ในแคว้นกาลิลี
10แต่เมื่อพวกน้อง ๆ ของพระองค์ขึ้นไปในเทศกาลนั้นแล้ว พระองค์ก็ตามขึ้นไปด้วย แต่ไปอย่างลับ ๆ ไม่เปิดเผย 11พวกยิวจึงมองหาพระองค์ในเทศกาลนั้น และถามว่า “คนนั้นอยู่ที่ไหน” 12และประชาชนก็ซุบซิบกันถึงพระองค์เป็นอันมาก บางคนว่า “เขาเป็นคนดี” คนอื่น ๆ ว่า “มิใช่ เขาเป็นคนหลอกลวงประชาชนต่างหาก” 13แต่ไม่มีผู้ใดอาจพูดถึงพระองค์อย่างเปิดเผย เพราะกลัวพวกยิว
14ครั้นถึงวันกลางเทศกาลนั้น พระเยซูได้เข้าไปในพระวิหารและสั่งสอน 15พวกยิวคิดประหลาดใจและพูดว่า “คนนี้จะรู้ข้อความเหล่านี้ได้อย่างไร? ในเมื่อไม่เคยเรียนเลย” 16พระเยซูจึงตอบเขาว่า “คำสอนของเราไม่ใช่ของเราเอง แต่เป็นของผู้ใช้เรามา 17ถ้าผู้ใดตั้งใจประพฤติตามความประสงค์ของท่าน ผู้นั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนั้นมาจากพระเจ้า หรือว่าเราพูดตามใจชอบของเราเอง 18ผู้ใดที่พูดตามใจชอบของตนเอง ผู้นั้นย่อมแสวงเกียรติสำหรับตนเอง แต่ผู้ที่แสวงเกียรติให้พระเจ้าผู้ใช้ตนมา ผู้นั้นแหละเป็นคนจริง ไม่มีความชั่วอยู่ในเขาเลย 19โมเสสได้ให้ศีลแก่พวกเจ้ามิใช่หรือ และไม่มีผู้ใดในพวกเจ้าประพฤติตามศีลนั้น พวกเจ้าหาโอกาสที่จะฆ่าเราทำไม?” 20คนเหล่านั้นตอบว่า “เจ้ามีผีสิงอยู่ ใครเล่าหาโอกาสจะฆ่าเจ้า” 21พระเยซูตอบเขาว่า “เราได้ทำสิ่งหนึ่งและพวกเจ้าประหลาดใจ 22โมเสสได้ให้ท่านทั้งหลายเข้าสุหนัต (มิใช่ได้มาจากโมเสส แต่มาจากบรรพบุรุษ) และในวันศีลท่านทั้งหลายก็ยังให้คนเข้าสุหนัต 23ถ้าในวันศีลคนยังเข้าสุหนัต เพื่อมิให้ละเมิดศีลของโมเสสแล้ว พวกเจ้าจะโกรธเรา เพราะเราทำให้ชายผู้หนึ่งหายโรคเป็นปกติในวันศีลหรือ? 24อย่าตัดสินตามที่เห็นภายนอก แต่จงตัดสินอย่างยุติธรรมเถิด”
25เพราะฉะนั้นชาวกรุงเยรูซาเล็มบางคนจึงพูดว่า “คนนี้มิใช่หรือที่เขาหาโอกาสจะฆ่าเสีย 26แต่ดูซิ เขากำลังพูดอย่างกล้าหาญ และคนทั้งหลายก็ไม่ได้ว่าอะไรเขาเลย พวกสมาชิกสภาศาสนารู้แน่แล้วหรือว่า คนนี้เป็นพระศรีอาริย์ 27แต่เรารู้ว่าคนนี้มาจากไหน? แต่เมื่อพระศรีอาริย์มานั้น จะไม่มีผู้ใดรู้เลยว่า ท่านมาจากไหน?” 28ดังนั้นพระเยซูจึงประกาศขณะที่สั่งสอนอยู่ในพระวิหารว่า “พวกเจ้ารู้จักเรา และรู้ว่าเรามาจากไหน แต่เรามิได้มาตามลำพังเราเอง แต่พระเจ้าผู้ทรงใช้เรามานั้นทรงสัตย์จริง แต่พวกเจ้าไม่รู้จักพระองค์ 29แต่เรารู้จักพระองค์เพราะเรามาจากพระองค์และพระองค์ใช้เรามา” 30เขาทั้งหลายจึงหาโอกาสที่จะจับพระองค์ แต่ไม่มีผู้ใดยื่นมือแตะต้องพระองค์ เพราะยังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์ 31และมีหลายคนในหมู่ประชาชนนั้นได้เชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์และพูดว่า “เมื่อพระศรีอาริย์มานั้น พระองค์จะกระทำอัศจรรย์มากยิ่งกว่าที่ผู้นี้ได้กระทำหรือ?”
32เมื่อพวกฟาริสีได้ยินประชาชนซุบซิบกันเรื่องพระองค์อย่างนั้น พวกฟาริสีกับพวกมหาปุโรหิตจึงได้ใช้เจ้าหน้าที่ไปจับพระองค์ 33พระเยซูจึงกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “เราจะอยู่กับพวกเจ้าอีกหน่อยหนึ่ง แล้วจะกลับไปหาพระเจ้าผู้ใช้เรามา 34พวกเจ้าจะแสวงหาเราแต่จะไม่พบเรา และที่ซึ่งเราอยู่นั้นท่านจะไปไม่ได้” 35พวกยิวจึงพูดกันว่า “คนนี้จะไปไหน? ที่เราจะหาเขาไม่พบ เขาจะไปหาคนที่กระจัดกระจายไปอยู่ในหมู่พวกต่างชาติ และสั่งสอนพวกต่างชาติหรือ? 36เขาหมายความว่าอย่างไรที่พูดว่า ‘ท่านทั้งหลายจะแสวงหาเราแต่จะไม่พบเรา’ และ ‘ที่ซึ่งเราอยู่นั้นท่านจะไปไม่ได้’”
37ในวันที่สุดท้ายของเทศกาลซึ่งเป็นวันใหญ่นั้น พระเยซูยืนขึ้นและประกาศว่า “ถ้าผู้ใดกระหาย ผู้นั้นจงมาหาเราและดื่ม 38ผู้ที่เชื่อพึ่งอาศัยในเรา ตามที่พระคัมภีร์ได้กล่าวไว้แล้วว่า ‘แม่น้ำที่มีน้ำประกอบด้วยชีวิตที่จะเข้าสู่นิพพานจะไหลออกมาจากภายในผู้นั้น’” 39สิ่งที่พระองค์กล่าวนั้นหมายถึงพระวิญญาณซึ่งผู้ที่เชื่อในพระองค์จะได้รับ เหตุว่ายังไม่ได้ประทานพระวิญญาณให้ เพราะพระเยซูยังมิได้รับสง่าราศี
40เมื่อประชาชนได้ฟังดังนั้น หลายคนจึงพูดว่า “แท้จริง ท่านผู้นี้เป็นศาสดาพยากรณ์นั้น” 41คนอื่น ๆ ก็พูดว่า “ท่านผู้นี้เป็นพระศรีอาริย์” แต่บางคนพูดว่า “พระศรีอาริย์จะมาจากกาลิลีหรือ? 42พระคัมภีร์กล่าวไว้มิใช่หรือว่า พระศรีอาริย์จะมาจากเชื้อสายของกษัตริย์ดาวิด และมาจากหมู่บ้านเบธเลเฮ็มซึ่งกษัตริย์ดาวิดเคยอยู่นั้น” 43เหตุฉะนั้นประชาชนจึงมีความเห็นแตกแยกกันในเรื่องพระองค์ 44บางคนอยากจะจับพระองค์ แต่ไม่มีผู้ใดยื่นมือแตะต้องพระองค์เลย
45เจ้าหน้าที่จึงกลับไปหาพวกมหาปุโรหิต และพวกฟาริสี และพวกนั้นกล่าวกับเจ้าหน้าที่ว่า “ทำไมเจ้าจึงไม่จับเขามา” 46เจ้าหน้าที่ตอบว่า “ไม่เคยมีผู้ใดพูดเหมือนคนนั้นเลย” 47พวกฟาริสีตอบเขาว่า “พวกเจ้าถูกหลอกไปด้วยแล้วหรือ? 48มีผู้ใดในพวกสมาชิกสภาศาสนาหรือพวกฟาริสีเชื่อในผู้นั้นหรือ? 49แต่ประชาชนเหล่านี้ที่ไม่รู้จักศีลก็ต้องถูกสาปแช่งอยู่แล้ว” 50นิโคเดมัส (ผู้ที่ได้มาหาพระเยซูในเวลากลางคืนนั้น และเป็นคนหนึ่งในพวกเขา) ได้กล่าวแก่พวกเขาว่า 51“ในกฎหมายของเราตัดสินคนใดโดยที่ยังไม่ได้ฟังเขาก่อน และรู้ว่าเขาได้ทำอะไรบ้างหรือ?” 52เขาทั้งหลายตอบนิโคเดมัสว่า “เจ้ามาจากกาลิลีด้วยหรือ? จงค้นหาดูเถิด เพราะว่าไม่มีศาสดาพยากรณ์เกิดขึ้นมาจากกาลิลี” 53ต่างคนต่างกลับไปบ้านของตน
1แต่พระเยซูเดินทางไปยังภูเขามะกอกเทศ 2ในตอนเช้าตรู่พระองค์เข้าในพระวิหารอีก และคนทั้งหลายพากันมาหาพระองค์ พระองค์ก็นั่งลงและสั่งสอนเขา 3พวกคัมภีราจารย์ และพวกฟาริสีได้พาผู้หญิงคนหนึ่งมาหาพระองค์ หญิงผู้นี้ถูกจับฐานล่วงประเวณี และเมื่อเขาให้หญิงผู้นี้ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน
4เขาบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ หญิงคนนี้ถูกจับเมื่อกำลังล่วงประเวณีอยู่ 5ในศีลนั้นโมเสสสั่งให้เราเอาหินขว้างคนเช่นนี้ให้ตาย ส่วนอาจารย์จะว่าอย่างไรในเรื่องนี้” 6เขาพูดอย่างนี้เพื่อทดสอบพระองค์ หวังจะหาเหตุฟ้องพระองค์ แต่พระเยซูน้อมกายลงเอานิ้วมือเขียนที่ดิน เหมือนดั่งว่าพระองค์ไม่ได้ยินพวกเขาเลย 7และเมื่อพวกเขายังถามพระองค์อยู่เรื่อย ๆ พระองค์ก็ลุกขึ้นและพูดกับเขาว่า “ผู้ใดในพวกเจ้าที่ไม่มีบาป ก็ให้ผู้นั้นเอาหินขว้างเธอก่อน” 8แล้วพระองค์ก็น้อมกายลงและเอานิ้วมือเขียนที่ดินอีก 9และเมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น จึงรู้สำนึกโดยใจวินิจฉัยผิดชอบ เขาทั้งหลายจึงออกไปทีละคน ๆ เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่จนหมด เหลือแต่พระเยซูตามลำพังกับหญิงที่ยังยืนอยู่ที่นั้น 10เมื่อพระเยซูลุกขึ้นแล้ว และมิได้เห็นผู้ใด เห็นแต่หญิงผู้นั้น พระองค์พูดกับนางว่า “พวกที่ฟ้องเจ้าไปไหนหมดล่ะ ไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ?” 11นางนั้นบอกกับว่า “อาจารย์ขา ไม่มีผู้ใดเลย” และพระเยซูกล่าวกับนางว่า “เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิด และอย่าทำบาปอีกนะ”
12อีกครั้งหนึ่งพระเยซูกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “เราเป็นความสว่างของโลก ผู้ที่ตามเรามาจะไม่เดินในความมืด แต่จะมีความสว่างแห่งชีวิตเข้าสู่นิพพาน” 13พวกฟาริสีจึงกล่าวกับพระองค์ว่า “เจ้าเป็นพยานให้แก่ตัวเอง คำพยานของเจ้าไม่เป็นความจริง” 14พระเยซูตอบเขาว่า “แม้เราเป็นพยานให้แก่ตัวเราเอง คำพยานของเราก็เป็นความจริง เพราะเรารู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ไหน แต่พวกเจ้าไม่รู้ว่าเรามาจากไหนและจะไปที่ไหน 15พวกเจ้าย่อมพิพากษาตามเนื้อหนัง เรามิได้พิพากษาผู้ใด 16แต่ถึงแม้ว่าเราจะพิพากษา การพิพากษาของเราก็ถูกต้อง เพราะเรามิได้พิพากษาโดยลำพัง แต่เราพิพากษาร่วมกับพระเจ้าผู้เป็นพ่อเราผู้ใช้เรามา 17ในกฎหมายของท่านก็มีคำเขียนไว้ว่า ‘คำพยานของสองคนก็เป็นความจริง’ 18เราเป็นพยานให้แก่ตัวเราเอง และพระเจ้าผู้เป็นพ่อเรา ผู้ใช้เรามาก็เป็นพยานให้แก่เรา” 19เหตุฉะนั้นเขาจึงถามพระองค์ว่า “ผู้เป็นพ่อของเจ้าอยู่ที่ไหน” พระเยซูตอบว่า “ตัวเราก็ดี พ่อเราของเราก็ดี พวกเจ้าไม่รู้จัก ถ้าพวกเจ้าจักเรา พวกเจ้าก็จะรู้จักพ่อของเราด้วย” 20พระเยซูกล่าวคำเหล่านี้ที่คลังเงิน เมื่อกำลังสั่งสอนอยู่ในพระวิหาร แต่ไม่มีผู้ใดจับกุมพระองค์ เพราะว่ายังไม่ถึงกำหนดเวลาของพระองค์
21พระเยซูจึงกล่าวกับเขาอีกว่า “เราจะจากไป และพวกเจ้าจะแสวงหาเรา และจะตายในการบาปของพวกเจ้า ที่ซึ่งเราจะไปนั้นพวกเจ้าจะไปไม่ได้” 22พวกยิวจึงพูดกันว่า “เขาจะฆ่าตัวตายหรือ? เพราะเขาพูดว่า ‘ที่ซึ่งเราจะไปนั้นพวกเจ้าจะไปไม่ได้’” 23พระองค์กล่าวกับเขาว่า “พวกเจ้ามาจากเบื้องล่าง เรามาจากเบื้องบน พวกเจ้าเป็นของโลกนี้ เราไม่ได้เป็นของโลกนี้ 24เราจึงบอกพวกเจ้าว่า พวกเจ้าจะตายในการบาปของพวกเจ้า เพราะว่าถ้าพวกเจ้ามิได้เชื่อว่าเราเป็นผู้นั้น พวกเจ้าจะต้องตายในการบาปของตัว” 25เขาจึงถามพระองค์ว่า “เจ้าคือใครเล่า” พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เราเป็นดังที่เราได้บอกพวกเจ้าแต่แรกนั้น 26เราก็ยังมีเรื่องอีกมากที่จะพูดและพิพากษาท่าน แต่ผู้ใช้เรามานั้นเป็นสัตย์จริง และสิ่งที่เราได้ยินจากท่าน เรากล่าวแก่โลก” 27เขาทั้งหลายไม่เข้าใจว่าพระองค์พูดกับเขาถึงเรื่องพระเจ้าซึ่งพ่อของพระองค์ 28พระเยซูจึงกล่าวกับเขาว่า “เมื่อพวกเจ้าจะได้ยกบุตรมนุษย์ขึ้นไว้แล้ว เมื่อนั้นพวกเจ้าก็จะรู้ว่าเราคือผู้นั้น และรู้ว่าเรามิได้ทำสิ่งใดตามใจชอบ แต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ได้สอนเราอย่างไร เราจึงกล่าวอย่างนั้น 29และพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ใช้เรามาก็อยู่กับเรา ท่านมิได้ทิ้งเราไว้ตามลำพัง เพราะว่าเราทำตามใจของท่านเสมอ” 30เมื่อพระองค์กล่าวดังนี้ก็มีคนเป็นอันมากเชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์
31พระเยซูจึงกล่าวกับพวกยิวที่เชื่อในพระองค์แล้วว่า “ถ้าพวกเจ้าอยู่ในคำของเรา พวกเจ้าก็เป็นศิษย์ของเราอย่างแท้จริง 32และพวกเจ้าจะรู้จักความจริง และความจริงนั้นจะทำให้พวกเจ้าเป็นไท” 33เขาทั้งหลายตอบพระองค์ว่า “พวกข้าฯสืบเชื้อสายมาจากอับราฮัมและไม่เคยเป็นทาสใครเลย เหตุไฉนเจ้าจึงกล่าวว่า พวกเจ้าจะเป็นไท” 34พระเยซูตอบเขาทั้งหลายว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ทุกคนที่ทำบาปก็เป็นทาสของบาป 35ทาสนั้นมิได้อยู่ในครัวเรือนตลอดไป พระโอรสต่างหากอยู่ตลอดไป 36เหตุฉะนั้นถ้าท่านจะกระทำให้พวกเจ้าเป็นไท พวกเจ้าก็จะเป็นไทจริง ๆ 37เรารู้ว่าท่านทั้งหลายเป็นเชื้อสายของอับราฮัม แต่พวกเจ้าก็หาโอกาสที่จะฆ่าเราเสีย เพราะคำของเราไม่มีโอกาสเข้าสู่ใจของพวกเจ้า 38เราพูดสิ่งที่เราได้เห็นจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และพวกเจ้าทำสิ่งที่ได้เห็นจากมารผู้เป็นพ่อของพวกเจ้า”
39เขาทั้งหลายจึงตอบพระองค์ว่า “อับราฮัมเป็นบิดาของพวกข้าฯ” พระเยซูกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “ถ้าพวกเจ้าเป็นลูกหลานของอับราฮัมแล้ว พวกเจ้าก็จะทำสิ่งที่อับราฮัมได้กระทำ 40แต่บัดนี้พวกเจ้าหาโอกาสที่จะฆ่าเรา ซึ่งเป็นผู้ที่ได้บอกท่านถึงความจริงที่เราได้ยินมาจากพระเจ้า อับราฮัมมิได้กระทำอย่างนี้ 41พวกเจ้าย่อมทำสิ่งที่มารผู้เป็นพ่อของพวกเจ้าทำ” เขาจึงบอกกับพระองค์ว่า “พวกข้าฯมิได้เกิดจากการล่วงประเวณี พวกข้าฯมีพ่อคนเดียวคือพระเจ้า”
42พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “ถ้าพระเจ้าเป็นพ่อของพวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าก็จะรักเรา เพราะเรามาจากพระเจ้า และอยู่นี่แล้ว เรามิได้มาตามใจชอบของเราเอง แต่ท่านใช้เรามา 43เหตุไฉนพวกเจ้าจึงไม่เข้าใจถ้อยคำที่เราพูด นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าทนฟังคำของเราไม่ได้ 44พวกเจ้ามาจากมารผู้เป็นพ่อของพวกเจ้า และพวกเจ้าอยากจะทำตามความปรารถนาของพ่อพวกเจ้า มันเป็นผู้ฆ่าคนตั้งแต่เดิมมา และมิได้ตั้งอยู่ในความจริง เพราะความจริงมิได้อยู่ในมัน เมื่อมันพูดโกหกมันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้โกหก และเป็นพ่อของการโกหก 45แต่พวกเจ้าทั้งหลายมิได้เชื่อพึ่งอาศัยเรา เพราะเราพูดความจริง 46มีผู้ใดในพวกเจ้าหรือที่ชี้ให้เห็นว่าเราได้ทำบาป และถ้าเราพูดความจริง ทำไมพวกเจ้าจึงไม่เชื่อเรา 47ผู้ที่มาจากพระเจ้าก็ย่อมฟังธรรมะของพระเจ้า เหตุฉะนั้นพวกเจ้าจึงไม่ฟัง เพราะพวกเจ้ามิได้มาจากพระเจ้า”
48พวกยิวจึงตอบพระองค์ว่า “ที่เราพูดว่า เจ้าเป็นชาวสะมาเรียและมีผีสิงนั้น ไม่จริงหรือ?” 49พระเยซูตอบว่า “เราไม่มีผีสิง แต่ว่าเราให้เกียรติแก่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และพวกเจ้าลบหลู่เกียรติเรา 50เรามิได้แสวงหาเกียรติของเราเอง แต่มีผู้หาให้ และท่านผู้นั้นจะพิพากษา 51เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า ถ้าผู้ใดประพฤติตามคำของเรา ผู้นั้นจะไม่พบความตายเลย” 52พวกยิวจึงบอกพระองค์ว่า “เดี๋ยวนี้พวกข้ารู้แล้วว่าเจ้ามีผีสิง อับราฮัมและพวกศาสดาพยากรณ์ก็ตายแล้ว และเจ้าพูดว่า ‘ถ้าผู้ใดประพฤติตามคำของเจ้า ผู้นั้นจะไม่ชิมความตายเลยได้อย่างไร?’ 53เจ้าเป็นใหญ่กว่าอับราฮัมบิดาของพวกข้าฯที่ตายไปแล้วหรือ? พวกศาสดาพยากรณ์นั้นก็ตายไปแล้วด้วย เจ้าอวดอ้างว่าเจ้าเป็นผู้ใดเล่า”
54พระเยซูตอบว่า “ถ้าเราให้เกียรติแก่ตัวเราเอง เกียรติของเราก็ไม่มีความหมายอะไร ท่านผู้ให้เกียรติแก่เรานั้นคือพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ผู้ซึ่งพวกเจ้ากล่าวว่าเป็นพระเจ้าของพวกเจ้า 55พวกเจ้าไม่รู้จักท่าน แต่เรารู้จักท่าน และถ้าเรากล่าวว่าเราไม่รู้จักท่าน เราก็เป็นคนโกหกเหมือนกับพวกเจ้า แต่เรารู้จักท่าน และประพฤติตามธรรมะของท่าน 56อับราฮัมบิดาของพวกเจ้าชื่นชมยินดีที่จะได้เห็นวันของเรา และเขาก็ได้เห็นแล้ว และมีความยินดี” 57พวกยิวก็บอกพระองค์ว่า “เจ้าอายุยังไม่ถึงห้าสิบปี และเจ้าเคยเห็นอับราฮัมหรือ?” 58พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า ก่อนอับราฮัมเกิดนั้นเราเป็นอยู่แล้ว” 59คนเหล่านั้นจึงหยิบก้อนหินจะขว้างพระองค์ แต่พระเยซูหลบ และออกไปจากพระวิหาร เดินผ่านท่ามกลางเขาเหล่านั้นไป
1เมื่อพระเยซูเดินทางไปนั้น พระองค์เห็นชายคนหนึ่งตาบอดแต่กำเนิด 2และพวกศิษย์ของพระองค์ถามว่า “อาจารย์ครับ ใครได้ทำผิดบาป ชายคนนี้หรือพ่อแม่ของเขา เขาจึงเกิดมาตาบอด” 3พระเยซูตอบว่า “มิใช่ชายคนนี้หรือพ่อแม่ของเขาได้ทำบาป แต่เพื่อให้การงานของพระเจ้าปรากฏในตัวเขา 4เราต้องทำงานของพระเจ้าผู้ใช้เรามาเมื่อยังเป็นกลางวันอยู่ เมื่อถึงกลางคืนไม่มีผู้ใดทำงานได้ 5ตราบใดที่เรายังอยู่ในโลก เราเป็นความสว่างของโลก”
6เมื่อกล่าวเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็บ้วนน้ำลายลงที่ดิน แล้วเอาน้ำลายนั้นทำเป็นโคลนทาที่ตาของคนตาบอดนั้น 7แล้วสั่งเขาว่า “จงไป ล้างออกเสียในสระสิโลอัมนะ” (สิโลอัมแปลว่า ใช้ไป) เขาจึงไปล้างแล้วกลับเห็นได้ 8เพื่อนบ้านและคนทั้งหลายที่เคยเห็นชายคนนั้นเป็นคนตาบอดมาก่อน จึงพูดกันว่า “คนนี้คือคนที่เคยนั่งขอทานมิใช่หรือ?” 9บางคนก็พูดว่า “คนนั้นแหละ” คนอื่นว่า “เขาคล้ายคนนั้น” แต่เขาเองพูดว่า “ข้าฯคือคนนั้น” 10เขาทั้งหลายจึงถามเขาว่า “ตาของเจ้าหายบอดได้อย่างไร?” 11เขาตอบว่า “ชายคนหนึ่งชื่อเยซู ได้ทำโคลนทาตาของข้าฯ และบอกข้าฯว่า ‘จงไปที่สระสิโลอัมแล้วล้างออกเสีย’ ข้าฯก็ได้ไปล้างตาจึงมองเห็นได้” 12เขาทั้งหลายจึงถามเขาว่า “ผู้นั้นอยู่ที่ไหน?” คนนั้นบอกว่า “ข้าฯไม่รู้”
13เขาจึงพาคนที่แต่ก่อนตาบอดนั้นไปหาพวกฟาริสี 14วันที่พระเยซูทำโคลนทาตาชายคนนั้นให้หายบอดเป็นวันศีล 15พวกฟาริสีก็ได้ถามเขาอีกว่า ทำอย่างไรตาเขาจึงมองเห็น เขาบอกคนเหล่านั้นว่า “เขาเอาโคลนทาตาของข้าฯ และข้าฯก็ล้างออกแล้วจึงมองเห็น” 16ฉะนั้นพวกฟาริสีบางคนพูดว่า “ชายคนนี้ไม่ได้มาจากพระเจ้าเพราะเขามิได้รักษาวันศีล” คนอื่นว่า “คนบาปจะทำการอัศจรรย์เช่นนั้นได้อย่างไร?” พวกเขาก็แตกแยกกัน 17เขาจึงพูดกับคนตาบอดอีกว่า “เจ้าคิดอย่างไรเรื่องคนนั้น ในเมื่อเขาได้ทำให้ตาของเจ้าหายบอด” ชายคนนั้นตอบว่า “ท่านเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าแน่ ๆ”
18แต่พวกยิวไม่เชื่อเรื่องเกี่ยวกับชายคนนั้นว่า เขาตาบอดและกลับมองเห็น จนกระทั่งเขาได้เรียกพ่อแม่ของคนที่ตากลับมองเห็นได้นั้นมา 19แล้วพวกเขาถามเขาทั้งสองว่า “ชายคนนี้เป็นลูกชายของเจ้าหรือ ที่เจ้าบอกว่าตาบอดมาแต่กำเนิด ทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น?” 20บิดามารดาของชายคนนั้นตอบเขาว่า “เรารู้ว่าคนนี้เป็นลูกชายของเรา และรู้ว่าเขาเกิดมาตาบอด 21แต่ไม่รู้ว่าทำไมเดี๋ยวนี้เขาจึงมองเห็น หรือใครทำให้ตาของเขาหายบอด เราก็ไม่รู้ จงถามเขาเถิด เขาโตแล้ว เขาจะเล่าเรื่องของเขาเองได้” 22ที่พ่อแม่ของเขาพูดอย่างนั้นก็เพราะกลัวพวกยิว เพราะพวกยิวตกลงกันแล้วว่า ถ้าผู้ใดยอมรับว่าผู้นั้นเป็นพระศรีอาริย์ จะต้องไล่ผู้นั้นเสียจากวัดหรือสุเหร่า 23เหตุฉะนั้นพ่อแม่ของเขาจึงพูดว่า “จงถามเขาเถิด เขาโตแล้ว”
24คนเหล่านั้นจึงเรียกคนที่แต่ก่อนตาบอดนั้นมาอีก และบอกเขาว่า “จงสรรเสริญพระเจ้าเถิด เรารู้อยู่ว่าชายคนนั้นเป็นคนบาป” 25เขาตอบว่า “ท่านผู้นั้นเป็นคนบาปหรือไม่ข้าฯไม่รู้ สิ่งเดียวที่ข้าฯรู้ก็คือว่า ข้าฯเคยตาบอด แต่เดี๋ยวนี้ข้าฯมองเห็นได้” 26คนเหล่านั้นจึงถามเขาอีกว่า “เขาทำอะไรกับเจ้าบ้าง เขาทำอย่างไรตาของเจ้าจึงหายบอด?” 27ชายคนนั้นตอบเขาว่า “ข้าฯบอกท่านแล้ว และท่านไม่ฟัง ทำไมท่านจึงอยากฟังอีก ท่านอยากเป็นศิษย์ของท่านผู้นั้นด้วยหรือ?” 28เขาทั้งหลายจึงเย้ยชายคนนั้นว่า “แกเป็นศิษย์ของเขา แต่เราเป็นศิษย์ของโมเสส 29เรารู้ว่าพระเจ้าได้พูดกับโมเสส แต่คนนั้นเราไม่รู้ว่าเขามาจากไหน?” 30ชายคนนั้นตอบเขาว่า “เออ ช่างประหลาดจริง ๆ ที่พวกเจ้าไม่รู้ว่าท่านผู้นั้นมาจากไหน? แต่ท่านผู้นั้นยังได้ทำให้ตาของข้าฯหายบอด 31พวกเรารู้ว่าพระเจ้ามิได้ฟังคนบาป แต่ถ้าผู้ใดนมัสการพระเจ้า และกระทำตามใจของพระเจ้า พระองค์ก็ฟังผู้นั้น 32ตั้งแต่เริ่มมีโลกมาแล้ว ไม่เคยมีใครได้ยินว่า มีผู้ใดทำให้ตาของคนที่บอดแต่กำเนิดมองเห็นได้ 33ถ้าท่านผู้นั้นไม่ได้มาจากพระเจ้าแล้ว ก็จะทำอะไรไม่ได้” 34เขาทั้งหลายตอบคนนั้นว่า “แกเกิดมาในการบาปทั้งนั้น และแกจะมาสอนเราหรือ?” แล้วเขาจึงไล่คนนั้นเสีย
35พระเยซูได้ยินว่าเขาได้ไล่คนนั้นเสียแล้ว และเมื่อพระองค์พบชายคนนั้นจึงกล่าวกับเขาว่า “เจ้าเชื่อในพระโอรสของพระเจ้าหรือ?” 36ชายคนนั้นตอบว่า “อาจารย์ครับ ผู้ใดเป็นพระโอรสนั้น ซึ่งผมจะเชื่อพึ่งอาศัยในท่านได้” 37พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เจ้าได้เห็นท่านแล้ว ท่านเป็นผู้นั้นเองที่กำลังพูดอยู่กับเจ้า” 38เขาจึงกล่าวว่า “อาจารย์ครับ ผมเชื่อแล้ว” แล้วเขาก็กราบไหว้พระองค์ 39พระเยซูกล่าวว่า “เราเข้ามาในโลกเพื่อการพิพากษา เพื่อให้คนทั้งหลายที่มองไม่เห็นกลับมองเห็น และคนที่มองเห็นกลับตาบอด” 40เมื่อพวกฟาริสีบางคนที่อยู่กับพระองค์ได้ยินอย่างนั้น จึงกล่าวแก่พระองค์ว่า “ข้าฯตาบอดด้วยหรือ?” 41พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “ถ้าพวกเจ้าตาบอด พวกเจ้าก็จะไม่มีความผิดบาป แต่บัดนี้พวกเจ้าพูดว่า ‘ข้าฯมองเห็น’ เหตุฉะนั้นความผิดบาปของพวกเจ้าจึงยังมีอยู่”
1“เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ผู้ที่มิได้เข้าไปในคอกแกะทางประตู แต่ปีนเข้าไปทางอื่นนั้นเป็นขโมยและโจร 2แต่ผู้ที่เข้าทางประตูก็เป็นผู้เลี้ยงแกะ 3ผู้รักษาประตูจึงเปิดประตูให้ผู้นั้น และแกะย่อมฟังเสียงของท่าน ท่านเรียกชื่อแกะของท่าน และนำออกไป 4เมื่อท่านต้อนแกะของท่านออกไปแล้วก็เดินนำหน้า และแกะก็ตามท่านไปเพราะรู้จักเสียงของท่าน 5คนแปลกหน้าแกะจะไม่ตามเลย แต่จะหนีไปจากเขา เพราะไม่รู้จักเสียงของคนแปลกหน้า” 6คำกล่าวนี้เป็นคำอุปมา พระเยซูได้กล่าวกับเขาทั้งหลาย แต่เขาไม่เข้าใจความหมายของคำกล่าวที่พระองค์กล่าวกับเขาเลย
7พระเยซูจึงกล่าวกับเขาอีกว่า “เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า เราเป็นประตูของแกะทั้งหลาย 8บรรดาผู้ที่มาก่อนเรานั้นเป็นขโมยและโจร แต่ฝูงแกะก็มิได้ฟังเขา 9เราเป็นประตู ถ้าผู้ใดเข้าไปทางเรา ผู้นั้นจะหลุดพ้น และเขาจะเข้าออก แล้วจะพบอาหาร 10ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพานอย่างครบบริบูรณ์ 11เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี ผู้เลี้ยงที่ดีนั้นย่อมสละชีวิตของตนเพื่อฝูงแกะ 12แต่ผู้ที่รับจ้างมิได้เป็นผู้เลี้ยงแกะ และฝูงแกะไม่เป็นของเขา เมื่อเห็นสุนัขป่ามา เขาจึงละทิ้งฝูงแกะหนีไป สุนัขป่าก็ชิงเอาแกะไปเสีย และทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจายไป 13ผู้ที่รับจ้างนั้นหนีเพราะเขาเป็นลูกจ้างและไม่เป็นห่วงแกะเลย 14เราเป็นผู้เลี้ยงที่ดี และเรารู้จักแกะของเรา และแกะของเราก็รู้จักเรา 15เหมือนพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรารู้จักเรา เราก็รู้จักพ่อของเราด้วย และชีวิตของเรา เราสละเพื่อฝูงแกะ 16แกะอื่นซึ่งมิได้เป็นของคอกนี้เราก็มีอยู่ แกะเหล่านั้นเราก็ต้องพามาด้วย และแกะเหล่านั้นจะฟังเสียงของเรา แล้วจะรวมเป็นฝูงเดียว และมีผู้เลี้ยงเพียงผู้เดียว 17ด้วยเหตุนี้พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราจึงรักเรา เพราะเราสละชีวิตของเรา เพื่อจะรับชีวิตนั้นกลับคืนมาอีก 18ไม่มีผู้ใดชิงชีวิตไปจากเราได้ แต่เราสละชีวิตด้วยใจสมัครของเราเอง เรามีสิทธิที่จะสละชีวิตนั้น และมีสิทธิที่จะรับกลับคืนอีก คำสั่งนี้เราได้รับมาจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา”
19คำกล่าวนี้จึงทำให้พวกยิวแตกแยกกันอีก 20พวกเขาหลายคนพูดว่า “เขามีผีสิงและเป็นบ้าไปแล้ว พวกเจ้าไปฟังเขาทำไม” 21พวกอื่นก็พูดว่า “ถ้อยคำอย่างนี้ไม่เป็นคำของผู้ที่มีผีสิงหรอก ผีจะทำให้คนตาบอดมองเห็นได้หรือ?”
22ขณะนั้นเป็นเทศกาลเลี้ยงฉลองพระวิหารที่กรุงเยรูซาเล็ม และเป็นฤดูหนาว 23พระเยซูเดินอยู่ในพระวิหารที่เฉลียงของซาโลมอน 24แล้วพวกยิวก็พากันมาห้อมล้อมพระองค์ไว้ และพูดกับพระองค์ว่า “จะทำให้พวกข้าฯสงสัยไปนานสักเท่าใด ถ้าเจ้าเป็นพระศรีอาริย์ก็จงบอกเราให้ชัดแจ้งเถิด” 25พระเยซูตอบเขาทั้งหลายว่า “เราได้บอกพวกเจ้าแล้ว และพวกเจ้าไม่เชื่อ การซึ่งเราได้กระทำในนามพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราก็เป็นพยานให้แก่เรา 26แต่พวกเจ้าไม่เชื่อ เพราะพวกเจ้ามิได้เป็นแกะของเรา ตามที่เราได้บอกแล้ว 27แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา และเรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นตามเรา 28เราให้ชีวิตเข้าสู่นิพพานแก่แกะนั้น และแกะนั้นจะไม่พินาศเลย และจะไม่มีผู้ใดแย่งชิงแกะเหล่านั้นไปจากมือของเราได้ 29พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราผู้มอบแกะนั้นให้แก่เราเป็นใหญ่กว่าทุกสิ่ง และไม่มีผู้ใดสามารถชิงแกะนั้นไปจากมือของพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราได้ 30เรากับพ่อของเราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน”
31พวกยิวจึงหยิบก้อนหินขึ้นมาอีกจะขว้างพระองค์ให้ตาย 32พระเยซูจึงกล่าวกับเขาว่า “เราได้สำแดงให้พวกเจ้าเห็นการดีหลายประการซึ่งมาจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา พวกเจ้าหยิบก้อนหินจะขว้างเราให้ตายเพราะการกระทำข้อใดเล่า” 33พวกยิวตอบพระองค์ว่า “พวกข้าฯจะขว้างเจ้ามิใช่เพราะการกระทำดี แต่เพราะการพูดหมิ่นประมาท เพราะเจ้าเป็นเพียงมนุษย์แต่ตั้งตัวเป็นพระเจ้า” 34พระเยซูตอบเขาว่า “ในพระคัมภีร์ของท่านมีคำเขียนไว้มิใช่หรือว่า ‘เราได้กล่าวว่า พวกเจ้าเป็นพระ’ 35ถ้าพระเจ้าผู้เป็นพ่อได้เรียกผู้ที่รับธรรมะของพระเจ้าว่าเป็นพระ และจะฝ่าฝืนพระคัมภีร์ไม่ได้ 36พวกเจ้าจะกล่าวหาผู้ที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราได้ตั้งไว้ และใช้เข้ามาในโลกว่า ‘พวกเจ้ากล่าวคำหมิ่นประมาท’ เพราะเราได้กล่าวว่า ‘เราเป็นลูกของพระเจ้า’ อย่างนั้นหรือ 37ถ้าเราไม่ทำงานของพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ก็อย่าเชื่อในเราเลย 38แต่ถ้าเราทำงานนั้น แม้ว่าพวกเจ้ามิได้เชื่อในเรา ก็จงเชื่อเพราะการงานนั้นเถิด เพื่อพวกเจ้าจะได้รู้ และเชื่อว่าพระเจ้าผู้เป็นพ่ออยู่ในเรา และเราอยู่ในพระเจ้าผู้เป็นพ่อ” 39พวกเขาจึงหาโอกาสจับพระองค์อีกครั้งหนึ่ง แต่พระองค์ก็รอดพ้นจากเงื้อมมือเขาไปได้
40พระองค์ได้ไปฟากแม่น้ำจอร์แดนข้างโน้นอีก และไปถึงสถานที่ที่ยอห์นทำพิธีมุดน้ำเป็นครั้งแรก และพระองค์พักอยู่ที่นั่น 41คนเป็นอันมากพากันมาหาพระองค์ และกล่าวว่า “ยอห์นมิได้ทำการอัศจรรย์ใด ๆ เลย แต่ทุกสิ่งซึ่งยอห์นได้กล่าวถึงท่านผู้นี้เป็นความจริง” 42และมีคนหลายคนที่นั่นได้เชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์
1มีชายคนหนึ่งชื่อลาซารัสกำลังป่วยอยู่ที่หมู่บ้านเบธานี ซึ่งเป็นเมืองที่มารีย์และมารธาพี่สาวของเธอ 2(มารีย์ผู้นี้คือหญิงที่เอาน้ำมันหอมชโลมองค์พระผู้เป็นเจ้า และเอาผมของเธอเช็ดเท้าของพระองค์ ลาซารัสน้องชายของเธอกำลังป่วยอยู่) 3ดังนั้นพี่สาวทั้งสองนั้นจึงให้คนไปเฝ้าพระองค์บอกว่า “อาจารย์ครับ ตอนนี้ ผู้ที่อาจารย์สนิทสนมนั้นกำลังป่วยอยู่” 4เมื่อพระเยซูได้ยินแล้วก็กล่าวว่า “โรคนั้นจะไม่ถึงตาย แต่เกิดขึ้นเพื่อเชิดชูเกียรติยศของพระเจ้า เพื่อพระโอรสของพระเจ้าจะได้รับเกียรติเพราะโรคนั้น”
5พระเยซูเมตตามารธา และน้องสาวของเธอและลาซารัส 6ดังนั้นครั้นพระองค์ได้ยินว่าลาซารัสป่วยอยู่ พระองค์ยังพักอยู่ที่ที่พระองค์อยู่นั้นอีกสองวัน 7หลังจากนั้นพระองค์ก็กล่าวกับพวกศิษย์ว่า “ให้เราเข้าไปในแคว้นยูเดียกันอีกเถิด” 8พวกศิษย์บอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ เมื่อเร็ว ๆ นี้พวกยิวหาโอกาสเอาหินขว้างอาจารย์ให้ตาย แล้วอาจารย์ยังจะไปที่นั่นอีกหรือ?” 9พระเยซูตอบว่า “วันหนึ่งมีสิบสองชั่วโมงมิใช่หรือ ถ้าผู้ใดเดินในตอนกลางวันเขาก็จะไม่สะดุด เพราะเขาเห็นความสว่างของโลกนี้ 10แต่ถ้าผู้ใดเดินในตอนกลางคืนเขาก็จะสะดุด เพราะไม่มีความสว่างในตัวเขา” 11พระองค์กล่าวดังนั้นแล้วจึงกล่าวกับเขาอีกว่า “ลาซารัสเพื่อนของเราหลับไปแล้ว แต่เราไปเพื่อจะปลุกเขาให้ตื่น” 12พวกศิษย์ของพระองค์บอกว่า “อาจารย์ครับ ถ้าเขาหลับอยู่เขาก็จะสบายดี” 13แต่พระเยซูกล่าวถึงความตายของลาซารัส แต่พวกศิษย์คิดว่าพระองค์กล่าวถึงการนอนหลับพักผ่อน 14ฉะนั้นพระเยซูจึงกล่าวกับเขาตรง ๆ ว่า “ลาซารัสตายแล้ว 15เพื่อเห็นแก่พวกเจ้าเราจึงยินดีที่เรามิได้อยู่ที่นั่น เพื่อพวกเจ้าจะได้เชื่อ แต่ให้เราไปหาเขากันเถิด” 16โธมัสที่เรียกว่า ดิดุมัส จึงพูดกับเพื่อนศิษย์ว่า “ให้พวกเราไปด้วยกันเถิด เพื่อจะได้ตายด้วยกันกับพระองค์”
17ครั้นพระเยซูเดินทางมาถึงก็ทราบว่า เขาเอาลาซารัสไปไว้ในอุโมงค์ฝังศพสี่วันแล้ว 18หมู่บ้านเบธานีอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ห่างกันประมาณสามกิโลเมตร 19พวกยิวหลายคนได้มาหามารธาและมารีย์ เพื่อจะปลอบโยนเธอเรื่องน้องชายของเธอ 20ครั้นมารธารู้ข่าวว่าพระเยซูกำลังเดินทางมา เธอก็ออกไปต้อนรับพระองค์ แต่มารีย์นั่งอยู่ในเรือน 21มารธาจึงบอกกับพระเยซูว่า “อาจารย์ขา ถ้าอาจารย์อยู่ที่นี่ น้องชายของหนูคงไม่ตาย 22แต่ถึงแม้เดี๋ยวนี้ก็หนูรู้ว่า สิ่งใด ๆ ที่อาจารย์จะทูลขอจากพระเจ้า พระเจ้าจะทรงโปรดประทานแก่อาจารย์” 23พระเยซูกล่าวกับเธอว่า “น้องชายของเจ้าจะฟื้นขึ้นมาอีก” 24มารธาบอกพระองค์ว่า “หนูรู้แล้วว่า เขาจะฟื้นขึ้นมาอีกในวันสุดท้าย เมื่อคนทั้งปวงจะฟื้นขึ้นมา” 25พระเยซูกล่าวกับเธอว่า “เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นจากตายและได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน ผู้ที่เชื่อพึ่งอาศัยในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอีก 26และทุกคนที่มีชีวิต และเชื่อพึ่งอาศัยในเราจะไม่ตายเลย เจ้าเชื่ออย่างนี้ไหม” 27มารธาบอกกับพระองค์ว่า “เชื่อค่ะ หนูเชื่อว่า อาจารย์เป็นพระศรีอารยิ์ พระโอรสของพระเจ้า ที่จะเข้ามาในโลก”
28เมื่อเธอกล่าวดังนี้แล้ว เธอก็กลับไปและเรียกมารีย์น้องสาวกระซิบว่า “อาจารย์มาแล้ว และเรียกเจ้า” 29เมื่อมารีย์ได้ยินแล้ว เธอก็รีบลุกขึ้นไปเฝ้าพระองค์ 30ฝ่ายพระเยซูยังไม่เข้าไปในเมือง แต่ยังพักอยู่ ณ ที่ซึ่งมารธาพบพระองค์นั้น 31พวกยิวที่อยู่กับมารีย์ในเรือน และกำลังปลอบโยนเธออยู่ เมื่อเห็นมารีย์รีบลุกขึ้นและเดินออกไปจึงตามเธอไปพูดกันว่า “เธอจะไปร้องไห้ที่อุโมงค์” 32ครั้นมารีย์มาถึงที่ซึ่งพระเยซูพักอยู่ และเห็นพระองค์แล้ว จึงกราบลงแทบเท้าของพระองค์กล่าวว่า “อาจารย์ขา ถ้าอาจารย์อยู่ที่นี่ น้องชายของหนูคงไม่ตาย” 33ฉะนั้นเมื่อพระเยซูเห็นเธอร้องไห้ และพวกยิวที่มากับเธอร้องไห้ด้วย พระองค์ก็คร่ำครวญร้อนใจและเป็นทุกข์ 34และถามว่า “พวกเจ้าเอาศพเขาไปไว้ที่ไหน?” เขาบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ เชิญมาดูเถิด” 35พระเยซูร้องไห้ 36พวกยิวจึงกล่าวว่า “ดูสิ ท่านรักเขาเพียงไร” 37และบางคนก็พูดว่า “ท่านผู้นี้ทำให้คนตาบอดมองเห็น จะทำให้คนนี้ไม่ตายไม่ได้หรือ?”
38พระเยซูคร่ำครวญร้อนใจอีก จึงเดินมาถึงอุโมงค์ฝังศพ อุโมงค์ฝังศพนั้นเป็นถ้ำ มีก้อนหินวางปิดปากถ้ำไว้ 39พระเยซูกล่าวว่า “จงเอาหินออกเสีย” มารธาพี่สาวของผู้ตายจึงบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ขา ป่านนี้ศพมีกลิ่นเหม็นแล้ว เพราะว่าเขาตายมาสี่วันแล้ว” 40พระเยซูกล่าวกับเธอว่า “เราบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่า ถ้าเจ้าเชื่อ เจ้าก็จะได้เห็นสง่าราศีของพระเจ้า” 41พวกเขาจึงเอาหินออกเสียจากที่ซึ่งผู้ตายวางอยู่นั้น พระเยซูแหงนหน้าขึ้นกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของผม ผมขอบคุณที่ฟังผม 42ผมรู้ว่า พ่อฟังผมอยู่เสมอ แต่ที่ผมพูดอย่างนี้ก็เพราะเห็นแก่ประชาชนที่ยืนอยู่ที่นี่ เพื่อเขาจะได้เชื่อว่าพ่อเป็นผู้ใช้ผมมา”
43เมื่อพระองค์กล่าวเช่นนั้นแล้ว จึงเปล่งเสียงกล่าวว่า “ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาซะ” 44ผู้ตายนั้นก็ออกมา มีผ้าพันศพพันมือและเท้า และที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วย พระเยซูกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “จงแก้แล้วปล่อยเขาไปเถิด”
45ดังนั้นพวกยิวหลายคนที่มาหามารีย์ และได้เห็นการกระทำของพระเยซู ก็เชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์ 46แต่พวกเขาบางคนไปหาพวกฟาริสี และเล่าเหตุการณ์ที่พระเยซูได้กระทำให้ฟัง 47ฉะนั้นพวกมหาปุโรหิต และพวกฟาริสีก็เรียกประชุมสมาชิกสภาแล้วว่า “พวกเราจะทำอย่างไรกัน เพราะว่าชายผู้นี้ทำการอัศจรรย์หลายประการ 48ถ้าเราปล่อยเขาไว้อย่างนี้ คนทั้งปวงจะเชื่อถือเขา แล้วพวกโรมก็จะมาริบเอาทั้งพระวิหาร และชนชาติของเราไป” 49แต่คนหนึ่งในพวกเขา ชื่อคายาฟาสเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น กล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “ท่านทั้งหลายไม่รู้อะไรเสียเลย 50และไม่พิจารณาด้วยว่า จะเป็นประโยชน์แก่เราทั้งหลาย ถ้าจะให้คนตายคนหนึ่งเพื่อประชาชน แทนที่จะให้คนทั้งชาติต้องพินาศ” 51เขามิได้กล่าวอย่างนั้นตามใจชอบ แต่เพราะว่าเขาเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น จึงพยากรณ์ว่าพระเยซูจะตายแทนชนชาตินั้น 52และมิใช่แทนชนชาตินั้นอย่างเดียว แต่เพื่อจะรวบรวมลูกหลานของพระเจ้าที่กระจัดกระจายไปนั้น ให้เข้าเป็นพวกเดียวกัน 53ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาทั้งหลายจึงปรึกษากันจะฆ่าพระองค์เสีย
54เหตุฉะนั้นพระเยซูจึงไม่เข้าไปในหมู่พวกยิวอย่างเปิดเผยอีก แต่ได้ออกจากที่นั่นไปยังถิ่นที่อยู่ใกล้ถิ่นทุรกันดาร ถึงเมืองหนึ่งชื่อเอฟราอิม และพักอยู่ที่นั่นกับพวกศิษย์ของพระองค์ 55ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลปัสกาของพวกยิวแล้ว และคนเป็นอันมากได้ออกจากหัวเมืองนั้น ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มก่อนเทศกาลปัสกาเพื่อจะชำระตัว 56เขาทั้งหลายจึงแสวงหาพระเยซู และเมื่อเขาทั้งหลายยืนอยู่ในพระวิหารเขาก็พูดกันว่า “พวกท่านคิดเห็นอย่างไร เยซูจะไม่มาในงานเทศกาลนี้หรือ?” 57ฝ่ายพวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริสีได้ออกคำสั่งไว้ว่า ถ้าผู้ใดรู้ว่าพระเยซูอยู่ที่ไหน ก็ให้มาบอกพวกเขาเพื่อจะได้ไปจับพระองค์
1แล้วก่อนปัสกาหกวันพระเยซูได้เดินทางมาถึงหมู่บ้านเบธานี ซึ่งเป็นที่อยู่ของลาซารัสผู้ซึ่งพระองค์ได้ให้ฟื้นขึ้นจากตาย 2ที่นั่นเขาจัดงานเลี้ยงอาหารเย็นแก่พระองค์ มารธาก็รับใช้พระองค์อยู่ และลาซารัสก็เป็นคนหนึ่งในพวกเขา ที่เอนกายลงรับประทานกับพระองค์
3มารีย์จึงเอาน้ำมันหอมนาระดาบริสุทธิ์หนักประมาณครึ่งกิโลกรัม ซึ่งมีราคาแพงมากมาชโลมเท้าของพระเยซู และเอาผมของเธอเช็ดเท้าของพระองค์ เรือนก็หอมฟุ้งไปด้วยกลิ่นน้ำมันนั้น 4แต่ศิษย์คนหนึ่งของพระองค์ ชื่อยูดาส อิสคาริโอท ลูกชายของซีโมน คือคนที่จะทรยศพระองค์ พูดว่า 5“ทำไมจึงไม่เอาน้ำมันนั้นไปขาย ถ้าเอาไปขายจะได้เงินสักสามร้อยเดนาริอันเลยนะ แล้วเงินนั้นไปแจกให้แก่คนยากจน” 6เขาพูดอย่างนั้นมิใช่เพราะเขาเอาใจใส่เห็นแก่คนจน แต่เพราะเขาเป็นขโมย และได้ถือย่ามบรรจุเงินกองกลาง และได้ยักยอกเงินที่ใส่ไว้ในย่ามนั้น 7พระเยซูจึงกล่าวว่า “ปล่อยเธอเถิด เธอทำอย่างนี้เพื่อแสดงถึงวันฝังศพของเรา 8เพราะว่ามีคนจนอยู่กับเจ้าเสมอ แต่เราจะไม่อยู่กับเจ้าเสมอไป”
9ฝ่ายพวกยิวเป็นอันมากรู้ว่าพระองค์พักอยู่ที่นั่นจึงมาเฝ้าพระองค์ ไม่ใช่เพราะอยากเห็นพระเยซูเท่านั้น แต่อยากเห็นลาซารัสผู้ซึ่งพระองค์ได้ให้ฟื้นขึ้นมาจากตายด้วย 10ฝ่ายพวกมหาปุโรหิตจึงปรึกษากันจะฆ่าลาซารัสเสียด้วย 11เพราะลาซารัสเป็นต้นเหตุที่ทำให้พวกยิวหลายคนออกจากพวกเขา และไปเชื่อพึ่งอาศัยพระเยซู
12วันรุ่งขึ้นเมื่อคนเป็นอันมากที่มาในเทศกาลเลี้ยงนั้นได้ยินว่า พระเยซูมาถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว 13เขาก็พากันถือใบอินทผลัมออกไปต้อนรับพระองค์ร้องว่า “สรรเสริญพระเจ้า ขอให้ท่านผู้มาในนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอิสราเอลทรงพระเจริญ” 14และเมื่อพระเยซูพบลูกลาตัวหนึ่งจึงขี่ลานั้นเหมือนดังที่มีคำเขียนไว้ว่า 15‘ธิดาแห่งไซออนเอ๋ย อย่ากลัวเลยดูสิ กษัตริย์ของเธอทรงลูกลาเสด็จมา’
16ทีแรกพวกศิษย์ของพระองค์ไม่เข้าใจในเหตุการณ์เหล่านั้น แต่เมื่อพระเยซูได้รับสง่าราศีแล้ว เขาจึงระลึกได้ว่า มีคำเช่นนั้นเขียนไว้กล่าวถึงพระองค์ และคนทั้งหลายได้กระทำอย่างนั้นถวายพระองค์ 17เหตุฉะนั้นคนทั้งปวงซึ่งได้อยู่กับพระองค์ เมื่อพระองค์ได้เรียกลาซารัสให้ออกมาจากอุโมงค์ฝังศพ และทรงให้เขาฟื้นขึ้นมาจากความตาย ก็เป็นพยานในสิ่งเหล่านี้ 18เหตุที่ประชาชนพากันไปหาพระองค์ ก็เพราะเขาได้ยินว่าพระองค์กระทำการอัศจรรย์นั้น 19พวกฟาริสีจึงพูดกันว่า “พวกท่านเห็นไหมว่า ท่านทำอะไรไม่ได้เลย ดูเถิด โลกตามเขาไปหมดแล้ว”
20ในหมู่คนทั้งหลายที่ขึ้นไปนมัสการพระเจ้าในเทศกาลเลี้ยงนั้น มีพวกกรีกอยู่บ้าง 21พวกกรีกนั้นจึงไปหาฟีลิปซึ่งมาจากหมู่บ้านเบธไซดาในแคว้นกาลิลี และพูดกับเขาว่า “หัวหน้าครับ พวกผมอยากจะเห็นพระเยซู” 22ฟีลิปจึงไปบอกอันดรูว์ และอันดรูว์กับฟีลิปจึงไปบอกพระเยซู 23และพระเยซูตอบเขาว่า “ถึงเวลาแล้วที่บุตรมนุษย์จะได้รับสง่าราศี 24เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก 25ผู้ใดที่รักชีวิตของตนก็ต้องเสียชีวิต และผู้ที่ชังชีวิตของตนในโลกนี้ ก็จะรักษาชีวิตนั้นไว้ตลอดไป 26ถ้าผู้ใดจะรับใช้เรา ให้ผู้นั้นตามเรามา และเราอยู่ที่ไหน ผู้รับใช้เราจะอยู่ที่นั่นด้วย ถ้าผู้ใดรับใช้เรา พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราก็จะมอบเกียรติแก่ผู้นั้น”
27“บัดนี้จิตใจของเราเป็นทุกข์ และเราจะพูดว่าอะไร จะว่า ‘พ่อครับ ช่วยผมให้พ้นไปจากเวลานี้ด้วย’ อย่างนั้นหรือ? ไม่ใช่ เพราะด้วยความประสงค์นี้เอง เราจึงมาถึงเวลานี้ 28พ่อครับ ขอให้ชื่อของพ่อได้รับเกียรติ” แล้วก็มีเสียงมาจากฟ้าว่า “พ่อได้ให้รับเกียรติแล้ว และจะให้รับเกียรติอีก” 29ฉะนั้นคนทั้งหลายที่ยืนอยู่ที่นั่นเมื่อได้ยินเสียงนั้นก็พูดว่าฟ้าร้อง คนอื่น ๆ ก็พูดว่า “ทูตสวรรค์องค์หนึ่งได้กล่าวกับพระองค์” 30พระเยซูตอบว่า “เสียงนั้นเกิดขึ้นเพื่อพวกเจ้าไม่ใช่เพื่อเรา 31บัดนี้ถึงเวลาที่จะพิพากษาโลกนี้แล้ว เดี๋ยวนี้ผู้ครองโลกนี้จะถูกโยนทิ้งออกไปเสีย 32เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราก็จะชักชวนคนทั้งปวงให้มาหาเรา” 33พระองค์กล่าวเช่นนั้นเพื่อบอกให้รู้ว่าพระองค์จะตายอย่างไร 34คนทั้งหลายจึงบอกพระองค์ว่า “พวกเราได้ยินจากศีลว่า พระศรีอาริย์จะอยู่เป็นนิตย์ เหตุไฉนเจ้าจึงว่า ‘บุตรมนุษย์จะต้องถูกยกขึ้น’ บุตรมนุษย์นั้นคือผู้ใดเล่า” 35พระเยซูจึงกล่าวกับเขาว่า “ความสว่างจะอยู่กับท่านทั้งหลายอีกหน่อยหนึ่ง เมื่อยังมีความสว่างอยู่ก็จงเดินไปเถิด เกรงว่าความมืดจะตามมาทันพวกเจ้า ผู้ที่เดินอยู่ในความมืด ย่อมไม่รู้ว่าตนไปทางไหน 36เมื่อพวกเจ้ามีความสว่าง ก็จงเชื่อในความสว่างนั้น เพื่อจะได้เป็นลูกแห่งความสว่าง”
เมื่อพระเยซูกล่าวเช่นนั้นแล้วก็เดินทางจากไป และซ่อนพระองค์ให้พ้นจากพวกเขา 37ถึงแม้ว่าพระองค์ได้กระทำการอัศจรรย์หลายประการทีเดียวต่อหน้าเขา เขาทั้งหลายก็ยังไม่เชื่อในพระองค์ 38เพื่อคำของอิสยาห์ศาสดาพยากรณ์จะสำเร็จซึ่งว่า
“พระองค์เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย
และแขนขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้สำแดงแก่ผู้ใด”
39ฉะนั้นพวกเขาจึงเชื่อไม่ได้ เพราะอิสยาห์ได้กล่าวอีกว่า
40“พระองค์ได้ปิดตาของเขาทั้งหลาย
และทำให้ใจของเขาแข็งกระด้างไป
เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขา
และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา
และหันกลับมาและเราจะรักษาเขาให้หาย”
41อิสยาห์กล่าวดังนี้เมื่อท่านได้เห็นสง่าราศีของพระองค์ และได้กล่าวถึงพระองค์ 42อย่างไรก็ดี แม้ในพวกขุนนางก็มีหลายคนเชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์ด้วย แต่เขาไม่ยอมรับพระองค์อย่างเปิดเผยเพราะกลัวพวกฟาริสี เกรงว่าเขาจะถูกไล่ออกจากวัดหรือสุเหร่า 43เพราะว่าเขารักการยกย่องจากมนุษย์มากกว่าการยกย่องของพระเจ้า
44พระเยซูประกาศว่า “ผู้ที่เชื่อพึ่งอาศัยในเรานั้น ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ได้เชื่อพึ่งอาศัยในเราหรอก แต่เชื่อในพระเจ้าผู้ใช้เรามา 45และผู้ที่เห็นเราก็เห็นพระเจ้าผู้ใช้เรามา 46เราเข้ามาในโลกเป็นความสว่าง เพื่อทุกคนที่เชื่อพึ่งอาศัยในเราจะมิได้อยู่ในความมืด 47ถ้าผู้ใดได้ยินถ้อยคำของเราและไม่เชื่อ เราก็ไม่พิพากษาผู้นั้น เพราะว่าเรามิได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้หลุดพ้น 48ผู้ใดที่ปฏิเสธเรา และไม่รับคำของเรา ผู้นั้นจะมีสิ่งหนึ่งพิพากษาเขา คือคำที่เราได้กล่าวแล้วนั่นแหละจะพิพากษาเขาในวันสุดท้าย 49เพราะเรามิได้กล่าวตามใจเราเอง แต่ซึ่งเรากล่าวและพูดนั้น พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ผู้ใช้เรามา ท่านผู้นั้นได้สั่งเรา 50เรารู้ว่าคำสั่งของท่านนั้นเป็นชีวิตเข้าสู่นิพพาน เหตุฉะนั้นสิ่งที่เราพูดนั้น เราก็พูดตามที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อได้สั่งเรา”
1ก่อนถึงเทศกาลกินเลี้ยงปัสกา เมื่อพระเยซูรู้ว่า ถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะจากโลกนี้ ไปหาพระเจ้าผู้เป็นพ่อของพระองค์ พระองค์เมตตาพรรคพวกของพระองค์ซึ่งอยู่ในโลกนี้ พระองค์เมตตาเขาจนถึงที่สุด 2ขณะเมื่อรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้ว พญามารได้ดลใจยูดาสอิสคาริโอท ลูกชายของซีโมน ให้ทรยศพระองค์
3พระเยซูรู้ว่าพระพระเจ้าผู้เป็นพ่อของพระองค์ ได้มอบสิ่งทั้งปวงให้อยู่ในมือของพระองค์ และรู้ว่าพระองค์มาจากพระเจ้า และจะไปหาพระเจ้า 4พระองค์ลุกขึ้นจากการรับประทานอาหารเย็น ถอดเสื้อผ้าพระองค์ออกวางไว้ และเอาผ้าเช็ดตัวคาดเอวพระองค์ไว้ 5แล้วก็เทน้ำลงในอ่าง และตั้งต้นเอาน้ำล้างเท้าของพวกศิษย์ และเช็ดด้วยผ้าที่คาดเอวไว้นั้น 6แล้วพระองค์ก็มาถึงซีโมนเปโตร และเปโตรบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์จะล้างเท้าของผมหรือ?” 7พระเยซูตอบเขาว่า “สิ่งที่เราทำในขณะนี้เจ้ายังไม่เข้าใจ แต่ภายหลังเจ้าจะเข้าใจ” 8เปโตรบอกพระองค์ว่า “อาจารย์จะล้างเท้าของผมไม่ได้นะครับ” พระเยซูตอบเขาว่า “ถ้าเราไม่ล้างเจ้าแล้ว เจ้าจะมีส่วนในเราไม่ได้” 9ซีโมนเปโตรบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ถ้าอย่างนั้น มิใช่แต่เท้าของผมเท่านั้น แต่ขอได้โปรดล้างทั้งมือและศีรษะของผมด้วย” 10พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “ผู้ที่อาบน้ำแล้วไม่จำเป็นต้องชำระกายอีก ล้างแต่เท้าเท่านั้น เพราะสะอาดหมดทั้งตัวแล้ว พวกเจ้าก็สะอาดแล้ว แต่ไม่ใช่ทุกคน” 11เพราะพระองค์รู้ว่า ใครจะเป็นผู้ทรยศพระองค์ เหตุฉะนั้นพระองค์จึงกล่าวว่า “พวกเจ้าไม่สะอาดทุกคน”
12เมื่อพระองค์ล้างเท้าเขาทั้งหลายแล้ว พระองค์ก็สวมเสื้อผ้า และเอนกายลงอีกกล่าวกับเขาว่า “พวกเจ้าเข้าใจในสิ่งที่เราได้กระทำแก่เจ้าหรือ? 13พวกเจ้าเรียกเราว่า อาจารย์ และองค์พระผู้เป็นเจ้า เจ้าเรียกถูกแล้ว เพราะเราเป็นเช่นนั้น 14ฉะนั้นถ้าเราผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และอาจารย์ของเจ้า ได้ล้างเท้าของพวกเจ้า พวกเจ้าก็ควรจะล้างเท้าของกันและกันด้วย 15เพราะว่าเราได้วางแบบแก่เจ้าแล้ว เพื่อให้เจ้าทำเหมือนดังที่เราได้กระทำแก่เจ้า 16เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า ทาสจะเป็นใหญ่กว่านายก็ไม่ได้ และทูตจะเป็นใหญ่กว่าผู้ที่ใช้เขาไปก็หามิได้ 17ถ้าเจ้ารู้ดังนี้แล้ว และเจ้าประพฤติตาม เจ้าก็เป็นสุข 18เรามิได้พูดถึงพวกเจ้าสิ้นทุกคน เรารู้จักผู้ที่เราได้เลือกไว้แล้ว แต่เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จที่ว่า ‘ผู้ที่รับประทานอาหารกับเราได้ยกส้นเท้าใส่เรา’ 19เราบอกพวกเจ้าเดี๋ยวนี้ก่อนที่เรื่องนี้จะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วเจ้าจะได้เชื่อว่าเราคือผู้นั้น 20เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า ผู้ใดได้รับผู้ที่เราใช้ไป ผู้นั้นก็รับเราด้วย และผู้ใดได้รับเรา ผู้นั้นได้รับพระเจ้าผู้ทรงใช้เรามา”
21เมื่อพระเยซูกล่าวเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็เป็นทุกข์ในใจ และกล่าวเป็นพยานว่า “เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า คนหนึ่งในพวกเจ้าจะทรยศเรา” 22เหล่าศิษย์จึงมองหน้ากันและสงสัยว่าคนที่พระองค์กล่าวถึงนั้นคือผู้ใด 23มีศิษย์คนหนึ่งที่พระเยซูสนิทสนมได้เอนกายอยู่ที่ตักของพระเยซู 24ซีโมนเปโตรจึงทำไม้ทำมือให้เขาถามพระองค์ว่าคนที่พระองค์กล่าวถึงนั้นคือผู้ใด 25ขณะที่ยังเอนกายอยู่ที่ตักของพระเยซู ศิษย์คนนั้นก็ถามพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ คนที่อาจารย์กล่าวถึงคือใคร” 26พระเยซูตอบว่า “คนนั้นคือผู้ที่เราจะเอาอาหารนี้จิ้มแล้วยื่นให้” และเมื่อพระองค์เอาอาหารนั้นจิ้มแล้ว ก็ยื่นให้แก่ยูดาส อิสคาริโอทลูกชายซีโมน 27เมื่อยูดาสรับประทานอาหารนั้นแล้ว ซาตานก็เข้าสิงในใจเขา พระเยซูจึงกล่าวกับเขาว่า “เจ้าจะทำอะไรก็จงทำเร็ว ๆ เถิด” 28ไม่มีผู้ใดในพวกนั้นที่เอนกายลงรับประทานเข้าใจว่า เหตุใดพระองค์จึงกล่าวกับเขาเช่นนั้น 29บางคนคิดว่าเพราะยูดาสถือถุงเงิน พระเยซูจึงบอกกับเขาว่า “จงไปซื้อสิ่งที่เราต้องการสำหรับเทศกาลเลี้ยงนั้น” หรือบอกเขาว่า เขาควรจะให้ทานแก่คนจนบ้าง 30ดังนั้นเมื่อยูดาสรับประทานอาหารชิ้นนั้นแล้ว เขาก็ออกไปทันที ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืน
31เมื่อเขาออกไปแล้ว พระเยซูจึงกล่าวว่า “บัดนี้บุตรมนุษย์ก็ได้รับเกียรติแล้ว และพระเจ้าได้รับเกียรติเพราะบุตรมนุษย์ 32ถ้าพระเจ้าได้รับเกียรติเพราะพระโอรส พระเจ้าก็จะประทานให้พระบโอรสมีเกียรติในพระองค์เอง และพระเจ้าจะให้มีเกียรติเดี๋ยวนี้ 33ลูกเล็ก ๆ เอ๋ย เรายังจะอยู่กับพวกเจ้าไปอีกขณะหนึ่ง พวกเจ้าจะเสาะหาเรา และดังที่เราได้พูดกับพวกยิวแล้ว บัดนี้เราจะพูดกับพวกเจ้าคือ ‘ที่เราไปนั้นพวกเจ้าไปไม่ได้’ 34เราให้ศีลใหม่ไว้แก่เจ้าทั้งหลายคือให้เจ้ามีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อกันและกัน เรามีพรหมวิหารสี่ต่อพวกเจ้ามาแล้วอย่างไร เจ้าจงมีต่อกันและกันด้วยอย่างนั้น 35ถ้าพวกเจ้ามีพรหมวิหารสี่ต่อกันและกัน ดังนี้แหละคนทั้งปวงก็จะรู้ได้ว่าพวกเจ้าเป็นศิษย์ของเรา”
36ซีโมนเปโตรบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์จะไปที่ไหน” พระเยซูตอบเขาว่า “ที่ซึ่งเราจะไปนั้นเจ้าจะตามเราไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ แต่ภายหลังเจ้าจะตามเราไป” 37เปโตรบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ เหตุใดผมจึงตามอาจารย์ไปเดี๋ยวนี้ไม่ได้ ผมจะสละชีวิตเพื่ออาจารย์” 38พระเยซูตอบเขาว่า “เจ้าจะสละชีวิตของเจ้าเพื่อเราหรือ? เราบอกความจริงว่า ก่อนไก่ขัน เจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง”
1“อย่าให้ใจพวกเจ้าทั้งหลายวิตกเลย พวกเจ้าเชื่อในพระเจ้า จงเชื่อในเราด้วย 2ในพระวิหารของพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรามีที่อยู่เป็นอันมาก ถ้าไม่มีเราคงได้บอกท่านแล้ว เราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับพวกเจ้า 3และถ้าเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับพวกเจ้าแล้ว เราจะกลับมาอีกรับพวกเจ้าไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนพวกเจ้าจะอยู่ที่นั่นด้วย 4พวกเจ้ารู้ว่าเราจะไปที่ไหน และเจ้าก็รู้จักทางนั้น” 5โธมัสพูดกับพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ พวกผมไม่รู้ว่าอาจารย์จะไปที่ไหน พวกผมจะรู้จักทางนั้นได้อย่างไร?” 6พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิตเข้าสู่นิพพาน ไม่มีผู้ใดมาถึงพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราได้นอกจากมาทางเรา 7ถ้าพวกเจ้ารู้จักเราแล้ว พวกเจ้าก็จะรู้จักพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราด้วย และตั้งแต่นี้ไปพวกเจ้าก็รู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์”
8ฟีลิปบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ ขอสำแดงพระเจ้าผู้เป็นพ่อของอาจารย์ให้พวกผมเห็น และพวกผมจะพอใจ” 9พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “ฟีลิปเอ๋ย เราได้อยู่กับเจ้านานถึงเพียงนี้ และเจ้ายังไม่รู้จักเราหรือ? ผู้ที่ได้เห็นเราก็ได้เห็นพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และเจ้าจะพูดได้อย่างไรว่า ‘ขอสำแดงพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ให้พวกเจ้าเห็น’ 10เจ้าไม่เชื่อหรือว่า เราอยู่ในพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา อยู่ในเรา คำซึ่งเรากล่าวแก่พวกเจ้านั้น เรามิได้กล่าวตามใจชอบ แต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราผู้อยู่ในเราได้กระทำพันธกิจของพระองค์ 11จงเชื่อเราเถิดว่าเราอยู่ในพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราอยู่ในเรา หรือมิฉะนั้นก็จงเชื่อเราเพราะกิจการเหล่านั้นเถิด
12เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าทั้งหลายว่า ผู้ที่เชื่อในเราจะทำกิจการซึ่งเราได้ทำนั้นด้วย และเขาจะทำกิจการที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปถึงพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา 13สิ่งใดที่พวกเจ้าทั้งหลายจะขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา จะได้รับเกียรติทางพระโอรส 14ถ้าเจ้าจะขอสิ่งใดในนามของเรา เราจะกระทำสิ่งนั้น”
15“ถ้าพวกเจ้าทั้งหลายรักเรา จงประพฤติตามศีลของเรา 16เราจะขอพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และพระองค์จะประทานผู้ปลอบประโลมใจอีกผู้หนึ่งให้แก่ท่าน เพื่อพระองค์จะได้อยู่กับพวกเจ้าตลอดไป 17คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้ซึ่งโลกรับไว้ไม่ได้ เพราะแลไม่เห็นพระองค์ และไม่รู้จักพระองค์ แต่พวกเจ้าทั้งหลายรู้จักพระองค์ เพราะพระองค์สถิตอยู่กับเจ้า และจะประทับอยู่ในพวกเจ้า 18เราจะไม่ละทิ้งพวกเจ้าทั้งหลายไว้ให้เปล่าเปลี่ยว เราจะมาหาพวกเจ้า 19อีกหน่อยหนึ่งโลกก็จะไม่เห็นเราอีกเลย แต่พวกเจ้าทั้งหลายจะเห็นเรา เพราะเราเป็นอยู่ พวกเจ้าทั้งหลายจะเป็นอยู่ด้วย 20ในวันนั้นพวกเจ้าทั้งหลายจะรู้ว่า เราอยู่ในพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และพวกเจ้าอยู่ในเรา และเราอยู่ในพวกเจ้า 21ผู้ใดที่มีศีลของเรา และประพฤติตามศีลนั้น ผู้นั้นแหละเป็นผู้ที่รักเรา และผู้ที่รักเรานั้น พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราจะรักเขา และเราจะรักเขา และจะสำแดงตัวของเราเองให้ปรากฏแก่เขา” 22ยูดาส มิใช่อิสคาริโอท บอกกับพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ เหตุใดอาจารย์จึงจะสำแดงตัวแก่พวกผม และไม่สำแดงแก่โลก” 23พระเยซูตอบเขาว่า “ถ้าผู้ใดรักเรา ผู้นั้นจะประพฤติตามคำของเรา และพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราจะรักเขา แล้วพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา กับเราจะมาหาเขาและจะอยู่กับเขา 24ผู้ที่ไม่รักเรา ก็ไม่ประพฤติตามคำของเรา และคำซึ่งพวกเจ้าได้ยินนี้ไม่ใช่คำของเรา แต่เป็นของพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราผู้ใช้เรามา”
25“เราได้กล่าวคำเหล่านี้แก่พวกเจ้าทั้งหลาย เมื่อเรายังอยู่กับพวกเจ้า 26แต่พระองค์ผู้ปลอบประโลมใจนั้นคือพระวิญญาณ ผู้ซึ่งพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราจะใช้มาในนามของเรา พระองค์นั้นจะสอนพวกเจ้าทุกสิ่ง และจะให้พวกเจ้าระลึกถึงทุกสิ่งที่เราได้กล่าวไว้แก่พวกเจ้าแล้ว 27เรามอบสันติภาพและสันติสุขไว้ให้แก่พวกเจ้าแล้ว สันติภาพและสันติสุขของเราที่ให้แก่พวกเจ้านั้น เราให้พวกเจ้าไม่เหมือนโลกให้ อย่าให้ใจของพวกเจ้าวิตกและอย่ากลัวเลย 28พวกเจ้าได้ยินเรากล่าวว่า ‘เราจะจากไปและจะกลับมาหาพวกเจ้าอีก’ ถ้าพวกเจ้ารักเรา พวกเจ้าก็จะชื่นชมยินดีที่เราว่า ‘เราจะไปหาพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา’ เพราะพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราเป็นใหญ่กว่าเรา 29และบัดนี้เราได้บอกพวกเจ้าทั้งหลายก่อนที่เหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้น เพื่อว่าเมื่อเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นแล้ว พวกเจ้าจะได้เชื่อ 30ต่อนี้ไป เราจะไม่สนทนากับพวกเจ้ามากนัก เพราะว่าผู้ครองโลกนี้จะมา และมันไม่มีสิทธิอำนาจอะไรเหนือเรา 31แต่เราได้กระทำตามที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราได้สั่งเรา เพื่อโลกจะได้รู้ว่าเรารักพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา จงลุกขึ้น ให้เราทั้งหลายไปกันเถิด”
1“เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราเป็นผู้ดูแลรักษา 2กิ่งทุกกิ่งในเราที่ไม่ออกผล พระองค์ก็ตัดทิ้งเสีย และกิ่งทุกกิ่งที่ออกผล พระองค์ก็ลิดเพื่อให้ออกผลมากขึ้น 3พวกเจ้าได้รับการชำระให้สะอาดแล้ว ด้วยถ้อยคำที่เราได้กล่าวแก่พวกเจ้า 4จงเข้าสนิทอยู่ในเรา และเราเข้าสนิทอยู่ในพวกเจ้า กิ่งจะออกผลเองไม่ได้นอกจากจะติดอยู่กับเถาฉันใด พวกเจ้าจะเกิดผลไม่ได้นอกจากจะเข้าสนิทอยู่ในเราฉันนั้น
5เราเป็นเถาองุ่น พวกเจ้าเป็นกิ่ง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นจะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วพวกเจ้าจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย 6ถ้าผู้ใดมิได้เข้าสนิทอยู่ในเรา ผู้นั้นก็ต้องถูกทิ้งเสียเหมือนกิ่ง แล้วก็เหี่ยวแห้งไป และเขารวบรวมไว้ทิ้งในไฟเผาเสีย 7ถ้าพวกเจ้าเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในพวกเจ้าแล้ว จะขอสิ่งใดซึ่งพวกเจ้าปรารถนา พวกเจ้าก็จะได้สิ่งนั้น 8พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราได้รับเกียรติเพราะเหตุนี้ คือเมื่อพวกเจ้าเกิดผลมาก จึงเป็นศิษย์ของเรา 9พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรามีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อเราฉันใด เราก็มีพรหมวิหารสี่ต่อพวกเจ้าฉันนั้น จงยึดมั่นอยู่ในพรหมวิหารสี่ของเรา 10ถ้าพวกเจ้าประพฤติตามศีลของเรา พวกเจ้าก็จะยึดมั่นอยู่ในพรหมวิหารสี่ของเรา เหมือนดังที่เราประพฤติตามศีลของพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และยึดมั่นอยู่ในพรหมวิหารสี่ของพระองค์ 11นี้คือสิ่งที่เราได้บอกแก่พวกเจ้าแล้ว เพื่อให้ความยินดีของเราดำรงอยู่ในพวกเจ้า และให้ความยินดีของพวกเจ้าเต็มเปี่ยม
12นี่แหละเป็นศีลของเรา คือให้พวกเจ้ามีพรหมวิหารสี่ต่อกันและกัน เหมือนดังที่เราได้มีต่อพวกเจ้า 13ไม่มีผู้ใดมีพรหมวิหารสี่ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน 14ถ้าพวกเจ้าประพฤติตามที่เราสั่งพวกเจ้า พวกเจ้าก็จะเป็นเพื่อนของเรา 15เราไม่เรียกพวกเจ้าว่าทาสอีก ต่อไป เพราะทาสไม่รู้ว่านายของเขาทำอะไร แต่เราเรียกพวกเจ้าว่าเพื่อน เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา เราได้สำแดงแก่พวกเจ้าแล้ว 16พวกเจ้าไม่ได้เลือกเรา แต่เราได้เลือกพวกเจ้า และได้แต่งตั้งพวกเจ้าไว้ให้ไปเกิดผล และเพื่อให้ผลของพวกเจ้าอยู่ถาวร เพื่อว่าเมื่อพวกเจ้าขอสิ่งใดจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราในนามของเรา พระองค์จะได้ประทานสิ่งนั้นให้แก่พวกเจ้า 17สิ่งเหล่านี้เราสั่งพวกเจ้าว่า จงมีพรหมวิหารสี่ต่อกันและกันเถิด
18ถ้าโลกนี้เกลียดชังพวกเจ้า ก็รู้ว่าโลกได้เกลียดชังเราก่อน 19ถ้าพวกเจ้าเป็นของโลก โลกก็จะรักพวกเจ้าซึ่งเป็นของโลก แต่เพราะพวกเจ้าไม่ใช่ของโลก แต่เราได้เลือกพวกเจ้าออกจากโลก เหตุฉะนั้นโลกจึงเกลียดชังพวกเจ้า 20จงระลึกถึงคำที่เราได้กล่าวแก่พวกเจ้าแล้วว่า ‘ทาสมิได้เป็นใหญ่กว่านายของเขา’ ถ้าเขาข่มเหงเรา เขาก็จะข่มเหงพวกเจ้าด้วย ถ้าเขาปฏิบัติตามคำของเรา เขาก็จะปฏิบัติตามคำของพวกเจ้าด้วย 21แต่ทุกสิ่งที่เขาจะกระทำแก่พวกเจ้าก็เพราะนามของเรา เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ผู้ใช้เรามา 22ถ้าเราไม่ได้มาประกาศแก่พวกเขา เขาก็คงจะไม่มีบาป แต่บัดนี้เขาไม่มีข้อแก้ตัวในเรื่องบาปของเขา
23ผู้ที่เกลียดชังเราก็เกลียดชังพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราด้วย 24ถ้า ณ ท่ามกลางพวกเขา เรามิได้ทำสิ่งซึ่งไม่มีผู้อื่นได้ทำเลย พวกเขาก็จะไม่มีบาป แต่เดี๋ยวนี้เขาก็ได้เห็นและเกลียดชังทั้งตัวเรา และพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา 25แต่การนี้เกิดขึ้นเพื่อคำที่เขียนไว้ในศีลของพวกเขาจะสำเร็จ ซึ่งว่า ‘เขาได้เกลียดชังเราโดยไร้เหตุ’ 26แต่เมื่อพระองค์ผู้ปลอบประโลมใจที่เราจะใช้มาจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรามาหาพวกเจ้า คือพระวิญญาณแห่งความจริง ผู้มาจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรานั้นได้มาแล้ว พระองค์นั้นจะเป็นพยานถึงเรา 27และพวกเจ้าก็จะเป็นพยานด้วย เพราะว่าพวกเจ้าได้อยู่กับเราตั้งแต่แรกแล้ว”
1“เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่พวกเจ้า ก็เพื่อไม่ให้สะดุดใจ 2เขาจะไล่พวกเจ้าออกจากวัดหรือสุเหร่า แท้จริงวันหนึ่งทุกคนที่ประหารชีวิตของพวกเจ้าจะคิดว่า เขาทำการนั้นเป็นการปฏิบัติพระเจ้า 3เขาจะกระทำดังนั้นแก่พวกเจ้าเพราะเขาไม่รู้จักพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และไม่รู้จักเรา 4แต่ที่เราบอกสิ่งเหล่านี้แก่พวกเจ้าก็เพื่อว่าเมื่อถึงเวลานั้น พวกเจ้าจะได้ระลึกว่าเราได้บอกพวกเจ้าไว้แล้ว”
“และเรามิได้บอกเรื่องนี้แก่พวกเจ้าแต่แรก เพราะว่าเรายังอยู่กับพวกเจ้า 5แต่บัดนี้เรากำลังจะไปหาท่านผู้ใช้เรามา และไม่มีใครในพวกเจ้าถามเราว่า ‘อาจารย์จะไปที่ไหน?’ 6แต่เพราะเราได้บอกเรื่องนี้แก่พวกเจ้า จิตใจของพวกเจ้าจึงเต็มด้วยความทุกข์โศก 7อย่างไรก็ตามเราบอกความจริงแก่พวกเจ้า คือการที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของพวกเจ้า เพราะถ้าเราไม่ไป พระองค์ผู้ปลอบประโลมใจก็จะไม่มาหาพวกเจ้า แต่ถ้าเราไปแล้ว เราก็จะใช้พระองค์มาหาพวกเจ้า 8เมื่อพระองค์นั้นมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้สึกถึงบาป และบุญ และถึงการพิพากษา 9ถึงความบาปนั้น คือเพราะเขาไม่เชื่อในเรา 10ถึงบุญนั้น คือเพราะเราไปหาพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และพวกเจ้าจะไม่เห็นเราอีก 11ถึงการพิพากษานั้น คือผู้ครองโลกนี้ถูกพิพากษาแล้ว 12เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกพวกเจ้า แต่เดี๋ยวนี้พวกเจ้ายังรับไว้ไม่ได้ 13เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงจะมานั้น พระองค์จะนำพวกเจ้าไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ได้ยิน และพระองค์จะแจ้งให้พวกเจ้ารู้ถึงสิ่งเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น 14พระองค์จะให้เราได้รับเกียรติ เพราะว่าพระองค์จะเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่พวกเจ้า 15ทุกสิ่งที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรามีนั้นเป็นของเรา เหตุฉะนั้นเราจึงกล่าวว่า พระวิญญาณเอาสิ่งซึ่งเป็นของเรานั้นมาสำแดงแก่พวกเจ้า
16อีกหน่อยพวกเจ้าก็จะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อยพวกเจ้าก็จะเห็นเรา เพราะเราไปถึงพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา” 17ศิษย์บางคนของพระองค์จึงพูดกันว่า “ที่อาจารย์บอกกับเราว่า ‘อีกหน่อยพวกเจ้าก็จะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อยพวกเจ้าก็จะเห็นเรา’ และ ‘เพราะเราไปถึงพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา’ ถ้อยคำเหล่านี้หมายความว่าอะไร” 18เขาจึงพูดกันว่า “นั่นหมายความว่าอะไรที่อาจารย์บอกว่า ‘อีกหน่อย’ เราไม่ทราบว่า สิ่งที่อาจารย์บอกนั้นหมายความว่าอะไร” 19พระเยซูรู้ว่าเขาอยากถามพระองค์ จึงกล่าวกับเขาว่า “ท่านทั้งหลายถามกันอยู่หรือว่า เราหมายความว่าอย่างไรที่พูดว่า ‘อีกหน่อยพวกเจ้าก็จะไม่เห็นเรา และต่อไปอีกหน่อยพวกเจ้าก็จะเห็นเรา’ 20เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า พวกเจ้าจะร้องไห้และคร่ำครวญ แต่โลกจะชื่นชมยินดี และพวกเจ้าจะทุกข์โศก แต่ความทุกข์โศกของพวกเจ้าจะกลับกลายเป็นความชื่นชมยินดี 21เมื่อผู้หญิงกำลังจะคลอด นางก็มีความทุกข์ เพราะถึงกำหนดแล้ว แต่เมื่อคลอดลูกแล้ว นางก็ไม่ระลึกถึงความเจ็บปวดนั้นเลย เพราะมีความชื่นชมยินดีที่คนหนึ่งเกิดมาในโลก 22ฉันใดก็ดีขณะนี้พวกเจ้ามีความทุกข์โศก แต่เราจะเห็นพวกเจ้าอีก และใจพวกเจ้าจะชื่นชมยินดี และไม่มีผู้ใดช่วงชิงความชื่นชมยินดีไปจากพวกเจ้าได้ 23ในวันนั้นพวกเจ้าจะไม่ถามอะไรเราอีก เราบอกความจริงแก่พวกเจ้าว่า ถ้าท่านจะขอสิ่งใดจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ในนามของเรา พระองค์จะประทานสิ่งนั้นให้แก่พวกเจ้า 24แม้จนบัดนี้พวกเจ้ายังไม่ได้ขอสิ่งใดในนามของเรา จงขอเถิดแล้วจะได้ เพื่อความชื่นชมยินดีของพวกเจ้าจะมีเต็มเปี่ยม”
25“เราพูดเรื่องนี้กับพวกเจ้าเป็นคำที่มีความหมายซ่อนไว้ แต่วันหนึ่งเราจะไม่พูดกับพวกเจ้าเช่นนี้อีก แต่จะบอกพวกเจ้าถึงเรื่องพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราอย่างแจ่มแจ้ง 26ในวันนั้นพวกเจ้าจะขอในนามของเรา และเราจะไม่บอกพวกเจ้าว่า เราจะอ้อนวอนพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราเพื่อพวกเจ้า 27เพราะว่าพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราเองก็มีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อพวกเจ้า เพราะท่านมีพรหมวิหารสี่ต่อเราและเชื่อว่าเรามาจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา 28เรามาจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราและได้เข้ามาในโลกแล้ว เราจะจากโลกนี้ไปถึงพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราอีก” 29เหล่าศิษย์ของพระองค์บอกพระองค์ว่า “ตอนนี้อาจารย์ได้พูดอย่างแจ่มแจ้งแล้ว มิได้พูดเป็นคำที่มีความหมายซ่อนอยู่อีก 30เดี๋ยวนี้พวกผมรู้แน่ว่า อาจารย์รู้ทุกสิ่ง และไม่จำเป็นที่ผู้ใดจะถามอาจารย์อีก ด้วยเหตุนี้พวกผมเชื่อว่าอาจารย์มาจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของอาจารย์” 31พระเยซูตอบเขาว่า “เดี๋ยวนี้พวกเจ้าเชื่อแล้วหรือ? 32ดูเถิด เวลาจะมา เวลานั้นก็ถึงแล้ว ที่พวกเจ้าจะต้องกระจัดกระจายไปยังที่ของพวกเจ้าทุกคน และจะทิ้งเราไว้แต่ผู้เดียว แต่เราหาได้อยู่ผู้เดียวไม่ เพราะพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราอยู่กับเรา 33เราได้บอกเรื่องนี้แก่พวกเจ้า เพื่อพวกเจ้าจะได้มีสันติภาพและสันติสุขในเรา ในโลกนี้พวกเจ้าจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงชื่นใจเถิด เพราะว่าเราได้ชนะโลกแล้ว”
1เมื่อพระเยซูกล่าวเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็แหงนหน้าขึ้นดูฟ้าและกล่าวว่า “พ่อครับ ถึงเวลาแล้ว ขอให้ลูกของพ่อจะได้รับเกียรติ เพื่อลูกจะได้ให้เกียรติแก่พ่อ 2ดังที่พ่อได้ให้ลูกมีอำนาจเหนือเนื้อหนังทั้งสิ้น เพื่อให้ลูกมอบชีวิตเข้าสู่นิพพานแก่คนทั้งปวงที่พ่อได้มอบให้แก่ลูกนั้น 3และนี่แหละคือชีวิตเข้าสู่นิพพาน คือที่เขารู้จักพ่อผู้เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักลูกที่พ่อใช้มา 4ผมได้ให้เกียรติแก่พ่อในโลก ผมได้ทำพันธกิจที่พ่อให้ผมกระทำนั้นสำเร็จแล้ว 5บัดนี้ พ่อครับ ขอให้ผมได้รับเกียรติต่อหน้าของพ่อ คือเกียรติซึ่งผมได้มีร่วมกับพ่อก่อนที่โลกนี้มีมา”
6“ผมได้สำแดงนามของพ่อแก่คนทั้งหลายที่พ่อได้มอบให้แก่ผมจากมวลมนุษย์โลก คนเหล่านั้นเป็นของพ่อแล้ว และพ่อได้มอบเขาให้แก่ผม และเขาได้ทำตามคำของพ่อแล้ว 7บัดนี้เขาทั้งหลายรู้ว่า ทุกสิ่งที่พ่อได้มอบแก่ผมนั้นมาจากพ่อ 8เพราะว่าธรรมะที่พ่อมอบให้แก่ข้าผมนั้น ผมได้มอบให้เขาแล้ว และเขาได้รับไว้ และเขารู้แน่ว่าผมมาจากพ่อ และเขาเชื่อว่า พ่อได้ใช้ผมมา 9ผมอธิษฐานอ้อนวอนเพื่อเขา ผมมิได้อธิษฐานเพื่อโลก แต่เพื่อคนเหล่านั้นที่พ่อได้มอบให้แก่ผม เพราะว่าเขาเป็นของพ่อ 10ทุกสิ่งซึ่งเป็นของข้าพระองค์ก็เป็นของพระองค์ และทุกสิ่งซึ่งเป็นของพ่อก็เป็นของผม และผมมีเกียรติในสิ่งเหล่านั้น 11บัดนี้ผมจะไม่อยู่ในโลกนี้อีก แต่พวกเขายังอยู่ในโลกนี้ และพ่อกำลังจะไปหาพ่อ พ่อครับ พ่อเป็นผู้บริสุทธิ์ ขอพ่อรักษาบรรดาผู้ที่พ่อได้มอบแก่ผมไว้ในนามของพ่อ เพื่อเขาจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เหมือนดังผมกับพ่อ”
12“เมื่อผมยังอยู่กับคนเหล่านั้นในโลกนี้ ผมก็ได้รักษาพวกเขาไว้ในนามของพ่อ ผู้ซึ่งพ่อได้มอบแก่ผม ผมได้ปกป้องเขาไว้และไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเสียไป นอกจากลูกของความพินาศ เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จ 13และบัดนี้ผมกำลังจะไปหาพ่อ และผมกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ในโลก เพื่อเขาจะได้รับความชื่นชมยินดีของผมอย่างเต็มเปี่ยม 14ผมได้มอบถ้อยคำของพ่อให้แก่เขาแล้ว และโลกนี้ได้เกลียดชังเขา เพราะเขาไม่ใช่ของโลก เหมือนดังที่ผมไม่ใช่ของโลก 15ผมไม่ได้ขอให้พ่อเอาเขาออกไปจากโลก แต่ขอปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากความชั่วร้าย 16เขาไม่ใช่ของโลก เหมือนดังที่ผมไม่ใช่ของโลก 17ขอจงชำระเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริงของพ่อ ถ้อยคำของพ่อเป็นความจริง 18พ่อใช้ผมมาในโลกฉันใด ผมก็ใช้เขาไปในโลกฉันนั้น 19ผมมอบตัวของผมเพราะเห็นแก่เขา เพื่อให้เขารับการชำระแต่งตั้งไว้โดยความจริงด้วยเช่นกัน”
20“ผมมิได้อธิษฐานอ้อนวอนเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อคนทั้งปวงที่จะเชื่อพึ่งอาศัยในผมเพราะถ้อยคำของเขา 21เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังที่พ่ออยู่ในผม และผมอยู่ในพ่อ เพื่อให้เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพ่อและกับข้าผมด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพ่อใช้ผมมา 22เกียรติซึ่งพ่อได้มอบแก่ผม ผมได้มอบให้แก่เขา เพื่อเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังที่พ่อกับผมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น 23ผมอยู่ในเขา และพ่ออยู่ในผม เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ และเพื่อโลกจะได้รู้ว่าพ่อใช้ผมมา และพ่อรักเขาเหมือนดังที่พ่อรักผม 24พ่อครับ ผมอยากให้คนเหล่านั้นที่พ่อได้มอบให้แก่ผม อยู่กับผมในที่ซึ่งผมอยู่นั้นด้วย เพื่อเขาจะได้เห็นสง่าราศีของผมซึ่งพ่อได้มอบให้แก่ผม เพราะพ่อรักผมก่อนที่จะสร้างโลก 25พ่อครับ พ่อเป็นพ่อผู้ชอบธรรม โลกนี้ไม่รู้จักพ่อ แต่ผมรู้จักพ่อ และคนเหล่านี้รู้ว่าพ่อได้ใช้ผมมา 26พ่อได้ประกาศให้เขารู้จักนามของพ่อ และจะประกาศให้เขารู้อีก เพื่อพรหมวิหารสี่ที่พ่อได้มีต่อผมจะอยู่ในเขา และผมจะอยู่ในเขา”
1เมื่อพระเยซูกล่าวดังนี้แล้ว พระองค์ได้ออกไปกับเหล่าศิษย์ของพระองค์ข้ามลำธารขิดโรนไปยังสวนแห่งหนึ่ง พระองค์เข้าไปในสวนนั้นกับเหล่าศิษย์ 2ยูดาสผู้ที่ทรยศพระองค์ก็รู้จักสวนนั้นด้วย เพราะว่าพระเยซูกับเหล่าศิษย์ของพระองค์เคยมาพบกันที่นั่นบ่อย ๆ
3ยูดาสจึงพาพวกทหารกับเจ้าหน้าที่มาจากพวกมหาปุโรหิตและพวกฟาริสี ถือโคมไฟถือไต้และอาวุธไปที่นั่น 4พระเยซูรู้ทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับพระองค์ พระองค์จึงออกไปถามเขาว่า “พวกเจ้ามาหาใคร” 5เขาตอบพระองค์ว่า “มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ” พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “เราคือผู้นั้นแหละ” ยูดาสผู้ทรยศพระองค์ก็ยืนอยู่กับคนเหล่านั้นด้วย 6เมื่อพระองค์กล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “เราคือผู้นั้นแหละ” เขาทั้งหลายได้ถอยหลังและล้มลงที่ดิน 7พระองค์จึงถามเขาอีกว่า “พวกเจ้ามาหาใคร” เขาตอบว่า “มาหาเยซูชาวนาซาเร็ธ” 8พระเยซูตอบว่า “เราบอกพวกเจ้าแล้วว่าเราคือผู้นั้น เหตุฉะนั้นถ้าเจ้าแสวงหาเราก็จงปล่อยคนเหล่านี้ไปเถิด” 9ทั้งนี้ก็เพื่อพระคำจะสำเร็จ ซึ่งพระเยซูกล่าวไว้แล้วว่า “คนเหล่านั้นซึ่งพ่อได้มอบไว้แก่ผมไม่ได้เสียไปสักคนเดียว” 10ซีโมนเปโตรมีดาบ จึงชักออก และฟันผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิต ถูกหูข้างขวาขาดไป ชื่อของผู้รับใช้คนนั้นคือมัลคัส 11พระเยซูจึงบอกกับเปโตรว่า “จงเอาดาบใส่ฝักเสีย เราจะไม่ดื่มถ้วยซึ่งพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรามอบให้แก่เราหรือ?”
12พวกพลทหารกับนายทหารและเจ้าหน้าที่ของพวกยิวจึงจับพระเยซูมัดไว้ 13แล้วพาพระองค์ไปหาอันนาสก่อน เพราะอันนาสเป็นพ่อตาของคายาฟาสผู้ซึ่งเป็นมหาปุโรหิตประจำการในปีนั้น 14คายาฟาสผู้นี้แหละที่แนะนำพวกยิวว่า ควรให้คนหนึ่งตายแทนพลเมืองทั้งหมด
15ซีโมนเปโตรได้ติดตามพระเยซูไป และศิษย์อีกคนหนึ่งก็ติดตามไปด้วย ศิษย์คนนั้นเป็นที่รู้จักของมหาปุโรหิต และเขาได้เข้าไปกับพระเยซูถึงคฤหาสน์ของมหาปุโรหิต 16แต่เปโตรยืนอยู่ข้างนอกริมประตู ศิษย์อีกคนหนึ่งนั้นที่รู้จักกันกับมหาปุโรหิต จึงได้ออกไป และพูดกับหญิงที่เฝ้าประตู แล้วก็พาเปโตรเข้าไป 17ผู้หญิงคนที่เฝ้าประตูจึงถามเปโตรว่า “เจ้าเป็นศิษย์ของคนนั้นด้วยหรือ?” เขาตอบว่า “ข้าฯไม่ได้เป็น” 18พวกผู้รับใช้กับเจ้าหน้าที่ก็ยืนอยู่ที่นั่นเอาถ่านมาก่อไฟเพราะอากาศหนาว แล้วก็ยืนผิงไฟกัน เปโตรก็ยืนผิงไฟอยู่กับเขาด้วย
19มหาปุโรหิตจึงได้ถามพระเยซูถึงเหล่าศิษย์ของพระองค์ และคำสอนของพระองค์ 20พระเยซูตอบเขาว่า “เราได้กล่าวให้โลกฟังอย่างเปิดเผย เราสั่งสอนเสมอทั้งในวัดหรือสุเหร่าและที่ในพระวิหารที่พวกยิวเคยชุมนุมกัน และเราไม่ได้กล่าวสิ่งใดอย่างลับ ๆ เลย 21พวกเจ้าถามเราทำไม จงถามผู้ที่ได้ฟังเราว่า เราได้พูดอะไรกับเขา ดูเถิด เขารู้ว่าเรากล่าวอะไรบ้าง”
22เมื่อพระองค์พูดเช่นนั้นแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ที่นั่นได้ตบหน้าพระเยซูด้วยฝ่ามือของเขา แล้วพูดว่า “เจ้าตอบมหาปุโรหิตอย่างนั้นหรือ?” 23พระเยซูตอบเขาว่า “ถ้าเราพูดผิด จงเป็นพยานในสิ่งที่ผิดนั้น แต่ถ้าเราพูดถูก เจ้าตบเราทำไม?” 24อันนาสจึงให้พาพระเยซูซึ่งถูกมัดอยู่ไปหาคายาฟาส ผู้เป็นมหาปุโรหิตประจำการ
25ซีโมนเปโตรกำลังยืนผิงไฟอยู่ คนเหล่านั้นจึงถามเปโตรว่า “เจ้าเป็นศิษย์ของคนนั้นด้วยหรือ?” เปโตรปฏิเสธว่า “ข้าฯไม่เป็น” 26ผู้รับใช้คนหนึ่งของมหาปุโรหิตซึ่งเป็นญาติกับคนที่เปโตรฟันหูขาดก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าฯเห็นเจ้ากับหมอนั้นอยู่ในสวนไม่ใช่หรือ?” 27เปโตรปฏิเสธอีกครั้งหนึ่ง และในทันใดนั้นไก่ก็ขัน
28เขาจึงได้พาพระเยซูออกไปจากคายาฟาสไปยังศาลปรีโทเรียม เป็นเวลาเช้าตรู่ พวกเขาเองไม่ได้เข้าไปในศาลปรีโทเรียม เพื่อไม่ให้เป็นมลทิน แต่จะได้กินปัสกาได้ 29ปีลาตจึงออกมาหาเขาเหล่านั้นแล้วถามว่า “พวกเจ้ามีเรื่องอะไรมาฟ้องคนนี้หรือ?” 30เขาตอบว่า “ถ้าเขาไม่ใช่ผู้ร้าย พวกข้าฯก็จะไม่มอบเขาไว้กับท่าน” 31ปีลาตจึงกล่าวแก่เขาว่า “พวกเจ้าจงเอาคนนี้ไปพิพากษาตามกฎหมายของพวกเจ้าเถิด” พวกยิวจึงเรียนท่านว่า “การที่พวกข้าฯจะประหารชีวิตคนใดคนหนึ่งนั้น เป็นการผิดกฎหมาย” 32ทั้งนี้เพื่อคำกล่าวของพระเยซูจะสำเร็จ ซึ่งพระองค์กล่าวว่า พระองค์จะสิ้นใจตายอย่างไร?
33ปีลาตจึงเข้าไปในศาลปรีโทเรียมอีก และเรียกพระเยซูมาถามพระองค์ว่า “เจ้าเป็นกษัตริย์ของพวกยิวหรือ?” 34พระเยซูตอบว่า “ท่านถามอย่างนั้นแต่ลำพังของท่านหรือ? หรือมีคนอื่นบอกท่านถึงเรื่องของเรา” 35ปีลาตตอบว่า “ข้าฯเป็นยิวหรือ? ชนชาติของเจ้าเอง และพวกมหาปุโรหิตได้มอบเจ้าไว้กับข้าฯ เจ้าทำผิดอะไร?” 36พระเยซูตอบว่า “อาณาจักรของเรามิได้เป็นของโลกนี้ ถ้าอาณาจักรของเรามาจากโลกนี้ คนของเราก็จะได้ต่อสู้ไม่ให้เราตกในเงื้อมมือของพวกยิว แต่บัดนี้อาณาจักรของเรามิได้มาจากโลกนี้” 37ปีลาตจึงถามพระองค์ว่า “ถ้าเช่นนั้นเจ้าเป็นกษัตริย์หรือ?” พระเยซูตอบว่า “ท่านบอกว่าเราเป็นกษัตริย์ เพราะเหตุนี้เราจึงเกิดมาและเข้ามาในโลก เพื่อเราจะเป็นพยานถึงความจริง คนทั้งปวงซึ่งอยู่ฝ่ายความจริงย่อมฟังเสียงของเรา”
38ปีลาตถามพระองค์ว่า “ความจริงคืออะไร?” เมื่อถามดังนั้นแล้วก็ออกไปหาพวกยิวอีก และบอกเขาว่า “ข้าฯไม่เห็นคนนั้นมีความผิดแม้แต่น้อย 39แต่พวกเจ้ามีธรรมเนียมให้ข้าฯปล่อยคนหนึ่งให้แก่พวกเจ้าในเทศกาลปัสกา ฉะนั้นพวกเจ้าจะให้ข้าฯปล่อยกษัตริย์ของพวกยิวให้แก่พวกเจ้าหรือ?” 40คนทั้งหลายจึงร้องขึ้นอีกว่า “อย่าปล่อยคนนี้ แต่จงปล่อยบารับบัส” บารับบัสนั้นเป็นโจร
1ขณะนั้นปีลาตจึงให้เอาพระเยซูไปโบยตี 2และพวกทหารก็เอาหนามสานเป็นมงกุฎสวมศีรษะของพระองค์ และให้พระองค์สวมเสื้อสีม่วง 3แล้วกล่าวว่า “กษัตริย์ของพวกยิว ขอทรงพระเจริญ” และเขาก็ตบหน้าพระองค์ 4ปีลาตจึงออกไปอีก และกล่าวแก่คนทั้งหลายว่า “ข้าฯพาคนนี้ออกมาให้ท่านทั้งหลายเพื่อให้ท่านรู้ว่า ข้าฯไม่เห็นว่าเขามีความผิดสิ่งใดเลย” 5พระเยซูจึงได้ออกมา สวมมงกุฎทำด้วยหนามและสวมเสื้อสีม่วง และปีลาตกล่าวแก่เขาทั้งหลายว่า “ดูคนนี้ซิ” 6ฉะนั้นเมื่อพวกมหาปุโรหิตและพวกเจ้าหน้าที่ได้เห็นพระองค์ เขาทั้งหลายร้องอื้ออึงว่า “ตรึงมันเสีย ตรึงมันเสีย” ปีลาตกล่าวแก่เขาว่า “พวกท่านเอาเขาไปตรึงเองเถิด เพราะข้าฯไม่เห็นว่าเขามีความผิดเลย” 7พวกยิวตอบว่า “พวกเรามีกฎหมาย และตามกฎหมายนั้นเขาควรจะตาย เพราะเขาได้ตั้งตัวเป็นพระโอรสของพระเจ้า” 8ครั้นปีลาตได้ยินดังนั้น ก็ตกใจกลัวมากขึ้น 9จึงเข้าไปในศาลปรีโทเรียมอีก และถามพระเยซูว่า “เจ้ามาจากไหน?” แต่พระเยซูมิได้ตอบประการใด 10ปีลาตจึงกล่าวกับพระองค์ว่า “เจ้าจะไม่พูดกับเราหรือ? เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าฯมีอำนาจที่จะตรึงเจ้าที่กางเขน และมีอำนาจที่จะปล่อยเจ้าได้” 11พระเยซูตอบว่า “ท่านจะมีอำนาจเหนือเราไม่ได้ นอกจากจะประทานจากเบื้องบนให้แก่ท่าน เหตุฉะนั้นผู้ที่มอบเราไว้กับท่านจึงมีความผิดมากกว่าท่าน”
12ตั้งแต่นั้นไปปีลาตก็หาโอกาสที่จะปล่อยพระองค์ แต่พวกยิวร้องอื้ออึงว่า “ถ้าท่านปล่อยชายคนนี้ ท่านก็ไม่ใช่มิตรของซีซาร์ ทุกคนที่ตั้งตัวเป็นกษัตริย์ ก็เป็นปฏิปักษ์ต่อซีซาร์” 13เมื่อปีลาตได้ยินดังนั้น จึงพาพระเยซูออกมา แล้วนั่งบัลลังก์พิพากษา ณ ที่เรียกว่า ลานปูศิลา ภาษาฮีบรูเรียกว่า กับบาธา 14วันนั้นเป็นวันเตรียมปัสกา เวลาประมาณเที่ยง ปีลาตพูดกับพวกยิวว่า “นี่คือกษัตริย์ของท่านทั้งหลาย” 15แต่เขาทั้งหลายร้องอื้ออึงว่า “เอามันไปเสีย เอามันไปเสีย ตรึงมันที่กางเขน” ปีลาตพูดกับเขาว่า “ท่านจะให้ข้าฯตรึงกษัตริย์ของท่านทั้งหลาย ที่กางเขนหรือ?” พวกมหาปุโรหิตตอบว่า “เว้นแต่ซีซาร์แล้ว เราไม่มีกษัตริย์” 16แล้วปีลาตจึงมอบพระองค์ให้เขาพาไปตรึงที่กางเขน และเขาก็พาพระเยซูไป
17และพระองค์ได้แบกกางเขนไปยังที่ซึ่งเรียกว่า กะโหลกศีรษะ ภาษาฮีบรูเรียกว่า กลโกธา 18ณ ที่นั้น เขาตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนกับคนอีกสองคน คนละข้าง และพระเยซูอยู่ตรงกลาง 19ปีลาตให้เขียนคำประจานติดไว้บนกางเขน และคำประจานนั้นว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธ กษัตริย์ของพวกยิว” 20พวกยิวเป็นอันมากจึงได้อ่านคำประจานนี้ เพราะที่ซึ่งเขาตรึงพระเยซูนั้นอยู่ใกล้กับกรุง และคำนั้นเขียนไว้เป็นภาษาฮีบรู ภาษากรีก และภาษาลาติน 21ฉะนั้นพวกมหาปุโรหิตของพวกยิวจึงเรียนปีลาตว่า “ขออย่าเขียนว่า ‘กษัตริย์ของพวกยิว’ แต่ขอเขียนว่า คนนี้บอกว่า เขาเป็นกษัตริย์ของพวกยิว”
22ปีลาตตอบว่า “สิ่งใดที่เราเขียนแล้วก็แล้วไป” 23ครั้นพวกทหารตรึงพระเยซูไว้ที่กางเขนแล้ว เขาทั้งหลายก็เอาเสื้อผ้าพระองค์แบ่งออกเป็นสี่ส่วนให้ทหารทุกคนคนละส่วน และเอาเสื้อพระองค์ชั้นในด้วย เสื้อชั้นในของพระองค์นั้นไม่มีตะเข็บ ทอตั้งแต่บนตลอดล่าง 24เหตุฉะนั้นเขาจึงพูดกันว่า “เราอย่าฉีกแบ่งกันเลย แต่ให้เราจับสลากกันจะได้รู้ว่าใครจะได้” ทั้งนี้เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จที่ว่า ‘เสื้อผ้าของข้าฯ เขาแบ่งปันกัน ส่วนเสื้อของข้าฯนั้น เขาก็จับสลากกัน’
25พวกทหารจึงได้กระทำดังนี้ ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกางเขนของพระเยซูนั้น มีมารดาของพระองค์กับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอปัส และมารีย์ชาวมักดาลา 26ฉะนั้นเมื่อพระเยซูเห็นมารดาของพระองค์ และศิษย์คนที่พระองค์สนิทสนมยืนอยู่ใกล้ พระองค์กล่าวกับมารดาของพระองค์ว่า “แม่ครับ จงดูลูกชายของแม่เถิด” 27แล้วพระองค์กล่าวกับศิษย์คนนั้นว่า “จงดูแลแม่ของเจ้าเถิด” และตั้งแต่เวลานั้นมา ศิษย์คนนั้นก็รับนางมาอยู่ในบ้านของตน
28หลังจากนั้นพระเยซูก็รู้ว่า ทุกสิ่งสำเร็จแล้ว เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จจึงกล่าวว่า “เรากระหายน้ำ” 29มีภาชนะใส่เหล้าองุ่นเปรี้ยววางอยู่ที่นั่น เขาจึงเอาฟองน้ำ ชุบเหล้าองุ่นเปรี้ยวใส่ปลายไม้หุสบชูขึ้นให้ถึงปากของพระองค์ 30เมื่อพระเยซูรับเหล้าองุ่นเปรี้ยวแล้ว พระองค์กล่าวว่า “สำเร็จแล้ว” และก้มศีรษะลงสิ้นใจตาย
31เพราะวันนั้นเป็นวันเตรียม พวกยิวจึงขอให้ปีลาตทุบขาของผู้ที่ถูกตรึงให้หัก และให้เอาศพไปเสีย เพื่อไม่ให้ศพค้างอยู่ที่กางเขนในวันศีล (เพราะวันศีลนั้นเป็นวันใหญ่) 32ดังนั้นพวกทหารจึงมาทุบขาของคนที่หนึ่ง และขาของอีกคนหนึ่งที่ถูกตรึงอยู่กับพระองค์ 33แต่เมื่อเขามาถึงพระเยซู และเห็นว่าพระองค์สิ้นใจแล้ว เขาจึงมิได้ทุบขาของพระองค์ 34แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที 35คนนั้นที่เห็นก็เป็นพยาน และคำพยานของเขาก็เป็นความจริง และเขาก็รู้ว่าเขาพูดความจริง เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อ 36เพราะสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพื่อข้อพระคัมภีร์จะสำเร็จซึ่งว่า ‘กระดูกของพระองค์จะไม่หักสักซี่เดียว’ 37และมีข้อพระคัมภีร์อีกข้อหนึ่งว่า ‘เขาทั้งหลายจะมองดูพระองค์ผู้ซึ่งเขาเองได้แทง’
38หลังจากนี้โยเซฟชาวบ้านอาริมาเธีย ซึ่งเป็นศิษย์ลับ ๆ ของพระเยซูเพราะกลัวพวกยิว ก็ได้มาขอศพพระเยซูจากปีลาต และปีลาตก็ยอมให้ โยเซฟจึงมานำศพพระเยซูไป 39ฝ่ายนิโคเดมัส ซึ่งตอนแรกไปหาพระเยซูในเวลากลางคืนนั้นก็มาด้วย เขานำเครื่องหอมผสม คือมดยอบกับอาโลเอหนักประมาณสามสิบกว่ากิโลกรัมมาด้วย 40พวกเขานำศพพระเยซูไป และเอาผ้าป่านกับเครื่องหอมพันศพนั้นตามธรรมเนียมฝังศพของพวกยิว 41ในสถานที่พระองค์ถูกตรึงที่กางเขนนั้นมีสวนแห่งหนึ่ง ในสวนนั้นมีอุโมงค์ฝังศพใหม่ที่ยังไม่ได้ฝังศพผู้ใดเลย 42เพราะวันนั้นเป็นวันเตรียมของพวกยิว และเพราะอุโมงค์นั้นอยู่ใกล้ เขาจึงบรรจุศพของพระเยซูไว้ที่นั่น
1วันแรกของสัปดาห์เวลาเช้ามืด มารีย์ชาวมักดาลามาถึงอุโมงค์ฝังศพ เธอเห็นหินออกจากปากอุโมงค์อยู่แล้ว 2เธอจึงวิ่งไปหาซีโมนเปโตรและศิษย์อีกคนหนึ่งที่พระเยซูสนิทสนมนั้น และพูดกับเขาว่า “เขาเอาอาจารย์ออกไปจากอุโมงค์แล้ว และพวกเราไม่รู้ว่าเขาเอาท่านไปไว้ที่ไหน” 3เปโตรจึงออกไปยังอุโมงค์กับศิษย์คนนั้น 4เขาจึงวิ่งไปทั้งสองคน แต่ศิษย์คนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตรจึงมาถึงอุโมงค์ก่อน 5เขาก้มลงมองดูเห็นผ้าป่านวางอยู่ แต่เขาไม่ได้เข้าไปข้างใน 6ซีโมนเปโตรตามมาถึงภายหลัง แล้วเข้าไปในอุโมงค์เห็นผ้าป่านวางอยู่ 7และผ้าพันศีรษะของพระองค์ไม่ได้วางอยู่กับผ้าอื่น แต่พับไว้ต่างหาก 8แล้วศิษย์คนนั้นที่มาถึงอุโมงค์ก่อนก็เข้าไปด้วย เขาได้เห็นและเชื่อ 9เพราะว่าขณะนั้นเขายังไม่เข้าใจข้อพระคัมภีร์ที่ว่า พระองค์จะต้องเป็นขึ้นมาจากความตาย 10แล้วศิษย์ทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตน
11ฝ่ายมารีย์ยืนร้องไห้อยู่นอกอุโมงค์ ขณะที่ร้องไห้อยู่เธอก้มลงมองดูที่อุโมงค์ 12และได้เห็นทูตสวรรค์สององค์สวมเสื้อขาวนั่งอยู่ ณ ที่ซึ่งเขาวางศพของพระเยซู องค์หนึ่งอยู่เบื้องศีรษะ และองค์หนึ่งอยู่เบื้องเท้า 13ทูตทั้งสองพูดกับมารีย์ว่า “ร้องไห้ทำไมล่ะหนู” เธอตอบทูตทั้งสองว่า “เพราะเขาเอาอาจารย์ของหนูไปเสียแล้ว และหนูไม่รู้ว่าเขาเอาอาจารย์ไปไว้ที่ไหน” 14เมื่อมารีย์พูดอย่างนั้นแล้ว ก็หันกลับมาและเห็นพระเยซูยืนอยู่ แต่ไม่ทราบว่าเป็นพระองค์
15พระเยซูถามเธอว่า “ร้องไห้ทำไมล่ะหนู เจ้าตามหาผู้ใด” มารีย์สำคัญว่าพระองค์เป็นคนทำสวนจึงตอบพระองค์ว่า “นายเจ้าขา ถ้าท่านได้เอาอาจารย์ของหนูไป ขอบอกให้หนูรู้ว่าเอาไปไว้ที่ไหน และหนูจะไปรับมา” 16พระเยซูกล่าวกับเธอว่า “มารีย์” มารีย์จึงหันมาและบอกกับพระองค์ว่า “รับโบนี” ซึ่งแปลว่า อาจารย์ 17พระเยซูกล่าวกับเธอว่า “อย่าแตะต้องเรา เพราะเรายังมิได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา แต่จงไปหาพวกพี่น้องของเรา และบอกเขาว่า เราจะขึ้นไปหาพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราพวกเจ้าทั้งหลาย” 18มารีย์มักดาลาจึงไปบอกพวกศิษย์ของพระองค์ว่า เธอได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว และพระองค์ได้กล่าวคำเหล่านั้นกับเธอ
19ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันแรกของสัปดาห์ เมื่อศิษย์ปิดประตูห้องที่พวกเขาอยู่แล้วเพราะกลัวพวกยิว พระเยซูได้เข้ามายืนอยู่ท่ามกลางเขา และกล่าวกับเขาว่า “สันติภาพและสันติสุขจงดำรงอยู่กับพวกเจ้าทั้งหลายเถิด” 20ครั้นพระองค์พูดอย่างนั้นแล้ว พระองค์ให้เขาดูมือ และสีข้างของพระองค์ เมื่อพวกศิษย์เห็นแล้ว เขาก็มีความยินดี 21พระเยซูจึงกล่าวกับเขาอีกว่า “สันติภาพและสันติสุขจงดำรงอยู่กับพวกเจ้าทั้งหลายเถิด พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราใช้เรามาฉันใด เราก็ใช้พวกเจ้าทั้งหลายไปฉันนั้น” 22ครั้นพระองค์กล่าวเช่นนั้นแล้วจึงระบายลมหายใจออกเหนือเขา และกล่าวกับเขาว่า “พวกเจ้าทั้งหลายจงรับพระวิญญาณเถิด 23ถ้าพวกเจ้าจะยกความผิดบาปของผู้ใด ความผิดบาปนั้นก็จะถูกยกเสีย และถ้าพวกเจ้าจะให้ความผิดบาปติดอยู่กับผู้ใด ความผิดบาปก็จะติดอยู่กับผู้นั้น”
24แต่ฝ่ายโธมัสที่เขาเรียกกันว่า ดิดุมัส ซึ่งเป็นศิษย์คนหนึ่งในสิบสองคนนั้น ไม่ได้อยู่กับพวกเขาเมื่อพระเยซูเดินทางมาถึง 25ศิษย์อื่น ๆ จึงบอกโธมัสว่า “พวกเราได้เห็นอาจารย์แล้ว” แต่โธมัสตอบเขาเหล่านั้นว่า “ถ้าข้าฯไม่เห็นรอยตะปูที่มือของท่าน และไม่ได้เอานิ้วของข้าแยงเข้าไปที่รอยตะปูนั้น และไม่ได้เอามือของข้าแยงเข้าไปที่สีข้างของท่านแล้ว ข้าฯจะไม่เชื่อเลย”
26ครั้นล่วงไปแปดวันแล้ว เหล่าศิษย์ของพระองค์อยู่ด้วยกันข้างในอีก และโธมัสก็อยู่กับพวกเขาด้วย ประตูปิดแล้ว พระเยซูได้เข้ามาและยืนอยู่ท่ามกลางเขาและกล่าวว่า “สันติภาพและสันติสุขจงอยู่กับพวกเจ้าทั้งหลายเถิด” 27แล้วพระองค์พูดกับโธมัสว่า “จงยื่นนิ้วมาที่นี่และดูมือของเรา จงยื่นมือออกคลำที่สีข้างของเรา อย่าขาดความเชื่อเลย แต่จงเชื่อเถิด” 28โธมัสตอบพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์เป็นองค์พระผู้เป็นของพวกผม” 29พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “โธมัสเอ๋ย เพราะเจ้าได้เห็นเราเจ้าจึงเชื่อ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข”
30พระเยซูได้กระทำหมายสำคัญอื่น ๆ อีกหลายประการต่อหน้าเหล่าศิษย์ของพระองค์ ซึ่งไม่ได้จดไว้ในหนังสือม้วนนี้ 31แต่การที่ได้จดเหตุการณ์เหล่านี้ไว้ ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อว่า พระเยซูเป็นพระศรีอาริย์พระโอรสของพระเจ้า และเมื่อมีความเชื่อแล้ว ก็จะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพานโดยพระนามของพระองค์
1ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้พระเยซูได้สำแดงพระองค์แก่เหล่าศิษย์อีกครั้งหนึ่งที่ทะเลทิเบเรียส และพระองค์สำแดงพระองค์อย่างนี้ 2คือ ซีโมนเปโตร โธมัสที่เรียกว่า ดิดุมัส และนาธานาเอลชาวบ้านคานาแคว้นกาลิลี และลูกชายทั้งสองของเศเบดี และศิษย์ของพระองค์อีกสองคนกำลังอยู่ด้วยกัน 3ซีโมนเปโตรบอกเขาว่า “ข้าฯจะไปจับปลา” เขาทั้งหลายจึงพูดกันว่า “พวกข้าฯจะไปกับเจ้าด้วย” เขาก็ออกไปลงเรือทันที แต่คืนนั้นเขาจับปลาไม่ได้เลย
4แต่ครั้นรุ่งเช้าพระเยซูยืนอยู่ที่ฝั่งทะเล แต่เหล่าศิษย์ไม่รู้ว่าเป็นพระองค์ 5พระเยซูจึงถามเขาว่า “มีอะไรกินบ้างหรือเปล่า” เขาตอบพระองค์ว่า “ไม่มี” 6พระองค์พูดกับเขาทั้งหลายว่า “จงทอดอวนลงทางด้านขวาเรือเถิด แล้วจะได้ปลาบ้าง” เขาจึงทอดอวนลงและได้ปลาเป็นอันมากจนลากอวนขึ้นไม่ได้ 7ศิษย์คนที่พระเยซูสนิทสนมจึงบอกเปโตรว่า “เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” เมื่อซีโมนเปโตรได้ยินว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า เขาก็หยิบเสื้อคลุมชาวประมงของเขามาสวมรัดไว้ (เพราะเขาเปลือยเปล่าอยู่) แล้วก็กระโดดลงทะเล 8แต่ศิษย์อื่น ๆ นั้นนั่งเรือเล็ก ๆ มา ลากอวนที่ติดปลาเต็มนั้นมาด้วย (เพราะเขาอยู่ไม่ห่างจากฝั่งนัก ไกลประมาณหนึ่งร้อยเมตรเท่านั้น)
9เมื่อเขาขึ้นมาบนฝั่ง เขาก็เห็นถ่านติดไฟอยู่ และมีปลาวางอยู่ข้างบนและมีขนมปัง 10พระเยซูพูดกับเขาทั้งหลายว่า “เอาปลาที่ได้เมื่อกี้นี้มาบ้าง” 11ซีโมนเปโตรจึงไปลากอวนขึ้นฝั่ง อวนติดปลาใหญ่เต็ม มีหนึ่งร้อยห้าสิบสามตัว และถึงมากอย่างนั้นอวนก็ไม่ขาด 12พระเยซูกล่าวกับเขาทั้งหลายว่า “มากินข้าวด้วยกันเถิด” และในพวกศิษย์ไม่มีใครกล้าถามพระองค์ว่า “อาจารย์คือผู้ใด” เพราะเขารู้อยู่ว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า 13พระเยซูเข้ามาหยิบขนมปังแจกให้เขา และหยิบปลาแจกด้วย 14นี่เป็นครั้งที่สามที่พระเยซูสำแดงพระองค์แก่พวกศิษย์ของพระองค์ หลังจากที่พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย
15เมื่อรับประทานอาหารเสร็จแล้วพระเยซูกล่าวกับซีโมนเปโตรว่า “ซีโมนลูกชายโยนาห์เอ๋ย เจ้ารักเรามากกว่าสิ่งเหล่านี้หรือ” เขาตอบพระองค์ว่า “ถูกแล้วอาจารย์ อาจารย์ก็รู้ว่าผมรักอาจารย์” พระองค์สั่งเขาว่า “จงเลี้ยงลูกแกะของเราเถิด” 16พระองค์กล่าวกับเขาครั้งที่สองอีกว่า “ซีโมนลูกชายโยนาห์เอ๋ย เจ้ารักเราหรือ” เขาตอบพระองค์ว่า “ถูกแล้วอาจารย์ อาจารย์รู้ว่าผมรักอาจารย์” พระองค์กล่าวกับเขาว่า “จงเลี้ยงแกะของเราเถิด” 17พระองค์กล่าวกับเขาครั้งที่สามว่า “ซีโมนลูกชายโยนาห์เอ๋ย เจ้ารักเราหรือ” เปโตรก็เป็นทุกข์ใจที่พระองค์ถามเขาครั้งที่สามว่า “เจ้ารักเราหรือ” และเขาบอกพระองค์ว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์ก็รู้ทุกสิ่ง อาจารย์รู้ว่า ผมรักอาจารย์” พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “จงเลี้ยงแกะของเราเถิด 18เราบอกความจริงว่า เมื่อเจ้ายังหนุ่มเจ้าคาดเอวเอง และเดินไปไหน ๆ ตามที่ท่านปรารถนา แต่เมื่อเจ้าแก่แล้วเจ้าจะเหยียดมือของเจ้าออก และคนอื่นจะคาดเอวท่าน และพาท่านไปที่ที่ท่านไม่ปรารถนาจะไป” 19ที่พระองค์กล่าวเช่นนั้นเพื่อแสดงว่า เปโตรจะถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยความตายอย่างไร ครั้นพระองค์กล่าวเช่นนั้นแล้วจึงสั่งเปโตรว่า “จงตามเรามาเถิด”
20เปโตรเหลียวหลังเห็นศิษย์คนที่พระเยซูสนิทสนมตามมา คือศิษย์ที่เอนตัวลงหนุนตักของพระองค์เมื่อรับประทานอาหารเย็นอยู่นั้น และถามว่า “อาจารย์ครับ ผู้ที่จะทรยศอาจารย์คือใคร?” 21เมื่อเปโตรเห็นศิษย์คนนั้นจึงถามพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ คนนี้จะเป็นอย่างไร?” 22พระเยซูกล่าวกับเขาว่า “ถ้าเราอยากจะให้เขาอยู่จนเรามานั้น จะเป็นเรื่องอะไรของเจ้าเล่า เจ้าจงตามเรามาเถิด” 23เหตุฉะนั้นคำที่ว่า ศิษย์คนนั้นจะไม่ตาย จึงลือไปท่ามกลางพวกพี่น้อง แต่พระเยซูมิได้กล่าวแก่เขาว่า “ศิษย์คนนั้นจะไม่ตาย” แต่กล่าวว่า “ถ้าเราอยากจะให้เขาอยู่จนเรามานั้น จะเป็นเรื่องอะไรของเจ้าเล่า”
24ศิษย์คนนี้แหละ ที่เป็นพยานถึงเหตุการณ์เหล่านี้และเป็นผู้ที่เขียนสิ่งเหล่านี้ไว้ และเรารู้ว่าคำพยานของเขาเป็นความจริง 25มีอีกหลายสิ่งที่พระเยซูได้กระทำ ถ้าจะเขียนไว้ให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคาดว่า แม้หมดทั้งโลกก็น่าจะไม่พอไว้หนังสือที่จะเขียนนั้น
1ถึงท่านเธโอฟีลัส ผู้ที่ข้าพเจ้าเคารพนับถือ ในหนังสือเล่มแรกนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวถึงการงานที่พระเยซูได้ตั้งต้นทำ และสั่งสอน 2จนถึงวันที่พระองค์ถูกรับขึ้นไป หลังจากได้สั่งอัครทูตที่พระองค์เลือกไว้นั้น โดยเดชแห่งพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ 3เมื่อพระองค์ได้ทนทุกข์ทรมานแล้ว ก็ได้แสดงตัวแก่คนเหล่านั้น ด้วยหลักฐานหลายอย่าง พิสูจน์อย่างแน่นอนว่าพระองค์มีชีวิตอยู่ และได้ปรากฏแก่เขาทั้งหลายถึงสี่สิบวัน และได้พูดถึงเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า
4เมื่อพระองค์พักอยู่ด้วยกันกับอัครทูต พระองค์ได้บอกเขาไม่ให้ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม แต่ให้คอยรับตามคำสัญญาของพระเจ้าผู้เป็นพ่อ คือพระองค์กล่าวว่า “ตามที่พวกเจ้าทั้งหลายได้ยินจากเรานั่นแหละ 5เพราะว่ายอห์นได้ให้พวกเจ้าทำพิธีมุดน้ำเพื่อแสดงได้หันกลับจากความผิดบาป ที่อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา แต่อีกไม่ช้าพวกเจ้าทั้งหลายจะได้รับพิธีมุดน้ำ เพื่อแสดงว่าพวกเจ้าหันกลับจากความผิดบาป โดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์”
6เมื่อเขาทั้งหลายได้ประชุมพร้อมกัน เขาจึงถามพระเยซูว่า “อาจารย์ครับ อาจารย์จะตั้งอาณาจักรขึ้นใหม่ให้แก่อิสราเอลในตอนนี้หรือ?” 7พระเยซูตอบเขาว่า “ไม่ใช่ธุระของเจ้าที่จะรู้เวลาและวาระที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อ ได้กำหนดไว้โดยสิทธิอำนาจของพระองค์ 8แต่พวกเจ้าทั้งหลายจะได้รับฤทธิ์เดชอำนาจ เมื่อพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จะลงมาอยู่กับพวกเจ้า และพวกเจ้าทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราทั้งในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วมณฑลยูเดีย มณฑลสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”
9เมื่อพระเยซูกล่าวเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าก็รับพระองค์ขึ้นไปต่อหน้าต่อตาเขา และมีก้อนเมฆมาบังพระองค์ไว้ให้พ้นสายตาของเขา 10เมื่อเขากำลังจ้องดูท้องฟ้า ขณะที่พระเยซูถูกรับขึ้นไปนั้น ในตอนนั้น มีชายสองคนสวมเสื้อขาวมายืนอยู่ข้าง ๆ เขา 11กล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกเจ้าจึงยืนจ้องดูท้องฟ้า พระเยซูผู้นี้ที่พระเจ้ารับขึ้นไปอยู่สวรรค์นั้น จะกลับมาอีกเหมือนกับที่พวกเจ้าทั้งหลาย ได้เห็นพระองค์เหาะไปยังสวรรค์นั้น”
12แล้วอัครทูตจึงได้ลงมาจากภูเขามะกอกเทศ ซึ่งอยู่ใกล้กรุงเยรูซาเล็ม ระยะทางเท่ากับกับระยะที่อนุญาตให้คนเดินไปเดินมาในวันศีล 13เมื่อเข้ากรุงแล้ว เขาเหล่านั้นจึงขึ้นไปห้องชั้นบน ซึ่งมีทั้งเปโตร ยากอบ ยอห์นกับอันดรูว์ ฟีลิปกับโธมัส บารโธโลมิว กับมัทธิว ยากอบบุตรชายอัลเฟอัส ซีโมนเศโลเท กับยูดาสน้องชายของยากอบ พักอยู่ที่นั่น 14พวกเขาร่วมใจกันอธิษฐานสวดอ้อนวอนต่อเนื่องพร้อมกับพวกผู้หญิง และมารีย์แม่ของพระเยซู และพวกน้องชายของพระองค์ด้วย
15ในตอนนั้น เปโตรจึงได้ยืนขึ้นท่ามกลางพวกพี่น้องทั้งหลาย ที่ประชุมกันอยู่นั้น มีรวมทั้งหมดประมาณร้อยยี่สิบคน และกล่าวว่า 16“พี่น้องทั้งหลาย การที่ยูดาสหักหลังพระเยซู โดยเป็นผู้นำคนไปจับพระองค์นั้น เป็นเหตุการณ์ที่พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้กล่าวไว้โดยกษัตริย์ดาวิด จำเป็นจะต้องเป็นความจริง 17เพราะยูดาสนั้นได้นับเข้าในพวกเรา และได้รับส่วนในภารกิจนี้ 18แต่เขาผู้นี้ได้เอาบำเหน็จแห่งการชั่วช้าของเขาไปซื้อที่ดิน แล้วก็ล้มคะมำลงท้องแตกไส้พุงทะลักออกมาหมด 19เหตุการณ์นี้คนทั้งหลายที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มก็รู้ เขาจึงเรียกที่ดินแปลงนั้นตามภาษาของเขาว่า อาเคลดามา คือทุ่งนาเลือด 20เพราะมีคำเขียนไว้ในหนังสือสดุดีว่า ‘ขอให้ที่อาศัยของเขาร้างเปล่า และอย่าให้ผู้ใดอาศัยอยู่ที่นั่น’ และ ‘ขอให้อีกผู้หนึ่งมายึดตำแหน่งของเขา’ 21เหตุฉะนั้นในโอกาสนี้ เราต้องเลือกคนใดคนหนึ่งทำหน้าที่แทนยูดาส เพื่อการเผยแพร่การเป็นขึ้นมาของพระเยซูพระผู้เป็นเจ้านาย ขอให้เราเลือกเฉพาะผู้ที่อยู่ร่วมกับเรามาตั้งแต่แรก 22คือตั้งแต่พิธีมุดน้ำของยอห์น จนถึงวันที่พระองค์ถูกรับขึ้นไปจากเรา คนหนึ่งในพวกนี้จะต้องตั้งไว้ให้เป็นพยานกับเรา ถึงการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์”
23เขาทั้งหลายจึงเสนอชื่อคนสองคน คือโยเซฟที่เรียกว่าบารซับบาส มีนามสกุลว่ายุสทัส และมัทธีอัส 24แล้วพวกศิษย์จึงอธิษฐานสวดอ้อนวอนว่า “สาธุ ข้าแต่พระเจ้า ผู้รู้จักใจของมนุษย์ทั้งหลาย ขอได้โปรดสำแดงว่า ในสองคนนี้พระองค์จะเลือกผู้ใด๋ 25ให้รับส่วนในการรับใช้นี้ และรับตำแหน่งเป็นอัครทูตแทนยูดาส ซึ่งโดยการละเมิดนั้นได้หลงจากหน้าที่ไปยังที่ของตน” 26เขาทั้งหลายจึงจับสลากกัน และสลากนั้นได้แก่มัทธีอัส จึงนับเขาเข้ากับอัครทูตสิบเอ็ดคนนั้น
1เมื่องานเทศกาลฉลองวันเพ็นเทคศเตมาถึง พวกศิษย์จึงมาร่วมใจกันอยู่ที่เดียวกัน 2ในทันใดนั้น มีเสียงมาจากฟ้าเหมือนกับเสียงพายุดังก้องสนั่นไปทั่วบ้านที่เขานั่งอยู่นั้น 3มีเปลวไฟลักษณะเหมือนกับลิ้นปรากฏกับเขา และกระจายอยู่กับเขาหมดทุกคน 4เขาเหล่านั้นก็มีพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า เขาจึงตั้งต้นพูดภาษาต่าง ๆ ตามที่พระวิญญาณโปรดให้พูด
5มีพวกยิวโพ้นทะเลจากทุกประเทศทั่วใต้ฟ้า ซึ่งเป็นผู้ยำเกรงพระเจ้ามาอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม 6เมื่อมีเสียงเช่นนั้น เขาจึงพากันมาดูและสับสน เพราะต่างคนต่างได้ยินคนเหล่านั้นพูดภาษาของตัวเอง 7คนทั้งหลายจึงประหลาด และอัศจรรย์พูดกันว่า “อ้าว ดูนั่นซิ คนทั้งหลายที่พูดกันนั้นเป็นชาวกาลิลีมิใช่หรือ? 8ทำไมเขาจึงพูดภาษาของบ้านเกิดเมืองนอนของเราได้เล่า? 9เช่นชาวปารเธีย และมีเดีย ชาวเอลาม และคนที่อยู่ในเขตแดนเมโสโปเตเมีย และมณฑลยูเดีย และมณฑลคัปปาโดเซีย ในมณฑลปอนทัส และเอเชีย 10ในมณฑลฟรีเจีย มณฑลปัมฟีเลีย และประเทศอียิปต์ ในมณฑลเมืองลิเบียซึ่งขึ้นกับกรุงไซรีน และคนมาจากกรุงโรม ทั้งพวกยิวกับคนเข้าจารีตยิว 11ชาวเกาะครีตและชาวอาระเบีย เราทั้งหลายต่างก็ได้ยินคนเหล่านี้พูดถึงกิจกรรมอ้นใหญ่หลวงของพระเจ้า ตามภาษาของเราเอง” 12เขาทั้งหลายจึงอัศจรรย์ใจ และฉงนสนเท่ห์พูดกันว่า “นี่มันเป็นอะไรกัน เกิดอะไรขึ้น” 13แต่บางคนเยาะเย้ยว่า “โอ คนเหล่านั้นเมาเหล้าองุ่นใหม่”
14ฝ่ายเปโตรได้ยืนขึ้นกับอัครทูตสิบเอ็ดคน และได้กล่าวกับคนทั้งหลายด้วยเสียงอันดังว่า “ชาวยูเดีย และคนที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มทั้งหลาย จงเข้าใจเรื่องนี้ และฟังคำพูดของข้าพเจ้าเถิด 15เพราะว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เมาเหล้าองุ่นเหมือนดังที่ท่านคิดนั้น เพราะว่าตอนนี้เป็นเวลาสามโมงเช้า 16แต่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตามคำซึ่งโยเอลศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวไว้ว่า 17‘พระเจ้ากล่าวว่าในวาระสุดท้าย เราจะเทฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของเราโปรดประทานแก่มนุษย์ทั้งปวง ลูกชายลูกหญิงของพวกเจ้าทั้งหลายจะกล่าวคำพยากรณ์ คนหนุ่มของเจ้าจะเห็นนิมิต และคนแก่จะฝันเห็น 18ในคราวนั้น เราจะเทฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของเราบนทาสชายทาสหญิงของเรา และคนเหล่านั้นจะกล่าวคำพยากรณ์ 19เราจะสำแดงการอัศจรรย์ในอากาศเบื้องบน และนิมิตที่แผ่นดินเบื้องล่าง เป็นเลือด ไฟ และไอควัน 20ดวงอาทิตย์จะมืดไป และดวงจันทร์จะกลับเป็นเลือด ก่อนถึงวันใหญ่นั้น คือวันใหญ่ยิ่งของพระเจ้า 21และจะเป็นเช่นนี้คือ ทุกคนซึ่งได้ออกนามของพระเจ้าผู้เป็นเจ้านายจะหลุดพ้น’”
22“พวกท่านทั้งหลายผู้เป็นชนชาติอิสราเอล ขอฟังคำเหล่านี้ของข้าพเจ้า คือพระเยซูชาวนาซาเร็ธ เป็นผู้ที่พระเจ้าโปรดชี้แจงให้พวกท่านทั้งหลายรู้โดยการอัศจรรย์ การมหัศจรรย์ และหมายสำคัญต่าง ๆ ซึ่งพระเจ้าได้ทำโดยพระองค์นั้น ท่ามกลางพวกท่านทั้งหลาย ดังที่ท่านรู้อยู่แล้ว 23พระเยซูนี้ ได้ถูกมอบไว้ตามที่พระเจ้าได้คิดไตร่ตรองล่วงหน้าไว้ก่อน พวกท่านทั้งหลายได้ให้คนชั่วจับพระองค์ไปตรึงที่กางเขนและฆ่าพระองค์เสีย 24พระเจ้าได้บันดาลให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย โดยการกำจัดความเจ็บปวดแห่งความตาย เพราะว่าความตายจะครอบงำพระองค์ไว้ไม่ได้ 25เพราะดาวิดได้กล่าวถึงพระองค์ว่า “ข้าพเจ้าได้เห็นพระเจ้าผู้เป็นเจ้านายตรงหน้าข้าพเจ้าเสมอ เพราะว่าพระองค์ประทับที่มือขวาของข้าพเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะมิได้หวั่นไหว 26เพราะฉะนั้น จิตใจของข้าพเจ้าจึงยินดี และปากของข้าพเจ้าจึงเปรมปรีดิ์ อนึ่งร่างกายของข้าพเจ้าจะอยู่ด้วยความไว้ใจ 27เพราะพระองค์จะไม่ทรงทิ้งข้าพเจ้าไว้ในนรก ทั้งจะไม่ทรงให้ผู้มีบุญของพระองค์เปื่อยเน่าไป 28พระองค์ได้โปรดให้ข้าพเจ้าทราบทางแห่งชีวิตแล้ว พระองค์โปรดให้ข้าพเจ้ามีความยินดีเต็มเปี่ยมต่อหน้าของพระองค์”
29“พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ามีใจกล้าหาญที่จะพูดกับพวกท่านทั้งหลายถึงดาวิดบรรพบุรุษของเราว่า ท่านได้ตายไปแล้วถูกฝังไว้ และอุโมงค์ฝังศพของท่านยังอยู่กับเราจนถึงทุกวันนี้ 30ท่านเป็นศาสดาพยากรณ์ และรู้ว่าพระเจ้าได้สัญญาไว้กับท่านด้วยคำสัตย์สาบานว่า พระเจ้าจะให้มีผู้หนึ่งในวงศ์ตระกูลของท่านนั่งบนบัลลังก์ของท่าน 31ดาวิดก็รู้เหตุการณ์นี้ก่อน จึงได้พูดถึงการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ว่า พระเจ้าไม่ได้ทิ้งพระองค์ไว้ในนรก ทั้งร่างกายของพระองค์ก็ไม่เน่าเปื่อยไป 32พระเยซูนี้ พระเจ้าได้บันดาลให้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว พวกข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นพยานในข้อนี้”
33“เหตุฉะนั้นเมื่อพระเจ้ายกพระองค์ให้นั่งขวามือของพระเจ้าแล้ว และได้รับพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จากพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ตามที่พระองค์สัญญาไว้ ว่าพระองค์จะเทฤทธิ์เดชนี้ลงมา ตามที่พวกท่านทั้งหลายได้ยิน และเห็นนี้ 34เพราะว่าดาวิดไม่ได้ขึ้นไปสวรรค์ แต่ท่านได้กล่าวว่า ‘พระเจ้าพูดกับพระเจ้าผู้เป็นเจ้านายของข้าพเจ้าว่า จงนั่งที่ขวามือของเรา 35จนกว่าเราจะทำให้ศัตรูของท่านอยู่ใต้ท่าน’ 36เหตุฉะนั้นให้วงศ์วานอิสราเอลทั้งหลายรู้แน่นอนว่า พระเจ้าได้ยกพระเยซู ที่พวกเจ้าทั้งหลายได้ตรึงไว้ที่กางเขน ตั้งให้เป็นทั้งพระเจ้าผู้เป็นเจ้านายและพระผู้เป็นพระศรีอาริย์”
37เมื่อคนทั้งหลายได้ยินแล้วก็รู้สึกเป็นทุกข์ใจ จึงพูดกับเปโตรและอัครทูตคนอื่น ๆ ว่า “พี่น้องทั้งหลาย พวกเราจะทำอย่างไรดี” 38ฝ่ายเปโตรจึงกล่าวกับเขาว่า “จงกลับหลังหันจากความผิดบาป และทำพิธีมุดน้ำในนามแห่งพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ให้หมดทุกคน เพื่อว่าพระเจ้าจะยกความผิดบาปของท่าน และท่านจะได้มีพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ 39เพราะว่าคำสัญญานั้นตกอยู่กับพวกท่านทั้งหลาย และลูกหลานของท่านด้วย และตกอยู่กับคนทั้งหลายที่อยู่ไกล คือทุกคนที่พระเจ้าผู้เป็นเจ้านายของเราเรียกมาให้เฝ้าพระองค์” 40เปโตรจึงได้พูดอีกหลายคำเป็นพยาน และได้เตือนสติเขาว่า “จงรักษาชีวิตให้รอดจากยุคที่คดโกงนี้เถิด” 41คนทั้งหลายที่เชื่อคำของเปโตรก็ทำพิธีมุดน้ำ ในวันนั้นมีคนเข้าเป็นสาวกเพิ่มอีกประมาณสามพันคน 42เขาทั้งหลายได้ตั้งมั่นคงในคำสอน และสามัคคีธรรมกันกับพวกอัครทูต และได้ร่วมใจกันทำพิธีมหาสนิท และอธิษฐานสวดอ้อนวอน
43พวกเขาทุกคนมีความยำเกรงพระเจ้า และพวกอัครทูตได้ทำการอัศจรรย์ และหมายสำคัญหลายสิ่งหลายอย่าง 44ผู้ที่เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้านั้น ก็อยู่พร้อมกันในที่เดียวกัน และทรัพย์สิ่งของของเขาเหล่านั้นเขาเอามารวมกันเป็นของกลาง 45เขาจึงได้ขายทรัพย์สมบัติ และสิ่งของมาแบ่งให้แก่คนทั้งหลาย ตามความจำเป็นของทุกคน 46เขาได้ร่วมใจกันไปพระวิหาร และทำพิธีมหาสนิทตามบ้านของเขา และรับประทานอาหารร่วมกัน ด้วยความชื่นชมยินดี และด้วยความจริงใจ ทุกวันตลอดมา 47และยังได้ยกย่องพระเจ้า และคนทั้งหลายก็พอใจ ฝ่ายพระเจ้าผู้เป็นเจ้านายได้ให้ผู้ที่กำลังจะหลุดพ้น เข้าสมทบกับพวกสาวกมากขึ้นทุกวัน
1ฝ่ายเปโตรกับยอห์นกำลังจะขึ้นไปบริเวณพระวิหารในชั่วโมงที่มีการอธิษฐานสวดอ้อนวอน ขณะนั้นเป็นเวลาบ่ายสามโมง 2มีชายคนหนึ่งเป็นง่อยมาตั้งแต่กำเนิด ทุกวันมีคนเคยหามเขามาวางไว้ริมประตูพระวิหาร ที่มีชื่อว่าประตูงาม เพื่อให้เขาขอทานจากคนที่จะเข้าไปในพระวิหาร 3ชายคนนั้นพอเห็นเปโตรกับยอห์นจะเข้าไปในพระวิหารก็ขอทาน
4ฝ่ายเปโตรกับยอห์นจ้องมองดูเขาแล้วบอกว่า “จงดูพวกเราเถิด” 5คนขอทานนั้นได้จ้องมองดู คิดว่าจะได้อะไรจากเขา 6เปโตรกล่าวว่า “เงินและทองของเราไม่มี แต่ที่เรามีอยู่เราจะให้เจ้า คือในนามแห่งพระเยซูชาวนาซาเร็ธ ผู้เป็นพระศรีอาริย์ จงลุกขึ้นเดินไป” 7แล้วเปโตรจับมือขวาของเขาพยุงขึ้น และในทันใดนั้นเท้าและข้อเท้าของเขาก็มีกำลัง 8เขาจึงกระโดดขึ้นยืน และเดินเข้าไปในพระวิหารด้วยกันกับเปโตร และยอห์น เดินไปเต้นไป ยกย่องพระเจ้าไป 9คนทั้งหลายเห็นเขาเดิน และยกย่องพระเจ้า 10จึงรู้ว่าเป็นคนนั้นที่นั่งขอทานอยู่ที่ประตูงามแห่งพระวิหาร เขาจึงพากันมีความประหลาดและอัศจรรย์ใจอย่างมากมายในเหตุการณ์ที่เกิดกับคนนั้น
11เมื่อคนเป็นง่อยที่หายนั้นยังเกาะเปโตร และยอห์นอยู่ คนทั้งหลายก็แล่นไปหาเขาที่เฉลียงพระวิหารที่เรียกว่า เฉลียงของซาโลมอน ด้วยความอัศจรรย์ใจมาก 12พอเปโตรแลเห็นก็พูดกับคนเหล่านั้นว่า “ชาวอิสราเอลทั้งหลาย ทำไมพวกท่านจึงพากันประหลาดใจด้วยเรื่องคนนี้ และจ้องดูพวกเรา อย่างกับว่าพวกเราทำให้คนนี้เดินได้โดยฤทธิ์ หรือความบริสุทธิ์ของพวกเราเอง 13พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ คือพระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเรา ได้ให้เกียรติยศแก่พระเยซูผู้รับใช้ของพระองค์ ผู้ที่พวกท่านทั้งหลายได้มอบไว้แล้ว และได้ปฏิเสธพระองค์ต่อหน้าปีลาต เมื่อเขาตั้งใจจะปล่อยพระองค์ไป 14แต่พวกท่านทั้งหลายได้ปฏิเสธพระองค์ ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์และเป็นคนบุญ และได้ขอให้เขาปล่อยฆาตกรให้กับพวกท่านทั้งหลาย 15จึงได้ฆ่าพระองค์ผู้เป็นเจ้าชีวิตนั้น ผู้ที่พระเจ้าได้บันดาลให้เป็นขึ้นมาจากความตาย พวกเราเป็นพยานในเรื่องนี้ 16โดยความเชื่อพึ่งอาศัยในนามของพระองค์ นามนั้นจึงได้ทำให้คนนี้ที่พวกท่านทั้งหลายเห็น และรู้จักมีกำลังขึ้น คือความเชื่อพึ่งอาศัยซึ่งเป็นไปโดยพระองค์ ได้ทำให้คนนี้หายปกติต่อหน้าพวกท่านทั้งหลาย”
17“พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้ว่าพวกท่านทั้งหลายได้ทำเช่นนั้นเพราะไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร ทั้งคณะผู้ปกครองของท่านก็ทำเหมือนกันด้วย 18แต่ว่าเหตุการณ์เหล่านั้น ที่พระเจ้าได้ประกาศไว้ล่วงหน้าโดยปากของศาสดาพยากรณ์หรือคนทรงทั้งหลายของพระองค์ ว่า พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ต้องทนทุกข์ทรมาน พระองค์จึงให้สำเร็จตามนั้น 19เหตุฉะนั้นพวกท่านทั้งหลายจงหันกลับ และตั้งใจใหม่ เพื่อพระเจ้าจะลบล้างความผิดบาปของท่าน เพื่อเวลาพักผ่อนหย่อนใจจะได้มาจากพระเจ้าผู้เป็นนาย 20และเพื่อพระเจ้าจะได้ส่งพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ซึ่งกำหนดไว้แล้วนั้นมาเพื่อพวกท่านทั้งหลาย คือพระเยซู 21ผู้ซึ่งสวรรค์จะต้องรับไว้จนถึงวาระเมื่อสิ่งสารพัดจะตั้งขึ้นใหม่ ตามที่พระเจ้าได้กล่าวไว้โดยปากบรรดาศาสดาพยากรณ์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ตั้งแต่โบราณกาลมา”
22“โมเสสได้พูดไว้กับบรรพบุรุษว่า ‘พระเจ้าผู้เป็นเจ้านายของพวกท่านทั้งหลาย จะตั้งคนหนึ่งในพวกท่านให้เป็นศาสดาพยากรณ์ เหมือนกันกับพระองค์ได้ตั้งข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายจงเชื่อฟังทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้นั้นบอกแก่ท่าน 23ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดไม่เชื่อฟังศาสดาพยากรณ์ผู้นั้น เขาจะต้องถูกตัดขาดให้พินาศไปจากชนชาติของพระเจ้า’ 24และศาสดาพยากรณ์ทั้งหลาย ตั้งแต่ซามูเอลเป็นต้นมาก็ได้พากันพยากรณ์เถิงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนี้ 25พวกท่านทั้งหลายเป็นลูกหลานของศาสดาพยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้านั้น และของพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ทำไว้กับบรรพบุรุษของเรา เหมือนได้พูดกับอับราฮัมว่า ‘พงศ์พันธุ์ทั้งหลายทั่วแผ่นดินโลกจะได้รับพรเพราะเชื้อสายของเจ้า’ 26เมื่อพระเจ้าได้ให้พระเยซูผู้รับใช้ของพระองค์เป็นขึ้นจากตายแล้ว จึงได้ใช้พระองค์มายังพวกท่านทั้งหลายก่อน เพื่ออวยพรแก่ท่านทั้งหลาย โดยให้ท่านทั้งหลายทุกคนกลับหลังหันจากความชั่วช้าของตน”
1ขณะที่เปโตรกับยอห์นยังพูดกับคนทั้งหลายอยู่ ปุโรหิตทั้งหลายกับนายทหารรักษาพระวิหาร และพวกสะดูสีมาหาคนทั้งสอง 2เขาเป็นทุกข์ใจ เพราะว่าเขาทั้งสองได้สั่งสอน และเผยแพร่แก่คนทั้งหลายถึงเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซู 3เขาจึงจับคนทั้งสองจำไว้ในคุกจนถึงวันต่อมา เพราะว่ามันเย็นแล้ว 4แต่คนทั้งหลายที่ได้ฟังคำสอนนั้นก็เชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้า ซึ่งนับแต่ผู้ชายได้ประมาณห้าพันคน
5ครั้นรุ่งเช้าวันต่อมา พวกผู้ปกครองกับพวกผู้อาวุโส และพวกคัมภีราจารย์ 6ทั้งอันนาสมหาปุโรหิต และคายาฟาส ยอห์น อเล็กซานเดอร์ กับคนอื่น ๆ ที่เป็นญาติของมหาปุโรหิตนั้น ได้ประชุมกันในกรุงเยรูซาเล็ม 7เมื่อเขาให้เปโตร และยอห์นยืนอยู่ท่ามกลางพวกเขาแล้วจึงถามว่า “เจ้าทั้งสองได้ทำเช่นนี้โดยฤทธิ์ หรือในนามของผู้ใด”
8ขณะนั้นเปโตรประกอบด้วยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าจึงได้เว้ากับเขาว่า “ผู้ปกครองพลเมือง และผู้อาวุโสทั้งหลายของอิสราเอล 9ถ้าพวกท่านทั้งหลายจะถามพวกเราในวันนี้ถึงการดีที่ได้ทำกับคนป่วยนี้ว่า เขาหายเป็นปกติด้วยเหตุอันใดแล้ว 10ก็ให้พวกท่านทั้งหลายกับพวกอิสราเอลทั้งหลายรู้ไว้ว่า โดยนามของพระเยซูชาวนาซาเร็ธ ผู้เป็นพระศรีอาริย์ ที่พวกท่านทั้งหลายได้ตรึงไว้ที่กางเขน และพระเจ้าได้บันดาลให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย โดยพระองค์นั้นแหละ ชายคนนี้ได้หายโรคเป็นปกติแล้วจึงยืนอยู่ต่อหน้าท่าน 11พระองค์เป็น ‘ศิลาที่ช่างก่อสร้างได้ขว้างทิ้ง บัดนี้กลายเป็นศิลาที่เป็นเสาเอกแล้ว’ 12ในผู้อื่นความหลุดไม่มีเลย เพราะว่านามอื่นที่ให้เราทั้งหลายหลุดพ้นได้ ไม่โปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า”
13เมื่อเขาเห็นความกล้าหาญของเปโตรกับยอห์น และรู้ว่าคนทั้งสองขาดการศึกษา และเป็นคนธรรมดาก็ประหลาดใจ แล้วเขาคิดได้ว่าคนทั้งสองเคยอยู่กับพระเยซู 14เมื่อเขาเห็นคนนั้นที่หายโรคยืนอยู่กับเปโตรและยอห์น เขาก็ไม่มีข้อคัดค้านที่จะพูดอะไรได้ 15แต่เมื่อเขาสั่งให้เปโตร และยอห์นออกไปจากที่ประชุมสภาแล้ว เขาจึงปรึกษากัน 16ว่า “เราจะทำอย่างไรกับคนทั้งสองนี้ เพราะการอัศจรรย์ที่เขาทำนั้นโดดเด่นมาก ก็ได้ปรากฏแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในกรุงเยรูซาเล็มแล้ว และเราปฏิเสธไม่ได้ 17แต่ให้เราขู่เขาอย่างแข็งแรงห้ามไม่ให้อ้างชื่อของผู้นั้นกับคนหนึ่งคนใดเลย เพื่อเรื่องนี้จะไม่ได้ร่ำลือไปในหมู่คนทั้งปวง” 18เขาจึงเรียกเปโตร และยอห์นมา แล้วห้ามอย่างเด็ดขาดไม่ให้พูด หรือสอนออกนามของพระเยซูอีกเลย
19ฝ่ายเปโตรและยอห์นตอบเขาว่า “การที่จะฟังท่านมากกว่าฟังพระเจ้าจะเป็นการถูกต้องในสายตาของพระเจ้าอยู่หรือ? ขอพวกท่านทั้งหลายพิจารณาดูเถิด 20ซึ่งข้าพเจ้าจะไม่พูดตามที่เห็น และได้ยินนั้นก็ไม่ได้” 21เมื่อเขาขู่คนทั้งสองนั้นอีกแล้ว ก็ปล่อยไป ไม่เห็นมีเหตุที่จะลงโทษคนทั้งสองอย่างใดได้ เพราะกลัวคนทั้งหลายเหล่านั้น เหตุว่าคนทั้งหลายได้ยกย่องพระเจ้า เพราะเหตุเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น 22เพราะว่าคนที่หายโรคโดยการอัศจรรย์นั้น มีอายุสี่สิบกว่าปีแล้ว
23เมื่อได้รับการปล่อยตัวแล้ว เปโตรกับยอห์นก็ไปไปหาอัครทูตคนอื่น ๆ และได้เล่าเรื่องทั้งหลายที่พวกมหาปุโรหิต และพวกผู้อาวุโสพูดให้คนเหล่านั้นฟัง 24เมื่อเขาทั้งหลายได้ฟังแล้ว จึงพร้อมใจกันเปล่งเสียงบอกพระเจ้าว่า “สาธุ พระเจ้าผู้เป็นเจ้านาย พระองค์เป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และสรรพสิ่งที่มีอยู่ในนั่น 25พระองค์กล่าวไว้โดยปากของดาวิดผู้รับใช้ของพระองค์ว่า ‘เหตุใดคนต่างชาติจึงหยิ่งยโส และชนชาติทั้งหลายคิดอ่านแต่สิ่งที่ไม่มีประโยชน 26กษัตริย์ทั้งหลายแห่งแผ่นดินโลกตั้งตัวขึ้น และนักปกครองชุมนุมกันต่อสู้พระเจ้าผู้เป็นนาย และพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ของพระองค์’”
27“ความจริงในเมืองนี้ ทั้งเฮโรด และปอนทิอัสปีลาต กับคนต่างประเทศ และชนชาติอิสราเอลได้ชุมนุมกันต่อสู้พระเยซูผู้รับใช้ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้แต่งตั้งไว้แล้ว 28ให้ทำสิ่งสารพัดโดยมือ และแผนงานของพระองค์ที่ได้กำหนดตั้งแต่ก่อนมาแล้วให้เกิดขึ้น 29บัดนี้ ขอพระองค์เหลียวดูการข่มขู่ของเขา และช่วยให้ผู้รับใช้ของพระองค์พูดคำพูดของพระองค์ด้วยใจกล้า 30เมื่อพระองค์ได้เหยียดมือของพระองค์ออกรักษาโรคให้หาย และได้ให้หมายสำคัญ และการอัศจรรย์เกิดขึ้น โดยนามแห่งพระเยซูผู้รับใช้ผู้บริสุทธิ์ของพระองค์” 31เมื่อเขาอธิษฐานสวดอ้อนวอนแล้ว ที่ซึ่งเขาประชุมกันอยู่นั้นได้สั่นสะเทือน และคนเหล่านั้นประกอบด้วยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ได้กล่าวพระคำของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ
32คนทั้งหลายที่เชื่อนั้นเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน และไม่มีใครอ้างว่าสิ่งของที่ตัวมีอยู่เป็นของตน แต่ทั้งหมดนั้นเป็นของกลาง 33อัครทูตจึงเป็นพยานด้วยฤทธิ์เดชอย่างใหญ่ยิ่ง ถึงการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซู พระเจ้าผู้เป็นนาย และพระคุณอันยิงใหญ่ได้อยู่กับเขาทุกคน 34และในพวกศิษย์นั้นไม่มีผู้ใดขัดสน เพราะผู้ใดมีไร่มีนา มีบ้านเรือนเขาก็ขาย และได้นำเงินที่ขายได้นั้นมา 35ไว้กับอัครทูต อัครทูตจึงแจกจ่ายให้ทุกคนตามที่เขาต้องการ 36เป็นต้นว่า โยเซฟ ที่อัครทูตเอิ้นเรียกว่า บารนาบัส (แปลว่า ลูกแห่งการให้กำลังใจ) เป็นพวกเลวี ชาวเกาะไซปรัส 37มีที่ดินก็ขาย และนำเงินนั้นนั้นมาไว้กับอัครทูต
1แต่มีชายคนหนึ่งชื่ออานาเนีย กับภรรยาของเขาชื่อสัปฟีรา ได้ขายที่ดินของตน 2และเงินค่าที่ดินส่วนหนึ่งเขาเก็บไว้ ภรรยาของเขาก็รู้ และอีกส่วนหนึ่งเขานำมาไว้กับอัครทูต 3ฝ่ายเปโตรจึงถามว่า “อานาเนีย ทำไมเจ้าจึงปล่อยให้มารเข้าครอบงำจิตใจของเจ้า การที่เจ้าอ้างว่าเงินจำนวนนี้เป็นจำนวนเต็มของการขายที่ดินนั้น ก็เป็นการหลอกพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ 4เมื่อที่ดินยังอยู่ก็เป็นของเจ้าไม่ใช่หรือ? เมื่อขายแล้วเงินก็ยังอยู่ในอำนาจของเจ้ามิใช่หรือ? แล้วทำไมเจ้าจึงคิดในใจอย่างนั้นเล่า เจ้าไม่ได้หลอกมนุษย์ แต่ได้หลอกพระเจ้า” 5เมื่ออานาเนียได้ยินคำเหล่านั้นก็ล้มลงตาย และเมื่อคนทั้งหลายได้ยินก็พากันตกใจมาก 6พวกคนหนุ่มก็ลุกขึ้นห่อศพเขาไว้แล้วหามไปฝัง
7หลังจากนั้นประมาณสามชั่วโมง ภรรยาของเขายังไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจึงได้เข้าไป 8ฝ่ายเปโตรถามนางว่า “เจ้าขายที่ดินได้ราคาเท่านี้หรือ? จงบอกข้าพเจ้าเถิด” หญิงนั้นจึงตอบว่า “ได้เท่านั้นแหละค่ะ” 9เปโตรจึงถามนางว่า “ทำไมเจ้าทั้งสองจึงได้พร้อมใจทดสอบพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ของพระเจ้าผู้เป็นนายเล่า ในตอนนี้ ผู้ที่นำศพสามีของเจ้าไปฝัง กำลังเดินมา เท้าของเขาอยู่ที่ประตูแล้ว เขาจะหามศพของเจ้าออกไปฝังด้วย” 10ในทันใดนั้นนางก็ล้มลงตายแทบเท้าของเปโตร และพวกคนหนุ่มได้เข้ามาเห็นว่าหญิงนั้นตายแล้ว จึงได้หามศพออกไปฝังไว้ข้างสามีของนาง 11ความยำเกรงอย่างยิ่งเกิดขึ้นในชุมชนของพระเจ้า และในหมู่คนทั้งหลายที่ได้ยินเหตุการณ์นั้น
12มีหมายสำคัญ และการอัศจรรย์หลายอย่างซึ่งอัครทูตได้ทำด้วยมือของท่านในหมู่ประชาชน พวกสาวกอยู่พร้อมใจกันในเฉลียงของซาโลมอน 13และคนอื่น ๆ ไม่สามารถเข้ามาอยู่ด้วย แต่ประชาชนก็เคารพอัครทูตอย่างมาก 14มีชายหญิงมากมายที่เชื่อถือ ได้เข้ามาเป็นสาวกของพระเจ้าผู้เป็นนายมากกว่าแต่ก่อน 15จนเขาหามคนเจ็บป่วยออกมาที่ถนนวางบนที่นอนและแคร่ เพื่อเมื่อเปโตรเดินผ่านไป อย่างน้อยเงาของท่านจะได้ถูกเขาบางคน 16ประชาชนได้ออกมาจากเมืองที่อยู่ล้อมรอบกรุงเยรูซาเล็ม พาคนป่วย และคนที่มีผีร้ายเบียดเบียนมา และทุกคนก็ได้รับการรักษา
17ฝ่ายมหาปุโรหิต และพรรคพวกของเขาคือพวกสะดูสี มีความอิจฉาอย่างมากมาย 18จึงได้จับพวกอัครทูตขังไว้ในคุกหลวง 19แต่ในเวลากลางคืน ทูตสวรรค์ของพระเจ้าผู้เป็นนายได้มาเปิดประตูคุก พาอัครทูตออกไป บอกว่า 20“จงไปยืนในพระวิหาร เผยแพร่ข้อความทั้งหลายแห่งชีวิตนี้ให้ประชาชนฟังเถิด” 21เมื่ออัครทูตได้ยินเช่นนั้น ครั้นถึงตอนเช้าจึงเข้าไปสั่งสอนในพระวิหาร ฝ่ายมหาปุโรหิตกับพรรคพวกของเขา ได้เรียกประชุมสภาศาสนา พร้อมกับบรรดาผู้อาวุโสทั้งหมดของพวกอิสราเอล แล้วใช้คนไปที่คุกให้พาอัครทูตออกมา 22แต่เมื่อเจ้าพนักงานไปถึงก็ไม่เห็นพวกอัครทูตในคุก จึงกลับมารายงาน 23ว่า “พวกผมเห็นคุกปิดอยู่อย่างมั่นคงและคนเฝ้าก็ยืนอยู่หน้าประตู ครั้นเปิดประตูแล้วก็ไม่เห็นผู้ใดอยู่ข้างใน”
24เมื่อนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกมหาปุโรหิต ได้ยินคำเหล่านี้ ก็งุนงงในเรื่องของอัครทูตว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป 25มีคนหนึ่งมาบอกเขาว่า “ในตอนนี้ คนเหล่านั้น ซึ่งพวกท่านทั้งหลายได้ขังไว้ในคุกกำลังยืนสั่งสอนคนทั้งหลายอยู่ในพระวิหาร” 26แล้วนายทหารรักษาพระวิหารกับพวกเจ้าพนักงาน จึงได้ไปพาพวกอัครทูตมาแต่โดยดี เพราะเกรงว่าคนทั้งหลายจะเอาหินขว้าง 27เมื่อเขาได้พาพวกอัครทูตมาแล้วก็ให้ยืนต่อหน้าสภาศาสนา มหาปุโรหิตจึงถาม 28ว่า “พวกเราได้บอกพวกเจ้าอย่างแข็งแรงแล้วว่าไม่ให้สอนออกชื่อนี้ แต่เดี๋ยวนี้ เจ้าได้ให้คำสอนของเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็มแล้ว และอยากให้ความผิดอันเกี่ยวข้องกับเลือดของคนผู้นั้นตกอยู่กับพวกเรา”
29ฝ่ายเปโตรกับอัครทูตคนอื่น ๆ ตอบว่า “พวกข้าพเจ้าจำเป็นต้องเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อฟังมนุษย์ 30พระเยซูที่พวกท่านทั้งหลายได้ฆ่าทิ้งโดยแขวนไว้ที่ต้นไม้นั้น พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้บันดาลให้พระองค์เป็นขึ้นมาใหม่ 31พระเจ้าได้ตั้งพระองค์ไว้ที่เบื้องขวาของพระองค์ให้เป็นผู้นำ และเป็นพระผู้ทำความหลุดพ้นให้ เพื่อจะให้พวกอิสราเอลกลับหลังหันจากความผิดบาป แล้วจะโปรดยกความผิดบาปของเขา 32เราทั้งหลายจึงเป็นพยานของพระองค์ถึงเรื่องเหล่านี้ และพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งพระเจ้าได้ประทานให้ทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์นั้นก็เป็นพยานด้วย”
33เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินเช่นนั้น ความโมโหก็พลุ่งขึ้น คิดกันว่าขะฆ่าพวกอัครทูตทิ้ง 34แต่คนหนึ่งชื่อกามาลิเอลเป็นพวกฟาริสี และเป็นคัมภีราจารย์ผู้รักษาบัญญัติหรือศีล เป็นที่นับถือของประชาชน ได้ยืนขึ้นในสภาศาสนา แล้วสั่งให้พาพวกอัครทูตออกไปภายนอกชั่วขณะหนึ่ง 35เขาจึงได้พูดกับคนเหล่านั้นว่า “ชาวอิสราเอลทั้งหลาย ซึ่งท่านหวังจะทำกับคนเหล่านี้ จงระวังตัวให้ดี 36ครั้งก่อนนี้ก็มีคนหนึ่งชื่อธุดาสอวดตัวว่าเป็นผู้วิเศษ มีผู้ชายติดตามเขาประมาณสี่ร้อยคน แต่ธุดาสถูกฆ่าทิ้ง คนทั้งหลายซึ่งได้เชื่อฟังเขาก็กระจัดกระจายสาบสูญไป 37ภายหลังผู้นี้ ก็มีอีกคนหนึ่งชื่อยูดาสเป็นชาวกาลิลี ได้ปรากฏขึ้นในคราวจดบัญชีสำมะโนครัว และได้ชักจูงคนให้ติดตามไปอย่างมากมาย ผู้นั้นก็พินาศไป และคนทั้งหลายที่ได้เชื่อฟังเขาก็กระจัดกระจายไป 38ในกรณีนี้ ข้าพเจ้าจึงพูดกับพวกท่านทั้งหลายว่า จงปล่อยคนเหล่านี้ไปตามเรื่อง อย่าไปทำอะไรเขาเลย เพราะว่าถ้าความคิด หรือกิจการนี้มาจากมนุษย์มันก็จะล้มหายตายจากไปเอง 39แต่ถ้ามาจากพระเจ้า พวกเจ้าทั้งหลายจะทำลายก็ไม่ได้ เกรงว่าท่านจะเป็นผู้สู้รบกับพระองค์”
40เขาทั้งหลายจึงยอมฟังกามาลิเอล และเมื่อได้เรียกพวกอัครทูตเข้ามาแล้ว จึงเฆี่ยนตี และบอกไม่ให้ออกนามของพระเยซูอีก แล้วก็ปล่อยไป 41พวกอัครทูตจึงได้ออกจากสภาศาสนาด้วยความยินดี ในการที่พระเจ้าเห็นว่า พวกเขาเหมาะสมจะได้รับความอัปยศเพราะนามของพระองค์นั้น 42ที่บริเวณพระวิหาร และตามบ้านเรือน เขาได้สั่งสอน และเผยแพร่บารมีของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ทุกวันมิได้ขาด
1ในตอนนั้น เมื่อศิษย์กำลังเพิ่มทวีขึ้น พวกกรีกบ่นติเตียนพวกฮีบรูว่า ในการแจกทานทุก ๆ วันนั้น เขาเว้นไม่ได้แจกให้พวกแม่ม่ายชาวกรีก 2ฝ่ายอัครทูตทั้งสิบสองคนจึงเรียกบรรดาศิษย์ทั้งหลายให้มาประชุมกันแล้วกล่าวว่า “ซึ่งเราจะละเลยพระคำของพระเจ้ามัวไปแจกอาหารก็เป็นการไม่สมควร 3เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงเลือกเจ็ดคนในพวกท่านที่มีชื่อเสียงดี ประกอบด้วยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และสติปัญญา เราจะตั้งเขาไว้ให้ดูแลงานนี้ 4ฝ่ายพวกเราจะเอาใจใส่ในการอธิษฐานสวดอ้อนวอน และสั่งสอนพระคำตลอดไป” 5คนทั้งหลายเห็นด้วยกับคำนี้ จั่งเลือกสเทเฟน ผู้มีความเชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้า และประกอบด้วยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ กับฟีลิป โปรโครัส นิคาโนร์ ทิโมน ปารเมนัส และนิโคเลาส์ชาวเมืองอันทิโอก ซึ่งเป็นผู้เข้าจารีตนับถือศาสนายิว 6คนทั้งเจ็ดนี้เขาให้มาอยู่ต่อหน้าพวกอัครทูต และเมื่อพวกอัครทูตได้อธิษฐานสวดอ้อนวอนแล้ว จึงได้ปรกมือบนเขา
7การประกาศเผยแพร่พระคำของพระเจ้าได้เจริญขึ้น และจำนวนศิษย์ก็เพิ่มขึ้นอย่างมากมายในกรุงเยรูซาเล็ม และพวกปุโรหิตทั้งหลายก็ได้เชื่อฟังด้วยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า
8ฝ่ายสเทเฟนประกอบด้วยพระคุณ และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า จึงได้ทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ท่ามกลางประชาชน 9แต่มีบางคนมาจากวัดหรือสุเหร่ายิวที่เรียกว่า วัดหรือสุเหร่าของพวกทาสอิสระ มีทั้งชาวไซรีน ชาวอเล็กซานเดอร์ กับบางคนจากซิลีเซียและเอเชีย ได้ลุกขึ้นพากันมาโต้เถียงกับสเทเฟน 10คนเหล่านั้นสู้คำทื่ท่านกล่าว อันประกอบไปด้วยสติปัญญา และพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไม่ได้ 11เขาจึงลอบสร้างพยานเท็จว่า “เราได้ยินคนนี้พูดหมิ่นประมาทต่อโมเสส และพระเจ้า” 12เขายุยงคนทั้งหลายและพวกผู้อาวุโสกับพวกคัมภีราจารย์ แล้วเข้ามาจับสเทเฟน และนำไปยังสภาศาสนา 13ให้พยานเท็จมากล่าวว่า “คนนี้เว้าหมิ่นประมาทสถานบริสุทธิ์นี้ และบัญญัติหรือศีลไม่หยุดเลย 14เพราะเราได้ยินเขาว่า พระเยซูชาวนาซาเร็ธนี้จะทำลายสถานที่นี้ และจะเปลี่ยนธรรมเนียมซึ่งโมเสสให้ไว้แก่เรา” 15พวกสมาชิกสภาศาสนาต่างจ้องมองดูสเทเฟน เห็นหน้าของท่านเป็นเหมือนกับหน้าของทูตสวรรค์
1มหาปุโรหิตจึงถามว่า “เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ?” 2ฝ่ายสเทเฟนจึงตอบว่า “ผู้อาวุโส และพี่น้องทั้งหลาย ขอให้ฟังข้าพเจ้าบ้าง พระเจ้าแห่งสง่าราศีได้ปรากฏแก่อับราฮัมบิดาของเรา เมื่อท่านยังอยู่ในประเทศเมโสโปเตเมีย ก่อนที่จะไปอาศัยอยู่ในเมืองฮาราน 3และได้บอกกับท่านว่า ‘เจ้าจงออกไปจากประเทศของเจ้า จากญาติพี่น้องของเจ้า ไปยังแผ่นดินที่เราจะชี้ให้เจ้าเห็น’ 4อับราฮัมจึงออกจากแผ่นดินของชาวเคลเดีย ไปอาศัยอยู่ที่เมืองฮาราน หลังจากที่บิดาของท่านตายแล้ว พระเจ้าได้ให้ท่านออกจากที่นั่น มาอยู่ในแผ่นดินนี้ที่พวกท่านทั้งหลายอาศัยอยู่ทุกวันนี้ 5แต่พระเจ้าไม่ได้ให้อับราฮัมมีมรดกในแผ่นดินนี้ แม้เท่าฝ่ามือก็ไม่ได้ และขณะเมื่อท่านยังไม่มีลูก พระเจ้าสัญญาไว้ว่าจะให้แผ่นดินนี้เป็นกรรมสิทธิ์ของท่าน และเชื้อสายของท่านที่มาภายหลัง 6พระเจ้าพูดเช่นนี้ว่า ‘เชื้อสายของเจ้าจะไปอาศัยอยู่ในต่างประเทศ และชาวประเทศนั้นจะเอาเขาเป็นทาส และจะข่มเหงเขาเป็นเวลาสี่ร้อยปี’ 7พระเจ้ากล่าวว่า ‘และประเทศที่เขารับใช้อยู่นั้น เราจะพิพากษาลงโทษ ภายหลังเขาจะออกมาและรับใช้เราอยู่ที่นี่’ 8พระเจ้าจึงได้ตั้งพันธสัญญาพิธีเข้าสุหนัตไว้กับอับราฮัม เหตุฉะนั้นเมื่ออับราฮัมมีลูกชื่ออิสอัค จึงให้เข้าสุหนัตในวันที่แปด อิสอัคมีลูกชื่อยาโคบ และยาโคบมีลูกสิบสองคน ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของเรา”
9“ฝ่ายบรรพบุรุษเหล่านั้นคิดอิจฉาโยเซฟจั่งขายท่านไปยังประเทศอียิปต์ แต่พระเจ้าอยู่กับโยเซฟ 10จึงได้ช่วยท่านให้พ้นจากความทุกข์ลำบากทั้งหลาย และให้เป็นที่โปรดปราน และมีสติปัญญาในสายตาของฟาโรห์ กษัตริย์ของประเทศอียิปต์ ฟาโรห์จึงตั้งโยเซฟให้เป็นผู้ปกครองประเทศอียิปต์พร้อมทั้งราชสำนักของท่าน 11แล้วก็เกิดการกันดารอาหารทั่วแผ่นดินอียิปต์ และแผ่นดินคานาอัน และมีความลำบากหลาย บรรพบุรุษของเราจึงไม่มีอาหาร 12ฝ่ายยาโคบเมื่อได้ยินว่ามีข้าวอยู่ในประเทศอียิปต์ จึงใช้บรรพบุรุษของเราไปเป็นครั้งแรก 13พอครั้งที่สองโยเซฟก็สำแดงตัวให้พี่น้องรู้จัก และให้ฟาโรห์รู้จักวงศาคณาญาติของตัวด้วย 14ฝ่ายโยเซฟจึงได้เชิญยาโคบผู้เป็นบิดากับญาติพี่น้องทั้งหลายของตนเจ็ดสิบห้าคน ให้มาหา 15ยาโคบได้ลงไปยังประเทศอียิปต์ แล้วท่านกับพวกบรรพบุรุษของเราได้ตายอยู่ที่นั่น 16เขาจึงได้นำศพไปฝังไว้ในเมืองเชเคม ในอุโมงค์ที่อับราฮัมเอาเงินจำนวนหนึ่ง ซื้อจากลูกชายของฮาโมร์บิดาของเชเคม”
17“เมื่อใกล้เวลาตามพระสัญญาซึ่งพระเจ้าได้พูดไว้กับอับราฮัม ชนชาติอิสราเอลได้เพิ่มจำนวนขึ้นในประเทศอียิปต์ 18จนกระทั่งฟาโรห์องค์หนึ่งซึ่งไม่รู้จักโยเซฟได้ขึ้นครองราชย์ 19ฟาโรห์องค์นั้นได้ออกอุบายทำกับญาติของเรา ข่มเหงบรรพบุรุษของเรา บังคับให้ทิ้งลูกอ่อนของเขาเสียไม่ให้มีชีวิตรอดอยู่ได้ 20ในตอนนั้นโมเสสเกิดมามีรูปร่างงดงาม เขาจึงได้เลี้ยงไว้ในบ้านของบิดาจนครบสามเดือน 21และเมื่อลูกอ่อนนั้นถูกทิ้งไว้นอกบ้านแล้ว พระราชธิดาของฟาโรห์จึงรับมาเลี้ยงไว้เป็นโอรสของพระนาง 22ฝ่ายโมเสสจึงได้เรียนรู้ในวิชาการทุกอย่างของชาวอียิปต์ มีความเฉียบแหลมในการพูดและกิจการต่าง ๆ”
23“แต่ครั้นโมเสสมีอายุได้สี่สิบปีเต็มแล้ว ก็คิดอยากจะไปเยี่ยมญาติพี่น้องของตน คือชนชาติอิสราเอล 24เมื่อท่านได้เห็นคนหนึ่งถูกข่มเหงจึงเข้าไปช่วย โดยฆ่าชาวอียิปต์ซึ่งเป็นผู้กดขี่นั้นเป็นการแก้แค้น 25เพราะคาดว่าญาติพี่น้องคงเข้าใจว่า พระเจ้าจะช่วยเขาให้หลุดพ้นด้วยมือของตน แต่พวกเขาไม่ได้เข้าใจเช่นนั้นเลย 26ครั้นรุ่งขึ้นวันต่อมา โมเสสได้เข้ามาพบพวกเขาขณะที่ทะเลาะวิวาทกัน ก็อยากจะให้เขาคืนดีกันอีก จั่งพูดว่า ‘เพื่อนเอ๋ย พวกเจ้าเป็นพี่น้องกัน ทำไมจึงทำร้ายกันเล่า’ 27ฝ่ายคนที่ข่มเหงเพื่อนของตนนั้นจึงได้ผลักอกโมเสสออกไปและพูดว่า ‘ใครแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้ปกครอง และผู้พิพากษาพวกเรา 28เจ้าจะฆ่าเราเหมือนกับฆ่าชาวอียิปต์เมื่อวานนี้หรือ?’ 29เมื่อโมเสสได้ยินคำนั้นจึงหนีไปอาศัยอยู่ที่แผ่นดินมีเดียน และมีลูกชายสองคนที่นั่น”
30“ครั้นเวลาผ่านพ้นไปได้สี่สิบปีแล้ว ทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้าผู้เป็นนายมาปรากฏแก่โมเสสในเปลวไฟที่พุ่มไม้ ในถิ่นทุระกันดารแห่งภูเขาซีนาย 31เมื่อโมเสสเห็นก็ประหลาดใจในภาพที่เห็นนั้น เมื่อเข้าไปดูใกล้ ๆ ก็มีเสียงของพระเจ้าผู้เป็นนายพูดกับท่าน 32ว่า ‘เราเป็นพระเจ้าของบรรพบุรุษของเจ้า เป็นพระเจ้าของอับราฮัม เป็นพระเจ้าของอิสอัค และเป็นพระเจ้าของยาโคบ’ โมเสสจึงเกรงกลัวจนตัวสั่นไม่อาจมองดูได้ 33ฝ่ายพระเจ้าผู้เป็นนายจั่งพูดกับโมเสสว่า ‘จงถอดรองเท้าของเจ้าออก เพราะว่าที่เจ้ายืนอยู่นี้เป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ 34ในตอนนี้ เราได้เห็นความทุกข์ของชนชาติของเราที่อยู่ในประเทศอียิปต์แล้ว และเราได้ยินเสียงร้องไห้ของเขา และเราลงมาเพื่อจะช่วยเขาให้หลุดพ้น และเดี๋ยวนี้ เราจะใช้เจ้าไปยังประเทศอียิปต์’”
35“โมเสสผู้นี้ซึ่งถูกเขาปฏิเสธโดยกล่าวว่า ‘ใครแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้ปกครอง และผู้พิพากษาพวกเรา’ โดยมือของทูตสวรรค์ซึ่งได้ปรากฏกับท่านที่พุ่มไม้ พระเจ้าได้ใช้โมเสสคนนี้แหละให้เป็นทั้งผู้ปกครองและผู้ปลดปล่อย 36คนนี้หละ เป็นผู้นำเขาทั้งหลายออกมา โดยที่ได้ทำการอัศจรรย์ และหมายสำคัญหลายอย่างในแผ่นดินอียิปต์ ที่ทะเลแดง และในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปี 37โมเสสคนนี้แหละได้พูดกับพวกชาติอิสราเอลว่า ‘พระเจ้าของเจ้าทั้งหลายจะประทานศาสดาพยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้าผู้หนึ่ง เหมือนกับเราให้กับพวกเจ้าจากพวกพี่น้องของเจ้า พวกเจ้าทั้งหลายจงเชื่อฟังผู้นั้นเถิด’ 38โมเสสนี้แหละได้อยู่กับประชาชนในถิ่นทุรกันดารกับทูตสวรรค์ ซึ่งได้พูดกับท่านที่ภูเขาซีนาย และอยู่กับบรรพบุรุษของเรา ที่ได้รับคำพูดอันมีชีวิตมาให้เราทั้งหลาย 39บรรพบุรุษของเราไม่ยอมเชื่อฟังโมเสสผู้นี้ แต่ได้ไล่ท่านให้ไปจากเขา เพราะมีใจอยากจะกลับไปยังแผ่นดินอียิปต์ 40จึงพูดกับอาโรนว่า ‘ขอให้สร้างพระแก่พวกข้าฯด้วย ซึ่งจะเป็นผู้นำพวกข้าฯไป เพราะว่าโมเสสคนนี้ที่ได้นำข้าฯออกมาจากประเทศอียิปต์เป็นอะไรไปแล้ว ข้าฯก็ไม่รู้’”
41“ในตอนนั้นเขาทั้งหลายได้ทำรูปวัวน้อย และได้นำเครื่องบูชามาถวายแก่รูปนั้น และมีใจยินดีในสิ่งที่มือของเขาได้ทำขึ้น 42แต่พระเจ้าได้หันหน้าไปจากเขา และปล่อยให้เขากราบไหว้ดวงดาวในท้องฟ้า ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์แห่งศาสดาพยากรณ์ว่า ‘โอ วงศ์วานอิสราเอลเอ๋ย เจ้าได้ฆ่าสัตว์บูชาเรา และถวายเครื่องบูชาให้แก่เราในถิ่นทุรกันดารถึงสี่สิบปีหรือ? 43แล้วเจ้าทั้งหลายได้ขนเอาศาลของเทพโมเลค และได้เอาดาวเทพเรฟาน รูปเทพเจ้าที่เจ้าได้ทำขึ้นเพื่อกราบไหว้รูปนั้นต่างหาก เราจึงจะกวาดเจ้าทั้งหลายให้ไปอยู่เมืองบาบิโลนอีก’”
44“บรรพบุรุษของเรา เมื่ออยู่ในถิ่นทุระกันดาก็มีศาลแห่งการเป็นพยาน ตามที่พระเจ้าสั่งไว้เมื่อพูดกับโมเสสว่าให้ทำศาลตามแบบที่ได้เห็น 45ฝ่ายบรรพบุรุษของเราที่มาภายหลัง เมื่อได้รับศาลนั้นจึงขนตามโยชูวาไป เมื่อได้เข้ายึดแผ่นดินของบรรดาประชาชาติ ซึ่งพระเจ้าได้ขับไล่ไปให้พ้นหน้าบรรพบุรุษของเรา ศาลนั้นก็มีสืบมาจนถึงสมัยของกษัตริย์ดาวิด 46กษัตริย์ดาวิดนั้นมีความดีความชอบต่อหน้าของพระเจ้า และมีใจอยากจะหาวิหารสำหรับพระเจ้าของยาโคบ 47แต่ซาโลมอนเป็นผู้ได้สร้างวิหารสำหรับพระเจ้า 48ถึงกระนั้นก็ดี พระเจ้าผู้สูงสุดก็ไม่ได้อาศัยอยู่ในวิหารที่มือมนุษย์ได้ทำไว้ ตามที่ศาสดาพยากรณ์ได้กล่าวไว้ว่า 49‘พระเจ้าผู้เป็นนายกล่าวว่า สวรรค์เป็นที่นั่งของเรา และแผ่นดินโลกเป็นที่วางเท้าของเรา เจ้าจะสร้างวิหารอะไรสำหรับเรา หรือที่พักของเราอยู่ที่ใด’ 50สิ่งเหล่านี้มือของเราได้ทำทั้งหมดแล้ว มิใช่หรือ?”
51”โอ คนหัวดื้อหัวแข็ง หูตึง พวกท่านทั้งหลายขัดขวางพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่เสมอ บรรพบุรุษของท่านทำอย่างไร ท่านก็ทำอยางนั้นด้วย 52มีใครบ้างในพวกศาสดาพยากรณ์ที่บรรพบุรุษของท่านไม่ได้ข่มเหง และเขาได้ฆ่าคนทั้งหลายที่พยากรณ์ถึงการมาของผู้มีบุญ ซึ่งพวกท่านทั้งหลายได้ทรยศและฆ่าทิ้ง 53คือพวกท่านทั้งหลายผู้ที่ได้รับบัญญัติหรือศีลจากพวกทูตสวรรค์ แต่ก็ไม่ได้ทำตามบัญญัติหรือศีลนั้น”
54เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินเช่นนั้น ก็รู้สึกเจ็บใจ และแยกเขี้ยวยิงฟันเข้าใส่สเทเฟน 55ฝ่ายสเทเฟนประกอบด้วยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ได้เหลียวมองดูท้องฟ้าสวรรค์เห็นสง่าราศีของพระเจ้า และพระเยซูยืนอยู่ขวามือของพระเจ้า 56แล้วท่านได้กล่าวว่า “ในตอนนี้ ข้าพเจ้าเห็นท้องฟ้าแหวกเป็นช่อง และบุตรมนุษย์ยืนอยู่ขวามือของพระเจ้า” 57แต่เขาทั้งหลายร้องเสียงดัง และเอามืออุดหูวิ่งเข้าไปหาสเทเฟน 58แล้วขับไล่ท่านออกจากกรุง และเอาหินขว้าง ฝ่ายคนที่เป็นพยานปรักปรำสเทเฟนได้ฝากเสื้อผ้าของตนวางไว้ที่เท้าของชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อเซาโล 59เขาจึงเอาหินขว้างสเทเฟน ขณะที่กำลังอธิษฐานสวดอ้อนวอนพระเจ้าอยู่ว่า “สาธุ พระเยซู พระเจ้าผู้เป็นนาย ขอได้โปรดรับจิตวิญญาณของผมด้วยเถิด” 60สเทเฟนก็คุกเข่าลงร้องเสียงดังว่า “สาธุ พระเจ้าผู้เป็นนาย ขออย่าถือโทษเขาเพราะบาปนี้” เมื่อพูดเช่นนั้นจแล้ว ท่านก็ล่วงหลับไป
1การที่เขาฆ่าสเทเฟนนั้นเซาโลก็เห็นดีเห็นงามด้วย ครั้งนั้นเกิดการข่มเหงชุมชนของพระเจ้าครั้งใหญ่ในกรุงเยรูซาเล็ม และบรรดาศิษย์ทั้งหลาย นอกจากพวกอัครทูตได้กระจัดกระจายไปทั่วมณฑลยูเดียและสะมาเรีย 2ผู้ที่ยำเกรงพระเจ้าก็ฝังศพสเทเฟนไว้ แล้วก็อาลัยอาวรณ์ถึงท่านเป็นอย่างมาก 3ฝ่ายเซาโลพยายามทำลายชุมชนของพระเจ้า โดยเข้าไปฉุดกระชากลากดึงชายหญิงจากทุกบ้านทุกเรือนเอาไปขังไว้ในคุก
4ฝ่ายศิษย์ทั้งหลายซึ่งกระจัดกระจายไป ก็เที่ยวเผยแพร่พระคำของพระเจ้านั้น 5ส่วนฟีลิปจึงลงไปยังเมืองหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย และเผยแพร่เรื่องพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ให้ชาวเมืองนั้นฟัง 6ประชาชนก็พร้อมใจกันฟังคำพูดที่ฟีลิปได้เผยแพร่ เพราะเขาได้ยินท่านพูด และได้เห็นการอัศจรรย์ซึ่งท่านได้ทำนั้น 7เพราะว่าผีร้ายที่สิงอยู่ในคนหลายคนได้พากันร้องด้วยเสียงดัง แล้วออกมาจากคนเหล่านั้น และคนที่เป็นโรคอัมพาต กับคนเป็นง่อยก็หายเป็นปกติ 8จึงเกิดความปลื้มปีติอย่างใหญ่หลวงในเมืองนั้น
9ยังมีชายคนหนึ่งชื่อซีโมนเคยทำเวทมนตร์ในเมืองนั้นมาก่อน และได้ทำให้ชาวสะมาเรียพิศวงหลงใหล เขายกตัวว่าเป็นผู้วิเศษ 10ฝ่ายคนทั้งหลายทั้งผู้น้อยผู้ใหญ่ก็สนใจฟังคนนั้น แล้วว่า “ชายคนนี้เป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า” 11คนทั้งหลายนับถือเขา เพราะเขาได้ทำเวทมนตร์ให้คนทั้งหลายพิศวงหลงใหลมานานแล้ว 12แต่เมื่อฟีลิปได้เผยแพร่เรื่องอาณาจักรของพระเจ้า และพระนามของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์แล้ว คนทั้งหลายก็เชื่อ และทำพิธีมุดน้ำทั้งชายและหญิง 13ฝ่ายซีโมนเองจึงเชื่อด้วย เมื่อทำพิธีมุดน้ำแล้วก็อยู่กับฟีลิปต่อไป และประหลาดใจที่เห็นการอัศจรรย์กับหมายสำคัญต่าง ๆ ซึ่งฟีลิปได้ทำ
14เมื่อพวกอัครทูตซึ่งอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มได้ยินว่า ชาวสะมาเรียได้รับพระคำของพระเจ้าแล้ว จึงให้เปโตรกับยอห์นไปหาเขา 15เมื่อเปโตรกับยอห์นลงไปถึงก็อธิษฐานสวดอ้อนวอนเผื่อเขา เพื่อให้เขาได้รับพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ 16(ด้วยว่าพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ยังไม่ได้ลงมาอยู่กับผู้ใด เป็นแต่เขาได้รับพิธีมุดน้ำในนามพระเยซู พระเจ้าผู้เป็นนายเท่านั้น) 17เปโตรกับยอห์นจึงปรกมือบนเขา แล้วเขาทั้งหลายก็ได้รับพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
18เมื่อซีโมนเห็นว่า คนเหล่านั้นได้รับพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์โดยการปรกมือของอัครทูต จึงนำเงินมาให้อัครทูต 19และว่า “ขอให้ข้าพเจ้ามีฤทธิ์เช่นนี้ด้วย เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้าจะปรกมือให้แก่ผู้ใด ผู้นั้นจะได้รับพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์” 20ฝ่ายเปโตรจึงภพูดกับซีโมนว่า “เพราะเจ้าคิดว่าจะซื้อของประทานแห่งพระเจ้าด้วยเงินได้ 21เจ้าไม่มีส่วนหรือส่วนแบ่งในการนี้เลย เพราะใจของเจ้าไม่ซื่อตรงในสายตาของพระเจ้า 22เหตุฉะนั้น จงกลับใจจากการชั่วร้ายของเจ้านี้ และอธิษฐานสวดอ้อนวอนขอพระเจ้า ถ้าเป็นไปได้ พระองค์จะยกความผิดซึ่งเจ้าคิดในใจของเจ้า 23เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าเจ้าจะต้องรับความขมขื่น และติดบ่วงแห่งความชั่วช้า”24ฝ่ายซีโมนจั่งตอบว่า “ขอให้ท่านอธิษฐานสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าผู้เป็นนายเพื่อผมด้วย เพื่อเหตุการณ์ที่ท่านได้พูดแล้วนั้นจะไม่ได้เกิดกับผมแม้แต่อย่างเดียว”
25ครั้นพวกอัครทูตเป็นพยาน และเผยแพร่พระคำของพระเจ้าผู้เป็นนายแล้ว ก็กลับไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และได้เผยแพร่บารมีของพระเจ้าไปตามทางในหมู่บ้านชาวสะมาเรียหลายที่หลายแห่ง 26แต่ทูตสวรรค์ของพระเจ้าผู้เป็นนายได้สั่งฟีลิปว่า “จงลุกขึ้นไปยังทิศใต้ตามทางที่ลงไปจากกรุงเยรูซาเล็มถึงเมืองกาซา ซึ่งเป็นทางทะเลทราย” 27ฝ่ายฟีลิปก็ลุกขึ้นไป และในตอนนั้น มีชาวเอธิโอเปียคนหนึ่งเป็นขันที เป็นข้าราชบริพารของพระนางคานดาสี พระราชินีของชาวเอธิโอเปีย และเป็นเสนาบดีฝ่ายคลังมหาสมบัติทั้งหมดของพระราชินีนั้น เขาได้มากราบไหว้พระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม 28ขณะนั่งรถม้ากลับไปบ้าน เขาอ่านหนังสืออิสยาห์ศาสดาพยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้าอยู่
29ฝ่ายพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้บอกฟีลิปว่า “จงเข้าไปให้ใกล้ ๆ รถม้านั้นเถิด” 30ฟีลิปจึงวิ่งเข้าไปใกล้ และได้ยินเขาอ่านหนังสืออิสยาห์ จึงถามว่า “ที่ท่านอ่านนั้นท่านเข้าใจอยู่หรือ?” 31ขันทีจึงตอบว่า “ถ้าไม่มีใครอธิบายให้ฟัง จะเข้าใจได้อย่างไร?” เขาจึงเชิญฟีลิปขึ้นนั่งรถไปด้วย 32พระคัมภีร์ตอนที่เขาอ่านอยู่นั้นคือข้อเหล่านี้ “เขาได้พาท่านไปเหมือนกับแกะที่ถูกนำไปฆ่า และเหมือนกับลูกแกะที่เป็นใบ้อยู่หน้าผู้ที่ตกแต่งเขามันอย่างใด ท่านก็ไม่พูดไม่จาเลยฉันนั้น 33ในตอนที่ท่านถูกเหยียบลงนั้น ท่านไม่ได้รับความยุติธรรมเลย และผู้ใดจะเล่าถึงพงศ์พันธุ์ของท่าน เพราะว่าชีวิตของท่านต้องถูกตัดจากแผ่นดินโลกแล้ว”
34ขันทีจึงถามฟีลิปว่า “ศาสดาพยากรณ์ได้พูดเช่นนั้นอ้างถึงผู้ใด อ้างถึงตัวท่านเอง หรืออ้างถึงผู้อื่น บอกข้าพเจ้าด้วย” 35ฝ่ายฟีลิปจึงเริ่มเล่าเรื่องตามพระคัมภีร์ข้อนั้น ชี้แจงถึงเรื่องพระเยซู 36ครั้งกำลังเดินทางไปก็มาถึงที่มีน้ำแห่งหนึ่ง ขันทีจึงบอกว่า “ในตอนนี้ มีน้ำแล้ว มีอะไรขัดข้องไหม ถ้าข้าพเจ้าจะทำพิธีมุดน้ำ” 37และฟีลิปจึงตอบว่า “ถ้าท่านเต็มใจเชื่อท่านก็ทำได้” และขันทีจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่า พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์เป็นพระโอรสของพระเจ้า”
38แล้วเขาจึงบอกให้หยุดรถม้า และทั้งฟีลิปกับขันทีก็ได้ลงไปในน้ำ ฟีลิปก็ให้ขันทีทำพิธีมุดน้ำ 39เมื่อคนทั้งสองขึ้นจากน้ำแล้ว พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าผู้เป็นนายได้รับฟีลิปไป และขันทีนั้นไม่ได้เห็นท่านอีก จึงเดินทางต่อไปด้วยความยินดี 40แต่มีผู้พบฟีลิปที่เมืองอาโซทัส และเมื่อเดินทางมา ท่านได้เผยแพร่บารมีของพระเจ้าในทุกเมืองจนท่านมาถึงเมืองซีซารียา
1ฝ่ายเซาโลยังขู่คำรามว่าจะฆ่าศิษย์ของพระเจ้าผู้เป็นนายให้หมด จึงไปหามหาปุโรหิต 2ขอหนังสือไปยังวัดหรือสุเหร่ายิวในเมืองดามัสกัส เพื่อว่าถ้าเห็นผู้ใดถือทางนั้นไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง จะได้จับมัดพามายังกรุงเยรูซาเล็ม 3เมื่อเซาโลเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ในทันใดนั้นมีแสงสว่างส่องมาจากฟ้าล้อมตัวท่านไว้โดยรอบ 4เซาโลจึงล้มลงถึงดิน และได้ยินเสียงพูดกับท่านว่า “เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม?“ 5เซาโลจึงถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์เป็นผู้ใด” พระเจ้าผู้เป็นนายพูดว่า “เราคือเยซู ที่เจ้าข่มเหงนั่นแหละ ที่เจ้าถีบประตักก็ยากยิ่งนัก” 6เซาโลก็ตัวสั่นและรู้สึกประหลาดใจจึงถามว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์อยากจะให้ข้าน้อยทำอะไร?” พระเจ้าผู้เป็นนายพูดกับท่านว่า “เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมือง และเจ้าจะทำอะไรก็จะมีคนบอกให้รู้”
7คนทั้งหลายที่เดินทางไปด้วยกันก็ยืนนิ่งอยู่พูดอะไรออก ได้ยินเสียงนั้นแต่ไม่เห็นผู้ใด 8ฝ่ายเซาโลได้ลุกขึ้นจากพื้นดิน เมื่อลืมตาแล้วก็มองไม่เห็นอะไร พวกเขาจึงจูงมือท่านไปยังเมืองดามัสกัส 9ตาของท่านก็มืดมัวไปถึงสามวันสามคืน และท่านไม่ได้กิน หรือดื่มอะไรเลย
10ในเมืองดามัสกัสมีศิษย์คนหนึ่งชื่ออานาเนีย พระเจ้าผู้เป็นนายได้พูดกับผู้นั้นโดยนิมิตว่า “อานาเนียเอ๋ย” อานาเนียจึงตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ในตอนนี้ ข้าน้อยอยู่ที่นี้แล้ว” 11พระเจ้าผู้เป็นนายจึงพูดกับท่านว่า “จงลุกขึ้น ไปที่ถนนที่เรียกว่าถนนตรง ถามหาชายคนหนึ่งชื่อเซาโลชาวเมืองทาร์ซัสอยู่ในบ้านของยูดาส เพราะในตอนนี้ เขากำลังอธิษฐานสวดอ้อนวอนอยู่ 12และในนิมิตท่านได้เห็นคนหนึ่งชื่ออานาเนียเข้ามาปรกมือใส่ท่าน เพื่อท่านจะเห็นได้อีก” 13แต่อานาเนียตอบว่า “พระองค์เจ้าข้า ข้าน้อยได้ยินหลายคนพูดถึงคนนั้นว่า เขาได้ทำร้ายวิมุตติชนของพระองค์ในกรุงเยรูซาเล็ม 14และในที่นี่เขาได้อำนาจมาจากพวกมหาปุโรหิต ให้ผูกมัดคนทั้งหลายที่ร้องออกพระนามของพระองค์”
15ฝ่ายพระเจ้าผู้เป็นนายได้พูดกับท่านว่า “จงไปเถิด เพราะว่าคนนั้นเป็นภาชนะที่เราได้เลือกสรรไว้ สำหรับจะนำชื่อของเราไปยังประชาชาติ กษัตริย์ และชนชาติอิสราเอล 16เพราะว่าเราจะสำแดงให้เขาเห็นว่า เขาจะต้องทนทุกข์ลำบากมากมายขนาดไหน เพราะชื่อของเรา” 17แล้วอานาเนียก็ไป และเข้าไปในบ้านปรกมือใส่เซาโลพูดว่า “พี่เซาโลเอ๋ย พระเจ้าผู้เป็นนายคือพระเยซู ได้ปรากฏกับพี่กลางทาง ที่พี่มานั้น ได้ใช้น้องมาเพื่อพี่จะเห็นได้อีก และเพื่อพี่จะประกอบด้วยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์” 18และในทันใดนั้นมีอะไรเป็นคือเกล็ดปลาตกออกจากตาของเซาโล แล้วท่านก็มองเห็นได้อีก ท่านจึงลุกขึ้นทำพิธีมุดน้ำ 19เมื่อกินข้าวกินปลาแล้วก็มีเรี่ยวมีแรงขึ้น
เซาโลพักอยู่กับพวกศิษย์ในเมืองดามัสกัสหลายวัน 20ท่านไม่ได้รีรออะไร แต่ได้เผยแพร่ตามวัดหรือสุเหร่ายิว พูดเรื่องพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ว่า พระองค์เป็นพระโอรสของพระเจ้า 21คนทั้งหลายที่ได้ยินก็พากันประหลาดใจแล้วว่า “คนนี้มิใช่หรือที่ได้ทำลายคนในกรุงเยรูซาเล็มที่ร้องออกพระนามนี้ และเขามาที่นี่ก็หวังจะผูกมัดพวกนั้นส่งให้พวกมหาปุโรหิตมิใช่หรือ?” 22แต่เซาโลยิ่งมีกำลังเพิ่มขึ้น และทำให้พวกยิวในเมืองดามัสกัสพูดอะไรไม่ออก โดยพิสูจน์ให้เขาเห็นว่า พระเยซูเป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์
23ครั้นต่อมาอีกหลายวัน พวกยิวได้ปรึกษากันจะฆ่าเซาโลทิ้ง 24แต่เรื่องการปองร้ายของเขารู้ถึงเซาโล เขาทั้งหลายได้เฝ้าประตูเมือง คอยฆ่าเซาโลทั้งกลางวันกลางคืน 25แต่พวกศิษย์ของพระเจ้าได้ให้เซาโลนั่งในเข่งใบใหญ่ แล้วหย่อนลงจากกำแพงเมืองในเวลากลางคืน
26ครั้นเซาโลไปถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว ท่านก็อยากจะคบกับพวกสาวกให้สนิท แต่เขาทั้งหลายกลัว เพราะไม่เชื่อว่าเซาโลเป็นสาวก 27แต่บารนาบัสได้พาท่านไปหาพวกอัครทูต แล้วเล่าให้เขาฟังว่าเซาโลได้เห็นพระเจ้าผู้เป็นนายที่กลางทาง และพระองค์พูดกับท่าน ท่านจึงเผยแพร่ออกพระนามพระเยซูโดยใจกล้าหาญในเมืองดามัสกัส 28แล้วเซาโลเข้านอกออกในอยู่กับพวกอัครทูตในกรุงเยรูซาเล็ม 29เผยแพร่พระนามของพระเยซู พระเจ้าผู้เป็นนาย ด้วยใจกล้าหาญ ท่านพูดไล่เลียงกับพวกกรีก แต่พวกนั้นหาช่องที่จะฆ่าท่านทิ้ง 30เมื่อพี่น้องรู้เช่นนั้นจึงพาท่านไปยังเมืองซีซารียา แล้วส่งไปยังเมืองทาร์ซัส 31เหตุฉะนั้น ชุมชนของพระเจ้าตลอดทั่วมณฑลยูเดีย กาลิลี และสะมาเรีย จึงมีความสงบสุข และเจริญขึ้น ประพฤติตัวด้วยใจยำเกรงพระเจ้าผู้เป็นนาย และได้รับการเสริมกำลังใจจากพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จำนวนของชุมชนของพระเจ้าก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
32เมื่อเปโตรเที่ยวไปตลอดทุกแห่งแล้ว ก็ลงมาหาพวกวิมุตติชนซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองลิดดาด้วย 33เปโตรพบชายคนหนึ่งชื่อไอเนอัสอยู่ที่นั่น เขาเป็นอัมพาตอยู่กับที่นอนแปดปีมาแล้ว 34เปโตรจึงพูดกับเขาว่า “ไอเนอัสเอ๋ย พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้โปรดเจ้าให้หายโรคแล้ว จงลุกขึ้นเก็บที่นอนของเจ้าเถิด” ในทันใดนั้นไอเนอัสก็ได้ลุกขึ้น 35ฝ่ายคนทั้งหลายที่อยู่ในเมืองลิดดา และที่ราบชาโรนได้เห็นแล้วจึงกลับใจมาหาพระเจ้าผู้เป็นนาย
36ในเมืองยัฟฟามีผู้หญิงคนหนึ่งชื่อทาบิธา ซึ่งแปลว่าโดรคัส เป็นศิษย์ของพระเจ้า ผู้หญิงคนนี้เคยทำการอันเป็นคุณประโยชน์และให้ทานมามากแล้ว 37ต่อมาระหว่างนั้นผู้หญิงคนนี้ก็ป่วยลงจนถึงแก่ความตาย เขาจึงอาบน้ำศพวางไว้ในห้องชั้นบน 38เมืองลิดดาอยู่ใกล้กับเมืองยัฟฟา พวกศิษย์ได้ยินว่าเปโตรอยู่ที่นั่น จึงใช้ชายสองคนไปหาท่าน เชิญท่านมาหาเขาโดยเร็ว 39ฝ่ายเปโตรจึงลุกขึ้นไปกับเขา เมื่อไปถึงแล้วเขาพาท่านขึ้นไปในห้องชั้นบน และหญิงม่ายทั้งหลายได้ยืนอยู่กับท่านพากันร้องไห้ และชี้ให้ท่านดูเสื้อคลุมกับเสื้อผ้าต่าง ๆ ซึ่งโดรคัสทำไว้ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ 40ฝ่ายเปโตรให้คนทั้งหลายออกไปข้างนอก และได้คุกเข่าลงอธิษฐานสวดอ้อนวอน แล้วหันมายังศพนั้นเว้าว่า “ทาบิธาเอ๋ย จงลุกขึ้น” ทาบิธาก็ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นเปโตรจึงลุกขึ้นนั่ง 41ฝ่ายเปโตรยื่นมือออกพยุงเธอขึ้น จึงเรียกวิมุตติชนทั้งหลายกับพวกแม่ม่ายเข้ามา แล้วมอบหญิงที่เป็นขึ้นนั้นให้กับเขาทั้งหลาย 42เหตุการณ์นั้นเลื่องลือไปตลอดทั่วเมืองยัฟฟา คนมากมายมาเชื่อถือพระเจ้าผู้เป็นนาย 43ต่อมาฝ่ายเปโตรอาศัยอยู่ในเมืองยัฟฟาหลายวัน อยู่กับคนหนึ่งชื่อซีโมนเป็นช่างฟอกหนัง
1ยังมีชายคนหนึ่งชื่อโครเนลิอัส อาศัยอยู่ในเมืองซีซารียา เป็นนายร้อยอยู่ในกองทหารที่เรียกว่ากองอิตาเลีย 2ทั้งท่านและครอบครัวเป็นคนยำเกรงพระเจ้า ท่านเคยให้ทานอย่างมากมายแก่ประชาชน และอธิษฐานสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าเสมอ 3เวลาประมาณบ่ายสามโมง นายร้อยนั้นเห็นนิมิตแจ่มกระจ่าง คือเห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้า เข้ามาหาท่านและพูดว่า “โครเนลิอัสเอ๋ย” 4และเมื่อโครเนลิอัสจ้องดูทูตสวรรค์องค์นั้นด้วยความตกใจกลัว จึงถามว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น ท่านเจ้าข้า” ทูตสวรรค์จึงตอบเขาว่า “คำอธิษฐานสวดอ้อนวอนและทานของเจ้านั้น ได้ขึ้นไปเป็นเหตุให้พระเจ้าระลึกเถิงเจ้าแล้ว 5บัดนี้จงใช้คนไปยังเมืองยัฟฟาเชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา 6เปโตรอาศัยอยู่กับคนหนึ่งชื่อซีโมนเป็นช่างฟอกหนัง บ้านของเขาอยู่ริมฝั่งทะเล เปโตรจะบอกเจ้าว่าเจ้าควรจะทำอย่างไร?” 7ครั้นทูตสวรรค์ที่ได้พูดกับโครเนลิอัสไปแล้ว ท่านได้เรียกคนใช้สองคน กับทหารคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้ที่ยำเกรงพระเจ้า ที่เคยรับใช้ท่านอยู่เสมอ 8และเมื่อโครเนลิอัสได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหลายให้คนเหล่านั้นฟังแล้ว ท่านจึงใช้เขาไปยังเมืองยัฟฟา
9วันต่อมาคนเหล่านั้นกำลังเดินทางไปใกล้เมืองยัฟฟาแล้ว ประมาณเวลาเที่ยง เปโตรก็ขึ้นไปบนหลังคาบ้าน เพื่อจะอธิษฐานสวดอ้อนวอน 10ก็หิวข้าว แต่ในระหว่างที่เขายังเตรียมอาหารอยู่ เปโตรได้เคลิ้มหลับไป 11และได้เห็นท้องฟ้าแหวกออกเป็นป่อง มีภาชนะอย่างหนึ่งเหมือนกับผ้าผืนใหญ่ ผูกติดกันทั้งสี่มุมหย่อนลงมายังพื้นโลก 12ในนั้นมีสัตว์ทุกอย่างที่อยู่บนแผ่นดิน คือสัตว์สี่เท้า สัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลาน และนกที่อยู่ในท้องฟ้า 13มีเสียงดังมาบอกลาวว่า “เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้นฆ่ากินเสีย” 14ฝ่ายเปโตรจึงตอบว่า “ไม่ได้ พระองค์เจ้าข้า เพราะว่าสิ่งที่เป็นของต้องห้าม หรือของที่เป็นมลทินนั้น ข้าน้อยไม่เคยได้กินเลย” 15แล้วจึงมีเสียงอีกเป็นครั้งที่สองว่า “ที่พระเจ้าได้ชำระแล้ว อย่าว่าเป็นของต้องห้ามเลย” 16เปโตรเห็นอย่างนั้นถึงสามครั้ง แล้วสิ่งนั้นก็ถูกรับขึ้นไปอีกในท้องฟ้า
17เมื่อเปโตรยังคิดสงสัยเรื่องนิมิตที่เห็นนั้นว่ามีความหมายอย่างใด ในตอนนั้น คนที่โครเนลิอัสใช้ไปนั้น เมื่อถามหา และพบบ้านของซีโมน แล้วก็มายืนอยู่หน้าประตูรั้ว 18และร้องถามว่า ซีโมนที่เรียกว่าเปโตรอยู่ที่นี่หรือไม่? 19เมื่อเปโตรไตร่ตรองเรื่องนิมิตนั้น พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ก็พูดกับท่านว่า “ในตอนนี้ ชายสามคนตามหาเจ้า 20จงลุกขึ้นลงไปข้างล่าง และไปกับเขาเถิด อย่าลังเลเลย เพราะว่าเราได้ใช้เขามา” 21เปโตรจึงลงไปหาคนเหล่านั้น ซึ่งโครเนลิอัสได้ใช้มาพูดว่า “ในตอนนี้ ข้าพเจ้าเป็นคนที่ท่านมาหานั้น ท่านมาธุระอะไรหรือ?” 22เขาจึงตอบว่า “นายร้อยโครเนลิอัส เป็นคนบุญและยำเกรงพระเจ้า และเป็นคนมีชื่อเสียงดีในชาวยิวทั้งหลาย โครเนลิอัสผู้นั้นได้รับคำเตือนจากพระเจ้าโดยผ่านทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ ให้มาเชิญท่านไปที่บ้าน เพื่อจะฟังคำพูดของท่าน” 23เปโตรจึงเชิญเขาให้เข้ามาหยุดพักอยู่ที่นั่น วันต่อมา เปโตรก็ไปกับเขา และพวกพี่น้องบางคนที่เมืองยัฟฟาก็ไปด้วย
24เวลาผ่านไปอีกวันหนึ่ง เขาก็ไปถึงเมืองซีซารียา โครเนลิอัสกำลังคอย รับรองอยู่ และเชิญญาติพี่น้องกับเพื่อนสนิทให้มาประชุมกันอยู่แล้ว 25เมื่อเปโตรเข้าไป โครเนลิอัสก็ต้อนรับเปโตร และหมอบที่เท้ากราบไหว้ท่าน 26ฝ่ายเปโตรจึงจับตัวโครเนลิอัสให้ลุกขึ้นและพูดว่า “จงยืนขึ้นเถิด ข้าพเจ้าก็เป็นแต่มนุษย์เหมือนกับท่านนั่นแหละ” 27เมื่อกำลังสนทนากันอยู่ เปโตรจึงเข้าไปเห็นคนมากมายมาพร้อมกัน 28จึงพูดกับคนเหล่านั้นว่า “คนชาติยิวนั้นจะคบกับคนต่างชาติให้สนิท หรือเข้าเยี่ยมก็มีบัญญัติหรือศีลห้ามไว้ แต่พระเจ้าได้สำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้วว่า ไม่ควรเรียกคนหนึ่งคนใดว่าเป็นที่ต้องห้าม หรือเป็นมลทิน 29เหตุฉะนั้น เมื่อท่านใช้คนไปเรียกข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็มาโดยไม่ขัดข้อง ข้าพเจ้าจึงขอถามว่า ท่านเรียกข้าพเจ้ามาด้วยประสงค์อะไร?”
30โครเนลิอัสจึงตอบว่า “สี่วันมาแล้ว ข้าพเจ้ากำลังถือศีลอดอยู่จนถึงตอนนี้ และประมาณเวลาบ่ายสามโมงข้าพเจ้าได้อธิษฐานสวดอ้อนวอนอยู่ในบ้านของข้าพเจ้า ในตอนนั้น มีชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าของข้าพเจ้าสวมเสื้อมันระยับ 31ท่านผู้นั้นได้พูดว่า ‘โครเนลิอัสเอ๋ย คำอธิษฐานสวดอ้อนวอนของเจ้านั้น พระเจ้าได้ยินแล้ว และทานของเจ้านั้นก็เป็นเหตุให้พระเจ้าระลึกถึง 32เหตุฉะนั้น จงใช้คนไปยังเมืองยัฟฟา เชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา ผู้นั้นอาศัยอยู่ในบ้านของซีโมนช่างฟอกหนังที่ฝั่งทะเล ผู้นั้นเมื่อมาถึงแล้วจะพูดกับเจ้า’ 33ข้าพเจ้าจึงใช้คนไปเชิญท่านมาทันที ที่ท่านมาก็ดีแล้ว บัดนี้พวกข้าพเจ้าจึงอยู่พร้อมกันต่อหน้าพระเจ้า เพื่อขะฟังสิ่งสารพัดที่พระเจ้าได้พูดกับท่านไว้”
34ฝ่ายเปโตรจึงพูดว่า “ข้าพเจ้าเห็นแล้วว่า พระเจ้าไม่เลือกหน้าผู้ใด 35แต่คนใด ๆ ในทุกชาติที่ยำเกรงพระเจ้า และทำในสิ่งที่ถูกต้องก็เป็นที่พอใจของพระองค์ 36พระคำของพระเจ้าได้ฝากไว้กับชนชาติอิสราเอล คือการเผยแพร่บารมีของพระเจ้าเรื่องสันติภาพและสันติสุขโดยพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของคนทั้งหลาย 37พระคำของพระเจ้านั้นพวกท่านทั้งหลายก็รู้ คือพระคำที่ได้เล่ากันตั้งแต่ต้นที่มณฑลกาลิลี ไปจนตลอดทั่วมณฑลยูเดีย ภายหลังพิธีมุดน้ำที่ยอห์นได้เผยแพร่นั้น 38คือเรื่องพระเยซูชาวนาซาเร็ธว่า พระเจ้าได้แต่งตั้งพระองค์โดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และโดยฤทธานุภาพอย่างใด และพระเยซูได้ไปทำคุณประโยชน์และรักษาคนทั้งหลายซึ่งถูกมารเบียดเบียน เพราะว่าพระเจ้าได้อยู่กับพระองค์ 39เราทั้งหลายเป็นพยานถึงกิจการทั้งหลาย ซึ่งพระองค์ได้ทำในแผ่นดินของชนชาติยิว และในกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์นั้นเขาได้ฆ่าและแขวนไว้ที่ต้นไม้ 40ในวันที่สามพระเจ้าได้ให้พระองค์เป็นขึ้นมา และได้ให้ปรากฏตัว 41ไม่ใช่ให้ปรากฏตัวแก่คนทั่วไป แต่ปรากฏแก่เหล่าพวกพยานที่พระเจ้าได้เลือกไว้แต่ก่อน คือปรากฏแก่พวกเราที่ได้กินและดื่มกับพระองค์ เมื่อพระองค์เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว 42พระองค์สั่งให้เราทั้งหลายเผยแพร่แก่คนทั้งหลาย และเป็นพยานว่าพระเจ้าได้ตั้งพระองค์ไว้เป็นผู้พิพากษาทั้งคนเป็น และคนตาย 43ศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายย่อมเป็นพยานถึงพระองค์ว่า ผู้ใดที่เชื่อถือในพระองค์นั้น จะได้รับการยกความผิดบาปของเขา เพราะพระนามของพระองค์”
44เมื่อเปโตรยังกล่าวคำเหล่านั้นอยู่ พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็ลงมาอยู่กับคนทั้งหลายที่ฟังพระคำของพระเจ้านั้น 45ฝ่ายพวกที่ได้เข้าสุหนัตซึ่งเชื่อถือแล้ว คือคนที่มาด้วยกันกับเปโตรก็ประหลาดใจ เพราะว่าของประทานแห่งพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ได้ลงมาอยู่กับคนต่างชาติด้วย 46เพราะเขาได้ยินคนเหล่านั้นพูดภาษาต่าง ๆ และยกย่องสรรเสริญพระเจ้า เปโตรจึงย้อนถามว่า 47“ใครอาจขะห้ามคนเหล่านี้ที่ได้รับพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เหมือนกันกับเรา โดยไม่ให้เขาทำพิธีมุดน้ำได้เล่า” 48เปโตรจึงสั่งให้เขาทำพิธีมุดน้ำในพระนามของพระเจ้าผู้เป็นนาย และเขาทั้งหลายได้ขอให้เปโตรพักอยู่กับเขาอีกสองสามวัน
1ฝ่ายพวกอัครทูตกับพี่น้องทั้งหลายที่อยู่ในมณฑลยูเดียได้ยินว่า คนต่างชาติได้รับพระคำของพระเจ้าเหมือนกัน 2เมื่อเปโตรขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มแล้ว พวกที่เข้าสุหนัตจึงได้ต่อว่าท่าน 3ว่า “ทำไมจึงไปหาคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต และรับประทานอาหารกับเขา” 4เปโตรได้อธิบายให้เขาฟังตั้งแต่ต้นเป็นลำดับมาว่า 5“เมื่อข้าพเจ้าอยู่ในเมืองยัฟฟา และกำลังอธิษฐานสวดอ้อนวอนก็เคลิ้มหลับไป แล้วเห็นสิ่งหนึ่งเป็นเหมือนผ้าผืนใหญ่หย่อนลงมาทั้งสี่มุม จากฟ้ามาหาข้าพเจ้า 6ครั้นข้าพเจ้าจ้องดูผ้านั้น ก็ได้เห็นสัตว์สี่เท้า สัตว์ป่า สัตว์เลื้อยคลาน และนกที่อยู่ในท้องฟ้า 7แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เปโตรเอ๋ย จงลุกขึ้น ฆ่ากินเถิด’ 8แต่ข้าพเจ้าบอกพระองค์ว่า ‘ไม่ได้หรอก พระองค์เจ้าข้า เพราะว่าสิ่งของต้องห้ามหรือสิ่งเป็นมลทินยังไม่ได้เข้าปากข้าน้อยเลย’ 9แต่มีเสียงพูดจากฟ้าครั้งที่สองว่า ‘สิ่งที่พระเจ้าได้ชำระแล้ว เจ้าอย่าว่าเป็นของต้องห้าม’ 10พระองค์กล่าวเช่นนั้นถึงสามครั้ง แล้วสิ่งนั้นทั้งหมดก็ถูกรับขึ้นไปบนฟ้าอีก”
11“ในตอนนั้น ก็มีชายสามคนมายืนอยู่ตรงหน้าบ้านที่ข้าพเจ้าพักอยู่ ได้รับใช้มาจากเมืองซีซารียามาหาข้าพเจ้า 12พระวิญญาณจึงบอกให้ข้าพเจ้าไปกับเขาโดยไม่ลังเลใจเลย และพวกพี่น้องทั้งหกคนนี้ได้ไปกับข้าพเจ้าด้วย เราทั้งหลายจึงได้เข้าไปในบ้านของผู้นั้น 13ผู้นั้นจึงพูดกับพวกเราว่า ตัวท่านก็ได้เห็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งยืนอยู่ในบ้านของท่าน และบอกลาวว่า ‘จงใช้คนไปยังเมืองยัฟฟา เชิญซีโมนที่เรียกว่าเปโตรมา 14เปโตรนั้นจะพูดให้เจ้าฟังเป็นคำพูดซึ่งจะให้เจ้ากับทั้งครอบครัวของเจ้าหลุดพ้น’ 15เมื่อข้าพเจ้าตั้งต้นพูดข้อความนั้น พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มาอยู่กับเขาทั้งหลาย เหมือนกกับได้ลงมาอยู่กับพวกเราในตอนต้นนั้น 16แล้วข้าพเจ้าได้ระลึกถึงคำพูดของพระเจ้าผู้เป็นนาย ซึ่งพระองค์กล่าวไว้ว่า ‘ยอห์นให้รับพิธีมุดน้ำก็จริงอยู่ แต่พวกท่านทั้งหลายจะรับพิธีมุดน้ำโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ 17เหตุฉะนั้น ถ้าพระเจ้าได้ให้ของประทานแก่เขาเหมือนกับให้แก่เราทั้งหลาย ผู้ที่ได้เชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนาย ข้าพเจ้าเป็นผู้ใดเล่า ที่จะขัดขืนพระเจ้าได้” 18เมื่อคนทั้งหลายได้ยินคำเหล่านั้นไม่พูดอะไร แล้วได้ยกย่องสรรเสริญพระเจ้าว่า “พระเจ้าได้เมตตาแก่คนต่างชาติให้กลับหลังหันจากความผิดบาปจนได้ชีวิตเข้าสู่นิพพานด้วย”
19ฝ่ายคนทั้งหลายที่กระจัดกระจายไปเพราะการเคี่ยวเข็ญเนื่องจากสเทเฟน ก็พากันไปยังเมืองฟีนิเซีย เกาะไซปรัส และเมืองอันทิโอก และได้กล่าวพระคำของพระเจ้าแก่พวกยิวพวกเดียว 20และมีบางคนในพวกเขาเป็นชาวเกาะไซปรัสกับชาวไซรีน เมื่อมายังเมืองอันทิโอก ก็ได้เผยแพร่บารมีของพระเจ้าเรื่องพระเยซูเจ้าแก่พวกกรีกด้วย 21และฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าผู้เป็นนายอยู่กับเขา คนมากมายได้เชื่อ และกลับมาหาพระองค์ 22ข่าวนี้ก็เลื่องลือไปยังชุมชนของพระเจ้าในกรุงเยรูซาเล็ม เขาจึงใช้บารนาบัสให้ไปยังเมืองอันทิโอก 23เมื่อบารนาบัสมาถึงแล้ว และได้เห็นพระคุณของพระเจ้าก็ดีใจมาก จึงได้เตือนคนเหล่านั้นให้ตั้งมั่นคงติดสนิทอยู่กับพระเจ้าผู้เป็นนาย
24บารนาบัสเป็นคนดี ประกอบด้วยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าอย่างบริบูรณ์ จำนวนคนที่เข้าเชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้าผู้เป็นนายก็เพิ่มขึ้น 25บารนาบัสได้ไปที่เมืองทาร์ซัสเพื่อตามหาเซาโล 26เมื่อพบแล้วจึงพาท่านมายังเมืองอันทิโอก ต่อมาคนทั้งสองได้ประชุมกันกับชุมชนของพระเจ้าตลอดปีหนึ่ง ได้สั่งสอนคนมากมาย และในเมืองอันทิโอกนั่นเอง พวกสาวกถูกเรียกอย่างดูหมิ่นในภาษากรีกว่าคริสเตียนเป็นครั้งแรก
27ในตอนนั้นมีพวกศาสดาพยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้าลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มจะไปยังเมืองอันทิโอก 28มีผู้หนึ่งในจำนวนนั้นชื่ออากาบัส ได้ลุกขึ้นพูดโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ว่าจะเกิดการกันดารอาหารอย่างใหญ่หลวงทั่วแผ่นดินโลก การกันดารอาหารนั้นได้เกิดขึ้นในรัชสมัยคลาวดิอัส ซีซาร์ 29พวกสาวกทุกคนจึงตกลงใจกันว่า จะบริจาคตามกำลังฝากไปช่วยบรรเทาทุกข์พวกพี่น้องที่อยู่ในมณฑลยูเดีย 30เขาจึงได้ทำเช่นนั้น และฝากไปกับบารนาบัส และเซาโลเพื่อนำไปให้พวกผู้อาวุโสในชุมชนของพระเจ้าที่กรุงเยรูซาเล็ม
1ในตอนนั้นกษัตริย์เฮโรดได้ข่มเหงทำร้ายบางคนในชุมชนของพระเจ้า 2ท่านได้ใช้ดาบฆ่ายากอบอ้ายของยอห์น 3เมื่อท่านเห็นว่าการทำเช่นนั้นเป็นที่พอใจพวกยิว ท่านก็จับเปโตรด้วย นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างงานฉลองเทศกาลปัสกา 4เมื่อจับเปโตรแล้วจึงให้ขังคุกไว้ และให้ทหารสี่หมู่ ๆ ละสี่คนคุมไว้ ตั้งใจว่าเมื่อผ่านงานฉลองเทศกาลปัสกาไปแล้วจะพาออกมาให้กับคนทั้งหลาย 5เพราะฉะนั้นเปโตรจึงถูกขังไว้ในคุก แต่ว่าชุมชนของพระเจ้าได้อธิษฐานสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อเปโตรด้วยความกระตือรือร้น
6ในคืนวันนั้นเอง เมื่อเฮโรดจะพาเปโตรออกมา เปโตรนอนหลับอยู่ระหว่างทหารสองคน มีโซ่สองเส้นล่ามไว้ และคนยามเฝ้าอยู่หน้าประตูเรือนจำ 7ในตอนนั้น มีทูตสวรรค์ของพระผู้เป็นนายมาปรากฏ และมีแสงสว่างส่องเข้ามาในเรือนจำ ทูตสวรรค์องค์นั้นจึงเอามือกระตุ้นที่สีข้างของเปโตรให้ตื่นขึ้นแล้วว่า “จงลุกขึ้นเร็ว ๆ” โซ่นั้นก็หลุดตกจากมือของเปโตร 8ทูตสวรรค์องค์นั้นจึงบอกเปโตรว่า “จงคาดเอวและสวมรองเท้า” เปโตรก็เฮ็ดตาม ทูตสวรรค์องค์นั้นจึงบอกเปโตรอีกว่า “จงห่มผ้าและตามเรามาเถิด”
9เปโตรจึงตามออกไป และไม่รู้ว่าการที่ทูตสวรรค์ทำนั้นเป็นความจริง คิดว่าได้เห็นในนิมิต 10เมื่อออกไปพ้นทหารยามชั้นที่หนึ่ง และที่สองแล้ว ก็มาถึงประตูเหล็กที่จะเข้าไปในเมือง ประตูนั้นก็เปิดเองให้คนทั้งสอง ท่านจึงออกไปเดินตามถนนแห่งหนึ่ง และในทันใดนั้นทูตสวรรค์ก็ได้หายวับไปจากเปโตร 11ครั้นเปโตรรู้สึกตัวแล้วจึงกล่าวว่า “เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ารู้อย่างแน่นอนแล้วว่า พระเจ้าผู้เป็นนายได้ใช้ทูตสวรรค์ของพระองค์มาช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากน้ำมือของเฮโรด และพ้นจากการปองร้ายของพวกยิว”
12เมื่อเปโตรคิดเช่นนั้นแล้ว ก็มาถึงบ้านของมารีย์มารดาของยอห์นผู้มีชื่ออีกว่า มาระโก อยู่ที่นั่นมีหลายคนได้ประชุมอธิษฐานสวดอ้อนวอนกันอยู่ 13พอเปโตรเคาะประตูรั้ว มีหญิงสาวคนหนึ่งชื่อโรดามาฟังเสียงนั้น 14เมื่อจำได้ว่าเป็นเสียงของเปโตร เพราะความยินดีก็ยังไม่ได้เปิดประตู แต่แล่นเข้าไปบอกคนอยู่ในบ้านว่า เปโตรยืนอยู่หน้าประตู 15คนทั้งหลายจึงพูดกับผู้หญิงคนนั้นว่า “เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือ?” แต่ผู้หญิงคนนั้นยืนยันว่าเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เขาทั้งหลายจึงว่า “เป็นทูตสวรรค์ประจำตัวเปโตร” 16ฝ่ายเปโตรยังยืนเคาะประตูอยู่ เมื่อเขาเปิดประตูเห็นท่าน ก็อัศจรรย์ใจยิ่งนัก 17แต่เปโตรโบกมือไม่ให้เขาพูดอะไร และเล่าให้เขาฟังถึงเรื่องที่พระเจ้าผู้เป็นนายได้นำท่านออกจากเรือนจำได้อย่างไร แล้วท่านบอกคนเหล่านั้นว่า “จงไปบอกเรื่องนี้แก่ยากอบกับพวกพี่น้องให้รู้เถิด” เปโตรจึงออกไปที่อื่น
18ครั้นรุ่งเช้า พวกทหารก็ขวัญหนีดีฝ่อ เพราะไม่รู้ว่า เปโตรหายไปไหน 19เมื่อเฮโรดหาตัวเปโตรไม่พบ จึงไต่สวนพวกทหารยาม และสั่งให้ฆ่าทิ้ง แล้วเฮโรดก็ออกจากมณฑลยูเดีย ลงไปพักอยู่ที่เมืองซีซารียา
20ฝ่ายเฮโรดก็โกรธกริ้วต่อให้ชาวเมืองไทระ และเมืองไซดอน แต่ชาวเมืองนั้นได้พากันมาหาท่าน เมื่อเขาได้เอาใจบลัสทัสที่เป็นเสนาบดีกรมวังของเฮโรดแล้ว จึงได้ขอกลับเป็นไมตรีกับเฮโรดอีก เพราะว่าเมืองของเขาต้องอาศัยอาหารเลี้ยงชีพ จากแผ่นดินของเฮโรด 21เมื่อถึงวันนัด เฮโรดทรงเครื่องของพระราชา เสด็จออกนั่งบนบัลลังก์ และกล่าวปราศรัยต่อประชาชน 22เขาทั้งหลายร้องตะโกนว่า “นี่เป็นเสียงเทพเจ้าไม่ใช่เสียงมนุษย์” 23เนื่องจากเฮโรดไม่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ทันใดนั้นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้าผู้เป็นนายก็ให้ท่านเกิดโรคร้าย เพราะท่านไม่ได้ได้ถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า แล้วก็มีตัวหนอนกัดกินร่างกายของท่านจนถึงแก่ความตาย 24แต่พระคำของพระเจ้าก็ยังแพร่ขยายมากขึ้น
25ฝ่ายบารนาบัสกับเซาโล เมื่อได้ทำภารกิจที่รับมอบหมายสำเร็จแล้ว จึงได้กลับไปจากกรุงเยรูซาเล็ม พายอห์นผู้มีชื่ออีกว่ามาระโกไปด้วย
1ในตอนนั้นในชุมชนของพระเจ้าที่อยู่ในเมืองอันทิโอก มีบางคนที่เป็นผู้พยากรณ์และอาจารย์ มีบารนาบัส สิเมโอนที่เรียกว่านิเกอร์ กับลูสิอัสชาวเมืองไซรีน มานาเอน ผู้ได้รับการเลี้ยงดูให้เติบโตมาด้วยกันกับเฮโรดเจ้าเมือง และเซาโล 2เมื่อคนเหล่านั้นกำลังรับใช้พระเจ้าผู้เป็นนาย และถือศีลอดอยู่ พระวิญญาณศักดิ์สทธิ์ได้บอกเขาว่า “จงตั้งบารนาบัสกับเซาโลไว้สำหรับการที่เราเรียกให้เขาทำนั้น” 3เมื่อถือศีลอดและอธิษฐานสวดอ้อนวอน และเอามือปรกบารนาบัสกับเซาโลแล้ว เขาก็ใช้ทั้งสองคนไป
4เหตุฉะนั้น คนทั้งสองที่ได้รับใช้จากพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จึงลงไปเมืองเซลูเคีย และได้ลงเรือจากที่นั่นไปยังเกาะไซปรัส 5เมื่อมาถึงเมืองซาลามิส ท่านได้เผยแพร่พระคำของพระเจ้าในวัดหรือสุเหร่าของพวกยิว ยอห์นก็อยู่ช่วยด้วย 6เมื่อได้เดินทางตลอดเกาะนั้นไปเถิงเมืองปาโฟสแล้ว ก็ได้เห็นชายคนหนึ่งเป็นคนมีเวทมนตร์ เป็นผู้พยากรณ์เท็จ เป็นพวกยิวชื่อว่าบารเยซู 7อยู่กับผู้ว่าราชการเมืองชื่อเสอร์จีอัสเปาโล ซึ่งเป็นคนฉลาดรอบรู้ ผู้ว่าราชการเมืองจึงเชิญบารนาบัสกับเซาโลมา อยากจะฟังพระคำของพระเจ้า 8แต่เอลีมาสคนมีเวทมนตร์ (เพราะชื่อของเขามีความหมายเช่นนั้น) ได้คัดค้านขัดขวางบารนาบัสกับเซาโล หวังจะไม่ให้ผู้ว่าราชการเมืองเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า
9แต่เซาโล (ที่มีชื่ออีกว่าเปาโล) ประกอบด้วยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จ้องมองดูเอลีมาส 10และพูดว่า “เจ้าเป็นคนร้อยเล่ห์พันเหลี่ยม และมีใจโหดร้าย เป็นลูกของผีมาร เป็นศัตรูต่อความถูกต้อง เจ้าจะไม่หยุดพยายามทำทางตรงของพระเจ้าผู้เป็นนายให้คดงอไปหรือ? 11ในตอนนี้ โทษทัณฑ์ของพระเจ้าผู้เป็นนายก็อยู่กับเจ้าแล้ว เจ้าจะเป็นคนตาบอดมองไม่เห็นเดือนเห็นตะวันไปอีกจดถึงเวลากำหนด” ทันใดนั้นความมืดมัวก็เกิดขึ้นกับเอลีมาส เขาจึงคลำหาคนให้จูงมือเขาไป 12คันผู้ว่าราชการเมืองได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นจึงเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า และอัศจรรย์ใจในคำสั่งสอนของพระเจ้าผู้เป็นนาย
13ฝ่ายเปาโลกับพวกของท่านก็ลงเรือออกจากเมืองปาโฟสไปยังเมืองเปอร์กาในมณฑลปัมฟีเลีย ยอห์นได้ทิ้งพวกนั้นไว้แล้วกลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม 14แต่พวกนั้นเดินทางต่อไปจากเมืองเปอร์กาถึงเมืองอันทิโอกในมณฑลปิสิเดีย แล้วได้เข้าไปนั่งลงในวัดหรือสุเหร่าของพวกยิวในวันศีล 15เมื่ออ่านหนังสือธรรมบัญญัติกับหนังสือศาสดาพยากรณ์แล้ว เจ้าอาวาสวัดยิวจึงใช้คนไปบอกเปาโลกับบารนาบัสว่า “พี่น้องทั้งหลาย ถ้าท่านมีคำเตือนสติ แก่คนทั้งหลายก็เชิญพูดไปเถิด”
16ฝ่ายเปาโลจึงยืนขึ้นโบกมือแล้วกล่าวว่า “พี่น้องที่เป็นชนชาติอิสราเอล และพี่น้องที่ยำเกรงพระเจ้า จงฟังให้ดี ๆ เถิด 17พระเจ้าของชนชาติอิสราเอลนี้ได้เลือกบรรพบุรุษของเราไว้ และได้ให้เขาขยายตัวขึ้นเมื่อตอนที่ยังเป็นคนต่างด้าวอยู่ในประเทศอียิปต์ และพระองค์ได้นำเขาออกจากประเทศนั้นด้วยฤทธานุภาพอันใหญ่หลวง 18พระเจ้าได้อดทนต่อความประพฤติของเขาในถิ่นทุรกันดารประมาณสี่สิบปี 19เมื่อพระองค์ได้ล้างผลาญชนเจ็ดชาติออกเสียจากแผ่นดินคานาอันแล้ว พระองค์กะแบ่งแผ่นดินของชนชาติเหล่านั้นให้เขาโดยการจับสลาก 20ภายหลังพระองค์ได้ให้พวกผู้วินิจฉัยแก่เขา เป็นเวลาประมาณสี่ร้อยห้าสิบปี จนถึงซามูเอลศาสดาพยากรณ์ 21ในตอนนั้นเขาทั้งหลายได้ขอให้มีกษัตริย์ พระเจ้าจึงได้ประทานซาอูลลูกชายคีชจากตระกูลเบนยามิน ให้เป็นกษัตริย์ครบสี่สิบปี”
22“เมื่อถอดซาอูลแล้วพระองค์ได้ตั้งดาวิดขึ้นเป็นกษัตริย์ของเขา และเป็นพยานถึงดาวิดว่า ‘เราได้พบดาวิดลูกชายของเจสซีเป็นคนที่เราพอใจ เขาเป็นผู้ที่จะทำให้ความประสงค์ของเราสำเร็จทุกประการ’ 23จากเชื้อสายของดาวิด พระเจ้าได้ให้ผู้ทำความหลุดพ้นให้ คือพระเยซูเกิดขึ้นแก่ชาติอิสราเอลตามคำสัญญาของพระองค์ 24ก่อนที่พระองค์จะมา ยอห์นได้เผยแพร่พิธีมุดน้ำอันแสดงถึงการกลับหลังหันจากความผิดบาปให้กับชนชาติอิสราเอล 25เวลาที่ยอห์นทำตามหน้าที่ของท่านเกือบจะสำเร็จ ท่านจึงถามว่า ‘พวกท่านทั้งหลายคิดเห็นว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ใด ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นพระองค์นั้น แต่ในตอนนี้ จะมีพระองค์ผู้หนึ่งมาภายหลังเรา ซึ่งข้าพเจ้าไม่คู่ควรจะแก้สายผูกรองเท้าของพระองค์’”
26“พี่น้องทั้งหลาย ผู้สืบเชื้อสายของอับราฮัม และคนทั้งหลายผู้ใดที่ยำเกรงพระเจ้า ข่าวเรื่องความหลุดพ้นนี้ได้ประทานมาถึงพวกท่านทั้งหลายแล้ว 27ฝ่ายชาวกรุงเยรูซาเล็มกับพวกสมาชิกสภาศาสนาไม่ได้รู้จักพระองค์ หรือไม่เข้าใจคำของศาสดาพยากรณ์ทั้งหลาย ที่เคยอ่านกันทุกวันศีล จึ่งทำให้สำเร็จตามคำเหล่านั้นโดยพิพากษาลงโทษพระองค์ 28ถึงแม้ว่าหาความผิดอะไรก็ก็ตามในพระองค์ที่ควรให้ตายไมได้เลย แต่พวกเขาก็ยังขอปีลาตให้ฆ่าพระองค์เสีย 29เมื่อทำจนสำเร็จทุกอย่างตามที่มีเขียนไว้แล้วว่าด้วยเรื่องของพระองค์ เขาจึงนำศพของพระองค์ลงจากต้นไม้ไปฝังไว้ในอุโมงค์”
30“แต่พระเจ้าได้ให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย 31พระองค์ปรากฏแก่คนทั้งหลายที่ติดตามพระองค์จากมณฑลกาลิลีไปยังกรุงเยรูซาเล็มเป็นเวลาหลายวัน บัดนี้คนเหล่านั้นเป็นพยานฝ่ายพระองค์แก่คนทั้งหลาย 32พวกเรานำบารมีนี้มาแจ้งแก่พวกเท่านทั้งหลายว่า คำสัญญาที่ประทานแก่บรรพบุรุษของเรา 33พระเจ้าได้ให้สำเร็จตามนั้นแก่เราผู้เป็นลูกหลานของคนเหล่านั้น คือในการที่พระองค์ให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย เหมือนกับมีคำเขียนไว้ในหนังสือสดุดีบทที่สองว่า ‘ท่านเป็นลูกของเรา วันนี้เราได้ให้กำเนิดแก่ท่านแล้ว’ 34ส่วนข้อที่พระเจ้าได้ให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย ไม่ให้กลับเน่าเปื่อยอีกเลย พระเจ้าจึงกล่าวเช่นนี้ว่า ‘เราจะให้ความเมตตาอันแน่นอนของเราที่ได้สัญญาไว้กับดาวิด’”
35“เพราะพระเจ้ากล่าวไว้ในหนังสือสดุดีเล่มอื่นว่า ‘พระองค์จะไม่ให้ผู้มีบุญของพระองค์เน่าเปื่อยไป’ 36ฝ่ายดาวิดเมื่อได้ทำตามในชั่วชีวิตของท่านตามใจของพระเจ้า และได้ล่วงหลับไปแล้ว และต้องฝังไว้กับบรรพบุรุษของท่าน ก็เน่าเปื่อยไป 37แต่พระองค์ซึ่งพระเจ้าได้ให้เป็นขึ้นมาจากความตายนั้น ไม่ได้ประสบความเน่าเปื่อยเลย 38เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงเข้าใจเถิดว่า โดยพระองค์นั้นแหละจึงได้ประกาศการยกความผิดแก่พวกท่านทั้งหลาย 39และโดยพระองค์นั้น ทุกคนที่เชื่อจะพ้นโทษได้ทุกอย่าง ซึ่งจะพ้นไม่ได้โดยบัญญัติหรือศีลของโมเสส 40เหตุฉะนั้นจงระวังให้ดี เพื่อคำพูดของศาสดาพยากรณ์ที่กล่าวไว้นี้จะไม่เกิดกับพวกท่านทั้งหลาย คำกล่าวนั้นว่า 41‘เจ้าทั้งหลายผู้เป็นคนขี้สงสัย และหมิ่นประมาทความจริงของเรา เจ้าผู้ที่จะถึงซึ่งความพินาศ จงพิจารณาให้ดีแล้วเจ้าจะประหาดใจ เพราะเราจะทำหน้าที่ของเราในสมัยของเจ้า เมื่อมีคนมาพูดให้เจ้าฟังเจ้าก็จะไม่เชื่อเลย’”
42เมื่อพวกยิวได้ออกไปจากวัดหรือสุเหร่าของเขาไปแล้ว พวกคนต่างชาติก็อ้อนวอนให้คนทั้งสองสั่งสอนคำเหล่านั้นแก่เขาอีก ในวันศีลหน้า 43เมื่อคนที่ประชุมกันนั้นต่างคนต่างแยกย้ายไปจากวัดหรือสุเหร่ายิวแล้ว พวกยิวหลายคนกับคนเข้าจารีตยิวที่ยำเกรงพระเจ้าได้ติดตามเปาโลและบารนาบัสไป คนทั้งสองจึงพูดกับเขา ชวนให้เขาตั้งมั่นคงอยู่ในพระคุณของพระเจ้า
44ครั้นถึงวันศีลอีกครั้งหนึ่ง คนเกือบทั้งเมืองได้ประชุมกันฟังพระคำของพระเจ้า 45แต่เมื่อพวกยิวเห็นคนมากกมายเช่นนั้นก็มีใจอิจฉา ได้พูดคัดค้านคำของเปาโลถึงขนาดพูดสบประมาทท่าน 46ฝ่ายเปาโลกับบารนาบัสมีใจกล้าหาญ ได้กล่าวว่า “จำเป็นที่จะต้องพูดพระคำของพระเจ้าให้พวกท่านทั้งหลายฟังก่อน แต่เมื่อพวกท่านทั้งหลายไม่ฟัง และตัดสินว่าตัวเองไม่สมควรที่จะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน ในตอนนี้ พวกเราจะมุ่งหน้าไปหาคนต่างชาติ 47เพราะพระเจ้าผู้เป็นนายได้บอกเราเช่นนี้ว่า ‘เราได้ตั้งเจ้าไว้ให้เป็นความสว่างของคนต่างชาติ เพื่อเจ้าจะเป็นเหตุให้คนทั้งหลายหลุดพ้น ถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก’”
48ฝ่ายคนต่างชาติเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็มีความยินดี และได้ยกย่องสรรเสริญพระคำของพระเจ้าผู้เป็นนาย และคนทั้งหลายที่พระองค์หมายไว้แล้วเพื่อให้ได้ชีวิตเข้าสู่นิพพานก็ได้เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า 49พระคำของพระเจ้าผู้เป็นนายจึงแพร่ไปตลอดทั่วเขตแดนนั้น 50แต่พวกยิวได้ยุยงพวกผู้หญิงที่มีหน้าตาในสังคมที่นับถือพระเจ้า กับทั้งผู้ชายที่เป็นใหญ่ในเมืองนั้นให้ข่มเหง และไล่เปาโลกับบารนาบัสออกจากเมืองของเขา 51ฝ่ายเปาโลกับบารนาบัสจั่งปัดฝุ่นออกจากเท้าของท่านเพื่อต่อว่าพวกเขา แล้วก็ไปยังเขตเมืองอิโคนียูม 52แต่พวกสาวกก็ประกอบด้วยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และมีความชื่นชมยินดี
1ที่เมืองอิโคนียูมก็เป็นเหมือนกัน คือเปาโลกับบารนาบัสได้เข้าไปในวัดหรือสุเหร่าของพวกยิว ได้สั่งสอนเป็นที่จับใจจนพวกยิวและชนชาติกรีกมากมายได้เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า 2แต่พวกยิวที่ไม่เชื่อก็ยุแหย่คนต่างชาติให้มีใจคิดร้ายต่อพวกพี่น้อง 3ฝ่ายท่านทั้งสองคอยอยู่ที่นั่นนานหน่อย มีใจกล้าหาญออกพระนามของพระเจ้าผู้เป็นนาย และพระองค์ได้รับรองพระคำแห่งพระคุณของพระองค์ โดยให้คนทั้งสองทำหมายสำคัญ และการอัศจรรย์ได้ 4แต่พลเมืองส่วนใหญ่แตกเป็นสองพวก พวกหนึ่งอยู่ฝ่ายพวกยิว และอีกพวกหนึ่งอยู่ฝ่ายอัครทูต 5เมื่อทั้งคนต่างชาติและพวกยิวพร้อมกับพวกผู้ปกครอง ได้ร่วมกันคิดจะทำการอัปยศ และเอาก้อนหินขว้างเปาโลกับบารนาบัส 6คนทั้งสองรู้แล้วจึงหนีไปยังเมืองที่อยู่ในมณฑลลิคาโอเนีย คือเมืองลิสตรา เมืองเดอร์บี กับหมู่บ้านที่อยู่ล้อมรอบ 7และได้เผยแพร่บารมีของพระเจ้าอยู่ที่นั่น
8ที่เมืองลิสตรามีชายคนหนึ่งนั่งอยู่ ขาของเขาไม่มีแรง เขาพิการตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดา เกิดมาไม่เคยเดินเลย 9คนนั้นได้ฟังเปาโลพูดอยู่ เปาโลจึงจ้องมองดูเขา เห็นว่ามีความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าพอจะหายโรคได้ 10จึงร้องสั่งด้วยเสียงอันดังว่า “จงลุกขึ้นยืนตรง” คนนั้นก็กระโดดขึ้น แล้วก็เดินไป 11เมื่อคนทั้งหลายเห็นการที่เปาโลได้ทำนั้น จึงพากันร้องเป็นภาษาลิคาโอเนียว่า “เทพเจ้าแปลงกายเป็นมนุษย์ลงมาหาเราแล้ว” 12เขาจึงเรียกบารนาบัสว่า เทพเจ้าซุส และเรียกเปาโลว่า เทพเจ้าเฮอร์เมส เพราะเปาโลเป็นผู้นำในการพูด 13ปุโรหิตประจำรูปเทพเจ้าซุส ซึ่งตั้งอยู่หน้าเมืองได้จูงงัว และถือพวงมาลัยมายังประตูเมือง หมายจะถวายเครื่องบูชาด้วยกันกับประชาชน
14แต่เมื่ออัครทูตบารนาบัสกับเปาโลได้ยินเช่นนั้น จึงได้ฉีกเสื้อผ้าของตน วิ่งเข้าไปท่ามกลางคนทั้งหลายร้องเสียงดัง 15ว่า “ท่านทั้งหลาย ทำไมพวกท่านจึงพากันทำเช่นนี้ เราเป็นคนธรรมดาเหมือนกันกันกับพวกท่านทั้งหลายนั่นแหละ และมาเผยแพร่บารมีของพระเจ้า ให้พวกท่านหันกลับจากสิ่งไม่มีประโยชน์เหล่านี้ ให้มาหาพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ พระองค์เป็นผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ทะเลและสิ่งสารพัดซึ่งมีอยู่ในที่เหล่านั้น 16ในสมัยก่อนพระองค์ได้ยอมให้ประชาชาติทั้งหลายประพฤติตามชอบใจ 17แต่พระองค์ไม่ได้ให้ขาดพยาน คือพระองค์ได้ทำดีกับเราทั้งหลาย คือให้ฝนตกจากฟ้า และให้มีฤดูเกิดผล เราทั้งหลายจึงอิ่มใจด้วยอาหารและความยินดี” 18ถึงแม้ว่าเปาโลกับบารนาบัสจะได้คัดค้าน และตักเตือนเช่นนั้นแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่สามารถที่จะห้ามผู้คนเหล่านั้นไม่ให้กราบไหว้บูชาคนทั้งสอง
19แต่มีพวกยิวบางคนมาจากเมืองอันทิโอก และเมืองอิโคนียูม เมื่อได้ชักชวนประชาชนแล้ว เขาก็ได้เอาหินขว้างเปาโล และลากท่านออกไปจากเมือง คิดว่าท่านตายแล้ว 20แต่พวกสาวกได้ล้อมท่านไว้ แล้วท่านก็ลุกขึ้นเข้าไปในเมือง วันต่อมาท่านจึงเลยไปยังเมืองเดอร์บีกับบารนาบัส 21และเมื่อคนทั้งสองได้เผยแพร่บารมีของพระเจ้าในเมืองนั้น และได้สั่งสอนคนทั้งหลายแล้ว จึงกลับไปยังเมืองลิสตรา เมืองอิโคนียูม และเมืองอันทิโอกอีก 22และทำให้ใจของสาวกทั้งหลายแข็งแรงขึ้น คนทั้งสองได้เตือนเขาให้ดำรงอยู่ในความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า และสอนว่า เราทั้งหลายจำต้องทนความยากลำบาก จนกว่าจะได้เข้าในอาณาจักรของพระเจ้า 23เมื่อคนทั้งสองได้เลือกตั้งผู้รับใช้พระเจ้าไว้ทุกชุมชนของพระเจ้า และได้อธิษฐานสวดอ้อนวอนและถือศีลอดฝากสาวกไว้กับพระเจ้าผู้เป็นนายที่เขาเชื่อพึ่งอาศัยนั้น
24หลังจากคนทั้งสองได้ข้ามมณฑลปิสิเดียก็มายังมณฑลปัมฟีเลีย 25เมื่อได้กล่าวพระคำของพระเจ้าในเมืองเปอร์กาแล้ว จึงลงไปยังเมืองอัททาลิยา 26และแล่นเรือจากที่นั่นไปยังเมืองอันทิโอก คือเมืองที่คนทั้งสองได้รับการฝากไว้ในพระคุณของพระเจ้า ให้ทำการที่คนทั้งสองได้ทำสำเร็จมาแล้วนั้น 27เมื่อมาถึง คนทั้งสองได้เรียกประชุมชุมชนของพระเจ้า และได้เล่าให้เขาฟังถึงกิจการทั้งหลายที่พระเจ้าได้ทำร่วมกับเขา กับที่พระองค์ได้เปิดประตูให้คนต่างชาติเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า 28แล้วคนทั้งสองจึงอยู่ที่นั่นกับพวกสาวกเป็นเวลาช้านาน
1มีบางคนลงมาจากมณฑลยูเดียได้สั่งสอนพวกพี่น้องว่า “ถ้าไม่เข้าสุหนัตตามธรรมเนียมของโมเสส จะหลุดพ้นไม่ได้” 2เมื่อเป็นเช่นนั้น จึงมีการโตเถียงกันระหว่างเปาโล และบารนาบัสกับคนเหล่านั้น เขาทั้งหลายได้ตั้งเปาโล และบารนาบัสกับคนอื่น ๆ ในพวกนั้นให้ขึ้นไปหารือกับอัครทูต และผู้อาวุโสในกรุงเยรูซาเล็มในเรื่องที่ถกเถียงกันนั้น 3ชุมชนของพระเจ้าได้จัดส่งคนเหล่านั้นไป และขณะเมื่อท่านกำลังข้ามมณฑลฟีนิเซียกับมณฑลสะมาเรีย ท่านได้พูดถึงเรื่องที่คนต่างชาติได้กลับหลังหันจากความผิดบาป ทำให้พวกพี่น้องมีความยินดี 4เมื่อมาถึงกรุงเยรูซาเล็ม ชุมชนของพระเจ้า อัครทูต และผู้อาวุโสทั้งหลายได้ต้อนรับท่าน แล้วท่านจึงเล่าให้คนเหล่านั้นฟังถึงเหตุการณ์ทั้งหลาย ที่พระเจ้าได้ให้ท่านทำงานของพระองค์ 5แต่มีบางคนในพวกฟาริสีที่มีความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า ได้ยืนขึ้นกล่าวว่า คนต่างชาตินั้นควรต้องให้เขาเข้าสุหนัต และสั่งให้เขาถือตามบัญญัติหรือศีลของโมเสส
6ฝ่ายอัครทูตกับผู้อาวุโสทั้งหลายจึงได้ประชุมปรึกษากันในเรื่องนั้น 7เมื่อโต้แย้งกันมากแล้ว เปโตรจึงยืนขึ้นพูดกับเขาว่า “พี่น้องทั้งหลาย พวกท่านทั้งหลายรู้อยู่ว่า ตอนแรกนั้นพระเจ้าได้เลือกข้าพเจ้าจากพวกท่านทั้งหลาย ให้เป็นผู้เผยแพร่พระคำแห่งบารมีของพระเจ้าให้คนต่างชาติฟังและเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า 8พระเจ้าผู้รู้จักจิตใจมนุษย์ได้รับรองคนต่างชาติ และได้ให้พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แก่เขาเหมือนกับได้ให้แก่พวกเรา 9พระองค์ไม่ได้ถือว่าเรากับเขาต่างกัน แต่ชำระล้างใจเขาให้บริสุทธิ์โดยความเชื่อเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า 10ถ้าเป็นเช่นนั้น ทำไมพวกท่านทั้งหลายจึงลองดีกับพระเจ้า โดยวางแอกใส่คอของพวกสาวกที่บรรพบุรุษของเราหรือตัวเราเองก็ดีแบกไม่ไหว 11แต่เราเชื่อว่า เราเองก็หลุดพ้นโดยพระคุณของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายเหมือนกันกับเขา”
12ฝ่ายคนทั้งหลายก็ไม่พูดอะไร ฟังบารนาบัสกับเปาโลเล่าเรื่องหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่าง ๆ ซึ่งพระเจ้าได้ทำในหมู่พวกต่างชาติ 13ครั้นจบแล้วและนิ่งอยู่ ยากอบจึงกล่าวว่า “พี่น้องทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้าเถิด 14ซีโมนได้บอกแล้วว่า พระเจ้าได้เยี่ยมเยียนคนต่างชาติครั้งแรก เพื่อจะเลือกชนกลุ่มหนึ่งออกจากเขาทั้งหลายเพื่อพระนามของพระองค์ 15คำของศาสดาพยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้าก็สอดคล้องกับเรื่องนี้ เหมือนกับที่ได้เขียนไว้แล้วว่า 16‘ภายหลังเราจะกลับมา และจะสร้างพลับพลาของดาวิดที่พังลงแล้วขึ้นใหม่ ที่ร้างพังไปแล้วนั้นเราจะก่อขึ้นอีก และจะตั้งขึ้นใหม่ 17เพื่อคนอื่น ๆ จะได้แสวงหาพระเจ้าผู้เป็นนาย คือคนต่างชาติทั้งหลายที่เราจองไว้แล้ว 18พระเจ้าผู้เป็นนาย ผู้ได้แจ้งเหตุการณ์เหลานี้ให้รู้ตั้งแต่โบราณกาล ได้กล่าวไว้แล้ว’ 19เหตุฉะนั้น ตามความคิดเห็นของข้าพเจ้า อย่าให้เราวางเครื่องขัดขวางกีดกันคนต่างชาติที่กลับมาหาพระเจ้า 20แต่เนราจงเขียนหนังสือฝากไปเถิงเขาว่า ให้งดเว้นจากสิ่งที่เป็นมลทินเนื่องจากรูปเคารพ การล่วงประเวณี การกินเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และการกินเลือด 21เพราะว่าตั้งแต่โบราณมา ในทุกเมืองมีคนเผยแพร่เรื่องของโมเสส เพราะคนได้อ่านบัญญัติหรือศีลของท่านในวัดหรือสุเหร่าของพวกยิวทุกวันศีล”
22ขณะนั้น อัครทูตและผู้อาวุโสทั้งหลายกับทุกคนในชุมชนของพระเจ้า เห็นดีเห็นงามที่จะเลือกบางคนในพวกเขาให้ไปยังเมืองอันทิโอกกับเปาโล และบารนาบัส คือ ยูดาส ผู้ที่มีชื่ออีกว่า บารซับบาส และสิลาส ทั้งสองคนนี้เป็นคนสำคัญในพวกพี่น้อง 23เขาได้เขียนจดหมายมอบให้ท่านถือไปว่า “อัครทูตและผู้อาวุโสและพวกพี่น้อง ขอฝากคำนับมายังพวกท่านทั้งหลาย ผู้เป็นพวกพี่น้องซึ่งเป็นคนต่างชาติ ที่อยู่ในเมืองอันทิโอก มณฑลซีเรีย และมณฑลซิลีเซีย 24เพราะพวกข้าพเจ้าได้ยินว่า มีบางคนในพวกข้าพเจ้าได้พูดให้พวกท่านทั้งหลายเกิดความไม่สบายใจ และทำให้ใจของท่านวุ่นวายไป เพราะเขาสอนว่า ‘ท่านต้องเข้าสุหนัตและทำตามบัญญัติหรือศีล’ แม้ว่าเขาไม่ได้รับคำสั่งจากพวกข้าพเจ้า 25พวกข้าพเจ้าจึงพร้อมใจกันเห็นชอบที่จะเลือกคน และใช้เขามายังพวกท่านทั้งหลายพร้อมกับบารนาบัส และเปาโล ผู้เป็นที่นับถือของเรา 26และเป็นผู้อุทิศชีวิตของตน เพื่อพระนามของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา”
27“เหตุฉะนั้น พวกข้าพเจ้าจึงใช้ยูดาส กับสิลาสมาเป็นผู้ที่จะเล่าข้อความนี้กับท่านทั้งหลายด้วยปากของท่านเอง 28เพราะว่า พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์และพวกข้าพเจ้าก็เห็นดีเห็นงาม ที่จะไม่วางภาระให้ท่านท่านทั้งหลายแบก เว้นไว้แต่สิ่งเหล่านั้นที่จำเป็น 29คือว่าให้ท่านทั้งหลายงดเว้นการกินสิ่งของที่เขาได้บูชาแก่รูปเคารพ การกินเลือด การกินเนื้อสัตว์ที่ถูกรัดคอตาย และการล่วงประเวณี ถ้าท่านทั้งหลายงดเว้นสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นการดี ขอให้อยู่เย็นเป็นสุขเถิด”
30เมื่อลาจากกันแล้ว คนเหล่านั้นก็ไปยังเมืองอันทิโอก และเมื่อได้เรียกคนทั้งหลายมาประชุมกันแล้ว จึงมอบจดหมายฉบับนั้นให้ 31เมื่ออ่านแล้วต่างก็มีความชื่นชมยินดีในคำให้กำลังใจนั้น 32ฝ่ายยูดาสกับสิลาสเป็นผู้พยากรณ์ด้วย จึงได้ให้กำลังใจพวกพี่น้องหลายประการให้เขาเข้มแข็งขึ้น 33ครั้นพักอยู่ที่นั่นระยะหนึ่งแล้ว ก็ลาจากพวกพี่น้องไป พวกพี่น้องจึงได้ฝากความปรารถนาดีกับเขาไปถึงอัครทูต 34ฝ่ายสิลาสเห็นชอบที่จะอยู่ที่นั่นต่อไป 35แต่เปาโลกับบารนาบัสยังอยู่ต่อไปในเมืองอันทิโอก สั่งสอนเผยแพร่พระคำของพระเจ้าผู้เป็นนายด้วยกันกับคนอื่นอีกหลายคน
36เมื่อเวลาผ่านไปหลายวัน เปาโลจึงพูดกับบารนาบัสว่า “ให้เรากลับไปเยี่ยมพวกพี่น้องในทุกเมือง ที่เราได้เผยแพร่พระคำของพระเจ้าผู้เป็นนายไว้ ไปดูว่าเขาเป็นอย่างไรกันบ้าง” 37ฝ่ายบารนาบัสได้ตั้งใจว่าจะพายอห์น ผู้มีอีกชื่อหนึ่งว่ามาระโกไปด้วย 38แต่เปาโลไม่เห็นควรที่จะพายอห์นไปด้วย เพราะเที่ยวก่อนนั้นยอห์นได้หนีจากคนทั้งสองที่มณฑลปัมฟีเลีย และไม่ได้ไปทำงานด้วยกัน 39แล้วได้เกิดการขัดแย้งกันจนต้องแยกจากกัน บารนาบัสจึงพามาระโกลงเรือไปยังเกาะไซปรัส 40แต่เปาโลได้เลือกสิลาส และเมื่อพวกพี่น้องได้ฝากคนทั้งสองไว้ในพระคุณของพระเจ้าแล้ว ท่านก็จากไป 41ท่านจึงได้ไปทั่วมณพลซีเรียกับมณฑลซิลีเซียให้กำลังใจแก่ชุมชนของพระเจ้าให้แข็งแรงขึ้น
1ฝ่ายเปาโลได้ไปยังเมืองเดอร์บีกับเมืองลิสตรา และในตอนนั้น มีสาวกคนหนึ่งชื่อทิโมธี มารดาของท่านเป็นคนยิวที่มีความเชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้าแล้ว แต่บิดาของท่านเป็นคนกรีก 2ทิโมธีมีชื่อเสียงดีในหมู่พวกพี่น้องที่อยู่ในเมืองลิสตรา และเมืองอิโคนียูม 3เปาโลอยากจะพาท่านไปด้วย จึงให้เข้าสุหนัตเพราะเห็นแก่พวกยิวที่อยู่ในเมืองนั้น ๆ เพราะคนเหล่านั้นทุกคนรู้ว่าบิดาของท่านเป็นคนกรีก 4เมื่อคนเหล่านั้นได้เที่ยวไปตามเมืองต่าง ๆ ก็ได้ส่งหนังสือข้อตกลงของอัครทูต และผู้อาวุโสในกรุงเยรูซาเล็มมอบให้คนทั้งหลายทุกเมืองเพื่อให้ทำตาม 5ชุมชนของพระเจ้าทั้งหลายจึงเข้มแข็งในความเชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้า และมวลสมาชิกได้เพิ่มขึ้นทุก ๆ วัน
6เมื่อคนเหล่านั้นไปทั่วมณฑลฟรีเจียกับกาลาเทียแล้ว พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ห้ามไม่ให้กล่าวพระคำของพระเจ้าในมณฑลเอเชีย 7เมื่อไปยังมณฑลมิเซียแล้ว ก็พยายามจะไปยังมณฑลบิธีเนีย แต่พระวิญญาณของพระเยซูไม่โปรดให้ไป 8แล้วคนเหล่านั้นได้เดินทางผ่านมณฑลมิเซียลงมายังเมืองโตรอัส 9ในเวลากลางคืนเปาโลได้เห็นนิมิตว่า มีผู้ชายชาวมาซิโดเนียคนหนึ่งยืนอ้อนวอนว่า “ขอโปรดมาช่วยพวกข้าพเจ้าในมณฑลมาซิโดเนียด้วย” 10ครั้นท่านเห็นนิมิตนั้นแล้ว พวกเราจึงหาโอกาสทันทีที่จะไปยังมณฑลมาซิโดเนีย เพราะเห็นอย่างแน่นอนว่า พระเจ้าผู้เป็นนายได้เรียกให้พวกเราไปเผยแพร่บารมีของพระเจ้าแก่คนในมณฑลนั้น
11เหตุฉะนั้น เมื่อออกจากเมืองโตรอัสแล้ว ก็ตรงไปยังเกาะสาโมธรัสและถึงวันใหม่ก็ถึงเมืองเนอาบุรี 12เมื่อออกจากที่นั่นแล้ว ก็ได้ไปยังเมืองฟีลิปปี ที่เป็นเมืองเอกในมณฑลมาซิโดเนีย และเป็นเมืองขึ้นของกรุงโรม พวกเราจึงพักอยู่ในเมืองนั้นหลายวัน 13ในวันศีลพวกเราได้ออกจากเมืองไปยังฝั่งแม่น้ำ เข้าใจว่ามีที่สำหรับอธิษฐานสวดอ้อนวอน จึงได้นั่งคุยกันกับพวกผู้หญิงที่ประชุมกันที่นั่น 14มีหญิงคนหนึ่งชื่อลิเดียมาจากเมืองธิยาทิรา เป็นคนขายผ้าสีม่วง เป็นผู้ที่เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า ผู้หญิงคนนั้นได้ฟังพวกเรา และพระเจ้าผู้เป็นนาย ได้เปิดใจของเธอให้สนใจในคำพูดซึ่งเปาโลได้กล่าว 15เมื่อผู้หญิงคนนั้นกับทั้งครอบครัวของเธอได้ทำพิธีมุดน้ำแล้วจึงอ้อนวอนพวกเราว่า “ถ้าท่านเห็นว่าข้าพเจ้าเป็นคนที่มีความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าผู้เป็นนาย ก็เชิญเข้ามาพักอาศัยในบ้านของข้าพเจ้าเถิด” และเธอได้วิงวอนจนพวกเราขัดไม่ได้
16เมื่อพวกเรากำลังออกไปยังที่สำหรับอธิษฐาน สวดอ้อนวอน มีหญิงสาวคนหนึ่งที่มีผีหมอดูเข้าได้มาหาพวกเรา เธอได้ทำนายทายทักให้พวกเจ้านายของเธอได้เงินมากมาย 17หญิงสาวคนนั้นติดตามเปาโลกับพวกเราไปร้องว่า “คนเหล่านี้เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าผู้สูงสุด มาเผยแพร่ทางหลุดพ้นแก่เราทั้งหลาย” 18เธอทำเช่นนั้นหลายวัน ฝ่ายเปาโลเป็นทุกข์มาก หันหน้าสั่งผีนั้นว่า “ข้าฯขอสั่งเอ็งว่า ในพระนามของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เอ็งจงออกมาจากนางเดี๋ยวนี้” ผีนั้นก็ออกมาในตอนนั้น
19ส่วนพวกนายของเธอเมื่อเห็นว่าหมดหวังที่จะได้เงินแล้ว เขาจึงจับเปาโลและสิลาสลากมาถึงพวกเจ้าหน้าที่ ยังที่ว่าการเมือง 20เมื่อลากมาถึงเจ้าเมืองแล้วจึงได้พูดว่า “คนเหล่านี้เป็นพวกยิว ก่อการวุ่นวายในเมืองของเรา 21และสั่งสอนธรรมเนียม ซึ่งเราชาวโรมันไม่ควรจะรับหรือนับถือเลย” 22ประชาชนก็ได้ลุกฮือกันขึ้นต่อสู้เปาโลและสิลาส เจ้าเมืองได้ดึงเสื้อของคนทั้งสองออก แล้วสั่งให้โบยตีด้วยไม้เรียว 23เมื่อโบยหลายทีแล้วจึงให้ขังไว้ในคุก และกำชับผู้คุมให้รักษาไว้ให้มั่นคง 24ผู้คุมเมื่อรับคำสั่งเช่นนั้นแล้วจึงพาเปาโลกับสิลาสไปขังไว้ในห้องชั้นใน เอาขื่อใส่เท้าไว้แน่นหนา
25เวลาประมาณเที่ยงคืน เปาโลกับสิลาสก็อธิษฐานสวดอ้อนวอนและร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า นักโทษทั้งหลายก็ฟังอยู่ 26ในทันใดนั้นเกิดแผ่นดินไหวใหญ่จนรากฐานของคุกสั่นสะเทือน และประตูคุกเปิดออกหมดทุกบาน เครื่องจำจองก็หลุดออกจากพวกเขาสิ้นทุกคนทันที 27ฝ่ายผู้คุมตื่นขึ้นเห็นประตูคุกเปิดอยู่ คาดว่านักโทษทั้งหลายหนีไปหมดแล้ว จึงชักดาบออกมาหมายว่าจะฆ่าตัวตาย 28แต่เปาโลได้ร้องเสียงดังว่า “อย่าทำร้ายตัวเองเลย พวกเราทั้งหลายทุกคนไม่ได้หนีไปไหน” 29ผู้คุมจึงสั่งให้จุดไฟมา แล้ววิ่งเข้าไปตัวสั่นกราบลงที่เท้าของเปาโลกับสิลาส 30และพาคนทั้งสองออกมาแล้วว่า “เจ้านายขอรับ ข้าน้อยจะต้องทำอย่างไรจึงจะหลุดพ้นได้” 31เปาโลกับสิลาสจึงกล่าวว่า “จงเชื่อเพิ่งอาศัยในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนาย และเจ้าจะหลุดพ้นได้ทั้งครอบครัวของเจ้า” 32คนทั้งสองจึงได้สั่งสอนพระคำของพระเจ้าผู้เป็นนายให้ผู้คุม และคนทั้งหลายที่อยู่ในบ้านของเขา 33ในตอนกลางคืนชั่วโมงเดียวกันนั้นเอง ผู้คุมจึงพาเปาโลกับสิลาสไปล้างแผลที่ถูกเฆี่ยน และในขณะนั้นผู้คุมก็ได้ทำพิธีมุดน้ำพร้อมทั้งคนในครอบครัวของเขา 34แล้วได้พาคนทั้งสองเข้าไปในบ้านของเขา จัดโต๊ะเลี้ยงเพื่อแสดงความยินดี เพราะเขาได้เชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้าพร้อมกับทั้งครอบครัวของเขาแล้ว
35ครั้นถึงเวลาเช้า เจ้าเมืองจึงใช้พวกตำรวจไป สั่งว่า “จงปล่อยคนทั้งสองนั้นเสีย” 36ผู้คุมจึงบอกเปาโลว่า “เจ้าเมืองได้ใช้คนมาบอกให้ปล่อยท่านทั้งสอง ฉะนั้นบัดนี้เชิญท่านออกไปตามสบายเถิด” 37แต่เปาโลพูดกับเขาทั้งหลายว่า “เขาได้เฆี่ยนพวกเราผู้เป็นคนสัญชาติโรมันต่อหน้าคนทั้งหลาย ก่อนจะได้ตัดสินความ และได้ขังพวกเราไว้ในคุก บัดนี้เขาจะขับไล่ให้พวกเราออกไปเป็นการลับหรือ? ทำเช่นนั้นไม่ได้ ให้เขามาพาพวกเราออกไปเถิด” 38พวกตำรวจจึงนำความไปแจ้งแก่เจ้าเมือง เมื่อเจ้าเมืองได้ยินว่าคนทั้งสองเป็นคนสัญชาติโรมันก็ตกใจมาก 39จึงมาอ้อนวอนคนทั้งสอง เมื่อพาออกไปแล้วจึงขอให้ออกไปจากเมือง 40คนทั้งสองจึงออกจากคุก แล้วได้เข้าไปในบ้านของนางลิเดีย เมื่อพบพวกพี่น้องก็พูดให้กำลังใจให้เขาแล้วก็ลาจากไป
1เมื่อเปาโลกับสิลาสข้ามเมืองอัมฟีบุรี และเมืองอปอลโลเนียแล้ว จึงมายังเมืองเธสะโลนิกา ที่นั่นมีวัดหรือสุเหร่าของพวกยิว 2เปาโลจึงเข้าไปร่วมกับพวกเขาตามเคย และท่านได้อ้างข้อความในพระคัมภีร์โต้ตอบกับเขาทั้งสามวันศีล 3และไขข้อความชี้แจงให้เห็นว่าจำเป็นที่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ต้องทนทุกข์ทรมาน แล้วเป็นขึ้นมาจากความตายและกล่าวต่อไปว่า “พระเยซูองค์นี้ที่ข้าพเจ้าเผยแพร่แก่พวกท่านทั้งหลายคือพระผู้เป็นพระศรีอาริย์” 4บางคนในพวกเขาก็เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า และสมัครเข้าเป็นพรรคพวกกับเปาโลและสิลาส รวมทั้งชาวกรีกมากมายที่ยำเกรงพระเจ้า และผู้หญิงที่เป็นคนสำคัญ ๆ ก็มีไม่น้อย
5แต่พวกยิวที่ไม่เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าก็อิจฉา ไปคบคิดกับคนพาลตามตลาดรวบรวมกันมามากกมาย ก่อการจลาจลในบ้านเมือง เข้าบุกบ้านของเจสัน ตั้งใจจะพาคนทั้งสองออกมาให้คนทั้งหลาย 6เมื่อไม่พบจึงลากเจสันกับพวกพี่น้องบางคนไปหาเจ้าหน้าที่ผู้ครองเมืองร้องเรียนว่า “คนเหล่านั้นที่เป็นพวกที่จะคว่ำแผ่นดินได้มาที่นี่แล้ว 7เจสันรับรองเขาไว้ และคนเหล่านี้ได้ฝ่าฝืนคำสั่งของซีซาร์ โดยเขาสอนว่ามีกษัตริย์อีกองค์หนึ่งคือเยซู” 8เมื่อประชาชนและเจ้าเมืองได้ยินดังนั้นกะร้อนใจ 9จึงได้ให้ประกันโตเจสันกับคนอื่น ๆ แล้วก็ปล่อยไป
10ครั้นถึงยามเย็น พวกพี่น้องจึงส่งเปาโลกับสิลาสไปยังเมืองเบโรอา เมื่อถึงแล้วท่านจึงได้เข้าไปในวัดหรือสุเหร่าของพวกยิว 11ชาวยิวเมืองนั้นจิตใจสูงกว่าชาวเมืองเธสะโลนิกา เพราะเขาได้รับเอาพระคำของพระเจ้าด้วยความเต็มใจ และค้นดูพระคัมภีร์ทุกวัน หวังจะรู้ว่า ข้อความเหล่านั้นจะเป็นความจริงดังกล่าวหรือไม่? 12เหตุฉะนั้น มีหลายคนในพวกเขาได้เชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้า พร้อมกับผู้หญิงชาวกรีกที่มีฐานะสูง และทั้งผู้ชายก็มีอยู่ไม่น้อย 13แต่เมื่อพวกยิวที่อยู่ในเมืองเธสะโลนิกาฮรู้ว่า เปาโลได้สั่งสอนพระคำของพระเจ้าในเมืองเบโรอาเหมือนกัน เขาก็มายุยงประชาชนอยู่ที่นั่นด้วย 14ขณะนั้นพวกพี่น้องจึงส่งเปาโลออกไปตามทางที่จะไปทะเล แต่สิลาสกับทิโมธียังอยู่ที่นั่น 15คนที่ไปส่งเปาโลนั้นได้ไปส่งท่านถึงกรุงเอเธนส์ และเมื่อได้รับคำสั่งของท่านให้บอกสิลาสกับทิโมธีให้รีบไปหาท่านแล้ว เขาก็จากไป
16เมื่อเปาโลกำลังคอยสิลาสกับทิโมธีอยู่ในกรุงเอเธนส์นั้น ท่านมีความเดือดร้อนวุ่นวายใจ เพราะได้เห็นรูปเคารพเต็มไปทั้งเมือง 17เหตุฉะนั้น ท่านจึงโต้ตอบในวัดหรือสุเหร่ากับพวกยิว และกับคนที่เกรงกลัวพระเจ้า และกับคนทั้งหลายซึ่งมาพบท่านที่ตลาดทุกวัน 18นักปรัชญาบางคนในพวกเอปีกูเรียวและในพวกสโตอิกได้มาพบท่าน บางคนกล่าวว่า “คนพูดเพ้อเจ้ออย่างนี้จะใคร่มาพูดอะไรให้เราฟังอีกเล่า” คนอื่นกล่าวว่า “ดูเหมือนเขาเป็นคนนำพระต่างประเทศเข้ามาเผยแพร่” เพราะเปาโลได้ประกาศเรื่องพระเยซูและเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย 19เขาจึงจับเปาโลพาไปยังสภาอาเรโอปากัสแล้วถามว่า “เราขอรู้ได้หรือไม่ว่าคำสอนอย่างใหม่ที่ท่านกล่าวนั้นเป็นอย่างไร 20เพราะว่าท่านนำเรื่องแปลกประหลาดมาถึงหูของเรา เหตุฉะนั้นเราอยากทราบว่าเรื่องเหล่านี้มีความหมายว่าอย่างไร” 21เพราะชาวเอเธนส์กับชาวต่างประเทศซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น ไม่ได้ใช้เวลาว่างในการอื่นนอกจากจะกล่าวหรือฟังสิ่งใหม่ ๆ
22ฝ่ายเปาโลจึงยืนขึ้นกลางเขาอาเรโอแล้วกล่าวว่า “ท่านชาวกรุงเอเธนส์ ข้าพเจ้าเห็นได้ว่าท่านทั้งหลายเป็นนักศาสนาในทุกเรื่อง 23เพราะว่าเมื่อข้าพเจ้าเดินทางมาสังเกตดูสิ่งที่ท่านนมัสการนั้น ข้าพเจ้าได้พบแท่นแท่นหนึ่งมีคำจารึกไว้ว่า ‘แด่พระเจ้าที่ไม่รู้จัก’ เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาประกาศ และแสดงให้ท่านทั้งหลายทราบถึงพระเจ้าที่ท่านไม่รู้จักแต่ยังนมัสการอยู่ 24พระเจ้าผู้สร้างโลกกับสิ่งทั้งปวงที่มีอยู่ในนั้น พระองค์เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก มิได้สถิตในปูชนียะสถานซึ่งมือมนุษย์ได้ทำไว้ 25การที่มือมนุษย์ปฏิบัตินมัสการพระองค์นั้นจะหมายว่า พระเจ้าต้องประสงค์สิ่งหนึ่งสิ่งใดจากเขาก็หามิได้ เพราะพระองค์เป็นผู้ประทานชีวิตและลมหายใจและสิ่งสารพัดแก่คนทั้งปวงต่างหาก 26พระองค์ได้สร้างมนุษย์ทุกชาติสืบสายโลหิตอันเดียวกัน ให้อยู่ทั่วพื้นพิภพโลก และได้กำหนดเวลาและเขตแดนให้เขาอยู่ 27เพื่อเขาจะได้แสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า และหากเขาจะคลำหาก็จะได้พบพระองค์ ด้วยพระองค์ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากเราทุกคนเลย 28ด้วยว่า ‘เรามีชีวิต และไหวตัวและเป็นอยู่ในพระองค์’ ตามที่กวีบางคนในพวกท่านได้กล่าวว่า ‘เราทั้งหลายเป็นเชื้อสายของพระองค์’”
29“เหตุฉะนั้นเมื่อเราเป็นเชื้อสายของพระเจ้าแล้ว เราก็ไม่ควรถือว่าพระเจ้าเป็นเหมือนทอง เงิน หรือหิน ซึ่งได้แกะสลักด้วยศิลปะและความคิดของมนุษย์ 30ในเวลาเมื่อมนุษย์ยังโง่เขลาอยู่ พระเจ้ามองข้ามไปเสีย แต่เดี๋ยวนี้พระองค์ได้สั่งมนุษย์ทั้งปวงทั่วทุกแห่ง ให้กลับหลังหันจากความผิดบาป 31เพราะพระองค์ได้กำหนดวันหนึ่งไว้ ในวันนั้นพระองค์จะพิพากษาโลกตามความชอบธรรม โดยให้ท่านองค์นั้นซึ่งพระองค์ได้เลือกไว้เป็นผู้พิพากษา และพระองค์ได้ให้พยานหลักฐานแก่คนทั้งปวงแล้วว่า ได้โปรดให้ท่านองค์นั้นเป็นขึ้นมาจากความตาย”
32ครั้นคนทั้งหลายได้ยินถึงเรื่องการซึ่งเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว บางคนก็เยาะเย้ย แต่คนอื่น ๆ ว่า “เราจะฟังท่านกล่าวเรื่องนี้อีกต่อไป” 33แล้วเปาโลจึงออกไปจากเขา 34แต่มีชายบางคนติดตามเปาโลไปและได้เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า ในคนเหล่านั้นมีดิโอนิสิอัสผู้เป็นสมาชิกสภาอาเรโอปากัส กับหญิงคนหนึ่งชื่อดามาริส และคนอื่น ๆ ด้วย
1ภายหลังเหตุการณ์เหล่านี้เปาโลจึงออกจากกรุงเอเธนส์ไปยังเมืองโครินธ์ 2ท่านได้พบยิวคนหนึ่งชื่ออาควิลลา ซึ่งเกิดในแคว้นปอนทัส แต่พึ่งมาจากประเทศอิตาลีกับภรรยาชื่อปริสสิลลา เพราะจักรพรรดิคลาวดิอัส มีรับสั่งให้พวกยิวทั้งปวงออกไปจากกรุงโรม เปาโลจึงไปหาคนทั้งสองนั้น 3และเพราะมีอาชีพอย่างเดียวกันท่านจึงได้อาศัยทำการอยู่กับเขา เพราะว่าทั้งสองฝ่ายเป็นช่างทำเต็นท์ด้วยกัน 4เปาโลได้โต้เถียงในวัดหรือสุเหร่าทุกวันศีล ได้ชักชวนทั้งพวกยิวและพวกกรีก
5พอสิลาสกับทิโมธีมาจากแคว้นมาซิโดเนีย เปาโลก็ได้รับการดลใจ และเป็นพยานแก่พวกยิวว่า พระเยซูเป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 6แต่เมื่อพวกเหล่านั้นขัดขวางตัวเอง และกล่าวคำหมิ่นประมาท เปาโลจึงได้สะบัดเสื้อผ้ากล่าวแก่เขาว่า “ให้เลือดของท่านทั้งหลายตกบนศีรษะของท่านเองเถิด ข้าพเจ้าก็ปราศจากเลือดนั้นแล้ว ตั้งแต่นี้ไปข้าพเจ้าจะไปหาคนต่างชาติ” 7ท่านจึงออกจากที่นั่น แล้วเข้าไปในบ้านของชายคนหนึ่งชื่อยุสทัส ซึ่งเป็นผู้นมัสการพระเจ้า บ้านของเขาอยู่ติดกับวัดหรือสุเหร่าของพวกยิว 8ฝ่ายคริสปัสนาเจ้าอาวสาวัด กับทั้งครัวเรือนของท่าน ได้เชื่อพึ่งอาศัยในองค์พระเจ้าผู้เป็นนาย และชาวโครินธ์หลายคน เมื่อได้ฟังแล้วก็ได้เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าและทำพิธีมุดน้ำ 9และพระเจ้าผู้เป็นนายได้กล่าวกับเปาโลทางนิมิตในคืนวันหนึ่งว่า “อย่ากลัวเลย แต่จงกล่าวต่อไป อย่านิ่งเสีย 10เพราะว่าเราอยู่กับเจ้า และจะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดอาจต่อสู้ทำร้ายเจ้าได้ ด้วยว่าคนของเราในนครนี้มีมาก” 11เปาโลจึงยับยั้งอยู่กับเขา และสั่งสอนพระคำของพระเจ้าตลอดหนึ่งปีกับหกเดือน
12แต่คราวเมื่อกัลลิโอเป็นผู้สำเร็จราชการมณฑลอาคายา พวกยิวได้ลุกฮือกันขึ้นต่อสู้เปาโล และพาท่านไปบัลลังก์พิพากษา 13ฟ้องว่า “คนนี้ชักชวนคนทั้งหลายให้นมัสการพระเจ้าตามทางที่ผิดกฎหมาย” 14เมื่อเปาโลจะอ้าปากพูด กัลลิโอก็กล่าวแก่พวกยิวว่า “โอ พวกยิว ถ้าเป็นเรื่องความชั่ว หรือเป็นเรื่องอาชญากรรม สมควรเราจะฟังท่านทั้งหลาย 15แต่เมื่อเป็นการโต้แย้งกันถึงเรื่องถ้อยคำกับชื่อและบัญญัติหรือศีลของพวกท่านแล้ว ท่านทั้งหลายจงวินิจฉัยกันเอาเองเถิด เราไม่อยากเป็นผู้พิพากษาตัดสินข้อความเหล่านั้น” 16ท่านจึงไล่พวกนั้นไปจากบัลลังก์พิพากษา 17เขาทั้งหลายจึงจับโสสเธเนสเจ้าอาวาสวัดหรือสุเหร่ายิว มาเฆี่ยนข้างหน้าบัลลังก์พิพากษา แต่กัลป์ลิโอไม่เอาธุระเลย
18ต่อมาเปาโลได้พักอยู่ที่นั่นอีกหลายวัน แล้วท่านจึงลาพวกพี่น้องแล่นเรือไปยังมณฑลซีเรีย และปริสสิลลากับอาควิลลาก็ไปด้วย เปาโลได้โกนศีรษะที่เมืองเคนเครีย เพราะท่านได้ปฏิญาณตัวไว้ 19ครั้นมายังเมืองเอเฟซัส เปาโลได้ให้ปริสสิลลากับอาควิลลาอยู่ที่นั่น แต่ท่านเองได้เข้าไปโต้เถียงกับพวกยิว ในวัดหรือสุเหร่าของพวกยิว 20เมื่อคนเหล่านั้นขอให้ท่านอยู่กับเขาต่อไป ท่านก็ไม่ยอม 21แต่ได้ลาเขาไปกล่าวว่า “ถ้าเป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า ข้าพเจ้าจะกลับมาหาท่านทั้งหลายอีก” แล้วเปาโลได้ลงเรือแล่นออกจากเมืองเอเฟซัส
22ครั้นมาถึงเมืองซีซารียา ท่านได้ขึ้นไปคำนับชุมชนของพระเจ้าแล้วลงไปยังเมืองอันทิโอก 23ครั้นยับยั้งอยู่ที่นั่นหน่อยหนึ่ง ท่านจึงไปตลอดแว่นแคว้นกาลาเทีย และฟรีเจียตามลำดับกันไปเรื่อย ๆ เพื่อจะเป็นกำลังใจให้พวกสาวก
24มียิวคนหนึ่งชื่ออปอลโล เกิดในเมืองอเล็กซานเดรีย เป็นคนมีโวหารดี และชำนาญมากในทางพระคัมภีร์ ท่านมายังเมืองเอเฟซัส 25อปอลโลคนนี้ได้รับการอบรมในทางของพระเจ้าผู้เป็นนาย และมีความกระตือรือร้นในการกล่าวสั่งสอนโดยละเอียด ถึงเรื่องพระเจ้าผู้เป็นนาย ถึงแม้ว่าท่านรู้แต่เพียงพิธีมุดน้ำของยอห์นเท่านั้น 26ท่านได้ตั้งต้นสั่งสอนโดยใจกล้าในวัดหรือสุเหร่าของพวกยิว แต่เมื่ออาควิลลากับปริสสิลลาได้ฟังท่านแล้ว เขาจึงรับท่านมาสั่งสอนให้รู้ทางของพระเจ้าให้ถูกต้องยิ่งขึ้น 27ครั้นอปอลโลจะใคร่ไปยังแคว้นอาคายา พวกพี่น้องก็เขียนจดหมายฝากไปถึงสาวกที่นั่นให้เขารับรองท่านไว้ ครั้นท่านไปถึงแล้ว ท่านได้ช่วยเหลือคนทั้งหลายที่ได้เชื่อพึ่งอาศัยในพระคุณนั้นอย่างมากมาย 28เพราะท่านโต้แย้งกับพวกยิวอย่างแข็งแรงต่อหน้าคนทั้งปวง และชี้แจงยกหลักในพระคัมภีร์อ้างให้เห็นว่า พระเยซูคือพระศรีอาริย์
1ต่อมาขณะที่อปอลโลยังอยู่ในเมืองโครินธ์นั้น เปาโลได้ไปตามมณฑลฝ่ายเหนือ แล้วมายังเมืองเอเฟซัส และพบสาวกบางคน 2จึงถามเขาว่า “ตั้งแต่ท่านทั้งหลายเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าแล้วนั้น ท่านได้รับพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์หรือเปล่า” เขาตอบเปาโลว่า “เปล่า เรื่องพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นเราก็ยังไม่เคยได้ยินเลย” 3เปาโลจึงถามเขาว่า “ถ้าอย่างนั้นท่านได้รับพิธีมุดน้ำอันใดเล่า” เขาตอบว่า “พิธีมุดน้ำของยอห์น” 4เปาโลจึงว่า “ยอห์นให้รับพิธีมุดน้ำสำแดงถึงการกลับใจหันหลังจากความผิดบาปก็จริง แล้วบอกคนทั้งปวงให้เชื่อในพระองค์ผู้จะเสด็จมาภายหลังคือพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์” 5เมื่อเขาได้ยินอย่างนั้น เขาจึงทำพิธีมุดน้ำในพระนามของพระเยซูเจ้า พระเจ้าผู้เป็นนาย 6เมื่อเปาโลได้ปรกมือบนเขาแล้ว พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มาบนเขา เขาจึงพูดภาษาต่าง ๆ และได้พยากรณ์ด้วย 7คนเหล่านั้นมีผู้ชายประมาณสิบสองคน
8เปาโลเข้าไปกล่าวโต้แย้งในวัดหรือสุเหร่าของพวกยิวด้วยใจกล้าสิ้นสามเดือน ชักชวนให้เชื่อในสิ่งที่กล่าวถึงอาณาจักรของพระเจ้า 9แต่บางคนมีใจดื้อรั้นไม่ยอมเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า และพูดหยาบช้าเรื่องทางนั้นต่อหน้าชุมชน เปาโลจึงแยกไปจากเขา และพาพวกสาวกไปด้วย แล้วท่านได้ไปโต้แย้งกันทุกวันในห้องประชุมของท่านผู้หนึ่งชื่อ ทีรันนัส 10ท่านได้กระทำอย่างนั้นสิ้นสองปี จนชาวแคว้นเอเชียทั้งพวกยิว และพวกกรีกได้ยินพระคำของพระเยซู พระเจ้าผู้เป็นนาย 11พระเจ้าได้ทำการอัศจรรย์อันพิสดารด้วยมือของเปาโล 12จนเขานำเอาผ้าเช็ดหน้ากับผ้ากันเปื้อนจากตัวเปาโลไปวางที่ตัวคนป่วยไข้ โรคนั้นก็หาย และวิญญาณชั่วก็ออกจากคน
13แต่พวกยิวบางคนที่เที่ยวไปเป็นหมอผี พยายามใช้พระนามของพระเยซูพระเจ้าผู้เป็นนาย ขับวิญญาณชั่วว่า “เราสั่งเจ้าโดยพระเยซูซึ่งเปาโลได้ประกาศนั้น” 14พวกยิวคนหนึ่งชื่อเสวาเป็นปุโรหิตใหญ่มีบุตรชายเจ็ดคน ซึ่งได้ทำอย่างนั้น 15ฝ่ายวิญญาณชั่วจึงตอบเขาว่า “เยซู ข้าก็รู้จัก และเปาโล ข้าก็รู้จัก แต่พวกเจ้าเป็นผู้ใดเล่า ข้าไม่รู้จัก” 16คนที่มีวิญญาณชั่วสิงอยู่จึงกระโดดใส่คนเหล่านั้น และเอาชนะเขา และปราบเขาลงได้ จนคนเหล่านั้นต้องหนีออกไปจากเรือนทั้งเปลือยกาย และบาดเจ็บ 17เรื่องนั้นได้เล่าลือกันไปถึงหูคนทั้งปวงที่อยู่ในเมืองเอเฟซัสทั้งพวกยิวกับพวกกรีก และคนทั้งปวงก็พากันมีความเกรงกลัว และพระนามของพระเยซูพระเจ้าผู้เป็นนาย ก็เป็นที่ยกย่องสรรเสริญ
18มีหลายคนที่เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าแล้วได้มาสารภาพ และเล่าเรื่องการซึ่งเขาได้กระทำไปนั้น 19และหลายคนที่ใช้เวทมนตร์ได้เอาตำราของตน มาเผาเสียต่อหน้าคนทั้งปวง ตำราเหล่านั้นคิดเป็นราคาถึงห้าหมื่นเหรียญเงิน 20พระคำของพระเจ้า ก็บังเกิดผลอย่างมากและมีชัย 21ครั้นสิ้นเหตุการณ์เหล่านี้แล้วเปาโลได้ตั้งใจว่า เมื่อไปทั่วมณฑลมาซิโดเนีย กับมณฑลอาคายาแล้วจะเลยไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และพูดว่า “เมื่อข้าพเจ้าไปที่นั่นแล้ว ข้าพเจ้าจะต้องไปกรุงโรมด้วย” 22ท่านจึงใช้ผู้ช่วยของท่านสองคน คือทิโมธีกับเอรัสทัสไปยังมณฑลมาซิโดเนีย ฝ่ายท่านก็พักอยู่หน่อยหนึ่งในมณฑลเอเชีย
23คราวนั้นเกิดการวุ่นวายมากเพราะเรื่องเกี่ยวกับทางนั้น 24ด้วยมีชายคนหนึ่งชื่อเดเมตริอัส เป็นช่างเงินได้เอาเงินทำเป็นรูปเจ้าแม่อารเทมิส ทำให้พวกช่างนั้นได้กำไรมาก 25เดเมตริอัสจึงประชุมช่างเหล่านั้นที่ทำการคล้ายกันแล้วว่า “ท่านทั้งหลาย ท่านทราบอยู่ว่าพวกเราได้ทรัพย์สินเงินทองมาก็เพราะทำการอันนี้ 26และท่านทั้งหลายได้ยินและได้เห็นอยู่ว่า ไม่ใช่เฉพาะในเมืองเอเฟซัสเมืองเดียว แต่เกือบทั่วมณฑลเอเชีย เปาโลคนนี้ได้ชักชวนคนเป็นอันมากให้เลิกทางเก่าเสีย โดยได้กล่าวว่าสิ่งที่มือมนุษย์ทำนั้นไม่ใช่เทพเจ้า 27น่ากลัวว่าไม่ใช่แต่อาชีพของเราจะเสียไปอย่างเดียว แต่พระวิหารของเจ้าแม่อารเทมิส ซึ่งเป็นใหญ่จะเป็นที่หมิ่นประมาทด้วย และสง่าราศีแห่งรูปของเจ้าแม่นั้นซึ่งเป็นที่นับถือของบรรดาชาวมณฑลเอเชียกับสิ้นทั้งโลก จะเสื่อมลงไป”
28ครั้นคนทั้งหลายได้ยินดังนั้น ต่างก็โกรธแค้นและร้องว่า “เจ้าแม่อารเทมิสของชาวเอเฟซัสเป็นใหญ่” 29แล้วก็เกิดการวุ่นวายใหญ่โตทั่วทั้งเมือง เขาจึงได้จับกายอัสกับอาริสทารคัสชาวมาซิโดเนีย ผู้เป็นเพื่อนเดินทางของเปาโล ลากวิ่งเข้าไปในโรงมหรสพ 30ฝ่ายเปาโลใคร่จะเข้าไปในหมู่คนด้วย แต่พวกสาวกไม่ยอมให้ท่านเข้าไป 31มีบางคนในพวกเจ้านายที่ประจำมณฑลเอเชียซึ่งเป็นสหายของเปาโล ได้ใช้คนไปวิงวอนขอเปาโลไม่ให้เข้าไปในโรงมหรสพ 32บางคนจึงได้ร้องว่าอย่างนี้ บางคนได้ร้องว่าอย่างนั้น เพราะว่าที่ประชุมวุ่นวายมาก และคนโดยมากไม่รู้ว่าเขาประชุมกันด้วยเรื่องอะไร 33พวกเหล่านั้นบางคนได้ดันอเล็กซานเดอร์ ซึ่งเป็นคนที่พวกยิวให้ออกมาข้างหน้า อเล็กซานเดอร์จึงโบกมือหมายจะกล่าวแก้แทนต่อหน้าคนทั้งปวง
34แต่เมื่อคนทั้งหลายรู้ว่าท่านเป็นคนยิว เขาก็ยิ่งส่งเสียงร้องพร้อมกันอยู่ประมาณสักสองชั่วโมงว่า “เจ้าแม่อารเทมิสของชาวเอเฟซัสเป็นใหญ่” 35เมื่อเจ้าหน้าที่ทะเบียนของเมืองนั้นยอมคล้อยตามจนประชาชนสงบลงแล้ว เขาก็กล่าวว่า “ท่านชาวเอเฟซัสทั้งหลาย มีผู้ใดบ้างซึ่งไม่ทราบว่า เมืองเอเฟซัสนี้เป็นเมืองที่นมัสการเจ้าแม่เอารเทมิสผู้ยิ่งใหญ่ และนมัสการรูปจำลองซึ่งตกลงมาจากดาวพฤหัสบดี 36เมื่อข้อนั้นกล่าวโต้แย้งไม่ได้แล้ว ท่านทั้งหลายควรจะนิ่งสงบสติอารมณ์ อย่าทำอะไรวู่วามไป 37ท่านทั้งหลายได้พาคนเหล่านี้มา ซึ่งไม่ใช่เป็นคนปล้นพระวิหาร หรือพูดหมิ่นประมาทเจ้าแม่ของพวกท่าน 38เหตุฉะนั้น ถ้าแม้เดเมตริอัสกับพวกช่างที่มีอาชีพอย่างเดียวกันเป็นความกับผู้ใด วันกำหนดที่จะว่าความก็มี ผู้พิพากษาก็มี ให้เขามาฟ้องกันเถิด 39แต่ถ้าแม้ท่านมีข้อหาอะไรอีก ก็ให้ชำระกันในที่ประชุมตามกฎหมาย 40ด้วยว่าน่ากลัวเราจะต้องถูกฟ้องว่าเป็นผู้ก่อการจลาจลวันนี้ เพราะเราทั้งหลายไม่อาจยกข้อใดขึ้นอ้างเป็นมูลเหตุพอแก่การจลาจลคราวนี้ได้” 41ครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้วท่านจึงให้เลิกประชุมกัน
1ครั้นการวุ่นวายนั้นสงบแล้ว เปาโลจึงให้ไปตามพวกสาวกมา ให้กำลังใจกันและกันแล้วก็ลาเขาไปยังมณฑลมาซิโดเนีย 2เมื่อได้ข้ามที่นั้นไปแล้ว และได้ให้กำลังใจเขาเป็นอย่างมาก ท่านก็มายังประเทศกรีก 3พักอยู่ที่นั่นสามเดือน และเมื่อท่านจวนจะลงเรือไปยังมณฑลซีเรีย พวกยิวก็คิดร้ายต่อท่าน ท่านจึงตั้งใจกลับไปทางมณฑลมาซิโดเนีย 4คนที่ไปยังมณฑลเอเชียกับเปาโลคือโสปาเทอร์ชาวเมืองเบโรอา อาริสทารคัสกับเสคุนดัสชาวเมืองเธสะโลนิกา กายอัสชาวเมืองเดอร์บี และทิโมธี ทีคิกัสกับโตรฟีมัสชาวมณฑลเอเชีย 5แต่คนเหล่านั้นได้เดินทางล่วงหน้าไปคอยพวกเราอยู่ที่เมืองโตรอัสก่อน
6ครั้นวันเทศกาลขนมปังไร้เชื้อล่วงไปแล้ว เราทั้งหลายจึงลงเรือออกจากเมืองฟีลิปปี และต่อมาห้าวันก็มาถึงพวกนั้นที่เมืองโตรอัส และยับยั้งอยู่ที่นั่นเจ็ดวัน 7ในวันต้นสัปดาห์เมื่อพวกสาวกประชุมกันทำพิธีมหาสนิท เปาโลก็กล่าวสั่งสอนเขา เพราะว่าวันรุ่งขึ้นจะลาไปจากเขาแล้ว ท่านได้กล่าวยืดยาวไปจนเที่ยงคืน 8มีตะเกียงหลายดวงในห้องชั้นบนที่เขาประชุมกันนั้น 9ชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อยุทิกัสนั่งอยู่ที่หน้าต่างง่วงนอนเต็มที และเมื่อเปาโลสั่งสอนช้านานไปอีก คนนั้นก็โงกพลัดตกจากหน้าต่างชั้นที่สาม เมื่อยกขึ้นก็เห็นว่าตายเสียแล้ว
10ฝ่ายเปาโลจึงลงไป ก้มตัวกอดผู้นั้นไว้ แล้วว่า “อย่าตกใจเลย ด้วยว่าชีวิตยังอยู่ในตัวเขา” 11ครั้นเปาโลขึ้นไปห้องชั้นบนทำพิธีมหาสนิทและรับประทานแล้ว ก็สนทนาต่อไปอีกช้านานจนสว่าง ท่านก็ลาเขาไป 12คนทั้งหลายจึงพาคนหนุ่มผู้ยังเป็นอยู่ไป และก็ปลื้มใจยินดีไม่น้อยเลย 13ฝ่ายพวกเราก็ลงเรือแล่นไปยังเมืองอัสโสสก่อน ตั้งใจว่าจะรับเปาโลที่นั่น ด้วยท่านสั่งไว้อย่างนั้น เพราะท่านหมายว่าจะไปทางบก 14ครั้นท่านพบกับเราที่เมืองอัสโสส เราก็รับท่าน แล้วมายังเมืองมิทิเลนี
15ครั้นแล่นเรือออกจากที่นั่นได้วันหนึ่งก็มายังที่ตรงข้ามเกาะคิโอส วันที่สองก็มาถึงเกาะสามอส และหยุดพักที่โตรกิเลียม และอีกวันหนึ่งก็มาถึงเมืองมิเลทัส 16ด้วยว่าเปาโลได้ตั้งใจว่า จะแล่นเลยเมืองเอเฟซัสไป เพื่อจะไม่ต้องค้างอยู่นานในมณฑลเอเชีย เพราะท่านรีบให้ถึงกรุงเยรูซาเล็ม ถ้าเป็นได้ให้ทันวันเทศกาลเพ็นเทคอสเต 17เปาโลจึงใช้คนจากเมืองมิเลทัสไปยังเมืองเอเฟซัส ให้เชิญพวกผู้อาวุโสในชุมชนของพระเจ้านั้นมา
18ครั้นเขาทั้งหลายมาถึงเปาโลแล้ว เปาโลจึงกล่าวแก่เขาว่า “ท่านทั้งหลายย่อมทราบอยู่เองว่า ข้าพเจ้าได้ประพฤติต่อท่านอย่างไรทุกเวลา ตั้งแต่วันแรกที่ข้าพเจ้าเข้ามาในมณฑลเอเชีย 19ข้าพเจ้าได้รับใช้พระเจ้าผู้เป็นนายด้วยความถ่อมใจ ด้วยน้ำตาไหลเป็นอันมาก และด้วยการถูกทดลอง ซึ่งมาถึงข้าพเจ้าเพราะพวกยิวคิดร้ายต่อข้าพเจ้า 20และสิ่งหนึ่งสิ่งใดซึ่งเป็นคุณประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้ปิดซ่อนไว้ แต่ได้ชี้แจงให้ท่านเห็นกับได้สั่งสอนท่านต่อหน้าคนทั้งปวง และตามบ้านเรือน 21ทั้งเป็นพยานแก่พวกยิวและพวกกรีก ถึงเรื่องการกลับใจใหม่เฉพาะพระเจ้า และความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา
22ดูเถิด บัดนี้พระวิญญาณพันผูกข้าพเจ้า จึงจำเป็นจะต้องไปยังกรุงเยรูซาเล็ม ไม่ทราบว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นกับข้าพเจ้าที่นั่นบ้าง 23เว้นไว้แต่พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์เป็นพยานในทุกบ้านทุกเมืองว่า เครื่องจองจำและความยากลำบากคอยท่าข้าพเจ้าอยู่ 24แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้ามิได้ถือว่าชีวิตของข้าพเจ้าเป็นสิ่งประเสริฐแก่ข้าพเจ้า แต่ในชีวิตของข้าพเจ้าขอทำหน้าที่ให้สำเร็จด้วยความปีติยินดี และทำการรับใช้ที่ได้รับมอบหมายจากพระเยซูพระเจ้าผู้เป็นนาย คือที่จะเป็นพยานถึงบารมีแห่งพระคุณของพระเจ้านั้น 25ดูเถิด ข้าพเจ้าเที่ยวป่าวประกาศอาณาจักรของพระเจ้าในหมู่พวกท่าน บัดนี้ ข้าพเจ้าทราบอยู่ว่าท่านทั้งหลายจะไม่เห็นหน้าข้าพเจ้าอีก 26เหตุฉะนั้น วันนี้ข้าพเจ้ายืนยันต่อท่านทั้งหลายว่า ทุกคนจะเป็นหรือตาย ข้าพเจ้าก็พ้นโทษแล้ว 27เพราะว่า ข้าพเจ้ามิได้ย่อท้อในการกล่าวเรื่องพระดำริของพระเจ้าทั้งสิ้น ให้ท่านทั้งหลายฟัง 28เพราะฉะนั้นท่านทั้งหลายจงระวังตัวให้ดี และจงรักษาฝูงแกะทั้งหมดที่พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้ตั้งท่านไว้ให้เป็นผู้ดูแล และเพื่อจะได้บำรุงเลี้ยงชุมชนของพระเจ้า ที่พระองค์ไถ่ด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง 29ข้าพเจ้ารู้อยู่ว่า เมื่อข้าพเจ้าไปแล้ว จะมีสุนัขป่าอันร้ายเข้ามาในหมู่พวกท่าน และจะไม่ละเว้นฝูงแกะไว้เลย 30จะมีบางคนในหมู่พวกท่านเองขึ้นกล่าวบิดเบือนความจริง เพื่อจะชักชวนพวกสาวกให้หลงตามเขาไป
31เหตุฉะนั้นจงตื่นตัวอยู่และจำไว้ว่า ข้าพเจ้าได้สั่งสอนเตือนสติท่านทุกคนด้วยน้ำตาไหล ทั้งกลางคืนและกลางวันตลอดสามปีมิได้หยุดหย่อน 32พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้าฝากท่านไว้กับพระเจ้า และพระคำของพระเจ้าแห่งพระคุณของพระองค์ ซึ่งมีฤทธิ์ก่อสร้างท่านขึ้นได้ และให้ท่านมีมรดกด้วยกันกับบรรดาผู้ที่ทรงแยกตั้งไว้ 33ข้าพเจ้าไม่ได้โลภเงินหรือทองหรือเสื้อผ้าของผู้ใด 34แล้วท่านทั้งหลายทราบว่า มือของข้าพเจ้าเองนี้ ได้จัดหาสิ่งที่จำเป็นสำหรับตัวข้าพเจ้ากับคนที่อยู่กับข้าพเจ้า 35ข้าพเจ้าได้วางแบบอย่างไว้ให้ท่านทุกอย่างแล้ว ให้เห็นว่าโดยทำงานเช่นนี้ควรจะช่วยคนที่มีกำลังน้อย และให้ระลึกถึงพระคำของพระเยซูพระเจ้าผู้เป็นนาย ซึ่งพระองค์กล่าวว่า ‘การให้เป็นเหตุให้มีความสุขยิ่งกว่าการรับ’”
36ครั้นเปาโลกล่าวอย่างนั้นแล้วจึงคุกเข่าลงอธิษฐานสวดอ้อนวอนกับคนเหล่านั้น 37เขาทั้งหลายจึงร้องไห้มากมาย และกอดคอของเปาโล จุ๊บท่านตามประเพณี 38เขาเป็นทุกข์มากที่สุดเพราะเหตุถ้อยคำที่ท่านกล่าวว่า เขาจะไม่เห็นหน้าท่านอีก แล้วเขาก็พาท่านไปส่งที่เรือ
1ต่อมาเมื่อพวกเราลาเขาเหล่านั้นแล้ว ก็แล่นเรือตรงไปยังเกาะโขส อีกวันหนึ่งก็มาถึงเกาะโรดส์ เมื่อออกจากที่นั่นก็มายังเมืองปาทารา 2เราพบเรือลำหนึ่งที่จะไปเมืองฟินิเซีย จึงลงเรือลำนั้นแล่นต่อไป 3ครั้นแลเห็นเกาะไซปรัสแล้ว เราก็ผ่านเกาะนั้นไปข้างขวา แล่นไปยังมณฑลซีเรีย จอดเรือที่ท่าเมืองไทระ เพราะจะเอาของบรรทุกขึ้นท่าที่นั่น 4เมื่อไปหาพวกสาวกพบแล้ว เราจึงพักอยู่ที่นั่นเจ็ดวัน สาวกได้เตือนเปาโลโดยพระวิญญาณ ไม่ให้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 5แต่เมื่อวันเหล่านั้นล่วงไปแล้วพวกเราก็ลาไป สาวกทั้งหลายกับทั้งภรรยา และบุตรธิดาได้ส่งพวกเราออกจากเมือง แล้วเราทั้งหลายก็ได้คุกเข่าลงอธิษฐานสวดอ้อนวอนที่ชายหาด 6และคำนับลาซึ่งกันและกัน พวกเราก็ลงเรือ และเขาก็กลับไปบ้านของเขา
7ครั้นพวกเราแล่นเรือมาจากเมืองไทระ ถึงเมืองทอเลเมอิสแล้ว ก็สิ้นทางทะเล เราจึงคำนับพวกพี่น้อง และพักอยู่กับเขาหนึ่งวัน 8ครั้นรุ่งขึ้นพวกเราที่เป็นเพื่อนเดินทางกับเปาโลก็ลาไป และมาถึงเมืองซีซารียา เราก็เข้าไปในบ้านของฟีลิป ผู้ประกาศบารมีของพระเจ้าซึ่งเป็นคนหนึ่งในจำพวกเจ็ดคนนั้น เราก็อาศัยอยู่กับท่าน 9ฟีลิปมีธิดาเป็นสาวพรหมจารีสี่คนซึ่งได้พยากรณ์
10ครั้นเราอยู่ที่นั่นหลายวันแล้ว มีผู้พยากรณ์คนหนึ่งลงมาจากแคว้นยูเดียชื่ออากาบัส 11เมื่อเขามาถึงเรา เขาก็เอาเครื่องคาดเอวของเปาโลผูกมือ และเท้าของตนกล่าวว่า “พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ตรัสดังนี้ว่า ‘พวกยิวในกรุงเยรูซาเล็มจะผูกมัดคนที่เป็นเจ้าของเครื่องคาดเอวนี้ และจะมอบเขาไว้ในมือของคนต่างชาติ’” 12ครั้นเราได้ยินดังนั้น เรากับคนทั้งหลายที่อยู่ที่นั่น จึงอ้อนวอนเปาโลไม่ให้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 13ฝ่ายเปาโลตอบว่า “เหตุไฉนท่านทั้งหลายจึงร้องไห้ และทำให้ข้าพเจ้าช้ำใจ ด้วยข้าพเจ้าเต็มใจพร้อมที่จะไปให้เขาผูกมัดไว้อย่างเดียวก็หามิได้ แต่เต็มใจพร้อมจะตายที่ในกรุงเยรูซาเล็มด้วย เพราะเห็นแก่พระนามของพระเยซูพระเจ้าผู้เป็นนาย 14เมื่อท่านไม่ยอมฟังตามคำชักชวน เราก็หยุดพูด และกล่าวว่า ‘ขอให้เป็นไปตามใจขององค์พระเจ้าผู้เป็นนายเถิด’” 15ภายหลังวันเหล่านั้นเราก็จัดแจงข้าวของ และขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 16สาวกบางคนที่มาจากเมืองซีซารียาก็ได้ไปกับเราด้วย เขานำเราไปหาคนหนึ่งชื่อมนาสันชาวเกาะไซปรัส เป็นสาวกเก่าแก่ ให้เราอาศัยอยู่กับคนนั้น
17เมื่อเรามาถึงกรุงเยรูซาเล็มแล้ว พวกพี่น้องก็รับรองเราไว้ด้วยความยินดี 18ครั้นรุ่งขึ้น เปาโลกับเราทั้งหลายจึงเข้าไปหายากอบ และพวกผู้อาวุโสก็อยู่พร้อมกันที่นั่น 19เมื่อเปาโลคำนับท่านเหล่านั้นแล้ว จึงได้กล่าวถึงเหตุการณ์ทั้งปวงตามลำดับ ซึ่งพระเจ้าโปรดทำในหมู่คนต่างชาติโดยการรับใช้ของท่าน 20ครั้นคนทั้งหลายได้ยินจึงยกย่องสรรเสริญพระเจ้าผู้เป็นนาย และกล่าวแก่เปาโลว่า “พี่เอ๋ย พี่เห็นว่ามีพวกยิวสักกี่พันคนที่เชื่อถือ และทุกคนยังมีใจกระตือรือร้นในการถือบัญญัติหรือศีล 21เขาทั้งหลายได้ยินถึงพี่ว่า พี่ได้สั่งสอนพวกยิวทั้งปวง ที่อยู่ในหมู่ชนต่างชาติให้ละทิ้งโมเสส และว่าไม่ต้องให้บุตรของตนเข้าสุหนัต หรือประพฤติตามธรรมเนียมเก่านั้น 22เรื่องนั้นเป็นอย่างไร คนเป็นอันมากจะต้องมาประชุมกัน เพราะเขาทั้งหลายจะได้ยินว่าพี่มาแล้ว”
23“เหตุฉะนั้นจงทำอย่างนี้ตามที่เราจะบอกแก่ท่าน คือว่าเรามีชายสี่คนที่ได้ปฏิญาณตัวไว้ 24ท่านจงพาคนเหล่านั้นไปชำระตัวด้วยกันกับเขาและเสียเงินแทนเขา เพื่อเขาจะได้โกนศีรษะ คนทั้งหลายจึงจะรู้ว่าความที่เขาได้ยินถึงพี่นั้นเป็นความเท็จ แต่พี่เองดำเนินชีวิตให้มีระเบียบ และรักษาบัญญัติหรือศีลอยู่ด้วย 25แต่ฝ่ายคนต่างชาติที่เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้านั้น เราได้เขียนจดหมายตัดสินไม่ให้เขาถือเช่นนั้น แต่ให้เขาทั้งหลายงดไม่รับประทานของซึ่งบูชาแก่รูปเคารพ ไม่รับประทานเลือด ไม่รับประทานเนื้อสัตว์ที่รัดคอตาย และไม่ล่วงประเวณี” 26เปาโลจึงพาสี่คนนั้นไป และวันรุ่งขึ้นได้ชำระตัวด้วยกันกับเขา แล้วจึงเข้าไปในพระวิหาร ประกาศวันที่การชำระนั้นจะสำเร็จ จนถึงวันที่จะนำเครื่องบูชามาถวายเพื่อคนเหล่านั้นทุกคน”
27“ครั้นเกือบจะสิ้นเจ็ดวันแล้ว พวกยิวที่มาจากแคว้นเอเชีย เมื่อเห็นเปาโลในพระวิหารจึงยุยงประชาชน แล้วจับเปาโล 28ร้องว่า “ชนชาติอิสราเอลเอ๋ย จงช่วยกันเถิด คนนี้เป็นผู้ที่ได้สอนคนทั้งปวงทุกตำบลให้เป็นศัตรูต่อชนชาติของเรา ต่อบัญญัติหรือศีล และต่อสถานที่นี้ และยิ่งกว่านั้นอีก เขาได้พาคนชาวกรีกเข้ามาในพระวิหารด้วย จึงทำให้ที่บริสุทธิ์นี้เป็นมลทิน” 29เพราะแต่ก่อน คนเหล่านั้นเห็นโตรฟีมัสชาวเมืองเอเฟซัสอยู่กับเปาโลในเมือง เขาจึงคาดว่าเปาโลได้พาคนนั้นเข้ามาในพระวิหาร 30แล้วคนทั้งเมืองก็ลุกฮือกันขึ้น คนทั้งหลายก็วิ่งเข้าไปรวมกัน และจับเปาโลลากออกจากพระวิหาร แล้วก็ปิดประตูเสียทันที 31เมื่อเขากำลังหาช่องจะฆ่าเปาโล ข่าวนั้นลือไปยังนายพันกองทัพว่า กรุงเยรูซาเล็มเกิดการวุ่นวายขึ้นทั้งเมือง
32ในทันใดนั้น นายพันจึงคุมพวกทหารกับพวกนายร้อยวิ่งลงไปยังคนทั้งปวง เมื่อเขาทั้งหลายเห็นนายพันกับพวกทหารมาจึงหยุดตีเปาโล 33นายพันจึงเข้าไปใกล้แล้วจับเปาโล สั่งให้เอาโซ่สองเส้นล่ามไว้ แล้วถามว่า เจ้าเป็นใครและได้ทำอะไรบ้าง 34บางคนในหมู่คนเหล่านั้นร้องว่าอย่างนี้ บางคนว่าอย่างนั้น เมื่อนายพันเอาความแน่นอนอะไรไม่ได้เพราะวุ่นวายมาก จึงสั่งให้พาเปาโลเข้าไปในกรมทหาร 35ครั้นมาถึงบันไดแล้ว พวกทหารจึงยกเปาโลขึ้น เพราะคนทั้งปวงกำลังคอยทำร้าย 36ด้วยคนทั้งปวงเหล่านั้นตามไปร้องว่า “จงเอาเขาไปฆ่าเสีย”
37เมื่อพวกทหารจะพาเปาโลเข้าไปในกรมทหาร เปาโลจึงกล่าวแก่นายพันว่า “ข้าพเจ้าจะพูดกับท่านสักหน่อยได้หรือ?” นายพันจึงถามว่า “เจ้าพูดภาษากรีกเป็นหรือ? 38เจ้าเป็นชาวอียิปต์ซึ่งได้ก่อการกบฏแต่ก่อน และพาพวกฆาตกรสี่พันคนเข้าไปในถิ่นทุรกันดารมิใช่หรือ?” 39แต่เปาโลตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนยิวซึ่งเกิดในเมืองทาร์ซัสมณฑลซีลีเซีย ไม่ใช่พลเมืองของเมืองย่อม ๆ ข้าพเจ้าขอท่านอนุญาตให้พูดกับคนทั้งปวงสักหน่อย” 40ครั้นนายพันอนุญาตแล้ว เปาโลจึงยืนอยู่ที่บันไดโบกมือให้คนทั้งปวง เมื่อคนทั้งปวงนิ่งเงียบลงแล้ว ท่านจึงกล่าวแก่เขาเป็นภาษาฮีบรูว่า
1“ท่านทั้งหลาย พี่น้องและบรรดาท่านผู้อาวุโส ขอฟังคำให้การซึ่งข้าพเจ้าจะแก้คดีให้ท่านฟัง ณ บัดนี้” 2ครั้นเขาทั้งหลายได้ยินท่านพูดภาษาฮีบรู เขาก็ยิ่งเงียบลงกว่าก่อน เปาโลจึงกล่าวว่า 3“ที่จริงข้าพเจ้าเป็นยิว เกิดในเมืองทาร์ซัสมณฑลซีลีเซีย แต่ได้เติบโตขึ้นในเมืองนี้ และได้เล่าเรียนกับท่านอาจารย์กามาลิเอล ตามบัญญัติหรือศีลของบรรพบุรุษของเราโดยถี่ถ้วนทุกประการ จึงมีใจกระตือรือร้นในการปรนนิบัติพระเจ้า เหมือนอย่างท่านทั้งหลายในทุกวันนี้ 4ข้าพเจ้าได้ข่มเหงคนทั้งหลายที่ถือในทางนี้จนถึงตาย และได้ผูกมัดเขาจำไว้ในคุกทั้งชายและหญิง 5ตามที่มหาปุโรหิตกับสมาชิกสภาศาสนาอาจเป็นพยานให้ข้าพเจ้าได้ เพราะข้าพเจ้าได้ถือหนังสือจากท่านผู้นั้นไปยังพวกพี่น้อง และได้เดินทางไปเมืองดามัสกัส เพื่อจับมัดคนทั้งหลายพามายังกรุงเยรูซาเล็มให้ทำโทษเสีย”
6“ต่อมาเมื่อข้าพเจ้ากำลังเดินทางไปใกล้จะถึงเมืองดามัสกัส ประมาณเวลาเที่ยง ในทันใดนั้นมีแสงสว่างกล้ามาจากฟ้าล้อมข้าพเจ้าไว้ 7ข้าพเจ้าจึงล้มลงที่ดิน และได้ยินเสียงพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม’ 8ข้าพเจ้าจึงตอบว่า ‘ท่านเจ้าข้า ท่านเป็นผู้ใด’ พระองค์จึงพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เราคือเยซูชาวนาซาเร็ธซึ่งเจ้าข่มเหงนั้น’ 9ฝ่ายคนทั้งหลายที่อยู่กับข้าพเจ้าได้เห็นแสงสว่างนั้น และตกใจกลัว แต่เสียงที่พูดกับข้าพเจ้านั้น เขาไม่ได้ยินหรอก 10ข้าพเจ้าจึงถามว่า ‘ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าจะต้องทำประการใด’ พระเจ้าผู้เป็นนายจึงพูดกับข้าพเจ้าว่า ‘เจ้าจงลุกขึ้นเข้าไปในเมืองดามัสกัส และที่นั่นเขาจะบอกเจ้าให้รู้ถึงการทุกสิ่งซึ่งได้กำหนดไว้ให้เจ้าทำนั้น’ 11เมื่อข้าพเจ้ามองไม่เห็นอะไรเนื่องจากพระรัศมีอันแรงกล้านั้น คนที่มาด้วยกันกับข้าพเจ้า ก็จูงมือพาข้าพเจ้าเข้าไปในเมืองดามัสกัส 12มีคนหนึ่งชื่ออานาเนีย เป็นคนที่เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าตามบัญญัติหรือศีล และมีชื่อเสียงดีท่ามกลางพวกยิวทั้งปวงที่อยู่ที่นั่น 13ได้มาหาข้าพเจ้า และยืนอยู่ใกล้ กล่าวแก่ข้าพเจ้าว่า ‘พี่เซาโลเอ๋ย จงเห็นได้อีกเถิด’ ข้าพเจ้าจึงเห็นท่านได้ในเวลานั้น 14ท่านจึงกล่าวว่า ‘พระเจ้าแห่งบรรพบุรุษของเราได้เลือกพี่ไว้ ประสงค์จะให้พี่รู้จักใจของพระองค์ ให้พี่เห็นพระองค์ผู้เป็นคนบุญ และให้ได้ยินเสียงของพระองค์ 15เพราะว่าพี่จะเป็นพยานฝ่ายพระองค์ให้คนทั้งปวงรู้ถึงเหตุการณ์ซึ่งพี่เห็น และได้ยินนั้น 16เดี๋ยวนี้พี่จะรอช้าอยู่ทำไม จงลุกขึ้นทำพิธีมุดน้ำ ด้วยออกพระนามของพระผู้เป็นเจ้านาย ลบล้างความผิดบาปของพี่เถิด’”
17“ต่อมาเมื่อข้าพเจ้ากลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม และกำลังอธิษฐานสวดอ้อนวอนอยู่ในพระวิหาร ข้าพเจ้าก็เคลิ้มไป 18และได้เห็นพระองค์พูดกับข้าพเจ้าว่า ‘จงรีบออกไปจากกรุงเยรูซาเล็มโดยเร็ว ด้วยว่าเขาจะไม่รับคำของเจ้าซึ่งอ้างพยานถึงเรา’ 19ข้าพเจ้าจึงบอกพระองค์ว่า ‘พระองค์เจ้าข้า คนเหล่านั้นรู้อยู่ว่า ข้าฯได้จับคนทั้งหลายที่เชื่อในพระองค์ไปใส่คุก และเฆี่ยนตีตามวัดหรือสุเหร่าทุกแห่ง 20และเมื่อเขาทำให้โลหิตของสเทเฟน พยานผู้ยอมตายเพื่อพระองค์ตกนั้น ข้าฯได้ยืนอยู่ใกล้ และเห็นชอบในการประหารเขาเสียนั้นด้วย และข้าฯเป็นคนเฝ้าเสื้อผ้าของคนที่ฆ่าสเทเฟนนั้น’ 21แล้วพระองค์พูดกับข้าพเจ้าว่า ‘จงไปเถิด เราจะใช้ให้เจ้าไปไกล ไปหาคนต่างชาติ’”
22เขาทั้งหลายได้ฟังเปาโลกล่าวแค่นี้ แล้วก็ร้องเสียงดังว่า “เอาคนเช่นนี้ไปจากแผ่นดินโลก ไม่ควรจะให้เขามีชีวิตอยู่” 23เมื่อเขาทั้งหลายกำลังโห่ร้อง และถอดเสื้อเอาผงคลีดินซัดขึ้นไปในอากาศ 24นายพันจึงสั่งให้พาเปาโลเข้าไปในกรมทหาร และสั่งให้ไต่สวนโดยการเฆี่ยน เพื่อจะได้รู้ว่าเขาร้องปรักปรำท่านด้วยเหตุประการใด 25ครั้นเอาเชือกหนังมัดเปาโล ท่านจึงถามนายร้อยซึ่งยืนอยู่ที่นั่นว่า “การที่จะเฆี่ยนคนสัญชาติโรมก่อนพิพากษาปรับโทษนั้นถูกต้องตามกฎหมายหรือ?” 26เมื่อนายร้อยได้ยินแล้วจึงไปบอกนายพันว่า “ท่านจะทำอะไร คนนั้นเป็นคนสัญชาติโรมนะขอรับ” 27ฝ่ายนายพันจึงไปหาเปาโลถามว่า “เจ้าเป็นคนสัญชาติโรมหรือ? จงบอกเราเถิด” เปาโลจึงตอบว่า “ใช่แล้วขอรับ” 28นายพันจึงตอบว่า “ซึ่งเราเป็นคนสัญชาติโรมได้นั้น เราต้องเสียเงินมากเลยนะ” เปาโลจึงตอบว่า “ข้าพเจ้าเป็นคนสัญชาติโรมโดยกำเนิดนะขอรับ” 29ขณะนั้นคนทั้งหลายที่จะไต่สวนเปาโลก็ได้จากท่านไปทันที และนายพันเมื่อทราบว่า เปาโลเป็นคนสัญชาติโรมก็ตกใจกลัวยิ่งนัก เพราะได้มัดท่านไว้
30ครั้นวันรุ่งขึ้นนายพันอยากรู้แน่ว่าพวกยิวได้กล่าวหาเปาโลด้วยเหตุใด จึงได้ถอดเครื่องจำเปาโล สั่งให้พวกมหาปุโรหิตกับบรรดาสมาชิกสภาศาสนาประชุมกัน แล้วพาเปาโลลงไปให้ยืนอยู่ต่อหน้าเขาทั้งหลาย
1ฝ่ายเปาโลจึงเพ่งดูพวกสมาชิกสภาศาสนาแล้วกล่าวว่า “ท่านพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าได้ประพฤติต่อหน้าพระเจ้าล้วนแต่ตามใจวินิจฉัยผิดชอบอันดีจนถึงทุกวันนี้” 2อานาเนียผู้เป็นมหาปุโรหิต จึงสั่งคนที่ยืนอยู่ใกล้ให้ตบปากเปาโล 3เปาโลจึงกล่าวแก่ท่านว่า “พระเจ้าจะตบเจ้า ผู้เป็นผนังที่ฉาบด้วยปูนขาว เจ้านั่งพิพากษาข้าฯตามบัญญัติ และยังสั่งให้เขาตบข้าฯ ซึ่งเป็นการผิดบัญญัติหรือ?” 4คนทั้งหลายที่ยืนอยู่ที่นั่นจึงถามว่า “เจ้าพูดหยาบคายต่อมหาปุโรหิตของพระเจ้าหรือ?” 5เปาโลจึงตอบว่าฯ “พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าท่านเป็นมหาปุโรหิต ด้วยมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘อย่าพูดหยาบช้าต่อผู้ปกครองชนชาติของเจ้าเลย’”
6ครั้นเปาโลเห็นว่า ผู้ที่อยู่ในประชุมสภาศาสนานั้นเป็นพวกสะดูสีส่วนหนึ่ง และพวกฟาริสีส่วนหนึ่ง ท่านจึงร้องขึ้นต่อหน้าที่ประชุมว่า “ท่านพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเป็นพวกฟาริสี และเป็นบุตรชายของพวกฟาริสี ที่ข้าพเจ้าถูกพิจารณาพิพากษานี้ก็เพราะเรื่องความหวังว่า จะมีการเป็นขึ้นมาจากความตาย” 7เมื่อท่านกล่าวอย่างนั้นแล้ว พวกฟาริสีกับพวกสะดูสีก็เกิดเถียงกันขึ้น และที่ประชุมก็แตกเป็นสองพวก 8ด้วยพวกสะดูสีถือว่า การที่เป็นขึ้นมาจากความตายนั้นไม่มี และทูตสวรรค์หรือวิญญาณก็ไม่มี แต่พวกฟาริสีถือว่ามีทั้งนั้น 9แล้วก็เกิดโกลาหลอื้ออึงขึ้น และพวกคัมภีราจารย์บางคนที่อยู่ฝ่ายพวกฟาริสีก็ลุกขึ้นเถียงว่า “เราไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิดอะไร แต่ถ้าวิญญาณก็ดี หรือทูตสวรรค์ก็ดีได้พูดกับเขา พวกเราอย่าต่อสู้กับพระเจ้าเลย”
10เมื่อการโต้เถียงกันรุนแรงขึ้น นายพันกลัวว่าเขาจะยื้อแย่งจับเปาโลฉีกเสีย ท่านจึงสั่งพวกทหารให้ลงไปรับเปาโลออกจากหมู่พวกนั้น พาเข้าไปไว้ในกรมทหาร 11ในเวลากลางคืนวันนั้นเอง องค์พระเจ้าผู้เป็นนายยืนอยู่กับเปาโลกล่าวว่า “เปาโลเอ๋ย เจ้าจงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเจ้าได้เป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็มฉันใด เจ้าจะต้องเป็นพยานในกรุงโรมด้วยฉันนั้น”
12ครั้นเวลารุ่งเช้าพวกยิวบางคนได้สมทบกันปฏิญาณตัวว่า เขาทั้งหลายจะไม่กิน จะไม่ดื่มอะไร จนกว่าจะได้ฆ่าเปาโลเสีย 13คนที่ร่วมกันปองร้ายนั้นมีมากกว่าสี่สิบคน 14คนเหล่านั้นจึงไปหาพวกมหาปุโรหิตกับพวกผู้อาวุโสกล่าวว่า “พวกข้าพเจ้าได้ปฏิญาณตัวอย่างแข็งแรงว่าจะไม่รับประทานอาหาร จนกว่าจะได้ฆ่าเปาโลเสีย 15ฉะนั้น บัดนี้ท่านทั้งหลายกับพวกสมาชิกสภาศาสนาจงพูดให้นายพันเข้าใจว่า พวกท่านต้องการให้พาเปาโลลงมาหาท่านทั้งหลายพรุ่งนี้ เพื่อจะได้ซักถามความให้ถ้วนถี่ยิ่งกว่าแต่ก่อน ฝ่ายพวกข้าพเจ้าจะได้เตรียมตัวไว้พร้อมที่จะฆ่าเปาโลเสีย เมื่อยังไม่ทันจะมาถึง”
16แต่บุตรชายของน้องสาวเปาโลได้ยินเรื่องซึ่งเขาคอยทำร้ายนั้น จึงเข้ามาในกรมทหารบอกแก่เปาโล 17เปาโลจึงเรียกนายร้อยคนหนึ่งมากล่าวว่า “ขอพาชายหนุ่มคนนี้ไปหานายพันด้วย เพราะเขามีเรื่องที่จะแจ้งให้ทราบ” 18เหตุฉะนั้นนายร้อยจึงรับตัวชายหนุ่มคนนั้นไปหานายพันกล่าวว่า “เปาโลผู้ถูกขังอยู่นั้นเรียกข้าพเจ้า ขอให้พาชายหนุ่มคนนี้มาหาท่าน เพราะเขามีเรื่องที่จะแจ้งให้ท่านทราบ” 19นายพันจึงจูงมือชายนั้นไปแต่ลำพัง แล้วถามว่า “เจ้าจะแจ้งความอะไรแก่เรา” 20เขาจึงตอบว่า “พวกยิวตกลงกันจะขอท่านให้พาเปาโลลงไปยังสภาศาสนาในวันพรุ่งนี้ ทำเสมือนว่าจะไต่สวนเรื่องเขาให้ถ้วนถี่ยิ่งกว่าแต่ก่อน 21แต่ท่านอย่าฟังเขา เพราะว่าในพวกเขานั้นมีกว่าสี่สิบคนคอยปองร้ายต่อเปาโล และได้ปฏิญาณตัวว่าจะไม่กินหรือดื่มอะไรจนกว่าจะได้ฆ่าเปาโลเสีย และเดี๋ยวนี้เขาพร้อมแล้ว กำลังคอยรับคำสัญญาจากท่าน” 22นายพันจึงให้ชายหนุ่มนั้นไป กำชับว่า “อย่าบอกผู้ใดให้รู้ว่า เจ้าได้แจ้งความเรื่องนี้แก่เรา”
23ฝ่ายนายพันจึงเรียกนายร้อยสองคนมาสั่งว่า “จงจัดพลทหารสองร้อยกับทหารม้าเจ็ดสิบคน และทหารหอกสองร้อย ให้พร้อมในเวลาสามทุ่มคืนวันนี้จะไปยังเมืองซีซารียา 24และจงจัดสัตว์ให้เปาโลขี่ จะได้ป้องกันส่งไปยังเฟลิกส์ผู้ว่าราชการเมือง”
25แล้วนายพันจึงเขียนจดหมายมีใจความดังต่อไปนี้ 26“เรียน เจ้าคุณเฟลิกส์ ท่านผู้ว่าราชการ ที่เคารพ 27พวกยิวได้จับคนนี้ไว้และเกือบจะฆ่าเขาเสียแล้ว แต่ข้าพเจ้าพาพวกทหารไปช่วยเขาไว้ได้ ด้วยข้าพเจ้าเข้าใจว่าเขาเป็นคนสัญชาติโรม 28ข้าพเจ้าอยากจะทราบเหตุที่พวกยิวฟ้องเขา ข้าพเจ้าจึงพาเขาไปยังสภาศาสนาของพวกยิว 29ข้าพเจ้าเห็นว่าเขาถูกฟ้องในเรื่องอันเกี่ยวกับกฎหมายของพวกยิว แต่ไม่มีข้อหาที่เขาควรจะตายหรือควรจะต้องจำไว้ 30เมื่อมีคนบอกข้าพเจ้าให้ทราบว่า พวกยิวมีการปองร้ายคนนี้ ข้าพเจ้าจึงส่งเขามาหาท่านทีเดียว แล้วได้สั่งให้พวกโจทก์ไปว่าความกับเขาต่อหน้าท่าน สวัสดี จาก คลาวดิอัส ลีเซียส”
31ดังนั้นในเวลากลางคืนพวกทหารจึงพาเปาโลไปถึงเมืองอันทิปาตรีส์ตามคำสั่ง 32ครั้นรุ่งเช้าเขาให้ทหารม้าไปส่งเปาโล แล้วเขาก็กลับไปยังกรมทหาร 33ครั้นทหารม้าไปถึงเมืองซีซารียาแล้ว จึงส่งจดหมายให้แก่ผู้ว่าราชการเมือง และได้มอบเปาโลไว้ให้ท่านด้วย 34เมื่อผู้ว่าราชการเมืองได้อ่านจดหมายแล้ว จึงถามว่า เปาโลมาจากมณฑลไหน? เมื่อท่านทราบว่ามาจากซีลีเซีย 35ท่านจึงกล่าวว่า “เมื่อพวกโจทก์มาพร้อมกันแล้ว เราจะฟังคำให้การของเจ้า” ท่านจึงสั่งให้คุมเปาโลไปไว้ที่ศาลปรีโทเรียมของเฮโรด
1ครั้นล่วงไปได้ห้าวัน อานาเนียมหาปุโรหิตจึงลงไปกับพวกผู้อาวุโส และทนายความคนหนึ่งชื่อเทอร์ทูลลัส เขาเหล่านี้ได้ฟ้องเปาโลต่อหน้าผู้ว่าราชการเมือง 2ครั้นเรียกเปาโลเข้ามาแล้ว เทอร์ทูลลัสจึงเริ่มฟ้องว่า “ท่านเจ้าคุณเฟลิกส์ขอรับ การที่พวกเราทั้งหลายมีความสงบสุข ก็เพราะท่านให้มีการปรับปรุงอันเป็นคุณประโยชน์แก่ชาตินี้ โดยการคุ้มครองของท่าน 3พวกเรายอมรับทุกประการ ทุกแห่งด้วยจิตกตัญญูเป็นอย่างยิ่ง 4แต่เพื่อไม่ให้ท่านเสียเวลามากไป พวกเราขอความกรุณาให้ท่านโปรดฟังพวกเราสักหน่อยหนึ่ง 5ด้วยพวกเราเห็นว่า ชายคนนี้เป็นคนพาล ยุยงพวกยิวทั้งหลายให้เกิดการวุ่นวายทั่วพิภพ และเป็นตัวการของพวกนาซาเร็ธนั้น 6กับอีกนัยหนึ่งเขาหมายจะทำให้พระวิหารเป็นมลทิน พวกเราจึงจับเขาไว้ และก็คงจะได้พิพากษาเขาตามกฎหมายของพวกเรา 7แต่นายพันลีเซียสได้มาใช้อำนาจแย่งตัวเขาไปเสียจากมือของเรา 8และสั่งให้โจทก์มาฟ้องเขาต่อหน้าท่าน ถ้าท่านเองจะไต่ถามเขา ท่านจะทราบได้ว่า ข้อกล่าวหาของพวกเราจริงหรือไม่?”
9ฝ่ายพวกยิวจึงสนับสนุนคำกล่าวหาด้วยยืนยันว่าเป็นจริงอย่างนั้น 10เมื่อผู้ว่าราชการเมืองทำสำคัญให้เปาโลพูด ท่านจึงเรียนว่า “เนื่องจากที่ข้าพเจ้าได้ทราบว่า ท่านเป็นผู้พิพากษาชนชาตินี้หลายปีมาแล้ว ข้าพเจ้าก็จะขอแก้คดีของข้าพเจ้าด้วยความเบาใจ 11ท่านคงจะสืบทราบได้ว่า ตั้งแต่ข้าพเจ้าขึ้นไปนมัสการในกรุงเยรูซาเล็มนั้น ยังไม่เกินสิบสองวัน 12เขาไม่ได้เห็นข้าพเจ้าเถียงกันกับผู้หนึ่งผู้ใด หรือยุยงประชาชนให้วุ่นวายเลย ไม่ว่าในพระวิหาร ในวัดหรือสุเหร่าหรือในเมือง 13เหตุการณ์ทั้งปวงที่เขากำลังฟ้องข้าพเจ้านี้ เขาพิสูจน์ไม่ได้ 14อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็ยอมรับว่าข้าพเจ้านมัสการพระเจ้าของบรรพบุรุษในฐานะสาวกของ ‘ทางนั้น’ ซึ่งพวกเขาถือว่าเป็นลัทธินอกรีต ข้าพเจ้าได้เชื่อถือคำซึ่งมีเขียนไว้ในบัญญัติหรือศีล และในคัมภีร์ของศาสดาพยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้าทั้งหมด 15ข้าพเจ้ามีความหวังในพระเจ้าตามซึ่งเขาเองก็มีความหวังด้วย คือหวังว่าคนทั้งปวงทั้งคนบุญ และคนบาปจะเป็นขึ้นมาจากความตาย 16ในข้อนี้ ข้าพเจ้าอุตส่าห์ประพฤติตามใจวินิจฉัยผิดชอบที่ปราศจากผิดต่อพระเจ้า และต่อมนุษย์ 17ครั้นล่วงมาหลายปีแล้ว ข้าพเจ้ามายังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อนำความช่วยเหลือผู้ยากไร้ มาให้พี่น้องร่วมชาติ และเพื่อถวายเครื่องบูชา 18คราวนั้นมีพวกยิวบางคนที่มาจากมณฑลเอเชียได้พบข้าพเจ้าในพระวิหาร เมื่อข้าพเจ้าชำระตัวแล้ว เขาไม่ได้พบข้าพเจ้าอยู่กับหมู่คนหรือทำวุ่นวาย 19ถ้าคนเหล่านั้นมีเรื่องอะไรที่จะฟ้องข้าพเจ้า เขาควรจะมาฟ้องต่อหน้าท่านที่นี่แล้ว 20หรือขอให้คนเหล่านี้เองกล่าวเรื่องความผิดที่เขาเห็น เมื่อข้าพเจ้ายืนอยู่ต่อหน้าสภาศาสนา 21เว้นไว้แต่ข้อเดียวซึ่งข้าพเจ้าได้ร้องขึ้นในท่ามกลางเขาว่า ‘วันนี้ข้าพเจ้าถูกพิจารณาพิพากษาต่อหน้าท่านทั้งหลาย เพราะเหตุเรื่องการเป็นขึ้นมาจากความตาย’”
22ฝ่ายเฟลิกส์ ซึ่งคุ้นเคยดีกับเรื่อง “ทางนั้น” จึงสั่งเลื่อนการพิจารณาคดีและกล่าวว่า “เราจะตัดสินคดีของเจ้า เมื่อนายพันลีเซียสมาถึง” 23เฟลิกส์สั่งนายร้อยให้คุมตัวเปาโลไว้ แต่ผ่อนผันให้มีอิสระบางประการและอนุญาตให้เพื่อนฝูงดูแลช่วยเหลือเขาในสิ่งที่จำเป็น
24หลังจากนั้นหลายวัน เฟลิกส์มาพร้อมกับดรูสิลลาภรรยาของเขาซึ่งเป็นชาวยิว เขาได้เรียกตัวเปาโลมาพบและฟังเปาโลพูดถึงความเชื่อในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 25ขณะเปาโลบรรยายถึงบาปบุญ การควบคุมตนเอง และการพิพากษาของพระเจ้าที่จะมาถึง เฟลิกส์ก็กลัว และกล่าวว่า “พอแค่นี้ก่อน เจ้าไปได้ ไว้มีโอกาสเราจะเรียกเจ้ามาอีก” 26ขณะเดียวกันเฟลิกส์ก็หวังว่าเปาโลจะให้สินบน จึงเรียกตัวท่านมาสนทนาบ่อย ๆ 27แต่เมื่อสองปีล่วงไปแล้ว ปอรสิอัสเฟสทัสมารับราชการแทนเฟลิกส์ เฟลิกส์อยากจะได้ความชอบจากพวกยิวจึงทิ้งเปาโลไว้ในคุก
1เมื่อเฟสทัสเข้ารับตำแหน่งราชการได้สามวันแล้ว จึงออกจากเมืองซีซารียาขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 2มหาปุโรหิตกับคนสำคัญ ๆ ในพวกยิวมาฟ้องเปาโลต่อท่าน และได้วิงวอนท่าน 3ขอให้กรุณาเขาโดยสั่งให้ส่งเปาโลมายังกรุงเยรูซาเล็ม ด้วยเขาคิดจะซุ่มคอยฆ่าท่านเสียกลางทาง 4ฝ่ายเฟสทัสจึงตอบว่า เปาโลนั้นควรจะถูกคุมไว้ในเมืองซีซารียา และอีกหน่อยหนึ่งท่านเองก็จะกลับไปยังเมืองนั้น 5ท่านจึงว่า “ถ้าเปาโลมีความผิดอย่างหนึ่งอย่างใด ให้ผู้ใดในพวกท่านที่สามารถลงไปด้วยกันกับเรายื่นฟ้องเอาเถิด”
6เมื่อท่านพักอยู่ที่นั่นเกินกว่าสิบวันแล้ว ก็ได้ลงไปยังเมืองซีซารียา ครั้นรุ่งขึ้นท่านจึงนั่งบัลลังก์พิพากษา และสั่งให้พาเปาโลเข้ามา 7ครั้นเปาโลเข้ามาแล้ว พวกยิวที่ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มก็ยืนล้อมไว้รอบ และกล่าวหาเปาโลว่ามีความผิดอุกฉกรรจ์หลายข้อ แต่พิสูจน์ไม่ได้ 8เปาโลจึงแก้คดีเองว่า “ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำอะไรผิดกฎหมายของพวกยิว หรือต่อพระวิหาร หรือต่อซีซาร์”
9ฝ่ายเฟสทัสอยากได้ความชอบจากพวกยิวจึงถามเปาโลว่า “เจ้าจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มให้เราชำระความเรื่องนี้ที่นั่นหรือ?” 10เปาโลตอบว่า “ข้าพเจ้าก็กำลังยืนอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของซีซาร์อยู่แล้ว ก็สมควรจะพิพากษาข้าพเจ้าเสียที่นี่ ตามที่ท่านทราบดีอยู่แล้วว่า ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำผิดต่อพวกยิว 11เพราะถ้าข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำผิด หรือได้กระทำอะไรที่ควรจะมีโทษถึงตาย ข้าพเจ้าก็ยอมตายไม่ขัดขืน แต่ถ้าเรื่องที่เขาฟ้องข้าพเจ้านั้นไม่จริงแล้ว ไม่มีผู้ใดมีอำนาจจะมอบข้าพเจ้าให้เขาได้ ข้าพเจ้าขออุทธรณ์ถึงซีซาร์” 12ฝ่ายเฟสทัสเมื่อพูดกับที่ปรึกษาแล้วจึงตอบว่า “เจ้าได้ขออุทธรณ์ถึงซีซาร์แล้วหรือ? เจ้าก็จะต้องไปเฝ้าซีซาร์”
13ครั้นล่วงไปหลายวัน กษัตริย์อากริปปากับพระนางเบอร์นิสก็เสด็จมาเยี่ยมคำนับเฟสทัสยังเมืองซีซารียา 14ขณะที่ท่านค้างอยู่ที่นั่นหลายวัน เฟสทัสก็เล่าเรื่องคดีของเปาโลให้กษัตริย์ฟังว่า “มีชายคนหนึ่งซึ่งเฟลิกส์ได้ขังทิ้งไว้ 15เมื่อข้าพเจ้าไปกรุงเยรูซาเล็ม พวกมหาปุโรหิตกับพวกผู้อาวุโสของพวกยิว มาฟ้องขอให้ข้าพเจ้าตัดสินลงโทษเขา 16ข้าพเจ้าจึงตอบพวกเขาว่า ไม่ใช่ธรรมเนียมของชาวโรมที่จะมอบตัวจำเลย ให้ตายก่อนที่โจทก์กับจำเลยมาพร้อมหน้ากัน และให้จำเลยมีโอกาสแก้คดีในข้อหานั้น 17ครั้นพวกเขามาถึงที่นี่แล้ว ข้าพเจ้าจึงไม่ได้รอช้า ในวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าได้นั่งบัลลังก์พิพากษา และสั่งให้พาจำเลยเข้ามา 18เมื่อพวกโจทก์ยืนขึ้น เขาไม่ได้กล่าวหาจำเลยเหมือนที่ข้าพเจ้าคาดไว้นั้น 19เป็นแต่เพียงปัญหาเถียงกันด้วยเรื่องลัทธิศาสนาของเขาเอง และด้วยเรื่องคนหนึ่งที่ชื่อเยซูซึ่งตายแล้ว แต่เปาโลยืนยันว่ายังเป็นอยู่ 20เมื่อข้าพเจ้ายังงงงวยอยู่ว่าจะพิจารณาปัญหานั้นอย่างไรดี จึงถามเปาโลว่า จะยอมขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มให้ชำระความนั้นที่นั่นหรือไม่? 21แต่เมื่อเปาโลได้อุทธรณ์ขอให้ขังไว้เพื่อให้ออกัสตัสตัดสิน ข้าพเจ้าจึงสั่งให้คุมขังเขาไว้จนกว่าจะส่งตัวไปถึงซีซาร์ได้” 22อากริปปาจึงกล่าวแก่เฟสทัสว่า “ข้าพเจ้าใคร่จะฟังคนนั้นด้วย” เฟสทัสจึงกล่าวว่า “พรุ่งนี้ท่านจะได้ฟังเขา”
23ครั้นวันรุ่งขึ้นอากริปปากับเบอร์นิสเสด็จมาพร้อมด้วยข้าราชบริพารเป็นที่สง่างามมาก จึงเข้าไปประทับในห้องพิจารณาพร้อมกับนายพัน และคนสำคัญ ๆ ทั้งหลายในเมืองนั้น แล้วเฟสทัสจึงสั่งให้พาเปาโลเข้ามา 24เฟสทัสจึงกล่าวว่า “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า และขอกราบเรียนท่านทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ ท่านทั้งหลายเห็นชายคนนี้ที่บรรดาพวกยิวได้วิงวอนข้าพเจ้าทั้งในกรุงเยรูซาเล็ม และที่นี่ด้วย ร้องว่าเขาไม่ควรจะมีชีวิตอยู่ต่อไป 25แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าเขาไม่ได้ทำผิดสิ่งใดที่ควรจะต้องตาย และเพราะเขาเองได้อุทธรณ์ถึงออกัสตัส ข้าพเจ้าตกลงใจว่าจะส่งเขาไป 26ข้าพเจ้าไม่มีรายงานอะไรแน่ชัดเรื่องคนนี้ ที่จะถวายเจ้านายของข้าพเจ้า เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงพาเขาออกมาต่อหน้าท่านทั้งหลาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อพระพักตร์ของพระองค์ ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้า หวังว่าเมื่อไต่สวนแล้ว ข้าพเจ้าจะมีเรื่องพอที่จะถวายรายงานไปได้บ้าง 27เพราะข้าพเจ้าเห็นว่า ที่จะส่งแต่จำเลยไป และไม่ได้ส่งข้อหาไปด้วย ก็เป็นการเหลวไหลไม่ได้เรื่อง”
1ฝ่ายกษัตริย์อากริปปาจึงตรัสกับเปาโลว่า “เราอนุญาตให้เจ้าให้การแก้ข้อหาเองได้” เปาโลจึงยื่นมือออกกล่าวแก้คดีว่า 2“ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า ข้าพระบาทถือว่าเป็นโอกาสดีที่ได้แก้คดีต่อพระพักตร์ของฝ่าพระบาทในวันนี้ ในเรื่องข้อคดีทั้งปวงซึ่งพวกยิวกล่าวหาข้าพระบาทนั้น 3โดยเฉพาะ เพราะฝ่าพระบาทมีความรู้ชำนาญยิ่งในบรรดาขนบธรรมเนียม และปัญหาต่าง ๆ ของพวกยิวอยู่แล้ว เหตุฉะนั้นขอฝ่าพระบาทได้โปรดทนฟังข้าพระบาท 4พวกยิวทั้งหลายก็รู้จักความเป็นอยู่ของข้าพระบาทตั้งแต่เป็นเด็กมาแล้ว คือตั้งแต่แรก ข้าพระบาทได้อยู่ท่ามกลางชนชาติของข้าพระบาทในกรุงเยรูซาเล็ม 5เขารู้จักข้าพระบาทแต่เดิมมา ถ้าเขาจะยอมเป็นพยานก็เป็นได้ว่าข้าพระบาทดำรงชีวิตตามพวกที่ถือเคร่งครัดที่สุด คือเป็นพวกฟาริสี”
6“บัดนี้ข้าพระบาทต้องมายืนให้พิจารณาพิพากษา ก็เนื่องด้วยเรื่องมีความหวังในพระสัญญา ซึ่งพระเจ้าได้ตรัสแก่บรรพบุรุษของพวกข้าพระบาทนั้น 7พวกข้าพระบาทสิบสองตระกูลได้อุตส่าห์ปรนนิบัติรับใช้พระเจ้าทั้งกลางวัน และกลางคืน ด้วยหวังว่าจะบรรลุถึงความสำเร็จตามพระสัญญานั้น ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า เพราะความหวังอันนี้ พวกยิวจึงฟ้องข้าพระบาท 8เหตุไฉนท่านทั้งหลายจึงพากันถือว่า การที่พระเจ้าจะให้คนตายเป็นขึ้นมาเป็นการที่เชื่อไม่ได้ 9ข้าพระบาทเคยคิดในใจของตนเองว่า สมควรจะทำหลายสิ่งซึ่งขัดขวางพระนามของพระเยซูชาวนาซาเร็ธนั้น 10สิ่งเหล่านั้นข้าพระบาทได้กระทำในกรุงเยรูซาเล็ม เมื่อข้าพระบาทรับอำนาจจากพวกมหาปุโรหิตแล้ว ข้าพระบาทได้ขังวิมุตติชนหลายคนไว้ในคุก และครั้นเขาถูกลงโทษถึงตาย ข้าพระบาทก็เห็นดีด้วย 11ข้าพระบาทได้ทำโทษเขาบ่อย ๆ ในวัดหรือสุเหร่าทุกแห่ง และบังคับเขาให้กล่าวคำหมิ่นประมาท และเพราะข้าพระบาทโกรธเขายิ่งนัก ข้าพระบาทได้ตามไปข่มเหงถึงเมืองในต่างประเทศ”
12“ดังนั้นเมื่อข้าพระบาทกำลังไปยังเมืองดามัสกัส ได้ถืออำนาจ และงานที่ได้รับมอบหมายจากพวกมหาปุโรหิต 13ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า ในเวลาเที่ยงวันเมื่อกำลังเดินทางไป ข้าพระบาทได้เห็นแสงสว่างกล้ายิ่งกว่าแสงอาทิตย์ ส่องลงมาจากท้องฟ้า ล้อมรอบข้าพระบาทกับคนทั้งหลายที่ไปกับข้าพระบาท 14ครั้นข้าพระบาทกับคนทั้งหลายล้มคะมำลงที่ดิน ข้าพระบาทได้ยินเสียงพูดกับข้าพระบาทเป็นภาษาฮีบรูว่า ‘เซาโล เซาโลเอ๋ย เจ้าข่มเหงเราทำไม ซึ่งเจ้าถีบประตักก็ยากนัก’ 15ข้าพระบาทถามว่า ‘ท่านเจ้าข้า ท่านเป็นผู้ใด’ ท่านผู้นั้นกล่าวว่า ‘เราคือเยซูซึ่งเจ้าข่มเหง 16แต่ว่าจงลุกขึ้นยืนเถิด ด้วยว่าเราได้ปรากฏแก่เจ้า เพื่อจะตั้งเจ้าไว้ให้เป็นผู้รับใช้ และเป็นพยานถึงเหตุการณ์ซึ่งเจ้าเห็น และถึงเหตุการณ์ที่เราจะแสดงตัวเราเองแก่เจ้าในเวลาภายหน้า 17เราจะช่วยเจ้าให้พ้นจากชนชาตินี้ และจากคนต่างชาติที่เราจะใช้เจ้าไปหานั้น 18เพื่อจะให้เจ้าเปิดตาของเขา เพื่อเขาจะกลับจากความมืดมาถึงความสว่าง และจากอำนาจของซาตานมาถึงพระเจ้า เพื่อเขาจะได้รับการยกโทษความผิดบาปของเขา และให้ได้รับมรดกด้วยกันกับคนทั้งหลาย ซึ่งถูกแยกตั้งไว้แล้วโดยความเชื่อพึ่งอาศัยในเรา’”
19“ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว ข้าพระบาทจึงเชื่อฟังนิมิตซึ่งมาจากสวรรค์นั้น 20แต่ข้าพระบาทได้กล่าวสั่งสอนเขา ตั้งต้นที่เมืองดามัสกัสและในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแว่นมณฑลยูเดีย และแก่ชาวต่างประเทศ ให้เขากลับใจหันจากความผิดบาป ให้หันมาหาพระเจ้าและกระทำการซึ่งสมกับที่กลับใจหันจากความผิดบาปแล้ว 21เพราะเหตุนี้พวกยิวจึงจับข้าพระบาทที่พระวิหาร และพยายามหาช่องที่จะฆ่าข้าพระบาทเสีย 22เป็นเพราะพระเจ้าได้โปรดช่วยข้าพระบาท ข้าพระบาทจึงมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ และเป็นพยานได้ต่อหน้าผู้อาวุโส ผู้อ่อนอาวุโส ข้าพระบาทไม่พูดเรื่องอื่นนอกจากเรื่องซึ่งบรรดาศาสดาพยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้ากับโมเสสได้กล่าวไว้ว่าจะมีขึ้น 23คือว่าพระผู้เป็นพระศรีอาริย์จะต้องทนทุกข์ทรมาน และพระองค์จะแสดงความสว่างแก่ชนอิสราเอล และแก่คนต่างชาติ โดยที่เป็นผู้แรกที่เป็นขึ้นจากความตาย”
24ครั้นเปาโลกำลังพูดแก้คดีอย่างนั้น เฟสทัสจึงร้องเสียงดังว่า “เปาโลเอ๋ย เจ้าคลั่งไปเสียแล้ว เจ้าเรียนรู้วิชามากจึงทำให้เจ้าคลั่งไป” 25แต่เปาโลกล่าวว่า “ท่านเจ้าเมืองขอรับ ผมไม่คลั่งเลย แต่ว่าได้พูดคำแห่งความจริง และคำที่คนปกติจะพูด 26ด้วยว่าฝ่าพระบาททรงทราบข้อความเหล่านี้ดีแล้ว ข้าพระบาทจึงกล้ากล่าวต่อพระพักตร์ของฝ่าพระบาท เพราะข้าพระบาทเชื่อแน่ว่า ไม่มีสักอย่างหนึ่งในบรรดาเหตุการณ์เหล่านั้นที่ได้พ้นพระเนตรของฝ่าพระบาท เพราะการเหล่านั้นมิได้กระทำกันในที่ลับลี้”
27“ขอเดชะพระอาญาไม่พ้นเกล้า ฝ่าพระบาทเชื่อพวกศาสดาพยากรณ์หรือไม่พะยะค่ะ ข้าพระบาททราบว่าฝ่าพระบาทเชื่อ” 28กษัติรย์อากริปปาจึงตรัสกับเปาโลว่า “เจ้าคิดว่าในเวลาสั้น ๆ เท่านี้เจ้าก็จะชักชวนให้เราเป็นเชื่อในพระเจ้าของเจ้าได้หรือ?” 29เปาโลจึงทูลว่า “จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า ข้าพระบาทมีความปรารถนายิ่งนักที่จะให้เป็นเหมือนอย่างข้าพระบาท มิใช่ฝ่าพระบาทฝ่ายเดียว แต่คนทั้งปวงที่ฟังข้าพระบาทวันนี้ด้วย เว้นเสียแต่เครื่องจองจำนี้” 30และเมื่อเปาโลกล่าวสิ่งเหล่านี้แล้ว กษัตริย์กับผู้ว่าราชการเมืองและพระนางเบอร์นิส และคนทั้งปวงที่นั่งอยู่ด้วยกันจึงลุกขึ้น 31ครั้นออกไปแล้วจึงพากันพูดว่า “คนนี้ไม่ได้ทำสิ่งใดที่สมควรจะถูกลงโทษถึงตายหรือจองจำไว้” 32ฝ่ายกษัตริย์อากริปปาจึงตรัสกับเฟสทัสว่า “ถ้าคนนี้ไม่ได้อุทธรณ์ถึงซีซาร์แล้วจะปล่อยเขาก็ได้”
1ครั้นตั้งใจว่าพวกเราจะต้องแล่นเรือไปยังประเทศอิตาลี เขาจึงมอบเปาโลกับนักโทษอื่นบางคนไว้กับนายร้อยคนหนึ่ง ชื่อยูเลียส เป็นนายทหารในกองของออกัสตัส 2เราทั้งหลายจึงลงเรือลำหนึ่งมาจากเมืองอัดรามิททิยุม ซึ่งจะออกไปยังตำบลที่อยู่ตามฝั่งมณฑลเอเชีย เรือก็ออกทะเล มีคนหนึ่งอยู่กับเราชื่ออาริสทารคัส ชาวมาซิโดเนีย ซึ่งมาจากเมืองเธสะโลนิกา 3วันรุ่งขึ้นเราได้แวะที่เมืองไซดอน ฝ่ายยูเลียสมีใจเมตตาปรานีแก่เปาโล ยอมให้เปาโลไปหามิตรสหายทั้งหลายเพื่อจะได้บรรเทาใจ
4ครั้นเรือออกจากที่นั่นแล้ว จึงแล่นไปทางด้านปลอดลมของเกาะไซปรัสเพราะทวนลม 5เมื่อแล่นข้ามทะเลที่อยู่ตรงมณฑลซีลีเซียกับมณฑลปัมฟีเลีย ก็มาถึงเมืองมิราที่อยู่ในมณฑลลีเซีย 6ที่เมืองนั้นนายร้อยได้พบเรือลำหนึ่ง มาจากเมืองอเล็กซานเดรียจะไปยังประเทศอิตาลี ท่านจึงให้พวกเราลงเรือลำนั้น 7เราแล่นไปช้า ๆ หลายวันและได้มาถึงเมืองคนีดัสโดยยาก เมื่อแล่นทวนลมต่อไปไม่ไหว เราจึงแล่นไปทางด้านปลอดลมของเกาะครีตตรงเมืองสัลโมเน 8เมื่อเรือแล่นเลียบฝั่งเกาะนั้นอย่างยากเย็น เราจึงมายังตำบลหนึ่งชื่อว่า ท่างาม เมืองลาเซียอยู่ใกล้ที่นั่น
9ครั้นเสียเวลาไปมากแล้วและการที่จะเดินเรือก็มีอันตราย เพราะเทศกาลถือศีลอดผ่านไปแล้ว เปาโลจึงเตือนสติเขาทั้งหลาย 10ว่า “ท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าเห็นว่าซึ่งเราจะแล่นไปคราวนี้จะมีอันตรายและเสียหายมาก ไม่ใช่แต่ของบรรทุกกับเรือกำปั่นเท่านั้นแต่ชีวิตของเราทั้งหลายด้วย“ 11แต่นายร้อยเชื่อกัปตันและเจ้าของกำปั่นมากกว่าเชื่อคำที่เปาโลกล่าวนั้น 12และเพราะว่าท่างามนั้นไม่เหมาะพอที่จะจอดในฤดูหนาว คนส่วนมากจึงตกลงให้ออกทะเลไปจากที่นั่น เพื่อถ้าเป็นได้จะได้ไปให้ถึงเมืองฟีนิกส์ แล้วจะจอดอยู่ที่นั่นตลอดฤดูหนาว เมืองฟีนิกส์นั้นเป็นท่าเรือแห่งเกาะครีต หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือกับเฉียงใต้ 13เมื่อลมทิศใต้พัดมาเบา ๆ เขาก็คิดว่าสมความปรารถนาแล้ว จึงถอนสมอแล่นเลียบฝั่งไปตามเกาะครีต 14แต่แล่นไปไม่ช้าเรือกำปั่นก็ถูกลมพายุกล้าที่เขาเรียกว่า ยุระกิโล
15ครั้นเรือกำปั่นถูกพายุและต้านลมไม่ไหว เราจึงปล่อยไปตามลม 16เมื่อแล่นไปทางด้านปลอดลมของเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งชื่อว่าคลาวดา เราจึงยกเรือเล็กขึ้นผูกไว้ได้แต่มีความลำบากมาก 17เมื่อยกเรือขึ้นแล้ว เราก็เอาเชือกผูกโอบรอบเรือกำปั่นไว้ และเพราะกลัวว่าจะเกยสันดอนทราย จึงลดใบลงแล้วก็ปล่อยให้ไปตามกระแสลม 18ครั้นรุ่งขึ้นเราก็ขนของบรรทุกทิ้งเสีย เพราะถูกพายุใหญ่ 19พอถึงวันที่สาม เราก็ทิ้งเครื่องใช้ในเรือกำปั่นออกเสียด้วยมือของเราเอง 20และเมื่อไม่เห็นดวงอาทิตย์หรือดวงดาวตั้งหลายวันแล้ว และยังถูกพายุใหญ่อยู่ ความหวังที่เราทั้งหลายจะรอดนั้นก็ล้มละลายไป
21ครั้นเขาได้อดอาหารมานานแล้ว เปาโลจึงยืนอยู่ในหมู่เขากล่าวว่า “ท่านทั้งหลาย ท่านควรได้ฟังข้าพเจ้า และไม่ควรออกจากเกาะครีตเลย จะได้พ้นจากอันตรายนี้ และไม่เสียสิ่งของ 22บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนท่านทั้งหลายให้ทำใจดี ๆ ไว้ ด้วยว่าในพวกท่านจะไม่มีผู้ใดเสียชีวิต จะเสียก็แต่เรือเท่านั้น 23เพราะว่า เมื่อคืนนี้เองทูตสวรรค์ของพระเจ้าผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าได้ปรนนิบัติรับใช้นั้นได้มายืนอยู่ใกล้ข้าพเจ้า 24ทูตนั้นกล่าวว่า ‘เปาโลเอ๋ย อย่ากลัวเลย เจ้าจะต้องเข้าเฝ้าซีซาร์ ส่วนคนทั้งปวงที่อยู่ในเรือกับท่านนั้น ดูเถิด พระเจ้าจะโปรดให้รอดตายเพราะเห็นแก่เจ้า’ 25เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงทำใจดี ๆ ไว้ เพราะข้าพเจ้าเชื่อพระเจ้าว่า การณ์จะเป็นไปเหมือนอย่างที่พระองค์ได้กล่าวแก่ข้าพเจ้านั้น 26แต่ว่าเราจะต้องเกยเกาะแห่งหนึ่ง” 27จนถึงคืนที่สิบสี่แล้ว เราก็ยังถูกซัดไปซัดมาอยู่ในทะเลอาเดรีย ประมาณเที่ยงคืนพวกกะลาสีก็สำคัญว่ามาใกล้แผ่นดินแล้ว
28ครั้นหยั่งน้ำดูก็วัดได้ลึกสี่สิบเมตร เมื่อไปอีกหน่อยหนึ่งก็หยั่งน้ำวัดอีกได้สามสิบเมตร 29เขาก็กลัวว่าจะโดนฝั่งที่มีหิน จึงทอดสมอท้ายสี่ตัว แล้วตั้งหน้าคอยเวลารุ่งเช้า 30เมื่อพวกกะลาสีหาช่องจะหนีจากกำปั่น และได้หย่อนเรือเล็กลงที่ทะเลแล้วทำทีว่าจะทอดสมอจากหัวเรือ 31เปาโลจึงกล่าวแก่นายร้อย และพวกทหารว่า “ถ้าคนเหล่านั้นไม่คงอยู่ในกำปั่น ท่านทั้งหลายจะรอดตายไม่ได้เลย” 32พวกทหารจึงตัดเชือกที่ผูกเรือเล็กให้เรือตกลงไป 33เมื่อจวนรุ่งเช้า เปาโลจึงวิงวอนคนทั้งปวงให้รับประทานอาหาร และกล่าวว่า “วันนี้เป็นวันที่สิบสี่ที่ท่านทั้งหลายต้องค้างอยู่ในเรือ และอดอาหารไม่ได้รับประทานอะไรเลย 34ฉะนั้นข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านทั้งหลายให้รับประทานอาหารเสียบ้าง เพื่อจะดำรงชีวิตอยู่ได้ เพราะเส้นผมของผู้หนึ่งผู้ใดในพวกท่านจะไม่เสียไปสักเส้นเดียว”
35ครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว ท่านจึงหยิบขนมปังขอบพระเดชพระคุณพระเจ้าต่อหน้าคนทั้งปวง เมื่อหักแล้วก็เริ่มรับประทาน 36คนทั้งปวงก็มีกำลังใจขึ้นจึงรับประทานอาหารด้วย 37เราทั้งหลายที่อยู่ในกำปั่นนั้นรวมสองร้อยเจ็ดสิบหกคน 38เมื่อรับประทานอาหารอิ่มแล้ว จึงขนข้าวสาลีในกำปั่นทิ้งเสียในทะเลเพื่อให้กำปั่นเบาขึ้น 39ครั้นสว่างแล้วเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นแผ่นดินอะไร แต่เขาเห็นอ่าวแห่งหนึ่งที่มีหาด จึงตกลงกันว่า ถ้าเป็นได้จะให้เรือเข้าเกยหาดนั้น 40เขาจึงตัดสายสมอทิ้งเสียในทะเล แล้วก็แก้เชือกที่มัดหางเสือ และชักใบหัวเรือขึ้นให้กินลมแล่นตรงเข้าไปหาฝั่ง
41ครั้นมาถึงตำบลหนึ่งที่ทะเลสองข้างบรรจบกัน กำปั่นก็เกยดิน หัวเรือติดแน่นออกไม่ได้ แต่ท้ายเรือนั้นก็แตกออกด้วยกำลังคลื่น 42พวกทหารคิดจะฆ่านักโทษทั้งหลายเสีย กลัวว่าจะมีผู้ใดว่ายน้ำหนีไปได้ 43แต่นายร้อยปรารถนาจะให้เปาโลรอดตาย จึงห้ามพวกทหารมิให้ทำตามความคิดนั้น แล้วสั่งคนทั้งหลายที่ว่ายน้ำเป็นให้กระโดดน้ำว่ายไปหาฝั่งก่อน 44ฝ่ายคนทั้งหลายที่เหลือนั้นก็เกาะกระดานไปบ้าง เกาะไม้กำปั่นที่หักไปบ้าง ดังนั้นเขาทั้งหลายก็ถึงฝั่งรอดตายหมดทุกคน
1ครั้นรอดพ้นภัยแล้ว พวกเขาจึงรู้ว่าเกาะนั้นชื่อมอลตา 2ฝ่ายชาวป่านั้นมีความกรุณาแก่พวกเราเป็นอันมาก เขาก่อไฟรับรองเราทุกคนเพราะฝนตกและหนาว 3เปาโลเก็บกิ่งไม้แห้งมัดหนึ่งมาใส่ไฟ มีงูพิษตัวหนึ่งออกมา เพราะถูกความร้อนกัดมือของเปาโลติดอยู่ 4เมื่อพวกชาวป่านั้นเห็นงูติดห้อยอยู่ที่มือของเปาโล จึงพูดกันว่า “คนนี้คงเป็นฆาตกรแน่นอน ถึงแม้ว่ารอดพ้นจากทะเลแล้ว เทพเจ้าก็ยังไม่ยอมให้รอดตายไปได้” 5แต่เปาโลได้สะบัดมือให้งูตกลงไปในไฟ และหาเป็นอันตรายประการใดไม่
6ฝ่ายเขาทั้งหลายคอยดูอยู่ คิดว่าท่านจะบวมขึ้นหรือจะล้มลงตายทันที แต่ครั้นเขาคอยดูอยู่ช้านานไม่ได้เห็นท่านเป็นอะไร เขาจึงกลับถือว่าท่านเป็นเทพเจ้า 7เจ้าแห่งเกาะนั้นชื่อปูบลิอัส มีไร่นาอยู่ใกล้ตำบลนั้น ท่านได้ต้อนรับเลี้ยงดูพวกเราไว้อย่างดีสามวัน 8ต่อมาบิดาของปูบลิอัสนั้นนอนป่วยอยู่ เป็นไข้และเป็นบิด เปาโลจึงเข้าไปหาท่าน อธิษฐานแล้วปรกมือบนท่านรักษาให้หาย 9ครั้นทำอย่างนั้นแล้ว คนอื่น ๆ ที่เกาะนั้นซึ่งมีโรคต่าง ๆ ก็มาหา และเขาก็หายด้วย 10เขาทั้งหลายจึงให้เกียรติพวกเราหลายประการ เมื่อเราจะแล่นเรือไปจากที่นั่น เขาจึงนำสิ่งของที่เราต้องการมาใส่เรือ
11ครั้นล่วงไปสามเดือน พวกเราจึงลงในเรือกำปั่นซึ่งมาจากเมืองอเล็กซานเดรีย และค้างอยู่ที่เกาะนั้นในฤดูหนาว กำปั่นลำนั้นมีรูปลูกแฝด ชื่อแคสเตอร์และพอลลักซ์ เป็นเครื่องหมาย 12พวกเราแวะที่เมืองไซราคิ้วส์ จอดอยู่ที่นั่นสามวัน 13เราออกจากที่นั่นอ้อมไปยังเมืองเรยีอูม ครั้นรุ่งขึ้นลมทิศใต้ก็พัดมา วันที่สองจึงมาถึงเมืองโปทิโอลี 14เราพบพวกพี่น้องที่นั่น และเขาเชิญเราให้หยุดพักอาศัยอยู่กับเขาเจ็ดวัน แล้วเราจึงไปถึงกรุงโรม
15ครั้นพวกพี่น้องในกรุงโรมได้ยินข่าวพวกเรา เขาจึงออกมาพบเราที่บ้านตลาดอัปปีอัส และที่บ้านสามร้าน เมื่อเปาโลเห็นเขาแล้ว จึงขอบพระเดชพระคุณพระเจ้า และมีกำลังใจดีขึ้น 16ครั้นพวกเรามาถึงกรุงโรม นายร้อยได้มอบพวกนักโทษให้กับผู้บัญชาการของค่ายนั้น แต่เขายอมให้เปาโลอยู่คนเดียวต่างหาก ให้ทหารคนหนึ่งคุมไว้
17ต่อมาครั้นล่วงไปสามวันแล้ว เปาโลจึงเชิญพวกผู้อาวุโสในพวกยิวมาประชุมกัน เมื่อมาพร้อมหน้ากันแล้วท่านจึงกล่าวแก่เขาว่า “ท่านพี่น้องทั้งหลาย ถึงแม้ว่าข้าพเจ้ามิได้กระทำผิดสิ่งหนึ่งสิ่งใดต่อชนชาติ หรือผิดธรรมเนียมของบรรพบุรุษ ข้าพเจ้ายังต้องถูกมอบเป็นนักโทษมาจากกรุงเยรูซาเล็ม เป็นนักโทษให้อยู่ในมือของพวกโรม 18ครั้นพวกนั้นได้ไต่สวนข้าพเจ้าแล้วก็ประสงค์จะปล่อยข้าพเจ้าเสีย เพราะไม่มีเหตุอะไรที่ข้าพเจ้าควรจะต้องตาย 19แต่ว่าเมื่อพวกยิวพูดคัดค้าน ข้าพเจ้าจึงจำต้องอุทธรณ์ถึงซีซาร์ แต่มิใช่ว่าข้าพเจ้ามีอะไรจะฟ้องชนร่วมชาติของข้าพเจ้า 20เหตุฉะนั้นเพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงเชิญท่านทั้งหลายมา เพื่อจะได้เห็นหน้าและพูดกับท่าน เพราะที่ข้าพเจ้าถูกล่ามโซ่นี้ก็เนื่องด้วยความหวังของชนชาติอิสราเอล”
21เขาทั้งหลายจึงตอบท่านว่า “พวกเราหาได้รับจดหมายจากแคว้นยูเดียกล่าวถึงท่าน หรือหามีพวกพี่น้องผู้หนึ่งผู้ใดมารายงานหรือกล่าวร้ายถึงท่านไม่ 22แต่ข้าพเจ้าทั้งหลายปรารถนาจะฟังท่านกล่าวว่าท่านคิดเห็นอย่างไร เพราะพวกข้าพเจ้าทราบว่า พวกที่ถือลัทธินี้ก็ถูกติเตียนทุกแห่ง” 23เมื่อเขานัดวันพบกับท่าน คนเป็นอันมากก็พากันมาหายังที่อาศัยของท่าน ท่านจึงกล่าวแก่เขาตั้งแต่เช้าจนเย็น เป็นพยานถึงอาณาจักรของพระเจ้า และชักชวนให้เขาเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซู โดยใช้ข้อความจากบัญญัติหรือศีลของโมเสส และจากคัมภีร์ศาสดาพยากรณ์ 24คำที่ท่านกล่าวนั้นบางคนก็เชื่อ บางคนก็ไม่เชื่อ 25และเมื่อเขาไม่เห็นพ้องกันจึงลาไป เมื่อเปาโลได้กล่าวข้อความแถมว่า “พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พูดกับบรรพบุรุษของเราทั้งหลาย โดยอิสยาห์ศาสดาพยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้าถูกต้องดีแล้ว 26ว่า ‘จงไปหาชนชาตินี้และกล่าวว่า พวกเจ้าจะได้ยินก็จริง แต่จะไม่เข้าใจ จะดูก็จริง แต่จะไม่สังเกต 27เพราะว่าจิตใจของชนชาตินี้ก็เฉื่อยชา หูก็ตึง และตาเขาเขาก็ปิด เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตาของเขา และได้ยินด้วยหูของเขา และเข้าใจด้วยจิตใจของเขา และจะหันกลับมา และเราจะรักษาเขาให้หาย’”
28“เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงรู้ว่า ความหลุดพ้นของพระเจ้าได้ไปถึงคนต่างชาติแล้ว และเขาจะฟังด้วย” 29เมื่อเปาโลได้กล่าวคำเหล่านี้เสร็จแล้ว พวกยิวก็ได้จากไป และได้เถียงกันเป็นการใหญ่ 30เปาโลจึงได้อาศัยอยู่ครบสองปีในบ้านที่ท่านเช่า และได้ต้อนรับคนทั้งปวงที่มาหาท่าน 31ทั้งประกาศอาณาจักรของพระเจ้า และสั่งสอนเรื่องพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายโดยใจกล้า ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดขัดขวางได้เลย
1จดหมายนี้เขียนโดยเปาโล ผู้เป็นทาสรับใช้ของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เป็นผู้ที่พระองค์เรียกมาให้เป็นอัครทูต และได้ตั้งไว้ให้เป็นผู้เผยแพร่บารมีของพระเจ้า 2คือบารมีที่พระเจ้าได้สัญญาไว้ล่วงหน้าโดยศาสดาพยากรณ์พระองค์ ในพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ 3บารมีนั้นเกี่ยวข้องกับพระโอรสของพระองค์ ผู้มาเกิดเป็นมนุษย์ สืบเชื้อสายมาจากกษัตริย์ดาวิด 4และการเป็นพระพระโอรสของพระเจ้านั้น เป็นโดยฤทธิ์เดชของพระเจ้าในพระวิญญาณของพระองค์ โดยการเป็นขึ้นมาจากความตาย คือพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้เป็นเจ้านายของเรา 5โดยทางพระองค์นั้น พวกข้าพเจ้าได้รับพระคุณและหน้าที่เป็นอัครทูต เพื่อเห็นแก่พระนามของเพระองค์ ให้ไปเผยแพร่บารมีของพระเจ้าแก่ชนชาติต่าง ๆ ให้เขาเชื่อฟังในความเชื่อ 6รวมทั้งพวกท่านที่พระเจ้าเรียกมาให้เป็นคนของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ด้วย
7ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงได้เขียนถึงพวกท่าน ผู้ที่พระเจ้าเมตตาที่อยู่ในกรุงโรม และเรียกให้มาเป็นวิมุตติชน ขอพระคุณ สันติภาพและสันติสุขที่มาจากพระเจ้าผู้เป็นพระบิดาของเราทั้งหลาย และจากพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ จงอยู่กับพวกท่านทั้งหลายเถิด
8ก่อนอื่นใด ข้าพเจ้าขอขอบคุณพระเจ้า สำหรับพวกท่านทั้งหลาย โดยทางพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เพราะว่าความเชื่อของพวกท่านเลื่องลือไปทั่วโลก 9เพราะว่า พระเจ้าผู้ที่ข้าพเจ้าได้รับใช้ด้วยชีวิตจิตใจ ในการเผยแพร่บารมีเรื่องพระโอรสของพระองค์นั้น เป็นพยานให้ข้าพเจ้าได้ว่า เมื่อข้าพเจ้าอธิษฐาน สวดอ้อนวอนนั้น ข้าพเจ้าระลึกถึงพวกท่านทั้งหลายเสมอ 10ข้าพเจ้าอ้อนวอนว่า ถ้าเป็นความประสงค์ของพระองค์แล้ว ขอให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปเยี่ยมพวกท่าน 11เพราะว่า ข้าพเจ้าอยากจะเห็นพวกท่านทั้งหลาย เพื่อจะได้ส่งเสริมจิตใจของพวกท่าน และทำให้พวกท่านมีกำลังใจเข้มแข็งขึ้น 12ข้าพเจ้าหมายความว่า เมื่อทำเช่นนั้นก็จะช่วยให้พวกเราทั้งสองฝ่ายได้รับกำลังใจขึ้น โดยความเชื่อของเราทั้งสองฝ่าย 13พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้พวกท่านรู้ว่า ข้าพเจ้าได้ตั้งใจไว้หลายครั้งแล้วว่าจะมาหาพวกท่าน เพื่อข้าพเจ้าจะได้เก็บเกี่ยวผลในหมู่พวกท่านด้วย เหมือนกับเก็บเกี่ยวในหมู่ชนชาติอื่น ๆ (แต่จนบัดนี้ก็ยังมีเหตุขัดข้องอยู่) 14ข้าพเจ้าเป็นหนี้ทั้งพวกกรีกและชาติอื่น ๆ ด้วย เป็นหนี้ทั้งพวกที่มีการศึกษาและไม่มีการศึกษาด้วย 15ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงพร้อมเสมอที่จะเผยแพร่บารมีของพระเจ้าแก่พวกท่านที่อยู่ในกรุงโรมด้วย
16เพราะว่า ข้าพเจ้าไม่มีความละอาย ในเรื่องบารมีของพระเจ้า เพราะว่าบารมีนั้นเป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพื่อให้ทุกคนที่เชื่อพึ่งอาศัยในบารมีนั้น ได้รับความหลุดพ้น พวกยิวก่อน แล้วพวกต่างชาติด้วย 17เพราะว่า ในบารมีของพระเจ้านั้น พระองค์ได้ทำให้คนบาปเป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง โดยการที่เขาเชื่อเพิ่งอาศัยในพระองค์ ตั้งแต่ต้นจนจบ ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘คนที่พระเจ้ายอมรับ จะมีชีวิตอยู่โดยการเชื่อเพิ่งอาศัยในพระองค์’
18เพราะว่า พระเจ้าได้เปิดเผยพระพิโรธของพระองค์จากสวรรค์ ต่อคนบาปที่อยู่ใต้อำนาจของกิเลส ตัณหาทั้งหลาย ที่ไม่ยอมรับความจริง และยังขัดขวางผู้อื่นไม่ให้รู้ความจริง โดยวิธีการอันชั่วร้ายของเขา 19เพราะว่าการที่จะรู้จักพระเจ้าได้นั้น ก็แจ้งอยู่ในใจคนทั้งหลายแล้ว เพราะว่าพระองค์ได้เปิดเผยแก่เขาแล้ว 20คือตั้งแต่เริ่มสร้างโลกมาแล้ว ธรรมชาติของพระเจ้าที่ไม่ปรากฏแก่ตา และสภาพที่เป็นพระเจ้าของพระองค์ อันได้แก่ฤทธานุภาพอันยั่งยืน ก็ได้ปรากฏชัดในสรรพสิ่งที่พระองค์ได้สร้างขึ้น ฉะนั้นคนทั้งหลายจึงไม่มีข้อแก้ตัวใด ๆ เลย 21แต่ว่า ถึงแม้ว่าคนทั้งหลายได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็ไม่ได้ให้เกียรติแก่พระองค์สมกับที่เป็นพระเจ้า และไม่ได้ขอบพระคุณพระองค์เลย แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมนไป 22เขาอ้างว่าเป็นคนมีปัญญา เขาจึงกลายเป็นคนโง่ 23และเขาได้เอาสง่าราศีของพระเจ้าผู้ไม่ตาย มาแลกกับรูปมนุษย์ที่ต้องตาย หรือรูปนก รูปสัตว์สี่เท้า และรูปสัตว์เลื้อยคลาน
24ฉะนั้น พระเจ้าจึงได้ปล่อยเขาให้ประพฤติตาม กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชาในใจของเขา และให้เขาทำสิ่งที่น่าอายทางกายต่อกัน 25เพราะว่า เขาได้เอาความจริงเรื่องพระเจ้า มาแลกกับความเท็จ และได้กราบไหว้บูชาสิ่งที่พระเจ้าได้สร้างไว้นั้น แทนที่จะกราบไหว้บูชาพระองค์ผู้ทรงสร้าง ผู้ที่ควรจะได้รับการยกย่องตลอดไป สาธุ
26เพราะเหตุนี้ พระเจ้าจึงปล่อยให้เขามีกิเลส ตัณหา อันน่าอัปยศ พวกผู้หญิงก็เปลี่ยนการสัมพันธ์ทางเพศตามธรรมชาติ ให้ผิดธรรมชาติไป 27ฝ่ายพวกผู้ชายก็เลิกสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิง ให้ถูกต้องตามธรรมชาติเช่นกัน และเขาเร่าร้อนไปด้วยไฟแห่งกิเลส ตัณหาที่มีต่อกัน ผู้ชายกับผู้ชายประกอบกิจอันชั่วช้าอย่างน่าละอาย เขาจึงได้รับกรรมอันสมควรแก่ความผิดของเขา
28และเพราะเขาไม่เห็นสมควรที่จะรู้จักพระเจ้า พระองค์จึงปล่อยให้เขามีใจชั่ว และกระทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม 29พวกเขาเต็มไปด้วยความชั่วช้านานัปการ ได้แก่ ความชั่วร้าย ความโลภ ความอาฆาตมาดร้าย ความอิจฉาริษยา การฆ่าฟันรันแทง การทะเลาะวิวาท การล่อลวง การคิดร้าย การพูดนินทา 30การส่อเสียด เกลียดชังพระเจ้า เย่อหยิ่งจองหอง อวดตัว คิดทำความชั่วแปลก ๆ ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ 31โง่เง่าเต่าตุ่น ไม่มีความสัตย์ซื่อ ไม่มีความจริงใจ ไม่มีความเมตตากรุณา 32แม้ว่าเขาจะรู้จักพระบัญญัติของพระเจ้า ที่สอนว่าคนทั้งหลายที่ทำเช่นนั้นสมควรตาย เขาก็ไม่เพียงประพฤติเท่านั้น แต่เขาก็ยังเห็นดีเห็นงามกับคนอื่นที่ประพฤติเช่นนั้นด้วย
1เหตุฉะนั้น มนุษย์เอ๋ย ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร เมื่อท่านติเตียนผู้อื่นนั้น ท่านไม่มีข้อแก้ตัวเลย เพราะว่าเมื่อท่านติเตียนผู้อื่น ท่านก็ได้ติเตียนตัวเองด้วย เพราะว่าท่านที่ติเตียนเขา ก็ยังประพฤติอย่างเดียวกับเขา 2พวกเรารู้ว่า การที่พระเจ้าจะพิพากษาลงโทษคนที่ประพฤติเช่นนั้นก็เหมาะสมแล้ว 3โอ มนุษย์เอ๋ย ท่านติเตียนคนที่ประพฤติเช่นนั้น แต่ท่านเองก็ยังประพฤติเหมือนกันกับเขา ท่านคิดหรือว่าท่านจะพ้นจากการพิพากษาลงโทษของพระเจ้าได้ 4หรือว่าท่านหมิ่นประมาทความใจดี ความอดกลั้น และความอดทนอันมากล้นของพระองค์ ท่านไม่รู้หรือว่าความใจดีของพระเจ้านั้น มุ่งที่จะชักจูงท่านให้กลับหลังหันจากความบาปที่อยู่ใต้อำนาจ กิเลส ตัณหา 5แต่เพราะท่านใจแข็งกระด้างไม่ยอมกลับหลังหันจากความบาป พวกท่านจึงได้สะสมโทษให้กับตัวเอง ในวันที่พระเจ้าลงโทษ พระองค์จะสำแดงการพิพากษาลงโทษที่เที่ยงธรรมให้ปรากฏ
6เพราะว่าพระเจ้าจะให้รางวัลแก่ทุกคนตามการประพฤติของเขา 7สำหรับคนที่สู้ทนทำความดี แสวงหาศักดิ์ศรี เกียรติ และความยั่งยืนนั้น พระเจ้าจะมอบชีวิตให้เขาได้เข้าสู่นิพพาน 8แต่พระองค์จะสำแดงพระพิโรธ และลงโทษแก่คนที่ยกตนข่มท่าน และไม่ประพฤติตามความจริง แต่ประพฤติชั่ว 9ความทุกข์เวทนาจะเกิดกับทุกคนที่ประพฤติชั่ว เกิดกับพวกยิวก่อน จากนั้นก็จะเกิดกับพวกกรีกด้วย 10แต่ศักดิ์ศรี เกียรติ สันติภาพและสันติสุข จะเกิดกับทุกคนที่ทำความดี เกิดกับพวกยิวก่อน จากนั้นก็จะเกิดกับพวกกรีกด้วย 11เพราะว่าพระเจ้าไม่เห็นแก่หน้าผู้ใดเลย
12คนทั้งหลายที่ไม่มีศีลของโมเสส และทำบาป จะต้องได้รับโทษโดยไม่ต้องอ้างศีลนั้น และคนทั้งหลายที่มีศีลและทำบาป ก็จะต้องได้รับโทษตามที่ปรากฏตามศีลนั้น 13เพราะว่าคนที่เพียงแต่ฟังศีลเท่านั้น ไม่ใช่คนบุญในสายตาของพระเจ้า คนที่ทำตามศีลต่างหากที่พระเจ้าถือว่าเป็นคนบุญ 14เมื่อคนต่างชาติที่ไม่มีศีลของโมเสส แต่ได้ประพฤติตามศีลนั้นโดยอัตโนมัติ คนเหล่านั้นแม้ว่าไม่มีศีล ตัวเขาเองก็เป็นศีลให้กับตัวเอง แม้ว่าเขาจะไม่มีศีลที่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ตาม 15เขาได้แสดงให้เห็นว่าหลักการประพฤติตามศีลนั้น มีเขียนไว้ในจิตใจของเขาแล้ว และจิตสำนึกผิดชอบชั่วดีของเขา ก็เป็นพยานให้เขาด้วย ความคิดขัดแย้งต่าง ๆ ในใจของเขานั้นแหละจะติเตียนเขา หรืออาจจะแก้ตัวให้เขา 16ในวันที่พระเจ้าพิพากษาความลับของมนุษย์โดยพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ทั้งนี้เป็นไปตามบารมีของพระเจ้าที่ข้าพเจ้าได้เผยแพร่ไปแล้วนั้น
17แต่ถ้าท่านที่เรียกตัวเองว่าเป็นยิว และพึ่งศีลของโมเสส และยกพระเจ้าขึ้นอวด 18และท่านรู้จักใจของพระเจ้า และรู้จักว่าอะไรดีอะไรไม่ดี เพราะว่าพวกท่านได้เรียนรู้จากศีลของโมเสสนั้น 19และถ้าท่านมั่นใจว่า เป็นผู้จูงคนตาบอด เป็นความสว่างให้แก่คนทั้งหลายที่อยู่ในความมืด 20เป็นผู้สอนคนโง่ เป็นครูสอนเด็ก เพราะท่านมีแบบอย่างของความรู้และความจริงในศีลนั้น 21ฉะนั้น ท่านที่เป็นผู้สอนคนอื่นจะไม่สอนตัวเองหรือ เมื่อท่านสั่งสอนว่าไม่ควรลักทรัพย์ ท่านเองลักหรือเปล่า 22ท่านสอนว่าไม่ควรล่วงประเวณี ท่านเองล่วงหรือเปล่า ท่านรังเกียจรูปเคารพ ท่านโกงพระเจ้าโดยไม่ได้ถวายทรัพย์ให้พระวิหารหรือไม่ 23ท่านโอ้อวดศีลของโมเสส ท่านเองยังดูหมิ่นพระเจ้าด้วยการประพฤติผิดศีลนั้นหรือเปล่า 24เพราะพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “คนต่างชาติดูหมิ่นต่อพระนามของพระเจ้าก็เพราะท่านทั้งหลายนั่นแหละ”
25ถ้าท่านประพฤติตามศีลของโมเสส พิธีสุหนัตก็มีประโยชน์จริง แต่ถ้าท่านฝ่าฝืนศีลนั้น การที่ท่านเข้าสุหนัตนั้นก็เหมือนกับว่าไม่ได้เข้าเลย 26เหตุฉะนั้น ถ้าคนที่ไม่ได้เข้าสุหนัต แต่ยังประพฤติตามศีลแล้ว การที่เขาไม่ได้เข้าสุหนัตนั้น จะถือว่าเขาได้เข้าสุหนัตแล้วมิใช่หรือ 27และคนทั้งหลายที่ไม่เข้าสุหนัต แต่ประพฤติตามศีลของโมเสส เขาจะตำหนิติเตียนท่านผู้มีหนังสือที่ว่าด้วยเรื่องศีล และได้เข้าสุหนัตแล้ว แต่ยังฝ่าฝืนศีลนั้น
28เพราะว่าคนยิวแท้ ไม่ใช่คนที่เป็นยิวแต่เพียงภายนอกเท่านั้น และการเข้าสุหนัตแท้ก็ไม่ใช่การเข้าสุหนัตที่เนื้อหนังเท่านั้น 29คนที่เป็นยิวแท้ คือคนที่เป็นยิวภายใน และการเข้าสุหนัตแท้นั้นเป็นเรื่องของจิตใจ ตามพระวิญญาณของพระเจ้า ไม่ใช่ตามตัวอักษรของหนังสือที่ว่าด้วยศีล คนเช่นนั้นพระเจ้ายกย่อง มนุษย์ไม่ยกย่อง
1ถ้าเช่นนั้น พวกยิวจะได้เปรียบคนอื่นอย่างไร และการเข้าสุหนัตนั้นจะมีประโยชน์อะไร 2คำตอบก็คือ มีประโยชน์ในทุกสถาน เป็นต้นว่าพวกยิวได้เป็นผู้รับมอบให้รักษาคำสัญญาของพระเจ้า 3แม้ว่าจะมีพวกยิวบางคนไม่สัตย์ซื่อ แต่ความไม่สัตย์ซื่อของเขานั้น จะทำให้พระเจ้าไม่สัตย์ซื่อต่อเขาหรือ? 4เป็นไปไม่ได้ แม้ว่าทุกคนไม่สัตย์ซื่อ แต่พระเจ้าก็ยังสัตย์ซื่ออยู่เสมอ ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “เพื่อพระเจ้าตะได้ปรากฏว่าพระองค์เป็นผู้สัตย์ซื่อในถ้อยคำของพระองค์ และพระองค์จะมีชัยชนะเมื่อเขาพิพากษาพระองค์” 5แต่ถ้าสมมติว่าความชั่วของเรา ทำให้เห็นความดี ความยุติธรรมของพระเจ้า เราจะว่าอย่างไร? จะว่าพระเจ้าลงโทษโดยไม่ยุติธรรมอย่างนั้นหรือ? (ข้าพเจ้าพูดอย่างมนุษย์) 6ไม่เป็นเช่นนั้นเลย ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าจะพิพากษาโลกได้อย่างไร? 7แต่ถ้าหากว่า ความไม่สัตย์ซื่อของข้าพเจ้าเป็นสิ่งที่ส่งเสริมความสัตย์ซื่อของพระเจ้า และเป็นเหตุให้พระองค์ได้รับเกียรติมากขึ้น แล้วทำไมข้าพเจ้าจึงถูกประณามว่าเป็นคนบาป? 8ถ้าเช่นนั้น ทำไมข้าพเจ้าจึงไม่ทำความชั่ว เพื่อความดีจะเกิดขึ้นจากความชั่วนั้น? ตามที่มีบางคนนินทาหาว่า พวกเราได้กล่าวเช่นนั้น การลงโทษคนเช่นนั้นก็เป็นการยุติธรรมแล้ว
9ถ้าเช่นนั้นจะเป็นอย่างไร พวกเราที่เป็นคนยิว จะได้เปรียบกว่าคนชาติอื่นหรือ? ไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน เพราะว่าข้าพเจ้าได้ชี้แจงให้เห็นแล้วว่า มนุษย์ทุกคนทั้งคนยิว และคนกรีกต่างก็ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส ตัณหาอันเป็นบ่อเกิดของบาป 10ตามที่พระคัมภีร์ได้เขียนไว้ว่า “ไม่มีผู้ใดเป็นคนบุญแม้แต่คนเดียว ไม่มีเลย 11ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า 12เขาทุกคนหลงผิดไปหมด เขาทั้งหลายเลวทรามเหมือนกันหมดทุกคน ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ทำดี ไม่มีเลย 13ลำคอของเขาเป็นคือหลุมฝังศพที่เปิดอยู่ เขาใช้ปากของเขาเพื่อการล่อลวง พิษงูร้ายอยู่ใต้ริมฝีปากของเขา 14ปากของเขาเต็มไปด้วยคำแช่งด่าที่เผ็ดร้อน 15เท้าของเขาว่องไวในการทำให้เกิดการนองเลือด 16หนทางของเขามีความฉิบหายและความทุกข์ 17และเขาไม่รู้จักหนทางแห่งสันติภาพ 18เขาไม่เคยคิดที่จะเกรงกลัวพระเจ้า”
19พวกเราทั้งหลายรู้แล้วว่า ศีลทุกข้อที่ได้กล่าวไว้นั้น ก็ได้กล่าวแก่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้การบังคับของศีล เพื่อจะปิดปากทุกคน และเพื่อให้มนุษย์ทุกคนในโลกอยู่ภายใต้การพิพากษาของพระเจ้า 20เพราะว่า ในสายตาพระเจ้าไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนบุญได้โดยการถือศีล เพราะว่าศีลนั้นมีหน้าที่ทำให้พวกเรารู้จักกิเลส ตัณหา อันเป็นเหตุให้เกิดการทำบาป
21แต่ตอนนี้ได้ปรากฏแล้วว่า การที่พระเจ้าจะยอมรับคนหนึ่งคนใดให้เป็นคนบุญนั้น ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการถือศีลหนังสือหมวดพระบัญญัติ กับหนังสือหมวดศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้าได้เป็นพยานอยู่ 22คือการที่พระเจ้ายอมรับคนบาป ให้เป็นคนบุญได้ก็เพราะความเชื่อเพิ่งอาศัยอยู่ในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เพราะว่าคนทั้งหลายไม่แตกต่างกันเลย 23มนุษย์ทุกคนมีบาป ซึ่งเป็นกิเลส ตัณหา อันเป็นบ่อเกิดของบาป และเสื่อมจากสง่าราศีของพระเจ้า 24แต่พระเจ้าก็ให้เขาทั้งหลายเป็นคนบุญได้รับความหลุดพ้นในขั้นที่หนึ่งฟรี ๆ โดยพระคุณของพระองค์ โดยที่พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้ชำระค่าของความบาปให้เขาแล้ว 25พระเจ้าได้ตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นเครื่องบูชาใช้หนี้บาป โดยเลือดของพระองค์ คนที่เชื่อเพิ่งอาศัยในพระองค์ จึงได้รับการอภัยโทษบาป เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพื่อสำแดงให้เห็นความยุติธรรมของพระเจ้า ในการที่พระองค์ได้อดทน และได้ยกโทษบาปที่เขาได้ทำไปแล้วนั้น 26และเพื่อจะสำแดงในปัจจุบันนี้ว่าพระเยซูเป็นผู้มีบุญ และทำให้ผู้ที่เชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์เป็นผู้มีบุญด้วย คือได้รับความหลุดพ้นในขั้นที่หนึ่ง
27เพราะฉะนั้น พวกเราจะเอาอะไรมาอวดก็หมดหนทาง จะอ้างหลักอะไรว่าหมดหนทาง อ้างหลักการประพฤติตามศีลหรือ ไม่ใช่เช่นนั้นแน่ แต่ต้องอ้างหลักของความเชื่อเพิ่งอาศัยในพระองค์ 28เพราะเราเห็นว่า คนหนึ่งคนใดจะเป็นคนบุญ ได้รับความหลุดพ้นในขั้นที่หนึ่งได้ ก็โดยอาศัยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์ ซึ่งอยู่นอกเหนือการประพฤติตามศีลนั้น 29หรือว่าพระเจ้านั้น เป็นพระเจ้าของคนยิวพวกเดียวหรือ? พระองค์ไม่ได้เป็นพระเจ้าของคนต่างชาติด้วยหรือ? ใช่แล้ว พระองค์เป็นพระเจ้าของคนต่างชาติด้วย 30เพราะว่าพระเจ้าเป็นพระเจ้าองค์เดียว และพระองค์ยกโทษบาปของคนที่เข้าสุหนัตโดยความเชื่อเพิ่งอาศัยในพระองค์ และยกโทษบาปของคนที่ไม่เข้าสุหนัต ก็เพราะการเชื่อเพิ่งอาศัยในพระองค์เช่นกัน 31ถ้าเช่นนั้น พวกเรายกเลิกศีลของโมเสส เพราะความเชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์หรือ? ไม่ใช่เช่นนั้นเลย พวกเรากลับส่งเสริมศีลนั้นมากขึ้นไปอีก
1ถ้าอย่างนั้น พวกเราจะว่าอย่างไรเรื่องอับราฮัม บรรพบุรุษของพวกเราตามสายเลือด 2ถ้าอับราฮัมเป็นคนบุญ ได้รับความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง โดยการประพฤติ ท่านก็มีทางที่จะอวดได้ แต่ในสายตาของพระเจ้า ท่านไม่มีทางจะเป็นเช่นนั้น 3พระคัมภีร์ว่าอย่างไร ก็ว่า “อับราฮัมเชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้า และเพราะความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้านั้นเอง พระเจ้าถือว่าท่านเป็นคนบุญได้รับความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง” 4ฝ่ายคนที่ทำงาน ก็ไม่ถือว่าค่าจ้างที่ได้จากการทำงานนั้นเป็นรางวัล แต่ถือว่าเป็นค่าแรงจากการทำงานนั้น 5ส่วนคนที่ไม่ได้อาศัยการประพฤติ แต่ได้เชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้าผู้ให้คนบาปเป็นคนบุญได้ เพราะความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าของคนนั้น พระเจ้าถือว่าเขาเป็นคนบุญ ได้รับความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง 6เหมือนดังที่กษัตริย์ดาวิดได้กล่าวถึงความสุขของคนที่พระเจ้าได้ให้เป็นคนบุญได้รับความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง โดยไม่ได้อาศัยการประพฤติ 7ว่า “คนทั้งหลายที่พระเจ้า ยกความผิดบาปของเขาแล้ว และพระเจ้าได้ปกปิดบาปของเขาแล้วกะเป็นสุข 8บุคคลที่พระเจ้าผู้เป็นเจ้านายไม่ได้ถือโทษของเขาก็เป็นสุข
9ถ้าเช่นนั้น ความสุขมีกับคนที่เข้าสุหนัตพวกเดียวหรือ? หรือว่ามีกับพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัตด้วย พวกเรากล่าวว่า “เพราะความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้านั่นเอง พระเจ้าจึงถือว่าอับราฮัมเป็นคนบุญได้รับความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง” 10พระเจ้าถือเช่นนั้นเมื่อไร เมื่อท่านเข้าสุหนัตแล้วหรือ หรือตอนที่ยังไม่ได้เข้าสุหนัต คำตอบก็คือไม่ใช่ตอนที่ท่านเข้าสุหนัตแล้ว แต่มื่อตอนที่ท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต 11และท่านได้เข้าสุหนัต เป็นเครื่องหมายสำคัญ เป็นตราแห่งการเป็นคนบุญได้รับความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง ที่เกิดขึ้นโดยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า ที่ท่านมีอยู่ตอนที่ยังไม่ได้เข้าสุหนัต เพื่อท่านจะได้เป็นพ่อของคนทั้งหลายที่เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า ทั้งที่ตอนท่านยังไม่ได้เข้าสุหนัต และตอนที่พระเจ้าถือว่าท่านเป็นคนบุญได้รับความหลุดพ้นขึ้นที่หนึ่งแล้วด้วย 12และเพื่อท่านจะเป็นบิดาของคนเหล่านั้นที่ได้เข้าสุหนัต ที่ไม่เพียงแต่เข้าสุหนัตเท่านั้น แต่มีความเชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้า ตามแบบของอับราฮัมบิดาของเราทั้งหลาย ที่ท่านมีอยู่ตอนท่านยังบ่ได้เข้าสุหนัต
13เพราะว่าคำสัญญาที่ให้ไว้กับอับราฮัมและผู้สืบเชื้อสายของท่านที่ว่า จะได้ทั้งโลกเป็นมรดกนั้น ไม่ใช่เป็นโดยการถือศีล แต่เป็นโดยการเป็นคนบุญได้รับความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง ที่เกิดจากการเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า 14ถ้าคนเหล่านั้นเป็นทายาทโดยการประพฤติตามศีลแล้ว ความเชื่อพึ่งอาศัยจะมีประโยชน์อะไร และคำสัญญาก็ไม่มีประโยชน์ 15เพราะว่าศีล เป็นเหตุให้มีการลงโทษ แต่ที่ใดไม่มีศีล ที่นั่นก็ไม่มีการฝ่าฝืน
16เพราะเหตุนี้ การที่ได้รับมรดกนั้นจึงขึ้นอยู่กับความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า เพื่อจะได้เป็นตามพระคุณ เพื่อคำสัญญานั้นจะเป็นที่วางใจแก่ผู้สืบเชื้อสายของท่านทุกคน ไม่ใช่แก่ผู้สืบเชื้อสายที่รักษาศีลพวกเดียว แต่กับพวกที่มีความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า เหมือนกันกับอับราฮัมผู้เป็นบิดาของพวกเรา 17ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เราได้ให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติ” ฉะนั้น ต่อหน้าพระเจ้าที่ท่านเชื่อพึ่งอาศัย คือพึ่งอาศัยในพระเจ้าผู้ให้คนที่ตายแล้วกลับมีชีวิตขึ้นมาใหม่ และเรียกสิ่งของที่ยังไม่มี ให้มีขึ้น 18เมื่อไม่มีหวังอันเป็นที่น่าวางใจ ท่าก็ยังได้เชื่อวางใจ โดยมีความหวังว่าจะได้เป็นบิดาของหลายชนชาติ ตามคำที่ได้กล่าวไว้แล้วว่า “พงศ์พันธุ์ของเจ้าจะมากมายเช่นนั้น” 19ความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าของท่านไม่ได้ลดลงเลย เมื่อท่านพิจารณาดูสังขารของตนเอง ก็เหมือนกับคนตายไปแล้ว เพราะว่าท่านมีอายุประมาณร้อยปีแล้ว และเมื่อคิดถึงนางซาราห์นั้นนางก็เป็นหมัน 20อับราฮัมไม่ได้หวั่นไหวสงสัยในคำสัญญาของพระเจ้า แต่ท่านมีความเชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์มั่นคงมากขึ้น จึงได้ยกย่องพระเจ้า 21ท่านเชื่ออย่างมั่นคงว่า พระเจ้าผู้มีฤทธิ์ จะทำให้สำเร็จได้ตามที่พระองค์ได้สัญญาไว้นั้น 22ด้วยเหตุนี้เอง พระเจ้าจึงถือว่า ความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าของท่านเป็นความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง 23แต่คำว่า “พระเจ้าถือว่าเป็นความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่งของท่าน” นั้น ไม่ได้เขียนไว้สำหรับท่านผู้เดียว 24แต่เขียนไว้สำหรับพวกเราด้วย คือพระองค์ถือว่าพวกเราเป็นคนบุญ ได้รับความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง เพราะพวกเราได้เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า ผู้ทำให้พระเยซูผู้เป็นเจ้านายของเราเป็นขึ้นจากความตาย 25คือพระเยซูผู้ถูกมอบไว้กับศัตรู ให้ถึงตายแล้ว เพราะการฝ่าฝืนของพวกเรา และได้เป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อให้พวกเราเป็นคนบุญ ได้รับความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง
1เหตุฉะนั้น เมื่อพวกเราได้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง โดยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าแล้ว พวกเราจึงมีสันติภาพและสันติสุขในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้เป็นเจ้านายของเรา 2โดยทางพระเยซู เราจึงได้เข้าไปยืนอยู่ในพระคุณ และพวกเราชื่นชมยินดีในความหวัง ว่าจะได้มีส่วนในสง่าราศีของพระเจ้า ในความหลุดพ้นขั้นที่สาม 3ยิ่งกว่านั้นอีก พวกเราชื่นชมยินดีในความทุกข์ยากของเราด้วย เพราะพวกเรารู้ว่าความทุกข์ยากนั้น ทำให้เกิดความอดทน 4และความอดทนทำให้เห็นว่า พวกเราเป็นคนที่พระเจ้าใช้ได้ และการที่พวกเราเห็นเช่นนั้น ทำให้เกิดมีความหวัง 5และความหวังไม่ได้ทำให้เกิดความเสียใจเพราะผิดหวัง เพราะว่าพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาของพระเจ้าได้หลั่งไหลเข้าสู่จิตใจของพวกเรา โดยทางพระวิญญาณศักดิสิทธิ์ ที่พระองค์ได้ให้แก่พวกเราแล้ว
6ตอนที่พวกเรายังอ่อนแออยู่นั้น พระเยซูก็ได้ตายเพื่อช่วยเหลือคนบาป ที่อยู่ใต้อำนาจ กิเลส ตัณหา ในเวลาที่เหมาะสม 7เป็นการยากที่จะมีใครตายเพื่อคนบุญ แต่บางทีอาจจะมีบางคนกล้าตายเพื่อคนที่เขาเห็นว่าเป็น “คนดี” ก็ได้ 8แต่พระเจ้าได้สำแดงพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาของพระองค์แก่พวกเราทั้งหลาย คือขณะที่พวกเรายังเป็นคนบาปตกอยู่ภายใต้การเกิด แก่ เจ็บ ตายอยู่นั้น พระเยซูได้ตายเพื่อพวกเรา 9เหตุฉะนั้น พวกเราจึงเป็นคนบุญ ได้รับความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง โดยเลือดของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นพวกเราจะพ้นจากการลงโทษของพระเจ้าโดยพระเยซู 10เพราะว่าถ้าขณะที่พวกเรายังเป็นศัตรูกับพระเจ้านั้น เรายังได้คืนดีกับพระองค์ โดยการตายของพระโอรสของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นอีก เมื่อพวกเรากลับคืนดีแล้ว พวกเราก็จะหลุดพ้นโดยชีวิตของพระองค์อย่างแน่นอน 11มิใช่เพียงเท่านั้น พวกเรายังชื่นชมยินดีในพระเจ้า โดยทางพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์เจ้านายของพวกเรา ผู้เป็นเหตุให้พวกเราได้กลับคืนดีกับพระเจ้า
12เหตุฉะนั้น มันเป็นเหมือนกันกับที่บาป ซึ่งอยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหาได้เข้ามาในโลกเพราะคน ๆ เดียว และความตายทั้งฝ่ายร่างกายและวิญญาณก็เกิดมาเพราะบาป ซึ่งอยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหานั้น และความตายนั้นก็ได้แผ่ไปถึงมนุษย์ทุกคน เพราะว่ามนุษย์ทุกคนทำความบาปอันเกิดจากกิเลส ตัณหานั้น 13ความจริงแล้ว ความบาป ซึ่งอยู่ใต้อำนาจของกิเลส ตัณหา มีอยู่ในโลกแล้วก่อนที่จะมีศีลเสียอีก แต่ที่ใดไม่มีศีลก็ไม่ถือว่ามีการฝ่าฝืนเพื่อทำความบาป 14อย่างไรก็ตาม ความตายก็ได้ครอบงำทุกคนตลอดมา ตั้งแต่อาดัมจนถึงโมเสส แม้ว่าคนที่ไม่ได้ทำความบาปอย่างเดียวกับการฝ่าฝืนของอาดัม ผู้เป็นต้นแบบของผู้ที่จะมาภายหลังก็ตาม 15แต่ของขวัญฟรี ๆ แห่งพระคุณของพระเจ้านั้นไม่ได้เป็นเหมือนกับการฝ่าฝืนของอาดัมนั้น เพราะว่าถ้าคนทั้งหลายต้องตายเพราะการฝ่าฝืนของคน ๆ เดียวแล้ว ยิ่งกว่านั้น พระคุณของพระเจ้า และของขวัญฟรี ๆ แห่งพระคุณของพระองค์ผู้เดียวนั้น คือพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ก็มีอย่างครบถ้วนแก่คนเป็นทั้งหลาย 16และของขวัญฟรี ๆ นั้นก็ไม่เหมือนกันกับผลที่เกิดจากบาป ซึ่งอยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหาของคนนั้นคนเดียว เพราะว่าการพิพากษาเกิดขึ้นเนื่องจากการฝ่าฝืนเพียงครั้งเดียวนั้น และได้นำไปสู่การลงโทษ แต่ของขวัญฟรี ๆ จากพระเจ้าที่มาภายหลังการฝ่าฝืนหลายครั้งนั้น นำไปสู่การเป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง 17เพราะว่าถ้าโดยการฝ่าฝืนของคนนั้นคนเดียว เป็นเหตุให้ความตายครอบงำคนทั้งหลายอยู่โดยคนนั้นคนเดียว ยิ่งกว่านั้น คนทั้งหลายก็ได้รับพระคุณอันมากมาย และรับของขวัญฟรี ๆ คือการเป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง ก็จะมีชีวิตอยู่ และครอบครองโดยพระองค์ผู้เดียว คือพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์
18ฉะนั้นการพิพากษาลงโทษได้มาถึงคนทั้งหลาย เพราะการฝ่าฝืนครั้งเดียวฉันใด การกระทำที่เป็นบุญครั้งเดียว ก็นำการปลดปล่อยและชีวิตมาถึงทุกคนฉันนั้น 19เพราะว่าคนทั้งหลายเป็นคนบาป ที่อยู่ใต้อำนาจของกิเลส ตัณหาเพราะคนคนเดียวที่ไม่ได้เชื่อฟังฉันใด คนทั้งหลายก็เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง เพราะคน ๆ เดียวที่ได้เชื่อฟังฉันนั้น 20เมื่อมีศีลก็ทำให้มีการทำผิดศีลปรากฏมากขึ้น แต่ที่ใดมีบาป ที่อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหาปรากฏมากขึ้น ที่นั่นพระคุณของพระเจ้าก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว 21เพราะว่าบาป ที่อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหาได้ครอบงำ ทำให้พบความตายได้ฉันใด พระคุณที่อยู่ใต้การเชื่อฟังอันเป็นบุญ ก็ได้ครอบงำให้พบกับชีวิตเข้าสู่นิพพานในความหลุดพ้นบาปขั้นที่หนึ่ง โดยพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้เป็นเจ้านายของพวกเราฉันนั้น
1ถ้าเช่นนั้น พวกเราจะว่าอย่างไร จะว่าพวกเราควรจะจมอยู่ในบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา ต่อไป เพื่อให้พระคุณของพระเจ้ามีมากขึ้นหรือ? 2อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย พวกเราได้ตายจากบาป ซึ่งอยู่ภายใต้ กิเลส ตัณหาแล้ว จะมีชีวิตอยู่เช่นนั้นต่อไปได้อย่างไร? 3ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า พวกเราที่ได้ทำพิธีจุ่มน้ำเข้าในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์แล้ว ก็ได้รับพิธีนั้นเข้าในความตายของพระองค์ด้วย 4เพราะฉะนั้น พวกเราจึงได้ถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการทำพิธีจุ่มน้ำเข้าเป็นหุ้นส่วนในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระองค์ผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้ถูกบันดาลให้เป็นขึ้นมาจากความตาย โดยเดชแห่งสง่าราศีของพระเจ้า ผู้เป็นพ่อแล้ว พวกเราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่นั้นเหมือนกัน
5เพราะว่าถ้าพวกเราเข้าสัมพันธ์กับพระองค์แล้วในการตายอย่างพระเยซู พวกเราก็จะเข้าสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกับพระองค์ในการเป็นขึ้นมาอย่างที่พระเยซูได้เป็นขึ้นมาจากความตายนั้น 6พวกเรารู้แล้วว่า ตัวเก่าของเรานั้นได้ถูกตรึงไว้กับพระเยซูแล้ว เพื่อตัวบาปนั้นจะถูกทำลายให้หมดไป และพวกเราจะไม่เป็นทาสของบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหาอีกต่อไป 7เพราะว่าผู้ที่ตายแล้วก็พ้นจากบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส ตัณหา 8แต่ถ้าพวกเราตายแล้วกับพระเยซู พวกเราก็เชื่อว่าจะมีชีวิตอยู่กับพระองค์ด้วย 9พวกเรารู้อยู่ว่า พระเยซูที่ได้รับการบันดาลให้เป็นขึ้นมาจากตายแล้วนั้น จะไม่ตายอีกเลย ความตายไม่ได้ครอบงำพระองค์อีกต่อไป 10เพราะว่าที่พระองค์ได้ตายนั้น พระองค์ได้ตายไถ่บาปเพียงครั้งเดียวก็พอ แต่ที่พระองค์มีชีวิตอยู่นั้น พระองค์มีชีวิตสัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระเจ้า 11ในทำนองเดียวกัน พวกท่านจงถือว่าท่านได้ตายจากบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของกิเลส ตัณหา และมีชีวิตสัมพันธ์กับพระเจ้าในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์
12เหตุฉะนั้นอย่าให้บาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหาครอบงำกายที่ต้องตายของท่าน ที่ทำให้ต้องเชื่อฟังบาป ซึ่งอยู่ภายใต้ กิเลส ตัณหาของกายนั้น 13อย่ายกอวัยวะของท่านให้แก่บาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา ให้เป็นเครื่องใช้ในการชั่วช้า แต่จงถวายตัวของท่านให้กับพระเจ้า เหมือนกันกับคนที่เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และจงให้อวัยวะเป็นเครื่องใช้ในการดำเนินชีวิตที่ถูกต้องเพื่อถวายให้แก่พระเจ้า 14เพราะว่าบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหาจะครอบงำท่านทั้งหลายต่อไปก็ไม่ได้ เพราะว่าท่านไม่ได้อยู่ใต้ข้อบังคับของศีล แต่อยู่ใต้พระคุณของพระเจ้า
15ถ้าเช่นนั้นจะว่าอย่างไร พวกเราจะทำบาป อยู่ภายใต้ อำนาจของ กิเลส ตัณหา เพราะว่าไม่ได้อยู่ใต้ข้อบังคับศีล แต่อยู่ใต้บังคับของพระคุณหรือ? อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย 16พวกท่านไม่รู้หรือว่า ถ้าท่านยอมมอบตัวรับใช้เชื่อฟังคำของผู้ใด ท่านก็เป็นทาสของผู้ที่ท่านเชื่อฟังนั้น คือเป็นทาสของบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหาที่นำไปสู่ความตาย หรือเป็นทาสของการเชื่อฟังที่นำไปสู่การเป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง
17แต่จงขอบคุณพระเจ้า เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านเป็นทาสของบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา แต่ตอนนี้ท่านมีใจเชื่อฟังหลักคำสอนนั้นที่พระเจ้าให้ครอบครองท่าน 18เมื่อท่านหลุดพ้นจากบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหาแล้ว ท่านก็ได้เป็นทาสของบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง 19ข้าพเจ้ายกเอาตัวอย่างมนุษย์มาพูด เพราะว่าเนื้อหนังของท่านอ่อนแอ เพราะท่านเคยมอบอวัยวะของท่านให้ เป็นทาสของการชั่วช้า ลามก ของกิเลส ตัณหาซ้อนกันอย่างไร ตอนนี้ท่านจงมอบอวัยวะของท่านให้เป็นทาสของบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง เพื่อการดำเนินชีวิตในการถูกชำระในความหลุดพ้นขั้นที่สองอย่างนั้น
20เมื่อพวกท่านเป็นทาสของบาปกรรม ที่ทำให้ท่านอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา บุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่งก็ไม่ได้ครอบครองท่าน 21ตอนนั้นท่านได้ประโยชน์อะไรในบาปกรรมเหล่านั้น ซึ่งตอนนี้ท่านก็มีความละอาย เพราะว่าผลสุดท้ายของบาปกรรมเหล่านั้น นำไปสู่ความตาย
22แต่เดี๋ยวนี้พวกท่านหลุดพ้นจากการเป็นทาสของบาปกรรม ซึ่งทำให้ท่านอยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา แต่ท่านได้มาเป็นทาสของพระเจ้าแล้ว สิ่งที่พวกท่านได้รับก็คือการถูกพระเจ้าฟอกล้างจิตใจ จิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง และผลสุดท้ายก็คือชีวิตเข้าสู่นิพพานในความหลุดพ้นขั้นที่สาม
23เพราะว่าค่าจ้างของบาปกรรม ซึ่งทำให้ท่านอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา ได้แก่ความตายฝ่ายเนื้อหนัง และฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ผลานิสงส์จากพระเจ้า คือชีวิตเข้าสู่นิพพานในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้เป็นพระเจ้าของพวกเรา
1ฟังให้ดีนะพี่น้องทั้งหลาย พวกท่านไม่รู้หรือ (ข้าพเจ้าพูดกับคนที่รู้จักศีลแล้ว) ว่าศีลนั้นมีอำนาจเหนือมนุษย์ ก็เฉพาะในตอนที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่เท่านั้น 2เป็นต้นว่า ผู้หญิงที่ผัวยังมีชีวิตอยู่นั้น นางก็ต้องอยู่ในกฎประเพณีของผัวเมีย แต่ถ้าผัวตาย ผู้หญิงคนนั้นกะพ้นจากกฎนั้น 3ฉะนั้น ถ้าผู้หญิงนั้นไปหลับนอนกับชายอื่นในขณะที่ผัวยังมีชีวิตอยู่ นางก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้หญิงที่ล่วงประเวณี แต่ถ้าผัวของนางตายแล้ว นางก็พ้นจากกฎประเพณีของผัวเมีย แม้ว่านางจะไปเป็นเมียของชายคนอื่น ก็ไม่ได้ผิดประเวณีเลย
4เช่นนั้นแหละ พี่น้องทั้งหลาย พวกท่านได้ตายจากศีลโดยทางกายของพระเยซู เพื่อพวกท่านจะตกเป็นของผู้อื่น คือของพระองค์ผู้เป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว เพื่อเราจะได้เกิดผลถวายแก่พระเจ้า 5เพราะว่า เมื่อพวกเราดำเนินชีวิตตามทางโลก กิเลส ตัณหาที่ศีลกระตุ้นให้เกิดขึ้นนั้น ได้ทำให้อวัยวะของเราทำความชั่ว และนำไปสู่ความตาย 6แต่ตอนนี้พวกเราได้พ้นจากข้อบังคับของศีล คือได้ตายจากศีลที่ได้ผูกมัดพวกเราไว้ เพื่อพวกเราจะได้ไม่ทำตามตัวอักษรในหนังสือหมวดที่ว่าด้วยศีลเล่มเก่า แต่จะดำเนินชีวิตใหม่ตามลักษณะของพระวิญญาณของพระเจ้า
7ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร จะว่าศีล เป็นบาป ซึ่งอยู่ภายใต้ อำนาจของ กิเลส ตัณหาหรือ? ไม่ใช่เช่นนั้นเลย แต่ว่าถ้ามิใช่เพราะศีลแล้ว ข้าพเจ้าก็คงไม่รู้จักบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา เพราะว่าถ้าศีล ไม่ได้ห้ามว่า “อย่าโลภ” ข้าพเจ้าก็คงไม่รู้ว่าอะไรคือความโลภ 8แต่ว่าบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหาได้ถือเอาศีลนั้นเป็นหนทาง ทำให้ความโลภทุกอย่างเกิดขึ้นในตัวข้าพเจ้า เพราะว่าถ้าไม่มีศีล บาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหาก็ตายไปแล้ว 9เมื่อก่อนข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่นอกเหนือศีล แต่เมื่อมีศีล บาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหาก็เกิดขึ้น และข้าพเจ้าก็ตาย 10ศีลมีไว้เพื่อการมีชีวิตอยู่ ก็ปรากฏแล้วว่าศีลนั้นเป็นเหตุทำให้ข้าพเจ้าต้องตาย 11เพราะว่าบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา ได้ถือเอาศีลนั้นเป็นช่องทางล่อลวงข้าพเจ้า และฆ่าข้าพเจ้าให้ตายด้วยศีลนั้น 12เพราะฉะนั้น ศีลจึงเป็นสิ่งบริสุทธิ์ และข้อห้ามก็บริสุทธิ์ ยุติธรรม และดีงาม
13ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่ดีกลับทำให้ข้าพเจ้าต้องตายหรือ? ไม่ใช่เช่นนั้นเลย บาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหาต่างหาก คือ บาป ซึ่งอยู่ภายใต้ กิเลส ตัณหานั้นได้อาศัยสิ่งที่ดีนั้นทำให้ข้าพเจ้าต้องตาย เพื่อจะให้ปรากฏว่าบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหานั้นเป็นบาปจริง ๆ และโดยอาศัยศีลนั้น บาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหาก็ปรากฏว่าชั่วร้ายยิ่งนัก 14พวกเรารู้ว่าศีลนั้นเป็นมาโดยฝ่ายพระวิญญาณของพระเจ้า แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นมนุษย์ถูกขายไว้ให้อยู่ใต้บาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา 15ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการกระทำของข้าพเจ้าเอง เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ทำสิ่งที่ข้าพเจ้าอยากทำ แต่กลับทำสิ่งที่ข้าพเจ้าเกลียดชังนั้น 16ฉะนั้นถ้าข้าพเจ้าทำสิ่งที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำ และข้าพเจ้ายอมรับว่าศีลนั้นดี 17ข้าพเจ้าจึงไม่ใช่ผู้ทำ แต่ว่าบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหาในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้ทำ 18เพราะว่าในตัวของข้าพเจ้าไม่มีความดีใด ๆ อยู่เลย เพราะว่าเจตนาดีของข้าพเจ้าก็มีอยู่ แต่ที่จะทำความดีนั้นข้าพเจ้าไม่ได้ทำเลย 19เพราะว่าความดีที่ข้าพเจ้าอยากทำนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ทำ แต่ความชั่วที่ข้าพเจ้าไม่อยากทำ ข้าพเจ้าก็ยังทำอยู่ไม่หยุดหย่อน 20ถ้าแม้ข้าพเจ้ายังทำสิ่งซึ่งข้าพเจ้าไม่อยากจะทำ ก็ไม่ใช่ตัวข้าพเจ้าเป็นผู้กระทำ แต่บาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหาในตัวข้าพเจ้านั่นเองเป็นผู้กระทำ
21ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเป็นกฎธรรมดาอย่างหนึ่ง คือเมื่อใดที่ข้าพเจ้าตั้งใจจะทำความดี ความชั่วกะพร้อมที่จะเกิดขึ้น 22เพราะว่าส่วนลึกในใจของข้าพเจ้านั้น ก็ชื่นชมในศีลของพระเจ้า 23แต่ข้าพเจ้าเห็นมีกฎอีกอย่างหนึ่งอยู่ในกายของข้าพเจ้า ที่ต่อสู้กับกฎแห่งจิตใจของข้าพเจ้า และชักนำให้ข้าพเจ้าอยู่ใต้บังคับกฎแห่งบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา ที่อยู่ในกายของข้าพเจ้า 24โอย ข้าพเจ้าเป็นคนน่าสมเพชเวทนาอะไรเช่นนี้ ใครจะช่วยให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้ได้ 25ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้า โดยทางพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้เป็นเจ้านายของเรา ฉะนั้นทางด้านจิตใจของข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าเชื่อฟังกฎของพระเจ้า แต่ด้านฝ่ายเนื้อหนังนั้น ข้าพเจ้าเป็นทาสของกฎแห่งบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา
1“เหตุฉะนั้นการปรับโทษ จึงไม่มีแก่คนทั้งหลายที่อยู่ในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้ที่ไม่ดำเนินตามฝ่ายเนื้อหนัง อันได้แก่การอยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา แต่ตามฝ่ายพระวิญญาณ”
2เพราะว่ากฎของพระวิญญาณแห่งชีวิตในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ได้ทำให้ข้าพเจ้าพ้นจากกฎของบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหาและความตาย 3เพราะว่ามนุษย์เป็นคนอ่อนแอ มีธรรมชาติบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา ไม่สามารถทำตามศีลได้ พระเจ้าจึงได้ใช้พระโอรสของพระองค์มา ในสภาพเหมือนกับมนุษย์ที่มีบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา เพื่อใช้หนี้บาปกรรม พระโอรสของพระเจ้าที่มาเป็นมนุษย์นั้น จึงได้ถูกพระเจ้าปรับโทษบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา นั้น 4เพื่อสิ่งที่ศีลสั่งไว้นั้น จะได้สำเร็จในตัวพวกเรา ผู้ไม่ดำเนินชีวิตตามกิเลส ตัณหานั้น แต่ดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ 5เพราะว่าคนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายโลก ก็ยึดติดสิ่งที่เป็นของของฝ่ายโลก แต่คนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายธรรมะ ก็ยึดติดสิ่งที่เป็นของพระวิญญาณ 6เพราะว่าสิ่งที่ยึดติดอยู่กับฝ่ายโลก ก็คือความตาย และสิ่งที่ยึดติดอยู่กับฝ่ายธรรมะ ก็คือชีวิตเข้าสู่นิพพาน สันติภาพและสันติสุข 7เพราะว่าใจยึดติดอยู่กับฝ่ายโลกนั้นก็เป็นศัตรูกับพระเจ้า ไม่ได้อยู่ใต้ข้อบังคับของศีลแห่งพระเจ้าเลย ความจริงแล้วจะอยู่ใต้ข้อบังคับของศีลนั้นไม่ได้ 8และคนทั้งหลายที่ยึดติดอยู่กับฝ่ายโลก จะเป็นที่พอใจของพระเจ้าไม่ได้เลย
9ในเมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่กับพวกท่านแล้ว ท่านก็ไมได้ยึดติดอยู่กับฝ่ายโลก แต่ยึดติดอยู่กับพระวิญญาณ ผู้ใดไม่มีพระวิญญาณของพระเยซูผู้เป็นเจ้านาย ผู้นั้นก็ไม่ได้เป็นของพระองค์ 10และถ้าพระเยซูอยู่ในท่านทั้งหลายแล้ว แม้ว่าร่างกายของท่านจะตายไปเพราะบาป ซึ่งอยู่ภายใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา แต่จิตวิญญาณของท่านก็จะดำรงอยู่เพราะว่าเป็นคนของพระองค์ 11ถ้าพระวิญญาณของพระเจ้า ผู้บันดาลให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย อยู่ในท่านทั้งหลาย พระเจ้าผู้ที่ให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตายแล้วนั้น จะทำให้กายที่ต้องตายของท่านเป็นขึ้นมาใหม่ โดยเดชแห่งพระวิญญาณของพระองค์ที่อยู่ในพวกท่าน
12เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย พวกเราทั้งหลายเป็นหนี้ แต่ไม่ใช่เป็นหนี้ฝ่ายโลก ที่จะดำเนินชีวิตไปตามโลก 13เพราะว่าถ้าท่านทั้งหลายดำเนินชีวิตตามฝ่ายโลกแล้ว ท่านจะต้องตาย แต่ถ้าโดยฝ่ายพระวิญญาณ ท่านได้ทำลายกิจการของฝ่ายโลกแล้ว ท่านก็จะมีชีวิตเข้าสู่นิพพาน 14เพราะว่าพระวิญญาณของพระเจ้านำพาผู้ใด ผู้นั้นก็เป็นลูกชายลูกหญิงของพระองค์ 15เพราะว่าพวกท่านไม่ได้รับน้ำใจของการเป็นทาสที่ทำให้ตกอยู่ในความกลัวอีก แต่ท่านได้รับน้ำใจของการเป็นลูกชายลูกหญิงของพระองค์ พวกเราทั้งหลายจึ่งเรียกพระเจ้าอย่างสนิทสนมว่า “พ่อ” 16พระวิญญาณนั้นเป็นพยานร่วมกันกับจิตวิญญาณของพวกเราทั้งหลายว่า พวกเราเป็นลูกชายลูกหญิงของพระเจ้า 17และถ้าพวกเราเป็นลูกชายลูกหญิงแล้ว พวกเราก็เป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทในกับพระเยซู เมื่อพวกเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อพวกเราจะได้ศักดิ์ศรีในความหลุดพ้นขั้นที่สามกับพระองค์ด้วย
18เพราะข้าพเจ้าเห็นว่า ความทุกข์ลำบากในสมัยปัจจุบันนี้ ไม่สมควรที่จะเอาไปเทียบกับศักดิ์ศรีในความหลุดพ้นขั้นที่สาม ที่จะเปิดเผยแก่พวกเราในอนาคต 19เพราะว่าสรรพสิ่งที่พระเจ้าสร้างไว้แล้ว มีความอดทนคอยท่าอยากให้ลูกชายลูกหญิงทั้งหลายของพระองค์ปรากฏ 20เพราะว่าสรรพสิ่งเหล่านั้นได้ตกอยู่ใต้อำนาจของอนิจจัง คือความไม่เที่ยง ไม่ใช่ตามใจชอบของตนเอง แต่เป็นไปตามที่พระเจ้าได้ให้เข้าไปอยู่นั้น 21โดยมีความหวังว่า สรรพสิ่งเหล่านั้นจะได้หลุดพ้นจากอำนาจแห่งความอนิจจัง ไม่เที่ยง และจะเข้าในเสรีภาพและศักดิ์ศรีในความหลุดพ้นขั้นที่สามแห่งลูกชายลูกหญิงทั้งหลายของพระเจ้า 22พวกเรารู้อยู่ว่าสรรพสิ่งทั้งหลายที่สร้างไว้นั้นกำโอดโอยด้วยความเจ็บปวด และต่อสู้กับความทุกข์ยากเหมือนกับหญิงที่กำลังจะคลอดบุตรมาจนทุกวันนี้ 23และไม่ใช่เท่านั้น แต่พวกเราทั้งหลายที่ได้รับพระวิญญาณไว้แล้ว ก็เป็นเหมือนกัน พวกเราเองก็ยังโอดโอย จดจ่อคอยการที่พระเจ้าจะให้เป็นลูกชายลูกหญิง คือที่จะให้ร่างกายของเราหลุดพ้นจากความตาย 24เพราะว่าพวกเราหลุดพ้นแล้ว แม้ว่าเป็นเพียงความหวัง แต่ความหวังในสิ่งที่พวกเราเห็นได้ ก็ไม่ใช่ความหวังเลย เพราะว่าใครเล่าจะหวังในสิ่งที่เขาเห็น 25แต่ถ้าเราทั้งหลายหวังในสิ่งที่เรายังไม่เห็น พวกเราจึงมีความอดทนคอยสิ่งนั้น
26ในทำนองเดียวกัน พระวิญญาณก็ช่วยเหลือพวกเรา เมื่อพวกเราอ่อนกำลัง ไม่รู้ว่าจะสวดอ้อนวอนขออย่างไร พระวิญญาณได้ช่วยขอแทนพวกเรา ตอนพวกเราโอดโอยสวดอ้อนวอนไม่เป็นคำ 27และพระเจ้า ผู้รู้จักใจมนุษย์ทุกคน ก็รู้จักความหมายของพระวิญญาณ เพราะว่า พระองค์ได้สวดอ้อนวอนขอเพื่อวิมุตติชนของพระองค์ได้ตามใจของพระเจ้า
28พวกเรารู้ว่า พระเจ้าช่วยคนที่มีกตัญญูต่อพระองค์ให้เกิดผลดีในทุกสิ่งทุกอย่าง คือคนทั้งหลายที่พระองค์ได้เรียกมาตามความประสงค์ของพระองค์ 29เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระเจ้ารู้อยู่แล้ว พระองค์ก็ได้ตั้งผู้นั้นไว้ให้เป็นตามลักษณะของพระโอรสของพระองค์ เพื่อพระพระโอรสนั้นจะได้เป็นลูกหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องทั้งหลาย 30และคนทั้งหลายผู้ที่พระเจ้าได้ตั้งไว้นั้น พระองค์ได้เรียกมา และผู้ที่พระองค์ได้เรียกมานั้น พระเจ้าให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง และผู้ที่พระเจ้าให้เป็นคนบุญนั้น พระองค์ก็ให้มีศักดิ์ศรีในความหลุดพ้นในขั้นที่สามด้วย
31ถ้าอย่างนั้นเราจะว่าอย่างไร ถ้าพระเจ้าอยู่ฝ่ายเรา ใครจะขัดขวางเราได้ 32พระเจ้าผู้ไม่ได้หวงแหนพระโอรสของพระองค์ แต่ได้มอบพระโอรสนั้นเพื่อประโยชน์แก่พวกเราแล้ว ถ้าเช่นนั้นพระเจ้าจะไม่ให้สิ่งสารพัดแก่พวกเราทั้งหลาย ด้วยกันกับพระโอรสของพระองค์นั้นหรือ? 33ใครจะฟ้องคนเหล่านั้นที่พระเจ้าได้เลือกไว้ พระเจ้าให้พ้นโทษบาปได้รับความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่งแล้ว 34ใครจะเป็นผู้มาปรับโทษอีก พระเยซูผู้ตายเพื่อไถ่บาปแล้ว และยิ่งกว่านั้นอีกพระเจ้าได้บันดาลให้เป็นขึ้นมาจากความตาย และอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า และได้สวดอ้อนขอเพื่อเราทั้งหลายด้วยนั่นหรือ 35แล้วใครจะทำให้พวกเราทั้งหลายขาดจากพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้เล่า ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ ความยากลำบาก การกดขี่ข่มเหง การกันดารอาหาร การเปลือยกาย การถูกโพยภัยพิบัติ หรือการถูกคมหอกคมดาบ 36ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เพราะเห็นแก่พระเจ้า เราจึงถูกฆ่าทั้งวันยันค่ำ และเป็นเหมือนกับลูกวัวที่เขาจะนำเอาไปฆ่า” 37แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งหลายเหล่านี้ พวกเรามีชัยชนะอย่างเหลือล้น โดยพระเยซูผู้มีพรหมวิหารสี่ต่อพวกเราทั้งหลาย 38เพราะข้าพเจ้ามีความเชื่อมั่นว่า ไม่ว่าจะเป็นความตาย ชีวิต เทวดา เทพเจ้าต่าง ๆ สิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ สิ่งที่จะมีในภายภาคหน้า หรือฤทธิ์เดชทั้งหลาย 39หรือสิ่งสูง หรือสิ่งลึก หรือสิ่งใดที่พระองค์ได้สร้างไว้แล้วนั้น จะไม่สามารถทำให้พวกเราทั้งหลายขาดจากพรหมวิหารสี่ของพระเจ้าได้ พรหมวิหารสี่นี้มีอยู่ในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้เป็นเจ้านายของพวกเรา
1ข้าพเจ้าพูดความจริงในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ข้าพเจ้าไม่ได้โกหกเลย จิตสำนึกผิดชอบชั่วดีของข้าพเจ้าเป็นพยานได้โดยพระวิญญาณว่า 2ข้าพเจ้ามีความทุกข์หนักและความร้อนใจไม่หยุดเลย 3คือถ้ามันมีประโยชน์ ข้าพเจ้าอยากจะถูกสาป และถูกตัดขาดจากพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เพราะว่าข้าพเจ้าเห็นแก่พี่น้องของข้าพเจ้า คือญาติตามเชื้อชาติของข้าพเจ้า 4พวกเขาเป็นคนอิสราเอล ได้รับการให้เป็นลูกชายลูกหญิงของพระเจ้า และสง่าราศีของพระเจ้าก็ปรากฏแก่เขา และเขาได้รับพันธสัญญาต่าง ๆ ตลอดจนศีล พิธีนมัสการพระเจ้า และคำสัญญาต่าง ๆ 5ทั้งบรรพบุรุษก็เป็นของเขาด้วย และพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในเชื้อชาติของเขา ขอพระเจ้าผู้ครอบครองเหนือสรรพสิ่งทั้งหลาย จงได้รับการยกย่องสรรเสริญตลอดไปเถิด สาธุ
6แต่มิใช่ว่าพระคำของพระเจ้าได้ล้มเหลวไป เพราะว่าไม่ใช่ทุกคนที่เกิดมาจากอิสราเอลนั้น เป็นคนอิสราเอลแท้ 7และไม่ใช่ว่าทุกคนที่เป็นเชื้อสายของอับราฮัมจะเป็นลูกชายลูกหญิงแท้ของท่าน แต่ว่า “เขาจะเรียกเชื้อสายของเจ้าทางสายของอิสอัค” 8หมายความว่าคนที่เป็นลูกชายลูกหญิงของพระเจ้านั้นไม่ใช่ลูกชายลูกหญิงทางสายเลือด แต่เป็นลูกชายลูกหญิงตามคำสัญญา จึงถือว่าเป็นผู้สืบเชื้อสายได้ 9เพราะคำสัญญามีว่าดังนี้ “เป็นฤดูกาลเดียวกันนี่แหละเราจะกลับมา และนางซาราห์จะมีลูกชายคนหนึ่ง” 10และไม่ใช่เท่านั้น แต่ว่าเพราะนางเรเบคาห์ก็ได้มีลูกสองคน จากสามีคนเดียวคืออิสอัค บรรพบุรุษของเรา 11แต่เพื่อความประสงค์ในการเลือกเอาลูกชายคนหนึ่งจะตั้งมั่นคงอยู่ ก่อนเด็กนั้นจะเกิดมา และยังไม่ทันได้ทำความดีหรือชั่ว ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เป็นไปตามการกระทำของมนุษย์ แต่เป็นไปตามเลือกสรรของพระเจ้า 12พระเจ้าจึงได้พูดกับนางนั้นว่า “พี่จะรับใช้น้อง” 13ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ยาโคบนั้นเราเมตตา แต่เอซาวนั้นเราเกลียดชัง”
14ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร พระเจ้าไม่ยุติธรรมหรือ ไม่ใช่เช่นนั้นเลย 15เพราะพระองค์ได้พูดกับโมเสสว่า “เราอยากจะกรุณาผู้ใด เราก็จะกรุณาผู้นั้น และเราอยากเมตตาผู้ใด เราก็จะเมตตาผู้นั้น” 16เหตุฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับจิตใจของมนุษย์ หรือการประพฤติของเขา แต่ขึ้นอยู่กับความกรุณาของพระเจ้า 17เพราะมีข้อพระคัมภีร์ที่ได้กล่าวแก่ฟาโรห์ว่า “เพราะเหตุนี้เองเราจึงได้ยกเจ้าขึ้น เพื่อเราจะสำแดงฤทธิ์อำนาจของเราให้ปรากฏโดยตัวของเจ้า และเพื่อให้นามของเราเผยแพร่ไปทั่วโลก” 18เหตุฉะนั้น พระเจ้าจะกรุณาแก่ผู้ใด ก็จะกรุณาผู้นั้น และพระองค์จะทำให้ผู้ใดมีใจแข็งกระด้าง ก็จะทำให้ผู้นั้นมีใจแข็งกระด้าง
19แล้วท่านก็จะพูดกับข้าพเจ้าว่า “ถ้าเช่นนั้น ทำไมพระเจ้าจึงยังติเตียน คนที่ขัดขืนใจของพระองค์ได้” 20แต่ว่าพวกท่านเป็นใครเล่า เป็นมนุษย์คนหนึ่งเท่านั้นมิใช่หรือ? พวกท่านจะโต้ตอบกับพระเจ้าได้อย่างไร? สิ่งที่ถูกปั้นขึ้นมา จะพูดกับผู้ปั้นได้หรือว่า “ทำไมท่านจึงปั้นข้าพเจ้าเช่นนี้” 21ช่างปั้นหม้อ ไม่มีสิทธิที่จะเอาดินก้อนเดียวกัน มาปั้นเป็นภาชนะที่สวยงามอันหนึ่ง และภาชนะใช้สอยอีกอันหนึ่งหรือ 22ทำนองเดียวกัน ก็เป็นความจริงในสิ่งที่พระเจ้าได้ทำ พระองค์อยากจะสำแดงการลงโทษ และให้ฤทธิ์เดชของพระองค์ปรากฏ แต่พระองค์ก็ได้อดกลั้นใจไว้ช้านานต่อคนเหล่านั้น ที่เป็นภาชนะอันสมควรแก่การลงโทษ ที่ได้เตรียมไว้เพื่อความพินาศ 23เพื่อพระองค์จะได้สำแดงสง่าราศีอันมากมายของพระองค์ แก่คนทั้งหลายผู้ที่เป็นภาชนะแห่งความเมตตา ที่พระองค์ได้จัดเตรียมไว้ก่อนให้สมกับศักดิ์ศรีที่จะได้รับในความหลุดพ้นขั้นที่สามนั้น 24คือพวกเราทั้งหลายที่พระองค์ได้เรียกมาแล้ว ไม่ใช่เรียกจากยิวพวกเดียว แต่เรียกจากคนต่างชาติด้วย 25ตามที่พระเจ้าได้กล่าวไว้ในพระคัมภีร์โฮเชยาว่า “เราจะเรียกเขาเหล่านั้นว่าเป็นชนชาติของเรา ซึ่งเมื่อก่อนนั้นเขาไม่ได้เป็นชนชาติของเราเลย และเราจะเรียกเขาว่าเป็นที่รักของเรา ซึ่งเมื่อก่อนเขาไม่ได้เป็นที่รักของเราเลย 26และในสถานที่ ที่กล่าวกับเขาว่า “เจ้าทั้งหลายไม่ใช่ชนชาติของเรา” ในที่นั้นเองเขาจะได้ชื่อว่าเป็นลูกชายหญิงของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ 27และท่านอิสยาห์ได้เผยแพร่เรื่องพวกอิสราเอลว่า “แม้ว่าลูกหลานของอิสราเอลจะเพิ่มขึ้น ๆ เหมือนเม็ดทรายที่ชายทะเล แต่ผู้ที่หลุดพ้นนั้นมีน้อย 28เพราะว่าพระเจ้าผู้เป็นนาย จะให้เป็นไปตามพระคำของพระองค์อย่างรวดเร็วในแผ่นดินโลก 29และตามที่อิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่า ถ้าพระเจ้าจอมทัพไม่ได้เหลือพงศ์พันธุ์ไว้ให้พวกเราบ้าง พวกเราทั้งหลายก็จะเป็นเหมือนเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์
30ถ้าเช่นนั้นเราจะว่าอย่างไร จะว่าคนต่างชาติที่ไม่ได้แสวงหาการเป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง ก็ยังได้เป็นคนบุญ คือเป็นคนบุญที่เกิดขึ้นโดยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า 31แต่พวกอิสราเอลที่แสวงหาการเป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง โดยการรักษาศีล ก็ยังไม่สามารถที่จะเป็นคนบุญได้โดยการรักษาศีลนั้น 32ถามว่าเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น ขอตอบว่า เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะเขาไม่ได้แสวงหาโดยการเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า แต่แสวงหาโดยโดยการรักษาศีล ตามความสามารถของเขาเอง เขาสะดุดก้อนหินที่พระเจ้าให้เขาสะดุดนั้น 33ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า ฟังให้ดี เราได้วางก้อนหินก้อนหนึ่งไว้ในเมืองไซออน ก้อนหินนี้จะทำให้เจ้าสะดุด และหินก้อนนี้จะทำให้เจ้าล้มลง แต่ผู้ที่เชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์จะไม่ได้รับความอับอายเลย
1พี่น้องทั้งหลาย ความต้องการในจิตใจของข้าพเจ้า และคำอธิษฐาน สวดอ้อนวอนของข้าพเจ้าต่อพระเจ้าเพื่อคนอิสราเอลนั้น คือขอด้วยความหวังว่าให้เขาได้รับความหลุดพ้น 2ข้าพเจ้าเป็นพยานให้เขาได้ว่า เขามีความกระตือรือร้นที่จะรับใช้พระเจ้า แต่ไม่ได้ทำไปตามอย่างคนมีปัญญา 3เพราะว่าเขาไม่รู้จักวิธีการเป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง ตามที่พระเจ้ามอบให้ แต่พยายามที่จะเป็นคนบุญตามความสามารถของเขาเอง เขาจึงไม่ยอมเอาบุญของพระเจ้ามาเป็นบุญของเขา 4เพราะว่าพระเยซูเป็นความครบถ้วนของศีล เพื่อให้ทุกคนที่มีความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าได้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง
5โมเสสได้เขียนเรื่องการเป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง ที่มีศีลเป็นรากฐานว่า “ใครก็ตามที่ทำตามศีล ก็จะได้ชีวิตโดยการทำตามนั้น” 6แต่การเป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง ที่มีความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าเป็นรากฐานอย่างนี้ว่า “อย่าคิดในใจของตัวเองว่า ใครจะขึ้นไปบนฟ้าสวรรค์” (คือจะไปเชิญพระเยซูลงมา) 7“หรือ ใครจะลงไปยังหุบเหว” (คือจะเชิญพระเยซูขึ้นมาจากความตาย) 8แต่การเป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง ที่มีความเชื่อพึ่งอาศัยพระเจ้านั้นว่าอย่างไร ก็ว่า “ถ้อยคำนั้นอยู่ใกล้ท่าน อยู่ในปากของท่าน และอยู่ในใจของท่าน” (คือถ้อยคำที่ทำให้เกิดความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าที่พวกเราเผยแพร่อยู่นั้น) 9คือว่าถ้าท่านจะรับด้วยปากของท่านว่า พระเยซูเป็นพระเจ้าผู้เป็นเจ้านาย และเชื่อในใจว่า พระเจ้าได้บันดาลให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย ท่านจะได้รับความหลุดพ้น 10เพราะว่า ถ้าในใจมีความเชื่อในพระเจ้า ก็ทำให้เกิดเป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่งได้ และถ้ายอมรับความจริงของพระเจ้าด้วยปาก ก็ทำให้ได้รับความหลุดพ้นได้ 11เพราะมีข้อพระคัมภีร์ว่า ผู้หนึ่งผู้ใดที่เชื่อในพระเจ้าจะไม่ได้รับความอาย 12เพราะว่าคนยิวและคนกรีกนั้น พระเจ้าไม่ได้ถือว่ามีความแตกต่างกัน เพราะว่าพระเจ้าผู้เป็นเจ้านาย เป็นพระเจ้าของคนทั้งหลาย และประทานให้อย่างบริบูรณ์แก่คนทั้งหลายที่อธิษฐาน สวดอ้อนวอนขอต่อพระองค์ 13เพราะว่า ผู้ที่อธิษฐาน สวดอ้อนวอนในนามของพระเจ้าผู้เป็นเจ้านายจะหลุดพ้น
14แต่ผู้ที่ยังไม่เชื่อในพระองค์ จะอธิษฐาน สวดอ้อนวอนขอต่อพระองค์ได้อย่างไร? และผู้ที่ยังไม่ทันได้ยินถึงเรื่องของพระองค์ จะเชื่อในพระองค์ได้อย่างไร และถ้าไม่มีผู้ใดเผยแพร่ บอกให้เขาฟัง เขาจะได้ยินเรื่องของพระองค์ได้อย่างไร 15และถ้าไม่มีใครใช้เขาไป เขาจะไปเผยแพร่ได้อย่างไร? ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เท้าของคนเหล่านั้นที่นำบารมีของของพระเจ้ามา ช่างงามจริงหนอ 16แต่ไม่ใช่ทุกคนได้เชื่อพึ่งอาศัยในบารมีนั้น เพราะอิสยาห์ได้เว้าไว้ว่า พระเจ้าผู้เป็นเจ้านายของข้า ใครเล่าจะเชื่อพึ่งอาศัยในสิ่งที่เขาได้ยินจากพวกเราทั้งหลาย 17ฉะนั้นความเชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้าเกิดขึ้นได้ ก็เพราะการได้ยินที่เข้าใจ และการได้ยินที่เข้าใจเกิดขึ้นได้ก็เพราะการเผยแผ่บารมีของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 18ข้าพเจ้าถามว่า “เขาทั้งหลายไม่ได้ยินหรือ?” เขาได้ยินแล้วจริง ๆ เสียงของเขากระจายออกไปทั่วแผ่นดินโลก และถ้อยคำของเขาเผยแผ่ออกไปถึงสุดปลายของโลก 19ข้าพเจ้าถามอีกว่า “พวกอิสราเอลไม่เข้าใจหรือ?” ตอนแรกโมเสสกล่าวว่า “ข้าจะให้พวกเจ้าอิจฉาคนที่ไม่ใช่ชนชาติ ข้าจะยั่วโทสะพวกเจ้าด้วยชนชาติที่โง่เง่าเต่าตุ่นชาติหนึ่ง 20แล้วอิสยาห์ก็ได้กล่าวว่า คนเหล่านั้นที่ไม่ได้แสวงหาเราได้เห็นเรา เราได้ปรากฏแก่คนที่ไม่ได้ถามหาเรา 21แต่ท่านได้กล่าวถึงพวกอิสราเอลว่า ‘ตลอดทั้งวัน เรายื่นมือต้อนรับชนชาติ ซึ่งไม่เชื่อฟังและหัวดื้อหัวแข็ง
1ถ้าเช่นนั้นแล้ว ข้าพเจ้าจึงถามว่า “พระเจ้าได้ทิ้งชนชาติของพระองค์แล้วหรือ?” คำตอบก็คือ ไม่ ยังไม่ทิ้ง ข้าพเจ้าเองก็เป็นชนชาติอิสราเอล เป็นพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม เป็นเผ่าเบนยามิน 2พระเจ้าไม่ได้ทิ้งชนชาตินั้น ที่พระองค์ได้รับไว้เป็นของพระองค์แล้ว พวกท่านไม่รู้เรื่องที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงเอลียาห์หรือ? ท่านได้กล่าวโทษพวกอิสราเอลต่อพระเจ้าว่า 3“พระผู้เป็นเจ้าเอ๋ย พวกเขาได้ฆ่าศาสดาพยากรณ์หรือคนทรงของพระองค์ แท่นบูชาของพระองค์เขาก็ได้ขุดทำลายลง เหลืออยู่แต่ข้าฯคนเดียว และเขาแสวงหาช่องทางที่จะฆ่าข้าฯ” 4แล้วพระเจ้าตอบท่านว่าอย่างไร? ก็ว่าอย่างนี้ “เราได้เหลือคนไว้สำหรับเราเจ็ดพันคน ที่เป็นผู้ที่ไม่ได้กราบไหว้เทพบาอัล” 5เช่นนั้นแหละตอนนี้ ก็ยังมีพวกที่เหลืออยู่ ตามที่พระเจ้าได้เลือกไว้โดยพระคุณของพระองค์ 6แต่ถ้าเป็นไปตามพระคุณ ก็ไม่ได้เป็นไปตามการประพฤติ ถ้าเป็นไปตามการประพฤติ พระคุณก็จะไม่เป็นพระคุณอีกต่อไป 7ถ้าเช่นนั้นจะเป็นอย่างไร? พวกอิสราเอลไม่เห็นสิ่งที่เขาแสวงหา แต่คนที่พระเจ้าได้เลือกไว้นั้น เป็นผู้ได้พบ และคนนอกนั้นก็มีใจแข็งกระด้างไป 8ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระเจ้าได้ให้ใจที่เซื่องซึม ให้ตาที่มองไม่เห็น หูที่ฟังไม่ได้ยิน ให้แก่เขาจนถึงทุกวันนี้ 9กษัตริย์ดาวิดได้กล่าวไว้ว่า ขอให้อาหารอันดี และความอุดมสมบูรณ์เป็นกับดักของพวกเขา เป็นหลุมพรางแห่งความทุกข์ยากคอยตอบสนองเขา 10ขอให้ตาของเขามืดไปเพื่อเขาจะได้มองไม่เห็น และขอให้หลังของเขางอค่อมตลอดไป
11ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้ถามว่า พวกอิสราเอลสะดุดจนหกล้มเลยหรือ? คำตอบคือ ไม่ ไม่เป็นเช่นนั้นเลย แต่การที่เขาฝ่าฝืนนั้น เป็นเหตุให้ความหลุดพ้นแผ่ไปถึงพวกต่างชาติ เพื่อจะให้พวกอิสราเอลมีใจมานะขึ้น 12แต่ถ้าการที่พวกอิสราเอลฝ่าฝืนนั้นเป็นเหตุให้ทั้งโลกบริบูรณ์ และถ้าการแพ้ของเขาเป็นเหตุให้คนต่างชาติบริบูรณ์ หากได้เขาเข้ามาเพิ่ม ก็จะดียิ่งกว่านั้นสักเท่าใด 13แต่ข้าพเจ้ากล่าวแก่พวกท่านที่เป็นคนต่างชาติ เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นอัครทูตมายังพวกต่างชาติ ข้าพเจ้าจึงยกย่องงานรับใช้พระเจ้าของข้าพเจ้า 14เพื่อข้าพเจ้าจะได้กระตุ้นใจพี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้า ให้เขาเอาอย่าง เพื่อให้เขาหลุดพ้นได้บ้าง 15เพราะว่าถ้าการที่พี่น้องร่วมชาติของข้าพเจ้า ถูกพระเจ้าทิ้งแล้ว เป็นเหตุให้คนทั้งโลกกลับคืนดีกับพระองค์ การที่พระองค์รับเขากลับมาอีกนั้น ก็เป็นคือกันกับว่าเขาได้ตายไปแล้ว และได้กลับเป็นขึ้นมาใหม่ 16ถ้าแป้งดิบก้อนแรกที่ปิ้ง บริสุทธิ์ แป้งดิบทั้งอ่างก็บริสุทธิ์ด้วย และถ้ารากบริสุทธิ์ กิ่งก้านทั้งหมดกะบริสุทธิ์ด้วย
17แต่ถ้าพระเจ้าหักกิ่งก้านบางกิ่งออก และได้นำพวกท่านผู้เป็นกิ่งมะกอกเทศป่า มาต่อกิ่งแทนกิ่งเหล่านั้น เพื่อให้เข้าเป็นส่วนได้รับน้ำเลี้ยงจากรากต้นมะกอก 18พวกท่านก็อย่าหมิ่นประมาทกิ่งเหล่านั้น ถ้าท่านหมิ่นประมาท ท่านก็ไม่สามารถได้เลี้ยงรากนั้นได้เลย แต่รากต่างหากเป็นผู้เลี้ยงเลี้ยงพวกท่าน 19พวกท่านอาจโต้แย้งว่า “กิ่งเหล่านั้นพระเจ้าได้หักออก ก็เพื่อจะได้ต่อกิ่งของพวกเราไว้” 20ถูกแล้ว เขาถูกหักออก ก็เพราะเขาไม่เชื่อ แต่ที่พวกท่านอยู่ได้ก็เพราะความเชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้าเท่านั้น อย่าเย่อหยิ่งจองหองเลย แต่จงยำเกรงเถิด 21เพราะว่าถ้าพระเจ้าไม่ได้ทรงหวงกิ่งเหล่านั้น พระองค์ก็จะไม่ทรงหวงแหนท่านเหมือนกัน 22เพราะฉะนั้นจงพิจารณาดูทั้งพระกรุณาและความเข้มงวดของพระเจ้า คือพระองค์ทรงเข้มงวดกับคนเหล่านั้น ที่หลงผิดไป แต่พระองค์กรุณาท่าน ถ้าว่าท่านจะดำรงอยู่ในความกรุณานั้นต่อไป มิฉะนั้นจะตัดท่านออกเสียด้วย 23ส่วนพวกอิสราเอล ถ้าเขาไม่ดึงดันอยู่ในความไม่เชื่อ เขาก็จะถูกต่อเข้าไปใหม่ เพราะว่าพระเจ้าทรงสามารถจะต่อได้เข้าอีกได้ 24เพราะว่าถ้าพระเจ้าตัดท่านออกจากต้นมะกอกเทศป่าซึ่งเป็นต้นไม้ตามธรรมชาติ และนำมาต่อกิ่งกับต้นมะกอกพันธุ์ดี ซึ่งผิดธรรมชาติของมันแล้ว การที่จะเอากิ่งเหล่านั้น ซึ่งเป็นกิ่งเดิมมาเข้ากับต้นของมันเอง ก็จะง่ายกว่านั้นสักเท่าใด
25พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเกรงว่าพวกท่านจะอวดรู้ จึงอยากให้ท่านเข้าใจข้อความอันล้ำลึกนี้ คือเรื่องที่บางคนในพวกอิสราเอลมีใจแข็งกระด้างไป จนทำให้พวกต่างชาติได้เข้ามาครบจำนวน 26และเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกอิสราเอลทั้งหลายก็จะได้รับความหลุดพ้น ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระผู้ทำความหลุดพ้นจะมาจากเมืองไซออน และจะกำจัดความชั่วช้าให้หมดสิ้นไปจากยาโคบ 27และนี่หละจะเป็นพันธสัญญาของเรากับท่านทั้งหลาย เมื่อเรายกโทษบาปของท่าน 28ในเรื่องบารมีของพระเจ้านั้น เขาเหล่านั้นก็เป็นศัตรูของพระเจ้า เพื่อประโยชน์ของพวกท่าน แต่ถ้าว่าตามที่พระองค์ได้เลือกไว้ เขาทั้งหลายก็เป็นที่รัก เนื่องจากบรรพบุรุษของเขา 29เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนใจ ในการที่ได้ให้ของขวัญฟรี ๆ และเลือกสรรเขาไว้ 30ท่านทั้งหลายก็เหมือนกัน เมื่อก่อนนี้ พวกท่านไม่ได้เชื่อพระเจ้า แต่ตอนนี้ได้รับความกรุณา เพราะการไม่เชื่อของคนเหล่านั้นฉันใด 31ตอนนี้เขาเหล่านั้นก็มิได้เชื่อ เพื่อว่าเขาจะได้รับความกรุณา โดยพระคุณที่ได้มอบให้ท่านทั้งหลายฉันนั้น 32เพราะว่าพระเจ้าปล่อยให้คนทุกคนอยู่ในฐานะที่ไม่เชื่อ เพื่อพระองค์จะได้กรุณาแก่เขาทั้งหลายทุกคน 33โอ ปัญญาและความรู้ของพระเจ้านั้น ล้ำลึกเท่าใด ข้อตัดสินของพระองค์นั้นเหลือที่จะหยั่งรู้ได้ และทางของพระองค์ก็เหลือที่จะสืบเสาะหาได้ 34เพราะว่า ใครเล่าจะรู้จักใจของพระเจ้า หรือ ใครละเป็นที่ปรึกษาของพระองค์ได้ 35หรือใครเล่าได้ถวายสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้กับพระองค์ ที่พระองค์จะต้องตอบแทนให้กับเขา 36เพราะสิ่งสารพัดมาจากพระเจ้า โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ ขอสง่าราศีจงมีแก่พระองค์สืบ ๆ ไปเป็นนิตย์ สาธุ
1พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนี้ โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงขออ้อนวอนพวกท่านทั้งหลายให้ถวายตัวให้แก่พระเจ้า เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์ และเป็นที่พอใจของพระเจ้า ที่เป็นการกราบไหว้บูชาพระองค์โดยจิตวิญญาณของเจ้าทั้งหลาย 2อย่าทำตามค่านิยมของคนในยุคนี้ แต่จงให้พระเจ้าเปลี่ยนแปลงจิตใจของพวกท่านใหม่ เพื่อท่านจะได้รู้จักใจของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ถูกใจพระองค์ และอะไรดียอดเยี่ยม
3ข้าพเจ้าขอกล่าวกับพวกท่านทั้งหลายทุกคนโดยพระคุณ ที่ได้มอบให้กับข้าพเจ้าแล้วว่า อย่าคิดถือตัวเกินที่ท่านควรจะคิดนั้น แต่จงคิดให้ถ่อมลงอย่างเยือกเย็นสมกับขนาดความเชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้า ที่พระองค์ได้มอบให้กับพวกท่าน 4เพราะว่า ในร่างกายอันเดียวนั้น พวกเรามีอวัยวะหลายอย่าง และอวัยวะนั้น ๆ ไม่ได้มีหน้าที่เหมือนกันฉันใด 5พวกเราผู้เป็นหลายคนยังเป็นกายอันเดียวในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ และเป็นอวัยวะของกันและกันฉันใด 6และพวกเราทุกคนมีพรสวรรค์ที่พระเจ้ามอบให้ต่างกัน ตามพระคุณที่ได้มอบให้แก่เรา คือถ้าเป็นการพยากรณ์ ก็จงพยากรณ์ตามกำลังของความเชื่อเพิ่งอาศัยนั้น 7ถ้าเป็นการรับใช้ก็จงรับใช้ ถ้าเป็นการสั่งสอนก็จงสั่งสอน 8ถ้าเป็นการเตือนสติก็จงเตือนสติ ถ้าเป็นการบริจาค ก็จงให้ด้วยใจกว้างขวาง ผู้ที่ทำกิจกรรมเพื่อผู้อื่น ก็จงทำด้วยเอาใจใส่ ผู้ที่แสดงความเมตตา กะจงแสดงด้วยใจยินดี
9จงมอบพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาด้วยใจจริง จงเกลียดชังสิ่งที่ชั่วช้า จงยึดหมั่นในสิ่งที่ดี 10จงมอบพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อกันฉันพี่น้อง ส่วนการที่ให้เกียรติแก่กันและกันนั้น จงถือว่าผู้อื่นดีกว่าตัวเอง 11อย่าเป็นคนขี้เกียจ จงมีใจกระตือรือร้นด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า จงรับใช้พระเจ้าผู้เป็นเจ้านาย 12จงชื่นชมยินดีในความหวัง จงอดทนต่อความยากลำบาก จงอธิษฐาน สวดอ้อนวอนอย่าได้หยุดหย่อน 13จงเห็นอกเห็นใจช่วยวิมุตติชนของพระเจ้าเมื่อเห็นว่าเขาอดอยาก จงต้อนรับแขกแปลกหน้าด้วยใจยินดี
14จงอวยพรแก่คนที่ข่มเหงท่าน จงให้พร อย่าแช่งด่าเลย 15จงชื่นชมยินดีกับผู้ที่มีความชื่นชมยินดี จงร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้ 16จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน อย่าใฝ่สูง แต่จงถ่อมใจลงยอมทำงานต่ำ อย่าถือว่าตัวเองฉลาด 17อย่าทำความชั่วตอบแทนความชั่วกับผู้หนึ่งผู้ใดเลย แต่จงตั้งอกตั้งใจทำสิ่งที่ใคร ๆ ก็เห็นว่าดี 18เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับท่าน คือถ้าเป็นไปได้ จงอยู่อย่างสงบสุขกับทุกคน 19ฟังดี ๆ นะพี่น้องทั้งหลาย พวกท่านเป็นที่รักของข้าพเจ้า อย่าทำการแก้แค้น แต่จงมอบการแก้แค้นนั้นไว้ แล้วแต่พระเจ้าจะลงโทษ เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระเจ้าผู้เป็นเจ้านายเว้าว่า “การแก้แค้นเป็นของเรา เราจะตอบสองเอง” 20อย่าแก้แค้นเลย ถ้าศัตรูของท่านหิว จงให้อาหารเขากิน ถ้าเขาหิวน้ำก็จงให้น้ำเขาดื่ม เพราะว่าการทำเช่นนั้น เป็นเหมือนกันกับ การสุมถ่านที่ลุกโพลงไว้บนศีรษะของเขา 21อย่าให้ความชั่วชนะพวกท่านได้ แต่จงชนะความชั่วด้วยความดี
1ทุกคนจงยอมอยู่ใต้บังคับบัญชาของผู้ที่มีอำนาจปกครอง เพราะว่าไม่มีอำนาจใดเลยที่มิได้มาจากพระเจ้า และผู้ที่มีอำนาจนั้น พระเจ้าเป็นผู้แต่งตั้งขึ้นมา 2ฉะนั้นผู้ที่ขัดขืนอำนาจนั้น ก็ขัดขืนผู้ที่พระเจ้าได้แต่งตั้งไว้ และผู้ที่ขัดขืนนั้นจะต้องถูกพิพากษาลงโทษ 3เพราะว่าผู้ปกครองนั้นไม่น่ากลัวเลยสำหรับคนที่ทำความดี แต่ว่าเป็นที่น่ากลัวสำหรับคนที่ทำความชั่ว พวกท่านไม่อยากกลัวผู้มีอำนาจหรือ ถ้าเช่นนั้นก็จงทำแต่ความดี แล้วพวกท่านก็จะเป็นที่พอใจของผู้มีอำนาจนั้น 4เพราะว่าผู้ปกครองนั้น เป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเพื่อให้ประโยชน์แก่พวกท่าน แต่ถ้าท่านทำความชั่วก็จงกลัวเถิด เพราะว่าผู้ปกครองนั้นไม่ได้ถือดาบไว้เฉย ๆ เขาเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า และจะเป็นผู้ลงโทษแก่ทุกคนที่ทำความชั่ว แทนพระเจ้า 5ฉะนั้นท่านจะต้องอยู่ในบังคับบัญชา ไม่ใช่เพราะว่ากลัวการลงโทษอย่างเดียว แต่เพราะจิตที่สำนึกผิดชอบชั่วดีด้วย 6เพราะเหตุผลอันเดียวกันนั่นหละ ท่านจึงได้เสียภาษีด้วย เพราะว่าผู้มีอำนาจนั้นเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า และทำหน้าที่นี้อยู่ 7ท่านจงให้แก่ทุกคนตามที่เขาควรจะได้รับ จงเสียภาษีตามที่ควร ความเคารพนับถือควรมีกับผู้ใด ก็จงให้กับผู้นั้น จงให้เกียรติยศแก่ผู้ที่ควรจะได้รับ
8อย่าเป็นหนี้อะไรใครเลย นอกจากพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาที่มีต่อกัน เพราะว่าผู้ที่มีพรหมวิหารสี่ต่อเพื่อนบ้าน ก็ได้ทำตามศีลครบถ้วนแล้ว 9ศีลสิบข้อ ห้ามว่า อย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา อย่าฆ่าคน อย่าลักทรัพย์ อย่าโลภ ทั้งศีลข้ออื่น ๆ ก็รวมอยู่ในข้อนี้คือ ท่านจงมีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อเพื่อนบ้านเหมือนกับมีต่อตัวเอง 10พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาไม่ทำอันตรายเพื่อนบ้านเลย ฉะนั้นพรหมวิหารสี่ จึงเป็นการทำตามศีลอย่างครบถ้วน
11นอกจากนี้ท่านควรจะรู้กาลเวลาว่า ตอนนี้เป็นเวลาที่พวกเราควรจะตื่นจากหลับใหลได้แล้ว เพราะว่าเวลาที่พวกเราจะหลุดพ้นนั้นใกล้กว่าเวลาที่พวกเราได้เริ่มเชื่อพึ่งอาศัยนั้น 12กลางคืนผ่านไปมากแล้ว และรุ่งเช้าก็ใกล้เข้ามา พวกเราจงเลิกกิจกรรมของความมืด และจงสวมเครื่องอาวุธของความสว่าง 13พวกเราจงทำตัวให้เหมาะสมกับเวลากลางวัน ไม่ใช่กินเลี้ยงดื่มเหล้าเมามาย ไม่ใช่เล่นหยาบโลนลามก ไม่ใช่วิวาทริษยาอาฆาตกัน 14แต่พวกท่านจงประดับกายด้วยพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ และอย่าจัดเตรียมอะไรไว้บำรุงบำเรอกิเลส ตัณหาของตัวเอง
1ส่วนคนที่ยังมีความเชื่อน้อยอยู่นั้น จงรับเขาไว้ แต่ไม่ใช่เพื่อให้โต้เถียงกันในเรื่องความเชื่อที่แตกต่างกันนั้น 2คนหนึ่งถือว่าจะกินอะไรก็ได้ทั้งนั้น แต่คนที่มีความเชื่อน้อยก็กินแต่ผักเท่านั้น 3อย่าให้คนที่กินนั้นดูหมิ่นคนที่ไม่ได้กิน และอย่าให้คนที่ไม่ได้กินติเตียนคนที่ได้กิน เพราะว่าพระเจ้าได้รับเขาไว้แล้ว 4พวกท่านเป็นใครเล่า จึงจะไปติเตียนคนใช้ของผู้อื่น คนใช้คนนั้นจะได้ดีหรือจะล่มจมก็สุดแล้วแต่นายของเขา และเขาก็จะได้ดีแน่นอน เพราะว่าพระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์สามารถทำให้เขาได้ดีได้ 5คนหนึ่งถือว่าวันหนึ่งดีกว่าอีกวันหนึ่ง แต่อีกคนหนึ่งถือว่าทุกวันเหมือนกัน ขอให้ทุกคนมีความแน่ใจในความคิดเห็นของตนเองเถิด 6ผู้ที่ถือวัน ก็ถือเพื่อถวายเกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้า ผู้ที่กินก็กินเพื่อถวายเกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้า เพราะเขาขอบพระคุณพระเจ้า และผู้ที่ไม่ได้กิน ก็ไม่ได้กินเพื่อถวายเกียรติแด่พระผู้เป็นเจ้า และยังขอบคุณพระเจ้า 7ในพวกเราไม่มีผู้ใดมีชีวิตอยู่เพื่อตนเองฝ่ายเดียว และไม่มีผู้ใดตายเพื่อตนเองของฝ่ายเดียว 8ถ้าพวกเรามีชีวิตอยู่ ก็มีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าผู้เป็นนาย และถ้าพวกเราตายก็ตายเพื่อพระเจ้าผู้เป็นนายด้วย ฉะนั้นไม่ว่าพวกเรามีชีวิตอยู่หรือตายไปก็ตาม พวกเราก็เป็นคนของพระเจ้า 9เพราะเหตุนี้เอง พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้ตาย และได้เป็นขึ้นมาจากความตายอีก เพื่อพระองค์จะได้เป็นพระเจ้าผู้เป็นนาย ของทั้งคนตายและคนเป็น
10แต่พวกท่านเล่า เหตุไฉนท่านจึงพิพากษาพี่น้องของตน หรือท่านเป็นอีกฝ่ายหนึ่ง ทำไมท่านจึงดูหมิ่นพี่น้องของตน เพราะว่าพวกเราทุกคนต้องยืนอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า 11เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวว่า “เรามีชีวิตอยู่แน่นอนฉันใด ทุกคนจะคุกเข่ากราบไหว้เรา และทุกปากจะสรรเสริญพระเจ้า” 12ฉะนั้นพวกเราทุกคนจะต้องบอกเรื่องราวของตนต่อพระเจ้า
13ฉะนั้นพวกเราอย่าพิพากษากันและกันอีกเลย แต่จงตัดสินใจว่าจะไม่วางอะไรไว้เพื่อทำให้ผู้อื่นสะดุด หรือทำอะไรให้เป็นสิ่งกีดขวางพี่น้อง 14ข้าพเจ้ารู้และเชื่ออย่างแน่นอนในพระเยซูเจ้าว่า ไม่มีอะไรเป็นมลทินในตัวของมันเองเลย แต่ถ้าผู้ใดถือว่าสิ่งใดเป็นมลทินสิ่งนั้นก็เป็นมลทินสำหรับคนนั้น 15ถ้าพี่น้องของท่านไม่สบายใจเพราะอาหารที่ท่านกิน ท่านก็ไม่ได้ทำตามทางแห่งพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาแล้ว พระเยซูตายเพื่อผู้ใด ก็อย่าให้ผู้นั้นพินาศ เพราะอาหารที่ท่านกินเลย 16ฉะนั้นอย่าให้สิ่งที่ดีสำหรับท่าน เป็นข้อตำหนิติเตียนของผู้อื่นได้เลย 17เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง สันติภาพ และสันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า 18ผู้ที่รับใช้พระเยซูในการงานเหล่านั้น ก็เป็นที่พอใจของพระเจ้า และเป็นที่พอใจของมนุษย์ด้วย 19ฉะนั้นให้พวกเราพากันทำในสิ่งที่ทำให้เกิดความสงบสุขแก่กันและกัน และทำให้เกิดความเจริญแก่กันและกันเถิด 20อย่าทำลายงานของพระเจ้าเพราะเห็นแก่อาหารเลย อาหารทุกอย่างไม่มีมลทินก็จริงอยู่ แต่ผู้ใดที่กินอาหารแล้วเป็นเหตุให้ผู้อื่นทำผิด ก็มีความผิดด้วย 21เป็นการดีที่จะไม่กินเนื้อสัตว์หรือเหล้าองุ่นหรือทำอะไร ๆ ที่จะเป็นเหตุให้พี่น้องสะดุด 22ความเชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้า ที่พวกท่านมีอยู่นั้น จงยึดไว้ให้มั่น ผู้ใดไม่มีเหตุที่จะติเตียนตัวเองในสิ่งที่ตนเห็นชอบแล้วนั้น ก็เป็นสุข 23แต่ผู้ที่มีความสงสัยอยู่นั้น ถ้าเขากินก็มีความผิด เพราะเขาไม่ได้กินตามที่ตนเองเชื่อ เพราะว่าการทำอะไรก็ตาม ที่ไม่ได้เกิดจากความเชื่อมั่นก็เป็นบาปทั้งสิ้น
1พวกเราที่มีความเชื่ออย่างเข้มแข็งในพระเจ้า ควรจะอดทนต่อความเชื่อของคนที่เคร่งในข้อหยุม ๆ หยิม ๆ และไม่ควรทำสิ่งใดตามความพอใจของตนเอง 2พวกเราทุกคนจงทำให้เพื่อนบ้านพอใจ เพื่อนำประโยชน์และการพัฒนามาให้เขา 3เพราะว่าพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ก็ไม่ได้ทำสิ่งที่พระองค์พอใจ ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า คำพูดเยาะเย้ยที่ถูกโยนใส่ท่านนั้น ก็ตกอยู่กับเราแล้ว 4เพราะว่าสิ่งที่เขียนไว้ในสมัยก่อนนั้น ก็เขียนไว้เพื่อสั่งสอนพวกเรา เพื่อพวกเราจะได้มีความหวังโดยความอดทน และความชูใจเพราะพระคัมภีร์ 5ขอพระเจ้าแห่งความอดทนและการเสริมสร้าง โปรดช่วยให้ท่านมีน้ำหนึ่งใจเดียวกันตามอย่างพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 6เพื่อท่านทั้งหลายจะได้พร้อมใจกันสรรเสริญพระเจ้า ผู้เป็นพ่อของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นเจ้านายของเรา
7ฉะนั้นจงต้อนรับกันและกัน เหมือนกันกับที่พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้ต้อนรับท่าน เพื่อเกียรติยศของพระเจ้า 8ข้าพเจ้าขอบอกพวกท่านว่า พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์เป็นผู้รับใช้คนยิว เพื่อทำตามพระสัญญาที่มีไว้กับบรรพบุรุษของพวกเขานั้น 9และเพื่อให้คนต่างชาติได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้า เพราะความเมตตาของพระองค์ ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เพราะเหตุนี้ ข้าฯขอสรรเสริญพระองค์ ท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย และร้องเพลงสรรเสริญนามของพระองค์ 10และมีคำกล่าวไว้อีกว่า ประชาชาติทั้งหลายเอ๋ย จงชื่นชมยินดีกับชนชาติของพระองค์ 11แล้วยังมีคำกล่าวอีกว่า ประชาชาติทั้งปวงเอ๋ย จงยกย่องสรรเสริญพระเจ้า และให้ชนชาติทั้งหลายยกย่องพระองค์ 12และอิสยาห์กล่าวอีกว่าเผ่าพันธุ์ของเจสซีจะมา คือผู้จะเกิดมาปกครองบรรดาประชาชาติ ประชาชาติทั้งหลายจะมีความหวังในพระองค์ 13ขอพระเจ้าแห่งความหวังช่วยให้ท่านบริบูรณ์ด้วยความชื่นชมยินดี และมีสันติภาพและสันติสุข ในความเชื่อ เพื่อท่านจะได้เต็มด้วยความหวังโดยฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า
14พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า ท่านบริบูรณ์ด้วยความดี และพร้อมด้วยความรู้ทุกอย่าง สามารถจะเตือนสติกันและกันได้ 15แต่การที่ข้าพเจ้ากล้าเขียนบางเรื่องถึงท่าน เพื่อเตือนความจำของท่าน ก็เพราะเหตุของขวัญแห่งพระคุณของพระเจ้าที่ได้มอบแก่ข้าพเจ้า 16เพื่อให้ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ไปยังคนต่างชาติ และเป็นปุโรหิตฝ่ายบารมีของพระเจ้า เพื่อการถวายพวกต่างชาติทั้งหลายนั้น จะได้เป็นที่พอใจของพระเจ้า คือได้รับความหลุดพ้นขั้นที่สอง โดยพระวิญญาณของพระเจ้า 17ฉะนั้นในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ข้าพเจ้าจึงมีสิ่งที่จะอวดได้ในการงานของพระเจ้าทีข้าพเจ้าทำ 18เพราะว่าข้าพเจ้าไม่อาจจะอ้างอะไรได้ นอกจากสิ่งที่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้ทำ โดยใช้ข้าพเจ้าทางคำสอน และการงานเพื่อจะให้คนต่างชาติเชื่อฟัง 19คือด้วยอิทธิฤทธิ์แห่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ในฤทธิ์เดชแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า จนข้าพเจ้าได้เผยแผ่บารมีของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์อย่างถี่ถ้วน ตั้งแต่กรุงเยรูซาเล็มอ้อมไปยังเมืองอิลลีริคุม 20อันที่จริงข้าพเจ้าได้ตั้งเป้าไว้อย่างนี้ว่า จะเผยแผ่บารมีของพระเจ้า ในสถานที่ที่ไม่เคยมีใครออกนามพระผู้เป็นพระศรีอาริย์มาก่อน เพื่อข้าพเจ้าจะได้ไม่ก่อขึ้นบนรากฐานที่คนอื่นได้วางไว้ก่อนแล้ว 21ตามที่มีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า คนที่ไม่เคยได้รับคำบอกกล่าวเรื่องของพระองค์ ก็จะได้เห็น และคนที่ไม่เคยได้ฟังก็จะได้เข้าใจ
22นี่คือเหตุที่ขัดขวางข้าพเจ้าไว้ไม่ให้มาหาท่าน 23แต่เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ในมณฑลเหล่านี้ต่อไป ข้าพเจ้ามีความต้องการหลายปีแล้วที่จะมาหาพวกท่าน 24เมื่อข้าพเจ้าจะไปประเทศสเปน ข้าพเจ้าจะแวะมาหาท่านทั้งหลายก่อน เพราะข้าพเจ้าหวังว่าจะได้พบท่าน ขณะที่ไปตามทางนั้น และเมื่อได้พบปะสังสรรค์กับพวกท่านทั้งหลายแล้ว หวังว่าท่านจะช่วยจัดส่งให้ข้าพเจ้าเดินทางต่อไป 25ขณะนี้ข้าพเจ้าจะขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อช่วยสงเคราะห์คนของพระเจ้า 26เพราะว่าพวกศิษย์ในมณฑลมาซิโดเนีย และมณฑลอาคายา เห็นชอบที่จะเรี่ยไรเงินส่งไปให้แก่คนของพระเจ้าที่ยากจน ในกรุงเยรูซาเล็ม 27พวกศิษย์เหล่านั้นพอใจที่จะทำเช่นนั้น และความจริงพวกเขาก็เป็นหนี้คนของพระเจ้าเหล่านั้นด้วย เพราะว่าถ้าเขาได้รับคนต่างชาติเข้าส่วนในฝ่ายธรรมะ ก็เป็นการสมควรที่พวกต่างชาตินั้นจะได้รับใช้ลูกศิษย์เหล่านั้น ด้วยสิ่งของฝ่ายโลกด้วย 28เมื่อข้าพเจ้าไปส่งผลทานนั้น มอบให้แก่พวกเขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าพเจ้าก็จะไปประเทศสเปนผ่านตำบลที่ท่านอยู่นั้น 29และข้าพเจ้ารู้ว่า เมื่อข้าพเจ้ามาหาท่านนั้น ข้าพเจ้าจะมาพร้อมด้วยพรอันบริบูรณ์แห่งบารมีของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์
30พี่น้องทั้งหลาย โดยพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์พระเจ้าผู้เป็นนายของพวกเรา และโดยพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาของพระวิญญาณ ข้าพเจ้าวิงวอนขอให้ท่านช่วยอธิษฐาน สวดอ้อนวอนพระเจ้าด้วยใจกระตือรือร้นเพื่อข้าพเจ้าด้วย 31เพื่อให้ข้าพเจ้าพ้นจากเงื้อมมือของคนในประเทศยูเดียที่ไม่เชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้า และเพื่อให้การรับใช้อันเนื่องมาจากผลทาน ที่ข้าพเจ้านำไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เป็นที่พอใจของวิมุตติชนคนของพระเจ้า 32เพื่อข้าพเจ้าจะได้มาหาท่านตามชอบใจของพระเจ้า ด้วยความชื่นชมยินดี และมีความเบิกบานแจ่มใสที่ได้พบท่าน 33ขอพระเจ้าแห่งสันติภาพ และสันติสุข จงอยู่กับเจ้าทั้งหลายเถิด สาธุ
1ข้าพเจ้าขอฝากน้องสาวของพวกเราไว้กับท่านด้วย คือนางเฟบีซึ่งเป็นผู้รับใช้ฝ่ายกิจกรรมในชุมชนของพระเจ้าที่อยู่ในเมืองเคนเครีย 2ขอให้ท่านรับนางไว้ในนามของพระผู้เป็นเจ้า ตามควรแก่การเป็นวิมุตติชนคนของพระเจ้า และขอให้ท่านช่วยนางในทุกอย่างที่นางต้องการ เพราะนางได้ช่วยสงเคราะห์คนหลายคนรวมทั้งข้าพเจ้า 3ขอฝากความคิดถึงมายังปริสคาและอาควิลลา ผู้ร่วมงานกับข้าพเจ้าในการงานของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 4ทั้งสองคนได้เสี่ยงชีวิตของเขา เพื่อป้องกันชีวิตของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอขอบคุณคนทั้งสอง และไม่ใช่ข้าพเจ้าคนเดียว แต่ชุมชนของพระเจ้าของคนต่างชาติทุกแห่งก็ขอบคุณเขาด้วย 5และขอฝากความคิดถึงมายังชุมชนของพระเจ้าที่อยู่ในบ้านเขาด้วย ขอฝากความคิดถึงมายังเอเปเนทัสที่รักของข้าพเจ้า ผู้เป็นคนแรกที่เข้ามาเชื่อเพิ่งอาศัยพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ในมณฑลเอเชีย
6ขอฝากความคิดถึงมายังนางมารีย์ ผู้ได้ตรากตรำทำงานหนักเพื่อท่านทั้งหลาย 7ขอฝากความคิดถึงมายังอันโดรนิคัสกับยูนีอัส ผู้เป็นญาติของข้าพเจ้า และได้ถูกจำจองร่วมกับข้าพเจ้า เขาเป็นคนมีชื่อเสียงดีในหมู่พวกอัครทูต ทั้งได้อยู่ในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ก่อนข้าพเจ้าด้วย 8ขอฝากความคิดถึงมายังอัมพลีอาทัส อันเป็นที่รักของข้าพเจ้าในพระผู้เป็นเจ้า 9ขอฝากความคิดถึงมายังอูรบานัส ผู้ร่วมงานกับพวกเราในการงานของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ และขอฝากความคิดถึงมายังสทาคิสผู้เป็นที่รักของข้าพเจ้า 10ขอฝากความคิดถึงมายังอาเป็ลเลส ผู้เป็นที่พอใจของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ขอฝากความคิดถึงมายังคนในครอบครัวของอาริสโทบูลัส
11ขอฝากความคิดถึงมายังเฮโรดิโอนญาติของข้าพเจ้า ขอฝากความคิดถึงมายังคนในครัวเรือนนารซิสสัส ที่อยู่ในพระผู้เป็นเจ้า 12ขอฝากความคิดถึงมายังตรีเฟนาและตรีโฟสา ผู้ทำงานฝ่ายพระผู้เป็นเจ้า ขอฝากความคิดถึงมายังเปอร์ซีสผู้เป็นที่รัก ผู้ได้ทำการงานในฝ่ายพระผู้เป็นเจ้าอย่างมากมาย 13ขอฝากความคิดถึงมายังรูฟัส ผู้ที่พระเจ้าเลือกไว้เป็นฝ่ายของพระองค์ และแม่ของเขาที่เป็นแม่ของข้าพเจ้าด้วย 14ขอฝากความคิดถึงมายังอาสินครีทัส ฟเลโกน เฮอร์เมส ปัทโรบัส เฮอร์มาส และพี่น้องทั้งหลายที่อยู่กับเขาเหล่านั้น 15ขอฝากความคิดถึงมายังฟีโลโลกัส ยูเลีย และเนเรอัสกับน้องสาวของเขา และโอลิมปัสกับคนของพระเจ้า ที่อยู่กับคนเหล่านั้น 16จงต้อนรับกันด้วยการไปลามาไหว้ บรรดาชุมชนทั้งหลายของพระเจ้า ขอฝากความคิดถึงมายังเจ้าทั้งหลายด้วย
17พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ให้สังเกตดูคนเหล่านั้นที่ก่อเหตุวิวาทและทำให้คนอื่นหลง ซึ่งเป็นการผิดคำสอนที่ท่านทั้งหลายได้เรียนมา จงเมินหน้าจากคนเหล่านั้น 18เพราะว่าคนเหล่านั้น ไม่ได้รับใช้พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา แต่ได้รับใช้กระเพาะของเขาเอง และได้ล่อลวงคนซื่อให้หลงด้วยคำดีคำอ่อนหวาน 19การที่ท่านทั้งหลายได้เชื่อฟังก็เลื่องลือไปถึงหูคนทั้งหลายแล้ว ข้าพเจ้าจึงมีความยินดีเพราะท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านมีความเชี่ยวชาญในการทำดี และให้เป็นคนโง่ในในการทำชั่ว 20อีกไม่ช้าพระเจ้าแห่งสันติภาพ และสันติสุข จะปราบผีพญามารให้ยับเยินลงใต้ฝ่าเท้าของท่านทั้งหลาย ขอพระคุณของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระผู้เป็นเจ้าของเรา จงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด สาธุ
21ทิโมธี ผู้ร่วมงานกับข้าพเจ้า ลูสิอัส ยาโสน และโสสิปาเทอร์ญาติของข้าพเจ้า ฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลายด้วย 22ข้าพเจ้าชื่อเทอร์ทิอัสเป็นผู้เขียนจดหมายฉบับนี้ตามคำบอกของเปาโล ขอฝากความติดถึงมายังท่านทั้งหลายในพระผู้เป็นเจ้า 23กายอัส เจ้าของบ้านผู้เลี้ยงดูข้าพเจ้า และเป็นผู้บำรุงชุมชนของพระเจ้าทั้งหมดฝากความคิดถึงมายังเอรัสทัส สมุหบัญชีของเมือง และควารทัสที่เป็นพี่น้องของพวกเรา ฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลายด้วย 24ขอพระคุณแห่งพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระผู้เป็นเจ้าของพวกเรา จงอยู่กับเจ้าทั้งหลายเถิด สาธุ
25จงถวายเกียรติแก่พระเจ้าผู้ทรงฤทธิ์ สามารถทำให้พวกท่านทั้งหลายตั้งมั่นคงตามบารมีของพระเจ้าที่ข้าพเจ้าได้เผยแพร่นั้น และตามที่ได้เผยแพร่เรื่องพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ตามการเปิดเผยข้อความอันล้ำลึก ที่ได้ปิดบังไว้ตั้งแต่อดีตกาล 26แต่มาบัดนี้ได้เปิดเผยให้ปรากฏแล้ว และโดยหนังสือพระคัมภีร์หมวดศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า ผู้ทำให้ชนชาติทั้งปวงเห็นอย่างแจ่มแจ้ง ตามที่พระเจ้าผู้เป็นอยู่อย่างถาวร ได้สั่งไว้เพื่อให้เขาได้เชื่อในความเชื่อ 27โดยพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ขอสง่าราศีจงมีแด่พระเจ้าผู้รู้แจ้งด้วยพระองค์เอง แต่พระองค์เดียวสืบ ๆ ไปตลอด สาธุ
1จดหมายนี้เขียนโดยเปาโล ผู้ที่พระเจ้าได้เรียกให้เป็นอัครทูตของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ตามความประสงค์ของพระองค์ และโสสเธเนสผู้เป็นพี่น้องของเรา 2เขียนถึง ชุมชนของพระเจ้าที่เมืองโครินธ์ ผู้ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ในความหลุดพ้นพ้นขั้นที่สองแล้วในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ซึ่งพระองค์ได้เรียกให้เป็นวิมุตติชนด้วยกันกับคนทั้งหลายในทุกตำบล ที่ออกพระนามของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของพวกเรา และของพวกเขา 3ขอพระคุณ สันติภาพ และสันติสุขจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และจากพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนาย จงอยู่กับพวกท่านทั้งหลายเถิด
4ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าในเรื่องของพวกท่านทั้งหลายไม่หยุด เพราะพระคุณของพระเจ้าที่มอบให้แก่พวกท่านโดยพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 5เพราะว่าพวกท่านทั้งหลายมีทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระองค์ คือพร้อมด้วยคำพูด และความรู้ทุกอย่าง 6เพราะว่าพยานเรื่องพระผู้เป็นพระศรีอาริย์นั้นเป็นที่รับรองแน่นอนในพวกท่านแล้ว 7พวกท่านทั้งหลาย จึงไม่ได้ขาดของประทานฝ่ายวิญญาณเลย ในขณะที่ท่านคอยการกลับมาของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา 8พระองค์จะให้ท่านมั่นคงอยู่จนถึงที่สุด เพื่อให้ท่านไม่มีที่ติในวันของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา 9พระเจ้าผู้เป็นผู้สัตย์ซื่อ พระองค์ได้เรียกท่านให้สัมพันธ์สนิทกับพระโอรสของพระองค์ คือพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา
10พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอ้อนวอนท่านในนามของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา ขอให้ท่านสามัคคีกัน อย่าถือพวกถือคณะ แต่ขอให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความคิดเห็นเดียวกัน 11พี่น้องทั้งหลาย คนในครอบครัวของนางคะโลเอได้พูดเรื่องของท่านให้ข้าพเจ้าฟังว่า เกิดการโต้เถียงกันขึ้นระหว่างพวกท่าน 12ข้าพเจ้าหมายความว่า พวกท่านต่างก็กล่าวว่า “ข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์เปาโล” หรือ “ข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์อปอลโล” หรือ “ข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์เคฟาส” หรือ “ข้าพเจ้าเป็นลูกศิษย์พระเยซู”
13พระผู้เป็นพระศรีอาริย์แบ่งออกเป็นหลายองค์แล้วหรือ? เขาได้ตรึงเปาโลเพื่อพวกท่านทั้งหลายหรือ? ท่านได้รับพิธีมุดน้ำในนามของเปาโลหรือ? 14ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าที่ข้าพเจ้าไม่ได้ให้ทำพิธีมุดน้ำให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดในพวกท่าน เว้นแต่คริสปัสและกายอัส 15ฉะนั้น จึงไม่มีผู้ใดกล่าวได้ว่า ข้าพเจ้าได้ทำพิธีมุดน้ำในนามของข้าพเจ้าเอง 16ข้าพเจ้าได้ทำพิธีมุดน้ำแก่ครอบครัวของสเทฟานัสด้วย แต่นอกจากคนเหล่านี้แล้ว ข้าพเจ้าไม่รู้ว่าได้ทำพิธีมุดน้ำให้แก่ผู้ใดอีกบ้าง 17เพราะว่าพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ไม่ได้ใช้ข้าพเจ้าไปเพื่อให้เขาทำพิธีมุดน้ำ แต่เพื่อให้ไปเผยแพร่บารมีของพระเจ้า แต่ไม่ใช่ด้วยชั้นเชิงฉลาดในการพูดการจา เกรงว่าเรื่องกางเขนของพระเยซูจะหมดฤทธิ์เดช
18คนทั้งหลายที่กำลังจะพินาศก็เห็นว่าเรื่องกางเขนเป็นเรื่องโง่ แต่พวกเราที่กำลังจะหลุดพ้นก็เห็นว่าเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า 19เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า “เราจะทำให้สติปัญญาของคนมีปัญญาหมดไป และจะทำให้ความเข้าใจของคนที่เข้าใจสูญหายไป” 20คนมีปัญญาอยู่ไหน? นักปราชญ์อยู่ไหน? นักโต้ปัญหาแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน? พระเจ้าไม่ได้ทำให้ปัญญาของโลกนี้ให้โง่เง่าเต่าตุ่นไปแล้วหรือ? 21เพราะตามที่กำหนดไว้ตามสติปัญญาของพระเจ้าแล้ว โลกจะรู้จักพระเจ้าโดยปัญญาของตัวเองไม่ได้ พระเจ้าพอใจที่จะช่วยคนที่เชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์ ให้หลุดพ้นโดยการเผยแพร่เรื่องที่โง่เง่าเต่าตุ่นนั้น
22เพราะว่าพวกยิวก็อยากเห็นหมายสำคัญจากสวรรค์ ส่วนพวกกรีกก็แสวงหาปัญญา 23แต่พวกเราเผยแพร่เรื่องพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้ถูกตรึงที่กางเขน อันเป็นเรื่องที่ทำให้พวกยิวสะดุด และพวกกรีกถือว่าเป็นเรื่องโง่ 24แต่สำหรับผู้ที่พระเจ้าเรียกมานั้น ทั้งพวกยิวและพวกกรีกต่างถือว่า พระผู้เป็นพระศรีอาริย์เป็นฤทธานุภาพ และเป็นปัญญาของพระเจ้า 25เพราะความโง่ของพระเจ้ายังมีปัญญามากกว่าปัญญาของมนุษย์ และความอ่อนแอของพระเจ้าก็ยังแข็งแรงมากกว่ากำลังของมนุษย์
26พี่น้องทั้งหลาย จงไตร่ตรองดูซิว่า พวกท่านที่พระเจ้าได้เรียกมานั้นเป็นคนพวกไหน? มีน้อยคนที่โลกนิยมว่ามีปัญญา มีน้อยคนที่มีอำนาจ มีน้อยคนที่มีตระกูลสูง 27แต่พระเจ้าได้เลือกสิ่งที่โลกถือว่าโง่ เพื่อจะทำให้คนมีปัญญาอับอาย และพระเจ้าได้เลือกสิ่งที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย 28พระเจ้าได้เลือกสิ่งที่โลกถือว่าต่ำต้อย และดูหมิ่น และเห็นว่าไม่มีสาระ เพื่อทำลายสิ่งสิ่งที่โลกเห็นว่าสำคัญและมีสาระ 29เพื่อไม่ให้มนุษย์หน้าไหนอวดต่อหน้าพระเจ้าได้
30โดยพระองค์ท่านจึงอยู่ในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เพราะพระเจ้าตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญา เป็นบุญอันเป็นความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง และเป็นผู้ชำระเราให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง และเป็นผู้ไถ่โทษบาปของพวกเราทั้งหลาย 31เพื่อให้เป็นไปตามที่เขียนว่า “ให้ผู้โอ้อวด อวดพระเจ้าผู้เป็นเจ้านายเถิด”
1พี่น้องทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้ามาหาท่าน ข้าพเจ้าไม่ได้มาเพื่อเผยแพร่บารมีของพระเจ้าแก่ท่านทั้งหลาย ด้วยถ้อยคำอันไพเราะเสนาะ หรือด้วยสติปัญญา 2เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆกับพวกท่านเลย เว้นแต่เรื่องพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ และการที่พระองค์ถูกตรึงที่กางเขนเท่านั้น 3และเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าก็อ่อนกำลัง ไม่ค่อยมั่นใจในตัวเอง กลัวจนตัวสั่นด้วยความหวาดหวั่น 4คำพูด และคำสั่งสอนของข้าพเจ้า ไม่ใช่คำที่ชักจูงหรือจูงใจด้วยสติปัญญาของมนุษย์ แต่เป็นคำที่ได้แสดงพระวิญญาณและฤทธิ์เดชอำนาจของพระเจ้า 5เพื่อความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าของท่านจะไม่ได้อาศัยสติปัญญาของมนุษย์ แต่อาศัยฤทธิ์เดชของพระเจ้า
6พวกเราพูดถึงเรื่องปัญญาในหมู่คนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วก็จริงอยู่ แต่ไม่ใช่เรื่องปัญญาของโลกนี้ หรือเรื่องปัญญาของอำนาจปกครองในโลกนี้ที่จะสูญหายไป 7แต่พวกเราพูดถึง เรื่องปัญญาของพระเจ้าซึ่งเป็นข้อลึกลับ คือปัญญาที่ซ่อนไว้นั้น ซึ่งพระเจ้าได้กำหนดไว้ก่อนสร้างโลกให้เป็นสง่าราศีแก่พวกเรา 8ไม่มีอำนาจปกครองใดๆในโลกนี้ได้รู้จักปัญญานั้น เพราะว่าถ้ารู้แล้วจะไม่ได้เอาพระเจ้าผู้เป็นนายแห่งสง่าราศีไปตรึงไว้ที่กางเขน
9ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า “สิ่งที่ตาไม่เห็น หูไม่ได้ยิน และสิ่งที่มนุษย์คิดไม่ถึง คือสิ่งที่พระเจ้าได้จัดเตรียมไว้สำหรับคนที่รักพระองค์ 10พระเจ้าได้สำแดงสิ่งเหล่านั้นแก่พวกเราทางพระวิญญาณของพระองค์ เพราะว่าพระวิญญาณหยั่งรู้ทุกสิ่ง แม้เป็นความล้ำลึกของพระเจ้า 11อันความคิดของมนุษย์นั้นไม่มีผู้ใดรู้ได้ เว้นแต่จิตใจของมนุษย์ผู้นั้นเองฉันใด ความคิดของพระเจ้าก็ไม่มีใครรู้ได้ เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้าฉันนั้น 12พวกเราทั้งหลายจึงไม่ได้รับวิญญาณของโลก แต่ได้รับพระวิญญาณซึ่งมาจากพระเจ้า เพื่อพวกเราทั้งหลายจะได้รู้ถึงสิ่งต่างๆ ที่พระเจ้าได้ประทานแก่พวกเรา 13พวกเราพูดถึงเรื่องเหล่านี้ด้วยคำพูดที่ไม่ใช่ปัญญาที่มนุษย์สอนไว้ แต่ด้วยคำพูดที่พระวิญญาณได้สั่งสอนไว้ คือพวกเราได้อธิบายความหมายของเรื่องของจิตใจให้คนที่มีพระวิญญาณฟัง”
14แต่คนธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยจิตวิญญาณ 15แต่มนุษย์ฝ่ายจิตวิญญาณสังเกตสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่มีผู้ใดจะรู้จักใจคนนั้นได้ 16เพราะว่า “ใครเล่าจะรู้จักใจของพระเจ้าผู้เป็นนายเพื่อจะแนะนำสั่งสอนพระองค์ได้” แต่พวกเราก็มีใจของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์
1พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่สามารถพูดกับท่านเหมือนกับผู้ที่อยู่ฝ่ายวิญญาณแล้วได้ แต่ต้องพูดกับท่านเหมือนกับคนที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง ที่อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา เหมือนกับท่านเป็นเด็กในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 2ข้าพเจ้าเลี้ยงท่านด้วยน้ำนมไม่ใช่ด้วยอาหารแข็ง เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นท่านยังไม่สามารถรับได้ และแม้แต่เดี๋ยวนี้ท่านก็ยังไม่สามารถรับได้ 3เพราะว่าท่านยังอยู่ฝ่ายเนื้อหนัง การที่ท่านยังอิจฉากัน โต้เถียงกัน และแตกแยกกัน ท่านไม่ได้อยู่ฝ่ายเนื้อหนังหรือ? และไม่ได้ทำตามอย่างคนธรรมดาหรือ? 4เพราะเมื่อคนหนึ่งพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของเปาโล” และอีกคนหนึ่งพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นศิษย์ของอปอลโล” พวกท่านทั้งหลายไม่ได้คนธรรมดาหรือ?
5เปาโลคือผู้ใด อปอลโลคือผู้ใด เขาเป็นผู้รับใช้มาสอนให้พวกท่านทั้งหลายเชื่อ ตามที่พระเจ้าผู้เป็นนายได้ประทานแก่ทุกคน 6ข้าพเจ้าเป็นผู้ปลูก อปอลโลเป็นผู้รดน้ำ แต่พระเจ้าเป็นผู้ทำให้เติบโต 7ฉะนั้น คนที่ปลูก และคนที่รดน้ำไม่มีความสำคัญอะไร แต่พระเจ้าผู้ให้เติบโตนั้นต่างหากที่สำคัญ 8คนที่ปลูก และคนที่รดน้ำก็เป็นพวกเดียวกัน แต่ทุกคนก็จะได้ค่าจ้างของตนตามที่ได้ทำไว้ 9เพราะว่าเราทั้งหลายเป็นผู้ร่วมทำงานเพื่อพระเจ้า พวกท่านทั้งหลายเป็นไร่นาของพระเจ้า และเป็นตึกของพระองค์
10โดยพระคุณของพระเจ้าที่ได้มอบให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้วางรากฐานลงแล้วเหมือนกับนายช่างผู้ชำนาญ และอีกคนหนึ่งก็มาก่อขึ้น ขอให้ทุกคนจงระวังให้ดีว่าเขาจะก่อขึ้นมาอย่างไร 11เพราะว่าผู้ใดจะวางรากฐานอื่นอีกไม่ได้แล้ว นอกจากที่วางไว้แล้วคือพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 12บนรากฐานนั้นถ้าผู้ใดจะก่อขึ้นด้วยทองคำ เงิน เพชรพลอย ไม้ หญ้าแห้งหรือฟาง 13การงานของแต่ละคนก็จะได้ปรากฏให้เห็น เพราะว่าเมื่อถึงวันนั้นจะเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะว่าจะเห็นชัดได้ด้วยไฟ ไฟนั้นจะพิสูจน์ให้เห็นการงานของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร 14ถ้าการงานของผู้ใดที่ก่อขึ้นทนอยู่ได้ ผู้นั้นก็จะได้ค่าตอบแทน 15ถ้าการงานของผู้ใดถูกเผาไหม้ ผู้นั้นก็จะขาดค่าตอบแทน แต่ตัวเขาเองจะหลุดพ้น แต่ก็เหมือนหลุดพ้นจากไฟ
16พวกท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่าท่านเป็นวิหารของพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่ในท่าน 17ถ้าผู้ใดทำลายวิหารของพระเจ้า พระเจ้าจะทำลายผู้นั้น เพราะวิหารของพระเจ้าเป็นที่บริสุทธิ์และพวกท่านทั้งหลายเป็นวิหารนั้น
18อย่าให้ผู้ใดหลอกลวงตัวเอง ถ้าผู้ใดในพวกท่านคิดว่าตัวเป็นคนมีปัญญาตามหลักของยุคนี้ จงให้ผู้นั้นยอมเป็นคนโง่ จึงจะเป็นคนมีปัญญาได้ 19เพราะว่าปัญญาของโลกนี้เป็นความโง่ในสายตาของพระเจ้า เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า “พระองค์จับคนที่มีปัญญาด้วยอุบายของเขาเอง” 20และยังมีอีกว่า “พระเจ้าผู้เป็นนายรู้จักความคิดของคนมีปัญญาว่า เป็นสิ่งที่ไม่มีประโยชน์อะไร” 21เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดยกมนุษย์ขึ้นอวด เพราะว่าพระเจ้าได้ให้สิ่งสารพัดเป็นของพวกท่านทั้งหลาย 22ไม่ว่าจะเป็นเปาโล อปอลโล เคฟาส โลก ชีวิต ความตาย สิ่งในปัจจุบันนี้ หรือสิ่งในอนาคต สิ่งสารพัดนั้นเป็นของพวกท่านทั้งหลาย 23และพวกท่านทั้งหลายเป็นของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ และพระผู้เป็นพระศรีอาริย์เป็นของพระเจ้า
1ให้ทุกคนถือว่าข้าพเจ้ากับอปอลโลเป็นผู้รับใช้ของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ และเป็นผู้อารักขาสิ่งลึกลับของพระเจ้า 2ฝ่ายผู้อารักขาเหล่านั้นต้องเป็นคนที่สัตย์ซื่อทุกคน 3สำหรับข้าพเจ้าแล้วการที่พวกท่านทั้งหลาย หรือมนุษย์คนใดจะตัดสินข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะว่าข้าพเจ้าเองก็ไม่ได้ตัดสินตัวของข้าพเจ้า 4เพราะข้าพเจ้าไม่รู้ว่าข้าพเจ้ามีความผิดอะไร ถึงกระนั้นก็ตามข้าพเจ้าก็ไม่พ้นจากการพิพากษาไปได้ ผู้พิพากษาของข้าพเจ้าคือพระเจ้าผู้เป็นนาย 5เหตุฉะนั้นท่านอย่าตัดสินอะไรก่อนที่จะถึงเวลาจนกว่าพระเจ้าผู้เป็นนายจะกลับมา พระองค์จะเปิดเผยความลับที่อยู่ในความมืดให้กระจ่าง และจะเปิดเผยความในใจของคนทั้งหลายด้วย เมื่อนั้นทุกคนจะได้รับคำชมเชยจากพระเจ้า
6พี่น้องทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าได้นำเรื่องของข้าพเจ้า และอปอลโลมาเปรียบเทียบกัน ก็เพื่อเป็นประโยชน์กับพวกท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านทั้งหลายเอาเรื่องของเราเป็นตัวอย่าง เพื่อให้อยู่ในขอบเขตของพระคัมภีร์ ไม่ให้ผู้ใดในพวกท่านพองตัวขึ้นในการยกคนหนึ่งข่มอีกคนหนึ่ง 7ผู้ใดทำให้ท่าวิเศษกว่าคนอื่น ท่านมีอะไรที่ไม่ได้รับมา ก็เมื่อท่านรับมา ทำไมท่านจึงโอ้อวดปานว่าท่านไม่ได้รับเลย
8พวกท่านทั้งหลายอิ่มหนำแล้วหนอ ร่ำรวยแล้วหนอ พวกท่านได้เป็นพระราชาโดยไม่มีพวกเราร่วมด้วยแล้วหนอ ข้าพเจ้าอยากให้พวกท่านทั้งหลายได้เป็นพระราชาจริงๆ เพื่อพวกเราจะได้นั่งบัลลังก์ร่วมกับท่าน 9เพราะข้าพเจ้าเห็นว่าพระเจ้าได้ตั้งพวกเราผู้เป็นอัครทูตซึ่งเป็นผู้เล็กน้อยในบรรดาอัครทูตทั้งหลาย เหมือนกับผู้ที่ได้ถูกปรับโทษให้ถึงตาย เพราะว่าจักรวาลคือ ทั้งพวกทูตสวรรค์ และมนุษย์มองดูพวกเราด้วยความพิศวง
10พวกเราทั้งหลายเป็นคนโง่ เพราะเห็นแก่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ และพวกท่านทั้งหลายเป็นคนมีปัญญาในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ พวกเราทั้งหลายมีกำลังน้อย แต่พวกท่านทั้งหลายมีกำลังมาก พวกท่านทั้งหลายมีเกียรติยศ แต่เราทั้งหลายเป็นคนอัปยศ 11จนถึงเวลานี้พวกเราก็หิวและกระหาย ขาดเครื่องนุ่งห่ม และถูกเฆี่ยนตี และไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง 12พวกเราทำงานหนักด้วยมือของเราเอง เมื่อถูกด่าเราก็อวยพร เมื่อถูกข่มเหงเราก็อดทนเอา 13เมื่อถูกใส่ร้ายป้ายสีให้ได้รับความเสื่อมเสีย เราก็พยายามทำความเข้าใจด้วยความสุภาพอ่อนน้อม แม้ว่าทำขนาดนั้น ถึงตอนนี้พวกเราก็ยังมีสภาพต่ำต้อย ไม่ต่างอะไรกับผลธุลีให้เขาเหยียบย่ำ หรือขยะมูลฝอยที่ไม่มีคุณค่า
14ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนข้อความเหล่านี้เพื่อจะให้ท่านได้อาย แต่เขียนเพื่อเตือนสติ ในฐานะที่ท่านเป็นลูกที่รักของข้าพเจ้า 15เพราะในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ถึงแม้ท่านมีครูเป็นหมื่นคน แต่ท่านจะมีพ่อหลายคนก็ไม่ได้ เพราะว่าในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ข้าพเจ้าได้ให้กำเนิดแก่ท่านโดยบารมีของพระเจ้า 16เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทำตามอย่างของข้าพเจ้า 17เพราะเหตุนี้ข้าพเจ้าจึงได้ใช้ทิโมธีลูกที่รักของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นคนสัตย์ซื่อในพระเจ้าผู้เป็นนายให้มาหาท่าน เพื่อพาท่านให้คิดถึงแบบการประพฤติของข้าพเจ้าในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ตามที่ข้าพเจ้าสอนอยู่ในทุกชุมชนของพระเจ้า
18แต่บางคนทำท่าผยองราวกับว่าข้าพเจ้าจะไม่มาหาท่านอีก 19แต่ถ้าพระเจ้าผู้เป็นนายโปรดนำพา อีกไม่นานข้าพเจ้าจะมาหาท่าน และข้าพเจ้าจะจะหยั่งดู ไม่ใช่คำพูดของคนที่ทำท่าผยองเหล่านั้น แต่จะหยั่งดูฤทธิ์อำนาจของเขา 20เพราะว่าอาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของคำพูด แต่เป็นเรื่องของฤทธิ์เดช 21ท่านจะเอาอย่างไร จะให้ข้าพเจ้าถือไม้เรียวมาหาท่าน หรือจะให้ข้าพเจ้ามาด้วย พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และด้วยใจถ่อมสุภาพ
1มีข่าวเล่าลือกันว่า ในพวกท่านมีการผิดประเวณี และการผิดประเวณีนั้น แม้แต่ในพวกต่างชาติก็ไม่มีเลย คือเรื่องมีอยู่ว่าคนหนึ่งได้เอาภรรยาของบิดามาเป็นภรรยาของตน 2และพวกท่านยังผยองแทนที่จะเป็นทุกข์เป็นร้อน ที่จะตัดคนที่ทำผิดเช่นนี้ออกจากพวกท่าน 3แม้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กับพวกท่าน แต่ใจของข้าพเจ้าก็อยู่ด้วย ข้าพเจ้าได้ตัดสินลงโทษคนที่ได้ทำผิดเช่นนั้น เสมือนว่าข้าพเจ้าได้อยู่ด้วย
4ในนามของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา เมื่อพวกท่านทั้งหลายประชุมกัน และใจของข้าพเจ้าก็อยู่กับพวกท่าน พร้อมทั้งฤทธิ์เดชของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา 5พวกท่านจงมอบคนนั้นไว้ให้มารทำลายเนื้อหนังเขาเสีย เพื่อให้จิตวิญญาณของเขาหลุดพ้นในวันของพระเยซูพระเจ้าผู้เป็นนาย 6การที่ท่านอวดอ้างนั้นไม่ดีเลย พวกท่านไม่รู้หรือว่าเชื้อขนมเพียงนิดเดียวก็ทำให้แป้งดิบฟูได้ทั้งก้อน
7ดังนั้นจงชำระเชื้อเก่าเสีย เพื่อท่านจะได้เป็นแป้งดิบก้อนใหม่เหมือนกับขนมปังไม่มีเชื้อ เพราะพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้เป็นอาหารทิพย์ของเรา ได้ถูกฆ่าบูชาเพื่อเราแล้ว 8เหตุฉะนั้นให้พวกเรากินอาหารทิพย์นั้น ไม่ใช่เอาเชื้อเก่าหรือเอาเชื้อของความชั่วช้าเลวทราม แต่ด้วยขนมปังที่ไม่มีเชื้อ คือความจริงใจและความจริง
9ข้าพเจ้าได้เขียนจดหมายถึงท่านว่า อย่าคบกับคนที่ล่วงประเวณี 10แต่ที่ท่านจะคบชาวโลกนี้ที่เป็นคนล่วงประเวณี คนโลภ คนฉ้อโกง หรือคนถือรูปเคารพ ข้าพเจ้าไม่ห้ามเลย เพราะว่าถ้าห้ามเช่นนั้นแล้ว ท่านก็ต้องออกไปจากโลกนี้ 11แต่บัดนี้ข้าพเจ้าเขียนบอกท่านว่าถ้าผู้ใดได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องแล้ว แต่ยังล่วงประเวณี เป็นคนโลภ เป็นคนถือรูปเคารพ เป็นคนปากร้าย เป็นคนขี้เมา หรือเป็นคนขี้โกง อย่าคบกับคนเช่นนั้นเลย แม้แต่จะกินด้วยกันก็อย่าเลย 12ไม่ใช่หน้าของข้าพเจ้าที่จะไปตัดสินลงโทษคนภายนอก ท่านจะต้องตัดสินลงโทษคนภายในมิใช่หรือ? 13ส่วนคนภายนอกนั้นพระเจ้าจะเป็นผู้ตัดสินลงโทษ เหตุฉะนั้นจงกำจัดคนชั่วช้านั้นออกจากพวกท่านเสีย
1เมื่อมีผู้หนึ่งผู้ใดในพวกท่านทะเลาะกัน ทำไมพวกท่านจึงไปว่าความกันต่อหน้าคนคนบาป ที่อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา ทำไมไม่ได้ไปว่าความกันต่อหน้าวิมุตติชน 2พวกท่านไม่รู้หรือว่า วิมุตติชนจะพิพากษาโลก และถ้าพวกท่านจะพิพากษาโลก ท่านไม่สมควรจะพิพากษาความเรื่องเล็กน้อยที่สุดหรือ 3ท่านไม่รู้หรือว่า พวกเราจะต้องพิพากษาพวกทูตสวรรค์ ถ้าเช่นนั้นยิ่งจะเป็นการสมควรเท่าใด ที่พวกเราจะพิพากษาตัดสินคดีเรื่องของชีวิตนี้
4ฉะนั้นถ้าพวกท่านเป็นความกันเรื่องชีวิตนี้ ท่านจะตั้งคนในชุมชนของพระเจ้าที่คนนับถือน้อยที่สุดให้ตัดสินหรือ? 5ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ก็เพื่อให้ท่านละอายใจ ในพวกท่านไม่มีแม้แต่คนหนึ่งหรือที่มีสติปัญญาสามารถชำระความระหว่างพี่น้องได้ 6แต่ให้พี่น้องกับพี่น้องต้องไปว่าความกันต่อหน้าคนที่ไม่เชื่อเช่นนั้นหรือ? 7อันที่จริง เมื่อพวกท่านไปเป็นความกัน ท่านก็ทำไม่ถูกต้องแล้ว ทำไมพวกท่านไม่ทนต่อการข่มเหงที่เขาทำกับท่าน ทำไมท่านจึงไม่ยอมถูกโกง 8แต่ท่านเองกลับทำร้ายกัน และโกงกัน ในระหว่างพวกพี่น้องของท่านาเอง
9ท่านไม่รู้หรือว่าคนบาป ที่อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา จะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า อย่าเข้าใจผิดเลย คนล่วงประเวณี คนนับถือรูปเคารพ คนผิดผัวเมียเขา คนผิดประเวณี ร่วมเพศกับเพศเดียวกันไม่ว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย 10คนขโมย คนโลภ คนขี้เหล้าเมายา คนปากร้าย คนขี้โกง จะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า 11แต่ก่อนมีบางคนในพวกท่านเป็นคนเช่นนั้น แต่ท่านได้รับชำระล้างแล้ว ได้รับการชำระให้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง ในนามของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ และพระวิญญาณแห่งพระเจ้าของเรา
12ข้าพเจ้าทำทุกอย่างได้ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่ทำไปนั้นเป็นประโยชน์ ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ ไม่มีใครห้าม แต่ข้าพเจ้าไม่ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งใดเลย 13ข้าวปลาอาหารมีไว้สำหรับท้อง และท้องก็มีไว้สำหรับข้าวปลาอาหาร แต่พระเจ้าจะให้ทั้งท้อง และข้าวปลาอาหารอาหารเสื่อมสูญไป ร่างกายนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับการล่วงประเวณี แต่มีไว้สำหรับพระเจ้าผู้เป็นนาย และพระเจ้าผู้เป็นนายมีไว้สำหรับร่างกาย 14พระเจ้าได้บันดาลให้พระเจ้าผู้เป็นนายเป็นขึ้นมาใหม่ และพระองค์จะบันดาลให้เราทั้งหลายเป็นขึ้นมาใหม่โดยฤทธิ์เดชของพระองค์ด้วย
15ท่านไม่รู้หรือว่า ร่างกายของท่านเป็นอวัยวะของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ เมื่อเป็นเช่นนั้น จะให้ข้าพเจ้าเอาอวัยวะของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ไปเป็นอวัยวะของผู้หญิงโสเภณีหรือ? อย่าให้เป็นเช่นนั้นเลย 16ท่านไม่รู้หรือว่าคนที่ผูกพันกับผู้หญิงโสเภณีก็เป็นกายอันเดียวกันกับผู้หญิงนั้น เพราะพระเจ้าได้กล่าวว่า “เขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน” 17แต่ส่วนคนที่ผูกพันกับพระเจ้าผู้เป็นนาย ก็เป็นจิตใจอันเดียวกันกับพระองค์ 18จงหลีกเลี่ยงจากการล่วงประเวณี ความผิดบาปทุกอย่างที่มนุษย์ทำนั้นเป็นความผิดบาปนอกกาย แต่คนที่ล่วงประเวณีนั้นทำผิดต่อร่างกายของตัวเอง 19ท่านไม่รู้หรือว่าร่างกายของท่านเป็นวิหารของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ที่อยู่ในท่าน ซึ่งท่านได้รับจากพระเจ้า ท่านไม่ใช่เจ้าของตัวเอง 20พระเจ้าได้ซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง เหตุฉะนั้นท่านจงถวายเกียรติแด่พระเจ้าด้วยร่างกายของท่านเถิด
1เรื่องที่พวกท่านเขียนมาถึงข้าพเจ้านั้น ขอตอบว่า การที่ผู้ชายไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงเลยก็ดีแล้ว 2แต่เพื่อป้องกันการล่วงประเวณี ผู้ชายทุกคนควรมีภรรยาเป็นของตัวเอง และผู้หญิงทุกคนควรมีสามีเป็นของตัวเอง 3สามีก็ควรปฏิบัติต่อภรรยาตามควร และภรรยาก็ควรปฏิบัติต่อสามีตามควรเหมือนกันกัน 4ภรรยาไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตัวเอง แต่สามีมีอำนาจเหนือร่างกายของภรรยา ทำนองเดียวกันสามีไม่มีอำนาจเหนือร่างกายของตัวเอง แต่ภรรยามีอำนาจเหนือร่างกายของสามี 5อย่าปฏิเสธการอยู่ร่วมกัน เว้นแต่ว่าได้ตกลงกันเป็นการชั่วคราว เพื่ออุทิศตัวในการถือศีลอด และการอธิษฐานสวดอ้อนวอน แล้วจึงค่อยมาอยู่ด้วยกันอีก เพื่อไม่ให้มารชักจูงให้ทำผิด เพราะทนไม่ได้ 6ข้าพเจ้าพูดอย่างนี้เป็นการอนุญาต ไม่ใช่เป็นการออกคำสั่ง 7ข้าพเจ้าอยากจะให้ทุกคนเป็นเหมือนกับข้าพเจ้า แต่ทุกคนก็ได้รับของประทานจากพระเจ้าเหมาะกับตัวเอง คนหนึ่งได้รับอย่างนี้ และอีกคนหนึ่งได้รับอย่างนั้น
8เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าขอพูดกับคนที่ยังเป็นโสด และพวกแม่ม่ายว่า การที่เขาจะอยู่เหมือนกับข้าพเจ้าก็ดีแล้ว 9แต่ถ้าเขาห้ามใจไม่ได้ก็จงแต่งงานเสียเถิด เพราะแต่งงานก็ดีกว่ามีใจจดจ่ออยู่กับกามตัณหา 10ส่วนคนที่แต่งงานแล้ว ข้าพเจ้าขอสั่ง ไม่ใช่ข้าพเจ้าสั่งเอง แต่พระเจ้าผู้เป็นนายสั่งว่า อย่าให้ภรรยาทิ้งสามี 11แต่ถ้านางทิ้งสามีไปอย่าให้นางมีสามีใหม่ หรือว่าไม่เช่นนั้นก็ให้นางกลับมาคืนดีกับสามีเก่า และขออย่าให้สามีหย่าภรรยาเลย
12ข้าพเจ้าขอพูดกับคนอื่นๆนอกจากพวกนี้ (พระเจ้าผู้เป็นนายไม่ได้พูด) ว่า ถ้าพี่น้องคนใดมีภรรยาที่ไม่เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า และนางพอใจที่จะอยู่กับสามี สามีก็ไม่ควรหย่าจากนาง 13ถ้าผู้หญิงคนใดมีสามีที่ไม่เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า และสามีพอใจที่จะอยู่กับนาง นางก็ไม่ควรหย่าสามีนั้นเลย 14เพราะว่าสามีที่ไม่เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้านั้นได้รับการทำชำระให้บริสุทธิ์ทางภรรยา และภรรยาที่ไม่เชื่อก็ได้รับการชำระให้ให้บริสุทธิ์ทางสามี ถ้าไม่เช่นนั้นบุตรธิดาของท่านก็เป็นมลทิน แต่บัดนี้บุตรธิดาเหล่านั้นก็บริสุทธิ์ 15แต่ถ้าคนที่ไม่เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าจะแยกไป ก็จงให้เขาไปเถิด เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นที่พี่น้องชายหญิงจะผูกมัดให้จำใจอยู่ด้วยกัน เพราะว่าพระเจ้าได้เรียกเราให้อยู่อย่างสงบ 16ท่านผู้เป็นภรรยาทั้งหลาย ไฉนท่านจะได้รู้ว่าท่านจะช่วยสามีให้หลุดพ้นได้หรือไม่? ดูก่อนท่านผู้เป็นสามี ไฉนท่านจะได้รู้ว่า ท่านจะช่วยภรรยาให้หลุดพ้นได้หรือไม่?
17อย่างไรก็ตาม พระเจ้าได้ให้ฐานะแก่แต่ละคนอย่างไร เมื่อตอนที่พระองค์เรียกเขามานั้น ก็ให้เขาอยู่ในฐานะนั้นแหละ ข้าพเจ้าขอสั่งให้ชุมชนของพระเจ้าทั้งหมดทำตามอย่างนั้น 18มีผู้ใดที่พระเจ้าเรียกมาเมื่อเขาได้ทำพิธีเข้าสุหนัตแล้วหรือ? อย่าให้เขาลบรอยนั้นเลย หรือมีผู้ใดที่พระเจ้าเรียกมาเมื่อเขาไม่ได้เข้าสุหนัตหรือ? อย่าให้เขาเข้าสุหนัตเลย 19การเข้าสุหนัตไม่สำคัญอะไร และการไม่เข้าสุหนัตก็ไม่สำคัญอะไร แต่การทำตามบัญญัติหรือศีลของพระเจ้านั้นสำคัญ 20ให้ทุกคนอยู่ในฐานะที่เขาอยู่เมื่อพระเจ้าเรียกมานั้น 21พระเจ้าเรียกท่านเมื่อยังเป็นทาสอยู่หรือ? ก็ไม่เป็นไร จริงอยู่แต่ถ้าท่านสามารถไถ่ตัวออกได้ก็ควรไถ่ดีกว่า 22เพราะผู้ใดที่พระเจ้าผู้เป็นนายเรียกมาเมื่อยังเป็นทาสอยู่ ผู้นั้นเป็นเสรีชนของพระเจ้าผู้เป็นนาย เหมือนกับคนที่พระเจ้าเรียกมาเมื่อเป็นเสรีชน คนนั้นเป็นทาสของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 23พระเจ้าซื้อท่านไว้แล้วด้วยราคาสูง อย่าเข้าเป็นทาสของมนุษย์เลย 24พี่น้องทั้งหลาย ท่านทุกคนอยู่ในฐานะอันใด เมื่อพระเจ้าเรียกมา ก็ให้ผู้นั้นอยู่กับพระเจ้าในฐานะนั้นแหละ
25ส่วนเรื่องหญิงสาวพรหมจารีนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้รับคำสั่งจากพระเจ้าผู้เป็นนาย แต่ข้าพเจ้าก็ขอออกความเห็นในฐานะที่เป็นผู้ได้รับความเมตตาจากพระองค์ให้เป็นผู้ที่ไว้วางใจได้ 26ฉะนั้นเพราะเหตุความยากลำบากที่มีอยู่ในเวลานี้ ข้าพเจ้าเห็นว่า ทุกคนควรจะอยู่อย่างที่เขาอยู่เดี๋ยวนี้ 27ท่านมีภรรยาแล้วหรือ? อย่าหาช่องทางที่จะหย่าภรรยาเลย ท่านเป็นคนตัวเปล่าหรือ? อย่าหาภรรยาใหม่เลย 28ถ้าท่านจะแต่งงานก็ไม่มีความผิดอะไร และถ้าหญิงสาวพรหมจารีจะแต่งงานก็ไม่มีความผิดอะไร แต่คนที่แต่งงานนั้นคงจะต้องยุ่งยากลำบากใจ แต่ข้าพเจ้าอยากจะให้ท่านพ้นจากความยุ่งยากนั้น 29พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความว่า ยุคนี้ก็สั้นมากแล้ว ตั้งแต่นี้ไปให้คนเหล่านั้นที่มีภรรยาดำเนินชีวิตเหมือนกับไม่มีภรรยา 30และให้คนที่เศร้าโศกเป็นเหมือนกับไม่ได้เศร้าโศก และคนที่ชื่นชมยินดีให้เป็นเหมือนกับไม่ได้ชื่นชมยินดี และผู้ที่ซื้อก็ให้ดำเนินชีวิตเหมือนกับว่าเขาไม่มีกรรมสิทธิ์เหนืออะไรเลย 31และคนที่ใช้ของโลกนี้ก็ให้เป็นเหมือนกับไม่ได้ใช้อย่างเต็มที่เลย เพราะสภาวะของโลกนี้กำลังผ่านพ้นไปแล้ว
32ข้าพเจ้าอยากให้ท่านพ้นจากความวิตกกังวล ฝ่ายคนที่ไม่มีภรรยาก็วิตกกังวลในการงานของพระเจ้าผู้เป็นนาย เพื่อจะทำแนวที่พอใจของพระองค์ 33แต่คนที่มีภรรายาแล้วก็วิตกกังวลในการงานของโลกนี้เพื่อจะทำสิ่งที่พอใจของภรรยา 34จึงทำให้มีสองฝักสองฝ่าย ฝ่ายหญิงที่ไม่มีสารมี และสาวพรหมจารี ก็มีใจจดจ่ออยู่ในการงานของพระเจ้าผู้เป็นนาย เพื่อจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ทั้งกาย และจิตใจ แต่ผู้หญิงที่มีสามีแล้วก็วิตกกังวลในการงานของโลกนี้ เพื่อจะทำสิ่งที่พอใจของสามี 35ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ก็เพื่อเป็นประโยชน์ของท่าน ไม่ใช่จะเอาบ่วงบาศคล้องท่าน แต่เพื่อความเป็นระเบียบ ให้ท่านปฏิบัติพระเจ้าผู้เป็นนายโดยปราศจากใจสองฝักสองฝ่าย
36แต่ถ้าชายคนใดมีคู่หมั้นเป็นสาวพรหมจารี และรู้สึกว่าตัวจะปฏิบัติต่อนางอย่างสมควรไม่ได้ มีความต้องการทางเพศอย่างร้อนแรง จนอาจจะมีการล่วงเกินกัน ก็ให้เขาแต่งงานเสีย ไม่มีความผิดอันใดดอก 37แต่ชายคนใดที่ตั้งใจแน่วแน่และเห็นว่าไม่มีความจำเป็น และเขาบังคับใจตัวเองได้ และตั้งใจว่าจะให้หญิงนั้นเป็นคู่หมั้นต่อไป เขาก็ทำดีแล้ว 38เหตุฉะนั้นผู้ใดที่แต่งงานกับคู่หมั้นของตนก็ทำดีอยู่ แต่ผู้ที่ไม่แต่งงานก็ทำดีกว่า
39ตราบใดที่สามียังมีชีวิตอยู่ ภรรยาก็ต้องอยู่กับสามี แต่ถ้าสามีตาย นางก็เป็นอิสระจะแต่งงานกับใครก็ได้ตามใจ แต่ต้องแต่งกับผู้ที่เชื่อในพระเจ้าผู้เป็นนายเท่านั้น 40แต่ตามความเห็นของข้าพเจ้าก็เห็นว่า ถ้านางอยู่คนเดียวจะเป็นสุขกว่า และข้าพเจ้าคิดว่าพระวิญญาณของพระเจ้าอยู่สถิตอยู่กับข้าพเจ้าด้วย
1ส่วนเรื่องของที่เขาบูชาแก่รูปเคารพนั้น พวกเราทั้งหลายรู้แล้วว่าเราทุกคนต่างก็มีความรู้ ความรู้ทำให้ให้คนลำพอง แต่พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ทำให้เกิดการสร้างสรรค์ 2ถ้าผู้ใดอวดว่าตัวรู้สิ่งใดแล้ว แสดงว่าผู้นั้นยังไม่รู้จริงๆตามที่ตัวเองควรจะรู้ 3แต่ถ้าผู้ใดรักพระเจ้า พระองค์ก็รู้จักผู้นั้น
4ฉะนั้นเรื่องการกินอาหารที่เขาได้บูชาแก่รูปเคารพนั้น เรารู้อยู่แล้วว่ารูปนั้นไม่มีความรู้สึกนึกคิดอะไร และพระเจ้าองค์อื่นก็ไม่มี มีแต่พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น 5ถึงแม้มนุษย์บางหมู่บางเหล่าจะเชื่อว่ามีเทพเจ้าต่างๆในสวรรค์ และในแผ่นดินโลก และเขาเรียกกันว่า เทพเจ้า (ก็เป็นเหมือนกับว่ามีพระเจ้าผู้สร้างหลายองค์ และพระเจ้าผู้เป็นนายหลายองค์) 6แต่ว่าสำหรับพวกเรานั้นมีพระเจ้าองค์เดียวคือพระเจ้าผู้เป็นพ่อ และสิ่งสารพัดทั้งหลายเกิดขึ้นจากพระองค์ และเราอยู่ในพระองค์ และเรามีพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายองค์เดียว และสิ่งสารพัดก็เกิดขึ้นโดยพระองคื และเราก็เป็นมาโดยพระองค์
7แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนมีความรู้อย่างนี้ เพราะมีบางคนที่เคยไหว้รูปเคารพมาก่อน เมื่อกินอาหารนั้นก็ถือว่าเป็นของบูชาแก่รูปเคารพจริงๆ และจิตสำนึกผิดชอบของเขายังอ่อนอยู่จึงเป็นมลทิน 8อาหารไม่ใช่สิ่งที่ทำให้พระเจ้าโปรดปรานเราหรอก ถ้าเรากิน เราก็ไม่ได้อะไรเป็นพิเศษขึ้นมา ถ้าเราไม่กิน เราก็ไม่ขาดอะไร 9แต่จงระวัง อย่าให้เสรีภาพของท่านนั้นทำให้คนที่ความเชื่อน้อยหลงผิดไป 10เพราะว่า ถ้าผู้ใดเห็นท่านผู้ที่มีความรู้ นั่งรับประทานอาหารอยู่ในวิหารที่มีรูปเคารพ จิตสำนึกผิดชอบที่อ่อนของคนนั้น จะไม่ยั่วยุให้เขารับประทานของที่ได้บูชาแก่รูปเคารพนั้นหรือ? 11ความรู้ของท่าน จะทำให้พี่น้องที่มีความเชื่ออ่อน ซึ่งพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้ยอมตายเพื่อเขา จะต้องพินาศไป 12ฉะนั้นเมื่อท่านจะทำเช่นนั้นต่อพวกพี่น้อง และทำร้ายจิตสำนึกผิดชอบที่อ่อนของเขา ท่านก็ได้ทำผิดต่อพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 13เหตุฉะนั้น ถ้าอาหารเป็นเหตุทำให้พี่น้องของข้าพเจ้าหลงผิดไป ข้าพเจ้าจะไม่กินเนื้อสัตว์อีกต่อไป เพราะเกรงว่าข้าพเจ้าจะทำให้พี่น้องต้องหลงผิดไป
1ข้าพเจ้าไม่มีเสรีภาพหรือ? ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นอัครทูตหรือ? ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเราหรือ? ท่านทั้งหลายไม่ได้เป็นผลงานของข้าพเจ้าในพระเจ้าผู้เป็นนายหรือ? 2ถ้าข้าพเจ้าไม่ได้เป็นอัครทูตในสายตาของคนอื่น ข้าพเจ้าก็ยังคงเป็นอัครทูตในสายตาของท่าน เพราะพวกท่านคือตราตำแหน่งอัครทูตของข้าพเจ้าในพระเจ้าผู้เป็นนาย
3ถ้าผู้ใดสอบสวนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะบอกว่า 4พวกเราไม่มีสิทธิ์ที่จะกินและดื่มหรือ? 5พวกเราไม่มีสิทธิ์ที่จะพาภรรยาไปไหนมาไหน เหมือนกับอัครทูตคนอื่นๆ และบรรดาน้องชายของพระเจ้าผู้เป็นนายและเคฟาสหรือ? 6มีแต่ข้าพเจ้าและบารนาบัสเท่านั้นหรือที่ไม่มีสิทธิ์จะเลิกทำงานหาเลี้ยงชีพ 7มีใครบ้างที่เป็นทหารไปในสงคราม และต้องกินเสบียงของตัวเอง หรือมีใครบ้างที่ทำสวนปลูมะม่วง และไม่ได้กินมะม่วงในสวนนั้น หรือใครบ้างที่เลี้ยงสัตว์ และไม่ได้กินน้ำนมของฝูงสัตว์นั้น
8ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ตามอย่างของมนุษย์หรือ บัญญัติหรือศีลของพระเจ้าไม่ได้พูดเช่นนี้เหมือนกันหรือ? 9เพราะว่าในบัญญัติหรือศีลของโมเสสเขียนไว้ว่า “อย่าเอาตะกร้าครอบปากวัว เมื่อมันกำลังนวดข้าวอยู่” พระเจ้าเป็นห่วงวัวหรือ? 10หรือพระองค์ได้กล่าวไว้เพื่อประโยชน์ของเราทั้งหลาย อันที่จริงคำกล่าวนั้นท่านเขียนไว้เพื่อประโยชน์ของเราทั้งหลาย ให้คนที่ไถนาไถด้วยความหวัง และให้คนที่นวดข้าวนวดด้วยความหวังว่าจะได้ประโยชน์ตามที่เขาหวัง 11ถ้าพวกเราได้หว่านของฝ่ายจิตวิญญาณให้แก่ท่าน แล้วมันจะเป็นอะไร ถ้าเราจะเก็บเกี่ยวของฝ่ายเนื้อหนังจากท่าน 12ถ้าคนอื่นมีสิทธิ์ที่จะได้รับประโยชน์จากท่าน พวกเราไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับมากกว่าเขาหรือ?
แต่ถึงกระนั้น เราก็ไม่ได้ใช้สิทธิ์นี้เลย แต่ยอมทนทุกข์ยากสารพัด เพื่อเราจะไม่เป็นอุปสรรคขัดขวางบารมีของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 13ท่านไม่รู้หรือว่าคนที่รับใช้ในวัด ก็กินอาหารของวัดนั้น และคนรับใช้ที่แท่นบูชาก็รับส่วนแบ่งจากแท่นบูชานั้น 14ทำนองเดียวกัน พระเจ้าผู้เป็นนายได้สั่งว่า คนที่เผยแพร่บารมีของพระเจ้าควรได้รับการเลี้ยงชีพด้วยบารมีของพระเจ้านั้น
15แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ใช้สิทธิ์เหล่านี้เลย ที่ข้าพเจ้าเขียนเรื่องนี้ ก็ไม่ใช่เพื่อจะให้ท่านทำเช่นนั้นกับข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ายอมตายดีกว่าที่จะให้ผู้ใดทำลายเกียรติอันนี้ของข้าพเจ้า 16เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าเผยแพร่บารมีของพระเจ้านั้น ข้าพเจ้าไม่มีเหตุที่จะอวดได้ เพราะจำเป็นที่ข้าพเจ้าจะต้องเผยแพร่ ถ้าข้าพเจ้าไม่เผยแพร่บารมีของพระเจ้าวิบัติจะเกิดแก่ข้าพเจ้า 17เพราะถ้าข้าพเจ้าเผยแพร่อย่างเต็มใจ ข้าพเจ้าก็จะได้บำเหน็จ แต่ถ้าทำการเผยแพร่โดยฝืนใจ ก็ยังเป็นการที่พระเจ้ามอบหน้าที่เผยแพร่บารมีนั้น ไว้ให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ทำ 18แล้วอะไรละจะเป็นบำเหน็จของข้าพเจ้า คือเมื่อข้าพเจ้าเผยแพร่บารมีนั้น ข้าพเจ้าได้เผยแพร่บารมีของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์โดยไม่คิดค่าจ้าง เพื่อจะไม่ได้ใช้สิทธิ์ในบารมีนั้นอย่างเต็มที่
19เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าไม่ได้อยู่ในบังคับของผู้ใด ข้าพเจ้าก็ยังยอมเป็นทาสคนทั้งหลายเพื่อจะได้ชนะใจคนมากยิ่งขึ้น 20กับพวกยิว ข้าพเจ้าก็ทำเหมือนกับยิว เพื่อจะได้พวกยิว กับพวกที่อยู่ใต้บัญญัติหรือศีล ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนกับคนที่อยู่ใต้บัญญัติหรือศีลเพื่อจะได้คนที่อยู่ใต้บัญญัติหรือศีลนั้น 21กับคนที่อยู่นอกบัญญัติหรือศีล ข้าพเจ้าก็ทำเหมือนกับคนนอกบัญญัติหรือศีล เพื่อจะได้คนที่อยู่นอกบัญญัติหรือศีลนั้น (แต่ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่นอกบัญญัติหรือศีลของพระเจ้า แต่อยู่ใต้บัญญัติหรือศีลแห่งพระผู้เป็นพระศรีอาริย์) 22กับคนอ่อนแอ ข้าพเจ้าก็ทำเหมือนกับคนอ่อนแอ เพื่อจะได้คนอ่อนแอ ข้าพเจ้ายอมเป็นคนทุกชนิดกับคนทั้งหลาย เพื่อจะช่วยเขาให้หลุดพ้นได้บ้างโดยทุกวิถีทาง 23ข้าพเจ้าทำเช่นนี้เพราะเห็นแก่บารมีของพระเจ้า เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีส่วนกับท่านในบารมีของพระเจ้านั้น
24ท่านไม่รู้หรือว่าคนเหล่านั้นที่วิ่งแข่งกัน ก็วิ่งด้วยกันทุกคน แต่คนที่ได้รับรางวัลมีคนเดียว เหตุฉะนั้นจงวิ่งเพื่อชิงเอารางวัลให้ได้ 25ฝ่ายนักกีฬาทุกคนก็เคร่งครัดในระเบียบวินัยทุกอย่าง เขาทำเช่นนั้นเพื่อจะได้มงกุฎใบไม้ซึ่งเหี่ยวแห้งได้ แต่เราทำเพื่อจะได้มงกุฎที่ไม่มีวันเหี่ยวแห้งเลย 26ส่วนข้าพเจ้าวิ่งแข่งเช่นนี้โดยมีเป้าหมาย ข้าพเจ้าได้ต่อสู้เช่นนี้ ไม่ใช่แบบนักมวยที่ชกลม 27แต่ข้าพเจ้าระงับความต้องการฝ่ายเนื้อหนัง อันได้แก่การดับกิเลสให้อยู่ใต้บังคับ เพราะเกรงว่าเมื่อข้าพเจ้าได้เผยแพร่บารมีของพระเจ้าแก่คนอื่นแล้ว ตัวข้าพเจ้าเองจะเป็นคนที่ใช้การไม่ได้
1พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้พวกท่านทั้งหลายเข้าใจว่าบรรพบุรุษของเราทั้งหลายได้อยู่ใต้เมฆ และได้ผ่านทะเลไปทุกคน 2ได้ทำพิธีมุดน้ำใต้เมฆ และในทะเล เข้าส่วนกับโมเสสทุกคน 3และได้กินอาหารทิพย์ทุกคน 4และได้ดื่มน้ำทิพย์ทุกคน เพราะว่าเขาได้ดื่มน้ำซึ่งไหลออกมาจากศิลาทิพย์ที่ติดตามเขามา ศิลานั้นคือพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 5แต่ถึงกระนั้นก็ดี มีคนมากมายในพวกนั้นที่พระเจ้าไม่พอใจ เรารู้ได้ ก็เพราะว่าเขาล้มตายระเนระนาดในถิ่นทุระกันดาร
6เหตุการณ์เหล่านี้เป็นเครื่องเตือนใจพวกเรา ไม่ให้เรามีใจโลภอยากได้สิ่งที่ชั่วเหมือนกับเขาเหล่านั้น 7พวกท่านทั้งหลายอย่านับถือรูปเคารพ เหมือนกับบางคนในพวกเขาได้ทำไปนั้น ตามที่มีเขียนไว้ว่า “ประชาชนก็นั่งลงกินและดื่ม แล้วก็ลุกขึ้นเล่นสนุกสนานกัน” 8อย่าให้เราล่วงประเวณี เหมือนกับบางคนในพวกเขาได้ทำ แล้วก็ล้มลงตายในวันเดียวสองหมื่นสามพันคน 9อย่าให้เราลองดีพระผู้เป็นเจ้านาย เหมือนกับบางคนในพวกเขาได้ทำ แล้วก็ต้องตายด้วยงูพิษ 10พวกท่านทั้งหลายอย่าบ่นเหมือนกับบางคนในพวกเขาได้บ่น แล้วก็ต้องตายไปโดยเพชฌฆาตของพระเจ้า
11เหตุการณ์เหล่านี้ได้เกิดแก่เขาเพื่อเป็นตัวอย่าง และได้บันทึกไว้เพื่อเตือนสติเราทั้งหลาย ซึ่งกำลังอยู่ในวาระสุดท้ายของยุคเก่า 12เหตุฉะนั้นคนที่คิดว่าตัวเองมั่นคงดีแล้ว ก็จงระวังให้ดี เกรงว่าจะล้มลง 13ไม่มีการทดลองใดๆเกิดขึ้นกับท่าน นอกเหนือจากการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ทั้งหลาย พระเจ้าเป็นผู้สัตย์ซื่อ พระองค์จะไม่ให้ท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ แต่เมื่อท่านถูกทดลองนั้น พระเจ้าจะให้ท่านมีทางที่จะหลีกเลี่ยงได้ เพื่อท่านจะมีกำลังทนได้
14เหตุฉะนั้นพวกที่รักทั้งหลาย จงหลีกเลี่ยงจากการนับถือรูปเคารพ 15ข้าพเจ้าพูดกับท่านเหมือนกับพูดกับคนที่มีปัญญา ท่านจงพิจารณาคำพูดที่ข้าพเจ้าพูดนั้นเถิด 16ถ้วยแห่งพระพรซึ่งเราได้ขอพระพรนั้นเป็นสิ่งทำให้เรามีส่วนร่วมในเลือดของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์มิใช่หรือ? ขนมปังที่เราหักนั้นเป็นที่ทำให้เรามีส่วนร่วมในร่างกายของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์มิใช่หรือ? 17แม้ว่าเราเป็นบุคคลหลายคน เราก็ยังเป็นขนมปังก้อนเดียว และเป็นร่างกายเดียว เพราะว่าเราทุกคนกินขนมปังก้อนเดียวกัน 18จงพิจารณาดูการกระทำของพวกอิสราเอล คนที่กินของที่บูชาแล้วนั้น ก็มีส่วนร่วมในแท่นบูชานั้นมิใช่หรือ?
19ถ้าเช่นนั้นจะให้ข้าพเจ้าว่าอย่างไร รูปเคารพนั้นศักดิ์สิทธิ์หรือ? เครื่องบูชาที่ถวายแก่รูปเคารพนั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์หรือ? 20ไม่ใช่เช่นนั้นแน่นอน ข้าพเจ้าหมายความว่า เครื่องบูชาที่คนต่างชาติถวายนั้น เขาถวายบูชาแก่ภูตผีปิศาจ และไม่ได้ถวายแด่พระเจ้า ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านมีส่วนร่วมกับพวกภูตผีปิศาจ 21ท่านจะดื่มจากถ้วยของพระเจ้าผู้เป็นนาย และดื่มจากถ้วยของพวกภูตผีปิศาจพร้อมๆกันไปไม่ได้ ท่านจะรับประทานที่โต๊ะของพระเจ้าผู้เป็นนาย และรับประทานที่โต๊ะของพวกภูตปิศาจไปพร้อมๆกันก็ไม่ได้ 22เราจะยั่วยุให้พระเจ้าผู้เป็นนายเกิดความอิจฉาหรือ? เรามีฤทธิ์มากกว่าพระองค์หรือ?
23ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ ไม่มีใครห้าม แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่ทำไปนั้นเป็นประโยชน์ ข้าพเจ้าทำสิ่งสารพัดได้ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างที่ทำไปนั้นทำให้เจริญขึ้น 24อย่าให้ผู้ใดเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่น 25ทุกสิ่งที่เขาขายตามตลาดขายเนื้อนั้นกินได้ ไม่ต้องถามอะไร โดยเห็นแก่ใจสำนึกผิดชอบของท่าน 26เพราะว่า “แผ่นดินโลกกับสรรพสิ่งในโลกนั้นเป็นของพระเจ้าผู้เป็นนาย” 27ถ้าคนที่ไม่มีความเชื่อจะเชิญท่านไปในงานเลี้ยง และท่านเต็มใจไป สิ่งที่เขาตั้งให้รับประทานนั้นก็รับประทานได้ ไม่ต้องถามอะไร โดยเห็นแก่ใจสำนึกผิดชอบของท่าน 28แต่ถ้ามีใครมาบอกท่านว่า “ของนี้เขาถวายแก่รูปเคารพแล้ว” ท่านก็อย่ารับประทาน เพราะเห็นแก่คนที่บอกนั้น และเห็นแก่ใจสำนึกผิดชอบ
29ข้าพเจ้าไม่ได้หมายถึงใจสำนึกผิดชอบของท่าน แต่หมายเถิงใจสำนึกผิดชอบของคนที่บอกนั้น ทำไมใจสำนึกผิดชอบของผู้อื่นจะต้องมาขัดขวางเสรีภาพของข้าพเจ้าเล่า 30เพราะถ้าข้าพเจ้ารับประทานโดยพระคุณ ทำไมเขายังติเตียนข้าพเจ้าเพราะสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ขอบคุณแล้วเล่า 31เหตุฉะนั้นเมื่อท่านจะรับประทาน จะดื่ม หรือจะทำอะไรก็ตาม จงทำเพื่อเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า 32อย่าเป็นต้นเหตุให้พวกยิว พวกต่างชาติ หรือชุมชนของพระเจ้าหลงผิดไป 33เหมือนกับที่ข้าพเจ้าเองได้พยายามทำทุกสิ่งเพื่อให้เป็นที่พอใจของคนทั้งหลาย ไม่ได้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว แต่เห็นแก่ประโยชน์ของคนทั้งหลาย เพื่อให้เขาหลุดพ้นได้
1พวกท่านทั้งหลายก็จงทำตามอย่างข้าพเจ้า เหมือนกับข้าพเจ้าได้ทำตามอย่างพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 2พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้าขอชมพวกท่านทั้งหลาย เพราะท่านได้คิดถึงข้าพเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง และท่านได้รักษาคำสอนที่สืบทอดกันมาที่ข้าพเจ้าได้มอบไว้แก่ท่าน 3แต่ข้าพเจ้าอยากให้พวกท่านทั้งหลายเข้าใจว่า พระผู้เป็นพระศรีอาริย์เป็นศีรษะของผู้ชายทุกคน และผู้ชายเป็นศีรษะของผู้หญิง และพระเจ้าเป็นศีรษะของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์
4ผู้ชายทุกคนที่อธิษฐานสวดอ้อนวอนหรือพยากรณ์โดยคลุมหัวอยู่ ก็ทำความอัปยศแก่ศีรษะของตัวเอง 5แต่ผู้หญิงทุกคนที่อธิษฐานสวดอ้อนวอนหรือพยากรณ์ ถ้าไม่คลุมศีรษะ ก็ทำความอัปยศแก่ศีรษะของตัวเอง เพราะเหมือนกับว่านางได้โกนผมเสียแล้ว 6เพราะถ้าผู้หญิงไม่ได้คลุมศีรษะ ก็ควรจะตัดผมเสีย แต่ถ้าการที่ผู้หญิงจะตัดผมหรือโกนผมนั้นเป็นสิ่งที่น่าอับอาย จงเอาผ้าคลุมศีรษะเสีย 7การที่ผู้ชายไม่ควรจะคลุมศีรษะนั้น ก็เพราะว่าผู้ชายเป็นรูปลักษณ์ และสง่าราศีของพระเจ้า ส่วนผู้หญิงนั้นเป็นสง่าราศีของผู้ชาย
8เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้สร้างผู้ชายจากผู้หญิง แต่ได้สร้างผู้หญิงจากผู้ชาย 9และไม่ได้สร้างผู้ชายไว้สำหรับผู้หญิง แต่สร้างผู้หญิงไว้สำหรับผู้ชาย 10ด้วยเหตุนี้เอง ผู้หญิงจึงควรจะเอาสัญลักษณ์แห่งอำนาจนี้คลุมศีรษะตัวเอง เพราะเห็นแก่พวกทูตสวรรค์ 11ถึงกระนั้นก็ดี ในพระผู้เป็นเจ้านาย ผู้ชายก็ต้องพึ่งผู้หญิง และผู้หญิงก็ต้องพึ่งผู้ชาย 12เพราะว่าผู้หญิงนั้นพระเจ้าสร้างมาจากผู้ชายฉันใด ต่อมาผู้ชายก็เกิดมาจากผู้หญิงฉันนั้น แต่สิ่งสารพัดก็มีมาจากพระเจ้า 13พวกท่านทั้งหลายจงตัดสินเองเถิดว่า เป็นการสมควรหรือไม่ที่ผู้หญิงจะไม่คลุมศีรษะเมื่ออธิษฐานสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้า 14ธรรมชาติไม่ได้สอนท่านหรือว่า ถ้าผู้ชายไว้ผมยาวก็เป็นที่น่าอายแก่ตัวเอง 15แต่ถ้าผู้หญิงไว้ผมยาวก็เป็นสง่าราศีแก่ตัวเอง เพราะว่าผมเป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานให้แก่คนเพื่อคลุมศีรษะ 16แต่ถ้าผู้ใดจะโต้เถียงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ข้าพเจ้าก็ขอพูดสั้นๆว่า นอกเหนือจากที่พูดมานี้แล้ว พวกเราและชุมชุนของพระเจ้าทั้งหลายไม่มีประเพณีปฏิบัติเป็นอย่างอื่น
17เกี่ยวกับสิ่งต่อไปนี้ ข้าพเจ้ายกย่องท่านไม่ได้ คือว่าการประชุมของท่านนั้นมักจะได้ผลเสียมากกว่าผลดี 18ประการแรก ข้าพเจ้าได้ยินว่า เมื่อท่านประชุมกันนั้น มีการแตกก๊กแตกเหล่าในพวกท่าน และข้าพเจ้าเชื่อว่าคงมีความจริงอยู่บ้าง 19เพราะจะต้องมีการขัดแย้งกันอยู่บ้างในพวกท่าน เพื่อคนที่เป็นฝ่ายถูกในพวกท่านจะได้ปรากฏเด่นขึ้น 20เมื่อพวกท่านทั้งหลายประชุมกันนั้น การประชุมของท่าน จึงไม่ใช่การประชุมเพื่อรับประทานอาหารร่วมกันเพื่อระลึกถึงพระเจ้าผู้เป็นเจ้านาย 21เพราะว่าเมื่อท่านรับประทานอาหารนั้นนั้น บางคนก็รับประทาอาหารของตัวก่อนคนอื่น บางคนก็ยังหิวอยู่ และบางคนก็เมา 22อะไรกันนี่ มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ท่านไม่มีบ้านที่จะรับประทานและดื่มหรือ? หรือว่าท่านดูหมิ่นชุมชนของพระเจ้า และทำให้คนที่ขัดสนได้รับความอับอาย จะให้ข้าพเจ้าว่าอย่างไรกับท่าน จะให้ชมท่านหรือ? ในเรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่ขอชมท่านเลย
23เพราะว่าเรื่องที่ข้าพเจ้าได้มอบไว้กับท่านแล้วนั้น ข้าพเจ้าได้รับจากพระเจ้าผู้เป็นนาย คือในคืนที่เขาทรยศพระเยซู พระเจ้าผู้เป็นนายนั้น พระองค์หยิบขนมปังขึ้นมา 24ครั้นขอบพระคุณแล้ว จึงหักออกแล้วกล่าวว่า “จงรับไปรับประทานเถิด นี่เป็นกายของเรา ซึ่งหักออกเพื่อท่านทั้งหลาย จงทำอย่างนี้เพื่อเป็นที่ระลึกเถิงเรา” 25เมื่อรับประทานแล้ว พระองค์จึงหยิบถ้วยด้วยอาการอย่างเดียวกัน กล่าวว่า “ถ้วยนี้คือพันธสัญญาใหม่ด้วยเลือดของเรา เมื่อท่านดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด จงดื่มให้เป็นที่ระลึกเถิงเรา” 26เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายรับประทานขนมปังนี้ และดื่มจากถ้วยนี้เวลาใด ท่านก็ประกาศการตายของพระเจ้าผู้เป็นนายจนกว่าพระองค์จะกลับมา
27เหตุฉะนั้น ถ้าผู้ใดกินขนมปังนี้ และดื่มจากถ้วยของพระเจ้าผู้เป็นนายอย่างไม่สมควร ผู้นั้นก็ทำผิดต่อร่างกาย และเลือดของพระองค์ 28ขอให้ทุกคนพิจารณาตัวเอง แล้วจึงรับประทานขนมปังและดื่มจากถ้วยนี้ 29เพราะว่าคนที่รับประทานและดื่มอย่างไม่สมควร ก็รับประทานและดื่มเพื่อนำโทษมาสู่ตัวเอง เพราะไม่ได้พิจารณาดูร่างกายของพระเจ้าผู้เป็นนาย 30ด้วยเหตุนี้พวกท่านหลายคนจึงอ่อนกำลัง และป่วยไข้และที่ล่วงหลับไปแล้วก็มีหลายคน 31แต่ถ้าเราพิจารณาตัวเราเอง เราจะไม่ต้องถูกลงโทษ 32เมื่อพระเจ้าผู้เป็นนายลงโทษเรานั้น พระองค์ตีสอนเรา เพื่อไม่ให้เราถูกพิพากษาลงโทษด้วยกันกับโลก
33พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้เมื่อท่านมาร่วมประชุมรับประทานอาหารร่วมกันนั้น จงคอยกันและกัน 34ถ้ามีใครหิวก็ให้เขารับประทานที่บ้านก่อน เพื่อเมื่อมาประชุมกันท่านจะได้ไม่ถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนเรื่องอื่นๆนั้นเมื่อข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าจะแนะนำอีกครั้งหนึ่ง
1พี่น้องทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้าอยากให้ท่านเข้าใจเรื่องของประทานฝ่ายพระวิญญาณนั้น 2ท่านรู้แล้วว่า ก่อนที่จะมาเชื่อในพระเจ้านั้น ท่านถูกชักนำให้หลงไปนับถือรูปเคารพ ซึ่งไม่มีชีวิตจิตใจ ไม่สามารถทำอะไรได้ 3เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงงบอกพวกท่านทั้งหลายให้รู้ว่า ไม่มีผู้ใดที่พูดโดยพระวิญญาณของพระเจ้าว่า “ขอให้พระเยซูถูกสาปแช่ง” และไม่มีผู้ใดอาจพูดว่า “พระเยซูเป็นพระเจ้าผู้เป็นนาย” นอกจากผู้ที่พูดโดยพระวิญญาณ
4ของประทานนั้นมีต่างๆกัน แต่มีพระวิญญาณองค์เดียวกัน 5งานรับใช้มีต่างๆกัน แต่มีพระเจ้าผู้เป็นนายองค์เดียวกัน 6กิจกรรมมีต่างๆกัน แต่มีพระเจ้าองค์เดียวกัน ที่เป็นต้นเหตุแห่งกิจกรรมนั้นๆในทุกคน 7การสำแดงของพระวิญญาณนั้นมีแก่ทุกคนเพื่อประโยชน์ร่วมกัน 8พระเจ้าประทานโดยทางพระวิญญาณให้คนหนึ่งมีคำพูดที่ประกอบด้วยสติปัญญา และให้อีกคนหนึ่งมีคำพูดที่ประกอบด้วยความรู้ แต่เป็นโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน 9และให้อีกคนหนึ่งมีความเชื่อ แต่เป็นโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน และให้อีกคนหนึ่งมีความสามารถรักษาคนป่วยได้ แต่เป็นโดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน 10และให้อีกคนหนึ่งทำการอัศจรรย์ต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งพยากรณ์ได้ และให้อีกคนหนึ่งฮู้จักแยกแยะวิญญาณต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งพูดภาษาต่างๆ และให้อีกคนหนึ่งแปลภาษานั้นๆได้ 11ทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านี้ พระวิญญาณองค์เดียวกันบันดาล และประทานให้แก่แต่ละคนตามใจของพระองค์
12ถึงแม้ว่ากายนั้นเป็นกายเดียว ก็ยังมีอวัยวะหลายส่วน และอวัยวะต่างๆของกายเดียวนั้น แม้ว่าจะมีหลายส่วนก็ยังเป็นกายเดียวกันอย่างไร พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ก็เป็นอย่างนั้น 13เพราะว่าถึงเราจะเป็นพวกยิวหรือพวกต่างชาติ เป็นทาสหรือไม่ใช่ทาสก็ตาม เราทั้งหลายได้รับพิธีมุดน้ำโดยพระวิญญาณองค์เดียว เข้าเป็นกายอันเดียวกัน และพระวิญญาณองค์เดียวกันนั้นซาบซ่านอยู่
14เพราะว่าร่างกายไม่ได้ประกอบด้วยอวัยวะเดียวแต่ประกอบด้วยหลายอวัยวะ 15ถ้าเท้าสิพูดว่า “เพราะข้าพเจ้าไม่ได้เป็นมือ ข้าพเจ้าจึงไม่ได้เป็นอวัยวะของร่างกายนั้น” เท้าจะไม่เป็นอวัยวะของร่างกายเพราะเหตุนั้นหรือ? 16และถ้าหูจะพูดว่า “เพราะข้าพเจ้าไม่ได้เป็นตา ข้าพเจ้าจึงไม่ได้เป็นอวัยวะของร่างกายนั้น” หูจะไม่เป็นอวัยวะของร่างกายเพราะเหตุนั้นหรือ? 17ถ้าอวัยวะทั้งหมดในร่างกายเป็นตา การได้ยินจะอยู่ที่ไหน? ถ้าทั้งร่างกายเป็นหู การดมกลิ่นจะอยู่ที่ไหน? 18แต่บัดนี้พระเจ้าได้ตั้งอวัยวะทุกส่วนไว้ในร่างกายตามชอบใจของพระองค์ 19ถ้าอวัยวะทั้งหมดเป็นอวัยวะเดียว ร่างกายจะมีได้อย่างไร? 20แต่บัดนี้มีหลายอวัยวะ แต่ก็ยังเป็นร่างกายเดียวกัน 21และตาจะพูดกับมือว่า “ข้าพเจ้าไม่ต้องการเจ้า” ก็ไม่ได้ หรือศีรษะจะพูดกับเท้าว่า “ข้าพเจ้าไม่ต้องการเจ้า” ก็ไม่ได้ 22ที่จริง อวัยวะของร่างกายที่เราเห็นว่าอ่อนแอ เราก็ขาดไม่ได้ 23และอวัยวะของร่างกายที่เราถือว่ามีเกียรติน้อย เราก็ยังทำให้มีเกียรติมากขึ้น และอวัยวะที่ไม่น่าดูนั้น เราก็ทำให้น่าดูมากขึ้น 24เพราะว่าอวัยวะที่น่าดูแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องตกแต่งอีก แต่พระเจ้าได้ให้อวัยวะของร่างกายเสมอภาคกัน ให้อวัยวะที่ต่ำต้อยเป็นที่นับถือมากขึ้น 25เพื่อไม่ให้มีการแก่งแย่งกันในร่างกาย แต่ให้อวัยวะทุกส่วนมีความห่วงใยซึ่งกันและกัน 26ถ้าอวัยวะอันหนึ่งเจ็บ อวัยวะทั้งหมดก็เจ็บไปด้วย ถ้าอวัยวะอันหนึ่งได้รับเกียรติ อวัยวะทั้งหมดก็ชื่นชมยินดีไปด้วย
27บัดนี้ฝ่ายท่านทั้งหลายเป็นกายของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ และต่างก็เป็นอวัยวะของกายนั้น 28และพระเจ้าได้โปรดตั้งบางคนไว้ในชุมชนของพระเจ้า คือหนึ่งอัครทูต สองผู้พยากรณ์ สามครูบาอาจารย์ แล้วต่อจากนั้นก็มีการทำอัศจรรย์ การรักษาโรค การช่วยเหลือ การบริหารบุคคล การพูดภาษาต่างๆ 29ทุกคนเป็นอัครทูตหรือ? ทุกคนเป็นคนทรงของพระเจ้าหรือผู้พยากรณ์หรือ? ทุกคนเป็นครูบาอาจารย์หรือ? ทุกคนทำการอัศจรรย์หรือ? 30ทุกคนรักษาโรคหรือ? ทุกคนพูดภาษาต่างๆหรือ? ทุกคนแปลได้หรือ 31แต่พวกท่านทั้งหลายจงแสวงหาของประทานที่ใหญ่กว่านั้นเถิด และข้อยจะแสดงทางดีที่สุดแก่พวกท่านทั้งหลายรู้
1แม้ว่าข้าพเจ้าพูดภาษาต่าง ๆได้ เป็นภาษามนุษย์ก็ดี เป็นภาษาของทูตสวรรค์ก็ดี แต่ไม่มีพรหมวิหารสี่ ซึ่งได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ข้าพเจ้าเป็นคือกันฆ้อง หรือฉาบฉิ่งที่กำลังส่งเสียง 2แม้ว่าข้าพเจ้าพยากรณ์ได้ และเข้าใจในความล้ำลึกทั้งหลายและมีความรู้ทั้งหมด และมีความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าอย่างมากมายพอที่จะยกภูเขาไปได้ แต่ไม่มีพรหมวิหารสี่ ข้าพเจ้าก็ไม่มีค่าอะไรเลย 3แม้ว่าข้าพเจ้าจะสละสิ่งของทุกอย่างที่ข้าพเจ้ามี หรือยอมให้เอาตัวข้าพเจ้าไปเผาไฟ แต่ไม่มีพรหมวิหารสี่ จะหาเป็นประโยชน์กับข้าพเจ้าไม่ได้เลย
4พรหมวิหารสี่ได้แก่ ความอดทน และความเมตตา พรหมวิหารสี่ไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง 5ไมทำสิ่งที่ไม่สมควร ไม่คิดเห็นแก่ตัวฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด 6ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการทำผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการทำถูกต้อง 7พรหมวิหารสี่ ทนได้ทุกอย่าง แม้แต่ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ มีความหวังอยู่เสมอ และอดทนเอาทุกอย่าง
8พรหมวิหารสี่อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขานั้น ไม่มีวันสูญหายไป แม้แต่คำพยากรณ์ก็จะสูญหายไป แม้แต่การพูดภาษาต่างๆนั้นก็จะมีเวลาเลิกไป แม้แต่ความรู้ก็จะสูญหายไป 9เพราะความรู้ของเรานั้นไม่สมบูรณ์ และการพยากรณ์นั้นก็ไม่สมบูรณ์ 10แต่เมื่อความสมบูรณ์มาถึงแล้ว ความบกพร่องนั้นก็จะสูญหายไป 11เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ข้าพเจ้าก็พูดก็แบบเด็ก คิดอย่างเด็ก คิดหาเหตุผลอย่างเด็ก แต่เมื่อข้าพเจ้าเป็นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าก็เลิกอาการแบบเด็กนั้น 12เพราะว่าบัดนี้เราเห็นสลัวๆ เหมือนดังดูในกระจก แต่ในเวลานั้นจะได้เห็นหน้ากันอย่างชัดเจน เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้ารู้แต่ส่วนหนึ่ง แต่ในเวลานั้นข้าพเจ้าจะรู้แจ้ง เหมือนกับพระองค์ได้รู้จักข้าพเจ้าแล้ว 13ดังนั้นสิ่งสำคัญตั้งอยู่สามอย่าง คือความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า ความหวัง พรหมวิหารสี่ และพรหมวิหารสี่นั้นสำคัญที่สุด
1จงมุ่งหาพรหมวิหารสี่ และจงขวนขวายหาของประทานฝ่ายพระวิญญาณ เฉพาะอย่างยิ่งการพยากรณ์ 2เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พูดภาษาแปลกๆได้ ไม่ได้พูดกับมนุษย์ แต่พูดกับพระเจ้า เพราะว่าไม่มีใครเข้าใจได้ แต่เขาพูดเป็นความลึกลับฝ่ายพระวิญญาณ 3ส่วนผู้ที่พยากรณ์นั้นพูดกับมนุษย์ทำให้เขาเจริญขึ้น เป็นที่เตือนสติ และให้กำลังใจกัน 4ส่วนคนที่พูดภาษาแปลกๆนั้น ก็ทำให้ตัวเองเจริญฝ่ายเดียว แต่ผู้ที่พยากรณ์นั้นก็ทำให้ชุมชนของพระเจ้าเจริญขึ้น 5ข้าพเจ้าอยากให้พวกท่านทั้งหลายพูดภาษาแปลกๆได้ แต่ข้าพเจ้าก็อยากจะให้พวกท่านทั้งหลายพยากรณ์ได้ เพราะว่าผู้ที่พยากรณ์ได้นั้นก็สำคัญกว่าคนที่พูดภาษาแปลกๆได้ เว้นแต่ว่าเขาสามารถแปลภาษานั้นๆออก เพื่อชุมชนของพระเจ้าจะได้รับความเจริญขึ้น
6นี่แหละพี่น้องทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้ามาหาท่าน และพูดภาษาแปลกๆ จะเป็นประโยชน์อะไรกับเจ้าเล่า เว้นแต่ว่าข้าพเจ้าจะพูดกับท่านโดยคำที่พระเจ้าเปิดเผยอยากให้รู้ หรือโดยความรู้ หรือโดยคำพยากรณ์ หรือโดยการสั่งสอน 7แม้แต่สิ่งที่ไม่มีชีวิตก็ยังมีเสียงได้ เช่นปี่หรือพิณ ถ้าเสียงนั้นไม่ต่างกัน ใครจะรู้ได้อย่างไรว่า เขาเป่าหรือดีดอะไร 8เพราะถ้าแตรเดี่ยวเปล่งเสียงไม่ชัดเจน ใครเล่าจะเตรียมตัวเข้าประจัญบานได้ 9พวกท่านทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้น ถ้าท่านไม่ใช้ภาษาที่เข้าใจได้ง่าย เขาจะเข้าใจคำพูดนั้นได้อย่างไร ท่านก็จะพูดเพ้อตามลมไป 10ในโลกนี้มีภาษาอย่างมากมาย และไม่มีภาษาใดๆที่ไม่มีความหมาย 11เหตุฉะนั้นถ้าข้าพเจ้าไม่เข้าใจความหมายของภาษานั้นๆ ข้าพเจ้าก็เป็นคนต่างภาษากับคนที่พูด และคนที่พูดนั้นจะเป็นคนต่างภาษากับข้าพเจ้าด้วย 12เหมือนกันนั่นแหละ เมื่อพวกท่านทั้งหลายกำลังร้อนใจแสวงหาของประทานฝ่ายพระวิญญาณแล้ว ก็จงอุตส่าห์ทำตัวของท่านให้สามารถที่จะทำให้ชุมชนของพระเจ้าเจริญขึ้น
13เหตุฉะนั้นให้คนที่พูดภาษาแปลกๆ นั้น ควรจะอธิษฐานสวดอ้อนวอนขอให้แปลได้ด้วย 14เพราะถ้าข้าพเจ้าอธิษฐานสวดอ้อนวอนเป็นภาษาแปลกๆ จิตใจของข้าพเจ้าอธิษฐานสวดอ้อนวอนก็จริงอยู่ แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่เข้าใจ 15ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าควรจะทำอย่างไร ข้าพเจ้าจะอธิษฐานสวดอ้อนวอนด้วยจิตใจ และด้วยความเข้าใจด้วย และจะร้องเพลงด้วยจิตใจ และความเข้าใจด้วย 16มิฉะนั้นเมื่อท่านขอบคุณด้วยจิตใจแล้ว คนอื่นๆที่ไม่รู้และไม่เข้าใจจะว่า สาธุ เมื่อท่านขอบคุณอย่างไรได้ ในเมื่อเขาไม่เข้าใจสิ่งที่ท่านพูด 17แม้ว่าท่านขอบคุณอย่างไพเราะก็ตาม แต่คนอื่นๆนั้นจะไม่เจริญขึ้น 18ข้าพเจ้าขอบพระคุณพระเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้าพูดภาษาต่างมากกว่าพวกท่านทั้งหลายอีก 19แต่ว่าในชุมชนของพระเจ้า ข้าพเจ้าพอใจที่จะพูดสักสี่ห้าคำด้วยความเข้าใจ เพื่อคำพูพดของข้าพเจ้าจะเป็นคติสอนใจคนอื่น ดีกว่าที่จะพูดหมื่นคำเป็นภาษาแปลกๆที่ไม่เข้าใจ
20พี่น้องทั้งหลาย ความเข้าใจของท่านอย่าให้เป็นเหมือนเด็ก อย่างไรก็ตามในเรื่องความชั่วร้ายจงเป็นคือเด็ก แต่ฝ่ายความเข้าใจจงให้เป็นอย่างผู้ใหญ่ 21ในบัญญัติหรือศีลมีคำเขียนไว้แล้วว่า “พระเจ้าผู้เป็นนายพูดว่า ‘เราจะพูดกับชนชาตินี้โดยคนต่างภาษา และโดยริมฝีปากของคนต่างด้าว ถึงกระนั้นเขาก็จะไม่ฟังเรา’” 22เหตุฉะนั้นการพูดภาษาแปลกๆจึงไม่เป็นหมายสำคัญของคนที่เชื่อ แต่เป็นหมายสำคัญของคนที่ไม่เชื่อ ส่วนการพยากรณ์นั้นไม่ใช่สำหรับคนที่ไม่เชื่อ แต่สำหรับคนที่เชื่อแล้ว 23เหตุฉะนั้นถ้าชุมชนของพระเจ้ามีการประชุมกัน แล้วคนทั้งหลายต่างก็พูดภาษาแปลกๆ และมีคนที่รู้ไม่ถึงหรือคนที่ไม่เชื่อเข้ามา เขาจะไม่เห็นว่าพวกท่านทั้งหลายบ้าไปแล้วหรือ? 24แต่ถ้าทุกคนพยากรณ์ คนที่ไม่เชื่อ หรือคนที่รู้ไม่ถึงเข้ามา ทุกคนก็จะทำให้เขารู้สึกสำนึก และทำให้เขาพิจารณาใจของตัวเองได้ 25ดังนั้นความลับที่อยู่ในใจของเขาจะเด่นชัดขึ้นมา เขาก็จะกราบลงพูดว่า พระเจ้าอยู่ท่ามกลางพวกท่านอย่างแน่นอน
26พี่น้องทั้งหลาย เมื่อท่านประชุมกัน ทุกคนก็มีเพลงสดุดี ทุกคนก็มีคำสั่งสอน ทุกคนก็พูดภาษาแปลกๆ ทุกคนก็มีถ้อยคำที่พระเจ้าอยากเปิดเผยให้รู้ ทุกคนก็แปลข้อความ แล้วจะว่าอย่างไร ท่านจงทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้เจริญขึ้น 27ถ้าผู้ใดพูดภาษาแปลกๆ จงให้เว้าสักสองคน หรืออย่างมากที่สุดก็สามคน และให้พูดทีละคน และให้อีกคนหนึ่งแปล 28แต่ถ้าไม่มีผู้ใดแปลก็ให้คนเหล่านั้นไม่ต้องพูดอะไรในที่ประชุมของชุมชนของพระเจ้า และให้พูดกับตัวเอง และพูดกับพระเจ้า 29ฝ่ายพวกผู้พยากรณ์นั้นให้พูดสองหรือสามคน และให้คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ข้อความที่เขาพูดนั้น 30ถ้ามีอะไรที่พระเจ้าจะสำแดงแก่คนอื่นที่นั่งอยู่ด้วยกัน ให้คนแรกนั้นนิ่งเสียก่อน 31เพราะว่าพวกท่านทั้งหลายพยากรณ์ได้ทีละคน เพื่อให้ทุกคนได้ความรู้ และได้รับการปลอบใจ 32จิตใจของพวกผู้พยากรณ์นั้นก็อยู่ในบังคับพวกผู้พยากรณ์ 33เพราะว่าพระเจ้าไม่ใช่ผู้ก่อให้เกิดความสับสนวุ่นวาย แต่เป็นผู้ก่อให้เกิดสันติภาพและสันติสุข
เหมือนกับที่ได้เกิดขึ้นในชุมชนของพระเจ้าแห่งวิมุตติชนนั้น 34จงให้พวกผู้หญิงนิ่งเสียในที่ประชุมของชุมชนของพระเจ้า เพราะเธอไม่ได้รับอนุญาตให้พูด แต่ให้เธออยู่ใต้บังคับบัญชา เหมือนกับที่บัญญัติหรือศีลสั่งไว้นั้น 35ถ้าเธออยากรู้อะไร ก็ให้ไปถามสามีที่บ้าน เพราะว่าการที่ผู้หญิงจะพูดในที่ประชุมของชุมชนของพระเจ้านั้นก็เป็นสิ่งที่น่าอาย 36พระคำของพระเจ้าเกิดมาจากพวกท่านหรือ? หรือได้ประทานมาถึงท่านแต่พวกเดียวหรือ?
37ถ้าผู้ใดถือว่าตนเป็นผู้พยากรณ์ ก็ให้เขายอมรับว่า ข้อความที่ข้าพเจ้าเขียนมาถึงท่านนั้น เป็นบัญญัติหรือศีลของพระเจ้าผู้เป็นนาย 38แต่ถ้าผู้ใดละเลยต่อข้อความนี้ ก็ให้เขาละเลยต่อไป 39เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย จงตั้งใจที่จะพยากรณ์ ที่เขาพูดภาษาแปลกๆก็อย่าห้ามเลย 40แต่สิ่งสารพัดที่ทำไปนั้น จงทำตามสมควร และให้เป็นระเบียบวินัยเถิด
1พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอให้ท่านคำนึงถึงบารมีของพระเจ้าที่ข้าพเจ้าเคยเผยแพร่แก่พวกท่านทั้งหลาย ซึ่งท่านได้ยอมรับไว้ อันเป็นรากฐานที่พวกท่านทั้งหลายตั้งมั่นอยู่ 2และทำให้ท่านหลุดพ้นด้วย ถ้าท่านยึดหลักคำสอนที่ข้าพเจ้าได้เผยแพร่แก่พวกท่านทั้งหลายนั้น เว้นแต่ว่าท่านได้เชื่อเฉยๆ 3เรื่องที่ข้าพเจ้ารับไว้นั้น ข้าพเจ้าได้เผยแพร่แก่พวกท่านทั้งหลายก่อน คือว่าพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้ตายเพราะบาปของเราทั้งหลาย ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ 4และถูกฝังไว้ แล้ววันที่สามพระองค์ได้เป็นขึ้นมาใหม่ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์นั้น 5พระองค์ได้ปรากฏตัวกับเคฟาส และอัครทูตสิบสองคน
6ภายหลังพระองค์ได้ปรากฏตัวกับพวกพี่น้องกว่าห้าร้อยคนในเวลาเดียว ซึ่งส่วนมากก็ยังมีชีวิตอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่บางคนก็ล่วงหลับไปแล้ว 7ภายหลังพระองค์ได้ปรากฏตัวกับยากอบ แล้วกับอัครทูตทั้งหมด 8ครั้งหลังสุดพระองค์ได้ปรากฏตัวกับข้าพเจ้า ผู้เป็นเหมือนกับเด็กที่คลอดก่อนกำหนด 9เพราะว่าข้าพเจ้าเป็นผู้น้อยที่สุดในพวกอัครทูต และไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นอัครทูต เพราะว่าข้าพเจ้าได้ข่มเหงชุมชนของพระเจ้า 10แต่ว่าข้าพเจ้าเป็นอยู่อย่างที่เป็นอยู่นี้ก็เนื่องจากพระคุณของพระเจ้า และพระคุณซึ่งได้ประทานแก่ข้าพเจ้านั้นไม่เสียประโยชน์อะไร เพราะข้าพเจ้ากลับทำงานหนักกว่าพวกเขาเสียอีก ไม่ใช่ข้าพเจ้าเองทำ แต่พระคุณของพระเจ้าซึ่งอยู่กับข้าพเจ้าเป็นผู้ทำ 11เหตุฉะนั้นแม้ตัวข้าพเจ้าก็ดี หรือพวกเขาก็ดี เราทั้งหลายก็ได้เผยแพร่อย่างที่พูดมานั้น และท่านทั้งหลายก็ได้เชื่อเช่นนั้น
12แต่ถ้ามีการเทศนาสั่งสอนว่าพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้เป็นขึ้นมาจากตายแล้ว ทำไมพวกท่านบางคนยังพูดว่า การเป็นขึ้นมาจากตายไม่มี 13ถ้าการเป็นขึ้นมาจากตายไม่มี พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ก็ไม่ได้เป็นขึ้นมาจากตายเลย 14ถ้าพระผู้เป็นพระศรีอาริยไม่ได้เป็นขึ้นมา การเผยแพร่ของเรานั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร ทั้งความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าของพวกท่านทั้งหลายก็ไม่มีประโยชน์ด้วย 15และก็จะเห็นว่าเราอ้างพยานเท็จในเรื่องพระเจ้า เพราะเราอ้างพยานถึงพระเจ้าว่าพระองค์ได้บันดาลให้ พระผู้เป็นพระศรีอาริย์เป็นขึ้นมา แต่ถ้าคนตายไม่เป็นขึ้นมาแล้ว พระองค์ก็ไม่ได้บันดาลให้พระผู้เป็นพระศรีอาริย์เป็นขึ้นมา 16เพราะว่าถ้าคนตายไม่ได้เป็นขึ้นมา พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ก็ไม่ได้เป็นขึ้นมา 17และถ้าพระองค์ไม่ได้เป็นขึ้นมา ความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าของท่านก็ไม่มีประโยชน์อะไร ท่านก็ยังตกอยู่ในบาปของท่านอยู่นั่นหละ 18และคนทั้งหลายที่ล่วงหลับในพระองค์ ก็พินาศไปด้วยกัน 19ถ้าในชีวิตนี้ พวกเราซึ่งอยู่ในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์มีเพียงความหวังเท่านั้น เราก็เป็นพวกที่น่าสงสารที่สุดในบรรดาคนทั้งหลาย
20แต่ความจริงแล้ว พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้ถูกบันดาลให้เป็นขึ้นมาจากความตาย และเป็นผลแรกของคนทั้งหลายที่ได้ล่วงหลับไปแล้วนั้น 21เพราะว่าความตายได้เกิดขึ้นเพราะมนุษย์คนหนึ่งเป็นต้นเหตุฉันใด การเป็นขึ้นมาจากความตายก็ได้เกิดขึ้นเพราะมนุษย์คนหนึ่งเป็นต้นเหตุฉันนั้น 22เพราะว่าคนทั้งหลายต้องตายเพราะเกี่ยวเนื่องกับอาดัมฉันใด คนทั้งหลายก็จะกลับได้ชีวิตเพราะเกี่ยวเนื่องกับพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ฉันนั้น 23แต่ว่าก็จะเป็นไปตามลำดับ คือพระผู้เป็นพระศรีอาริย์เป็นคนแรก แล้วภายหลังก็คือคนทั้งหลายที่เป็นของพระองค์ เมื่อพระองค์จะกลับมา 24ต่อจากนั้นจะเป็นวาระที่สุด เมื่อพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ปราบปรามภูติผีที่ครอบครองทั้งหมด และภูตผีที่มีฤทธิ์ทั้งหลายจนราบคาบแล้ว พระองค์ก็จะมอบราชอาณาจักรไว้กับพระเจ้าผู้เป็นพ่อ 25เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะพระผู้เป็นพระศรีอาริย์จะต้องปกครองราชอาณาจักรของพระองค์ จนกว่าจะได้ปราบปรามศัตรูทั้งหลายให้อยู่แทบเท้าของพระองค์ 26รวมทั้งศัตรูตัวสุดท้ายคือความตาย ที่จะถูกทำลายให้สูญหายไป
27เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะพระเจ้าผู้เป็นพ่อได้มอบสิทธิ์อำนาจในการปกครองสรรพสิ่งทั้งหลาย ไว้กับพระองค์แล้ว ฉะนั้น จึงมีแต่พระเจ้าผู้เป็นพ่อเท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจสิทธิ์ขาดนี้ เพราะพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ก็จะไม่ปกครองพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ผู้ที่มอบสิทธิอำนาจให้กับพระองค์อย่างแน่นอน 28เมื่อสิ่งสารพัดถูกปราบให้อยู่ใต้พระเจ้าผู้เป็นพ่อแล้ว เมื่อนั้นพระโอรสของเพิ่นก็จะอยู่ใต้พระเจ้าผู้เป็นพ่อ ผู้ที่ปราบสิ่งสารพัดให้อยู่ใต้พระองค์ เพื่อพระเจ้าผู้เป็นพ่อเป็นใหญ่ในสิ่งสารพัดทั้งหลาย
29มิฉะนั้น คนเหล่านั้นที่ทำพิธีมุดน้ำสำหรับคนตายเขาทำอะไรกัน ถ้าคนตายจะไม่ได้เป็นขึ้นมา ทำไมจึงมีคนทำพิธีมุดน้ำสำหรับคนตายเล่า 30และทำไมพวกเราจึงต้องเผชิญกับภัยอันตรายตลอดเวลาเล่า 31ข้าพเจ้าขอยืนยันโดยอ้างความภูมิใจที่ข้าพเจ้ามีอยู่ในพวกท่านทั้งหลายโดยพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเราว่า “ข้าพเจ้าตายทุกวัน 32ถ้าข้อยหวังเพียงประโยชน์ในชีวิตนี้เท่านั้น การที่ข้าพเจ้าต่อสู้กับสัตว์ป่าในเมืองเอเฟซัสนั้น จะมีประโยชน์อะไร ถ้าคนตายไม่ได้เป็นขึ้นมาอีก ถ้าเช่นนั้นก็ให้เรากินและดื่ม เพราะว่าพรุ่งนี้เราก็ตายแล้ว” 33อย่าเข้าใจผิดเลย การคบกับคนชั่วก็ทำให้นิสัยที่ดีเสียไป 34จงกลับหลังหันจากความผิดบาปและอย่าทพผิดบาปอีกเลย เพราะว่าบางคนไม่มีความรู้เรื่องพระเจ้าเลย ที่ข้าพเจ้าว่านี้ก็ให้ท่านมีความละอาย
35แต่บางคนจะถามว่า “คนตายจะเป็นขึ้นมาได้อย่างไร? เมื่อเขาเป็นขึ้นมารูปร่างจะเป็นอย่างไร?” 36โอ คนโง่เขลา เมล็ดที่ท่านหว่านลงไปนั้น ถ้าไม่ตายก่อนแล้วจะงอกขึ้นใหม่ไม่ได้ 37เมล็ดข้าวที่ท่านหว่านนั้น จะเป็นข้าวสาลี หรือพืชอื่นๆก็ดี ท่านไม่ได้หว่านสิ่งที่เป็นรูปร่างของต้นที่จะงอกขึ้นมา แต่ได้หว่านเมล็ดเท่านั้น 38แต่พระเจ้าประทานรูปร่างต้นของเมล็ดนั้นตามที่พระองค์เห็นชอบ และประทานรูปร่างแก่เมล็ดพืชทุกพรรณตามชนิดของมัน 39เพราะว่าเนื้อนั้นบ่คือกันหมดทุกอย่าง เนื้อมนุษย์ก็อย่างหนึ่ง เนื้อสัตว์สี่เท้าก็อย่างหนึ่ง เนื้อปลาก็อย่างหนึ่ง เนื้อนกก็อย่างหนึ่ง 40ร่างกายสำหรับสวรรค์ก็มี และร่างกายสำหรับโลกก็มี แต่ว่าสง่าราศีของร่างกายสำหรับสวรรค์ก็อย่างหนึ่ง และสง่าราศีของร่างกายสำหรับโลกก็อย่างหนึ่ง 41สง่าราศีของดวงอาทิตย์ก็อย่างหนึ่ง สง่าราศีของดวงจันทร์ก็อย่างหนึ่ง สง่าราศีของดวงดาวก็อย่างหนึ่ง แท้ที่จริงสง่าราศีของดาวดวงหนึ่งก็ต่างกันกับสง่าราศีของดาวดวงอื่นๆ
42การที่จะเป็นขึ้นมาจากความตายนั้นก็เหมือนกัน สิ่งที่หว่านลงนั้นเป็นของที่จะเน่าเปื่อย สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่นั้นก็จะไม่รู้จักเน่าเปื่อย 43สิ่งที่หว่านลงนั้นไม่มีเกียรติ สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่ก็จะมีสง่าราศี สิ่งที่หว่านลงนั้นอ่อนกำลัง สิ่งที่เป็นขึ้นมาใหม่ก็จะมีอำนาจ 44สิ่งที่หว่านลงนั้นก็เป็นกายธรรมดา สิ่งที่เป็นขึ้นมาก็จะเป็นกายทิพย์ กายธรรมดามี และกายทิพย์ก็มี 45เหมือนกับมีเขียนไว้แล้วว่า “พระเจ้าสร้างมนุษย์คนเดิมคืออาดัม เขาจึงเป็นผู้มีชีวิตอยู่” แต่อาดัมผู้ที่มาภายหลังนั้นเป็นพระวิญญาณผู้ประทานชีวิต 46แต่ร่างกายที่เกิดก่อนนั้นไม่ใช่เป็นกายทิพย์ แต่เป็นกายธรรมดา แล้วภายหลังจึงเป็นกายทิพย์ 47มนุษย์เดิมนั้นกำเนิดจากดิน และเป็นมนุษย์ดิน มนุษย์ที่สองเป็นพระเจ้าผู้เป็นนายมาจากสวรรค์ 48มนุษย์ดินผู้นั้นเป็นอย่างไร มนุษย์ดินทุกคนก็เป็นอย่างนั้น มนุษย์สวรรค์ผู้นั้นเป็นอย่างไร มนุษย์สวรรค์ทุกคนก็เป็นอย่างนั้น 49และเมื่อเราเกิดมามีลักษณะสมกับมนุษย์ดินแล้ว เราก็จะมีลักษณะสมกับมนุษย์สวรรค์เหมือนกัน 50แต่พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าหมายความว่า เนื้อและเลือดจะมีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้ และสิ่งที่เน่าเปื่อยจะมีส่วนในสิ่งที่ไม่รู้จักเน่าเปื่อยก็ไม่ได้
51ในตอนนี้ ข้าพเจ้ามีความลึกลับที่สิบอกท่าน คือว่าเราจะไม่ล่วงหลับหมดทุกคน แต่เราจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่หมด 52ในชั่วขณะเดียว ในพริบตาเดียว เมื่อเป่าแตรครั้งสุดท้าย เพราะว่าจะมีเสียงแตร และคนที่ตายแล้วจะเป็นขึ้นมาปราศจากเน่าเปื่อย แล้วเราทั้งหลายจะถูกเปลี่ยนแปลงใหม่ 53เพราะว่าสิ่งที่เน่าเปื่อยนี้ต้องสวมที่ไม่เน่าเปื่อย และที่จะตายนี้ต้องสวมที่จะไม่รู้จักตาย 54เมื่อสิ่งที่เน่าเปื่อยนี้จะสวมที่ไม่เน่าเปื่อย และที่จะตายนี้ขะสวมที่ไม่รู้จักตาย เมื่อนั้นตามเขียนไว้แล้วจะสำเร็จว่า “ความตายก็ถูกกลืนกินไปด้วยการมีชัย” 55โอ ความตายเอ๋ย เหล็กไนของเจ้าอยู่ที่ไหน โอ หลุมฝังศพเอ๋ย ชัยชนะของเจ้าอยู่ไหน 56เหล็กไนของความตายนั้นคือบาป และฤทธิ์ของบาปคือบัญญัติหรือศีล 57แต่จงขอบคุณพระเจ้า ผู้ประทานชัยชนะแก่เราทั้งหลายโดยพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา
58เหตุฉะนั้นพี่น้องที่รักทั้งหลาย จงตั้งมั่นอยู่ อย่าหวั่นไหว จงทำงานของพระเจ้าผู้เป็นนายให้บริบูรณ์ทุกเวลา เพราะพวกเจ้าทั้งหลายรู้ว่า โดยพระองค์นั้นการงานของท่านจะไม่ขาดประโยชน์เลย
1เรื่องการเรี่ยไรทรัพย์สินเงินทองเพื่อช่อยวิมุตติชนคนของพระเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้สั่งชุมชนของพระเจ้าที่มณฑลกาลาเทียไว้ว่าอย่างไร ก็ขอให้ท่านทำเหมือนกันนั่นแหละ 2ทุกวันต้นสัปดาห์ให้พวกท่านทุกคนเก็บผลประโยชน์ที่ได้รับไว้บ้าง เพื่อจะไม่ต้องเรี่ยไรเมื่อข้าพเจ้ามา 3เมื่อข้าพเจ้ามาถึงแล้ว พวกท่านเห็นชอบจะเลือกผู้ใด ข้าพเจ้าก็จะใช้ผู้นั้นถือหนังสือ และเงินถวายของท่านไปยังกรุงเยรูซาเล็ม 4และถ้าเห็นว่าเป็นการสมควรข้าพเจ้าก็จะไปด้วย คนเหล่านั้นก็จะไปพร้อมกับข้าพเจ้า
5เมื่อข้าพเจ้าข้ามมณฑลมาซิโดเนียไปแล้วข้าพเจ้าจะมาหาท่าน เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไปทางมาซิโดเนีย 6และข้าพเจ้าอาจจะพักอยู่กับท่าน บางทีอาจจะอยู่จนกว่าว่าจะสิ้นฤดูหนาวก็เป็นได้ แล้วข้าพเจ้าจะไปทางใด พวกท่านจะได้ส่งข้าพเจ้าไปทางนั้น 7เพราะว่าข้าพเจ้าไม่อยากจะพบท่านเมื่อผ่านไปเท่านั้น แต่ข้าพเจ้าหวังว่า ถ้าพระเจ้าเมตตา ข้าพเจ้าจะค้างอยู่กับท่านให้นานๆหน่อย 8แต่ข้าพเจ้าจะอยู่ที่เมืองเอเฟซัสจนถึงงานฉลองเทศกาล วันเพ็ญปัญญาสฺ 9เพราะว่าที่นี่มีประตูเปิดให้ข้าพเจ้าอย่างกว้างขวางน่าจะเกิดผล ทั้งผู้ขัดขวางก็มีอย่างมากมายเหมือนกัน
10เมื่อทิโมธีมาหาท่าน จงให้เขาอยู่กับท่านโดยไม่ให้เขาเกิดความกระดากอาย เพราะว่าเขาทำงานของพระเจ้าผู้เป็นนายเหมือนกับข้าพเจ้า 11เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดประมาทเขา แต่จงช่วยให้เขาเดินทางไปโดยสวัสดิภาพเพื่อเขาจะมาถึงข้าพเจ้าได้ เพราะข้าพเจ้ากำลังคอยเขากับพวกพี่น้องอยู่ 12อปอลโล ซึ่งเป็นพี่น้องของเรานั้น ข้าพเจ้าได้กระตุ้นให้เขาไปเยี่ยมท่านทั้งหลายพร้อมกับพวกพี่น้อง แต่เขาไม่สะดวกที่จะไปเดี๋ยวนี้ เมื่อมีโอกาสเขาจึงจะไป
13พวกท่านทั้งหลายจงระมัดระวัง จงมั่นคงในความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า จงกล้าหาญ และเข้มแข็ง 14ทุกสิ่งที่ท่านทำนั้น จงทำด้วยพรหมวิหารสี่ คือ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา 15พี่น้องทั้งหลาย ท่านรู้ว่าครอบครัวของสเทฟานัส เป็นครอบครัวแรกที่เชื่อพึ่งอาศัยพระเจ้าในมณฑลอาคายา และพวกเขาได้ถวายตัวไว้ในการรับใช้วิมุตติชนคนของพระเจ้าทั้งหลาย 16ข้าพเจ้าขอให้พวกท่านทั้งหลายทำตามคำแนะนำสั่งสอนของคนนี้ และคนทั้งหลายทีข้าพเจ้าทำงานด้วยกันนั้น 17ที่สเทฟานัส และฟอร์ทูนาทัส และอาคายคัสมาแล้วนั้น ข้าพเจ้าก็ชื่นชมยินดี เพราะว่าสิ่งที่ท่านทั้งหลายขาดนั้น เขาเหล่านั้นได้มาทำให้ครบ 18เพราะเขาทำให้จิตใจของข้าพเจ้าและของพวกท่านทั้งหลายชื่นชมยืนดีขึ้น ฉะนั้นท่านทั้งหลายจงรับรองคนเหล่านั้นเถิด
19ชุมชนของพระเจ้าทั้งหลายในมณฑลเอเชียฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย อาควิลลาและปริสสิลลากับชุมชนของพระเจ้าที่อยู่ในบ้านของเขา ฝากความคิดถึงอย่างมากมายในพระเจ้าผู้เป็นนายมายังท่านทั้งหลาย 20พี่น้องทุกคนฝากความคิดถึงมาหาท่าน ขอให้ท่านจงทักทายกันด้วยประเพณีไปลามาไหว้
21คำแสดงความนับถือนี้เป็นลายมือของข้าพเจ้า คือ เปาโล 22ถ้าผู้ใดไม่กตัญญูต่อพระเจ้าผู้เป็นนาย ก็ขอให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง ขอให้พระเจ้าผู้เป็นนายกลับมา 23ขอพระคุณของพระเยซู พระเจ้าผู้เป็นนายของเราอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด 24ความรักของข้าพเจ้ามีอยู่กับพวกท่านทั้งหลายในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ตลอดไป สาธุ
1จดหมายนี้เขียนโดยเปาโล ผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ตามความประสงค์ของพระเจ้า และทิโมธีน้องชายของพวกเรา ถึง ชุมชนของพระเจ้าที่เมืองโครินธ์ และวิมุตติชนทั้งหลายที่อยู่ทั่วมณฑลอาคายา 2ขอพระคุณ สันติภาพ และสันติสุขซึ่งมาจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของพวกเรา และจากพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนาย จงมีแก่พวกท่านทั้งหลายเถิด
3จงยกย่องสรรเสริญพระเจ้าผู้เป็นพ่อแห่งพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของพวกเรา พระเจ้าผู้เป็นพ่อ ผู้มีความเมตตา และพระเจ้าแห่งการให้กำลังใจทุกอย่าง 4พระองค์เป็นผู้ให้กำลังใจเราในความทุกข์ยากทั้งหลายของเรา เพื่อเราจะสามารถให้กำลังใจคนเหล่านั้นที่มีความทุกข์ยากอย่างใดอย่างหนึ่งได้ โดยการให้กำลังใจซึ่งพวกเราได้รับจากพระเจ้า 5เพราะว่าพวกเรามีส่วนทนทุกข์กับพระผู้เป็นพระศรีอาริย์มากฉันใด การให้กำลังใจของเราเนื่องจากพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ก็มากฉันนั้น 6ที่พวกเราทนความทุกข์ยากนั้น ก็เพื่อให้พวกท่านทั้งหลายได้รับกำลังใจและความหลุดพ้น และที่พวกเราได้รับกำลังใจนั้น ก็เพื่อให้พวกท่านทั้งหลายได้รับกำลังใจด้วย ซึ่งพวกท่านทั้งหลายจะได้รับเมื่ออดทนสู้กับความทุกข์เหมือนกับที่พวกเราได้อดทนนั้น 7เราจึงมีความหวังแน่นอนในพวกท่านทั้งหลาย เพราะเรารู้ว่าท่านทั้งหลายได้มีส่วนในความทุกข์ยากฉันใด ท่านทั้งหลายจะได้มีส่วนในการให้กำลังใจฉันนั้น
8พี่น้องทั้งหลาย พวกเราอยากให้ท่านรู้ถึงความทุกข์ยากที่เกิดกับเราในมณฑลเอเชีย ซึ่งทำให้เราหนักใจเหลือกำลัง จนเราเกือบหมดหวังที่จะเอาชีวิตรอดมาได้ 9ความจริงพวกเราคาดว่าเราถึงที่ตายแล้ว แต่ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อไม่ให้เราไว้ใจในตัวเอง แต่ให้ไว้ใจในพระเจ้าผู้ให้คนทั้งหลายเป็นขึ้นมาจากความตาย 10พระองค์ช่วยเราให้พ้นจากความตาย และพระองค์จะช่วยเราอีก พวกเราไว้ใจพระองค์ว่า พระองค์จะช่วยเราต่อไปอีก 11พวกท่านทั้งหลายจะช่วยเราได้ด้วยการอธิษฐานสวดอ้อนวอนเพื่อเรา เพื่อว่าคนทั้งหลายจะได้ขอบคุณเพราะเรา เนื่องจากของประทานที่พระองค์ให้แก่เรา อันเป็นการตอบคำอธิษฐานสวดอ้อนวอนของคนทั้งหลายเหล่านั้น
12นี่เป็นสิ่งที่เราชื่นชมยินดีได้ คือใจสำนึกผิดชอบของเราเป็นพยานว่าเราได้ประพฤติตนเป็นที่ประจักษ์แก่โลก และยิ่งกว่านั้นก็คือการประพฤติต่อท่านทั้งหลาย ด้วยใจบริสุทธิ์ และด้วยความจริงใจซึ่งมาจากพระเจ้า และไม่ใช่ตามปัญญาฝ่ายโลก แต่ตามพระคุณของพระเจ้า 13เพราะว่าเราไม่ได้เขียนเรื่องอื่นถึงท่าน นอกจากเรื่องซึ่งท่านได้อ่านและยอมรับแล้ว และข้าพเจ้าก็หวังว่าท่านจะยอมรับโดยตลอด 14ตามที่พวกท่านยอมรับเราบ้างแล้วว่า ในวันของพระเยซู พระเจ้าผู้เป็นนาย ท่านก็ภูมิใจในพวกเราได้ เหมือนกับที่พวกเราจะภูมิใจในพวกท่าน
15เพราะข้าพเจ้ารู้สึกแน่ใจในเรื่องนี้ ตอนแรกข้าพเจ้าอยากจะไปเยี่ยมยามพวกท่านก่อน เพื่อท่านจะมีความยินดีสองเท่า 16ข้าพเจ้าอยากจะแวะเยี่ยมพวกท่าน ระหว่างที่เดินทางไปยังมณฑลมาซิโดเนีย และเมื่อข้าพเจ้ากลับจากมณฑลมาซิโดเนีย ก็จะแวะเยี่ยมท่านอีก ท่านก็จะได้ส่งให้ข้าพเจ้าออกเดินทางไปยังมณฑลยูเดีย 17ฉะนั้นเมื่อข้าพเจ้าต้องการที่จะทำเช่นนั้น ข้าพเจ้าเป็นคนโลเลหรือ? หรือสิ่งที่ข้าพเจ้าวางแผนไว้ เป็นการวางแผนอย่างคนไม่รู้จักพระเจ้าหรือ? ซึ่งพร้อมที่จะกล่าวว่า มา ไม่มา แบบส่งๆหรือ?
18แต่พระเจ้าเป็นผู้สัตย์ซื่ออย่างแน่นอนฉันใด คำของเราที่พูดกับท่านก็ไม่ใช่คำ รับ หรือปฏิเสธ ไปโดยไม่จริงใจฉันนั้น 19เพราะว่าพระโอรสของพระเจ้าคือพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้ซึ่งพวกเรา คือข้าพเจ้ากับสิลวานัสและทิโมธี ได้เผยแพร่แก่พวกท่านนั้น ไม่ใช่จริง ไม่จริงส่งเดชไป แต่โดยพระองค์นั้นล้วนแต่จริงทั้งหมด 20พระสัญญาทั้งหลายของพระเจ้าก็เป็นความจริงโดยพระเยซู เพราะเหตุนี้เราจึงพูดว่าสาธุโดยพระองค์ เป็นที่ถวายเกียรติยศแด่พระเจ้า 21ผู้ที่ตั้งเรากับท่านทั้งหลายไว้ในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ และได้แต่งตั้งเราไว้นั้น ก็คือพระเจ้า 22และพระองค์ตีตราเราไว้ และประทานพระวิญญาณไว้ในใจของเราเป็นมัดจำด้วย
23ขอพระเจ้าเป็นพยานฝ่ายจิตใจของข้าพเจ้าว่า ที่ข้าพเจ้ายังไม่ได้ไปถึงเมืองโครินธ์นั้น ก็เพื่อจะงดโทษพวกท่านไว้ก่อน 24เราไม่ใช่เป็นนายบังคับความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าของพวกท่าน แต่ว่าเราเป็นผู้ช่วยเหลือ เพื่อท่านจะรับความยินดี เพราะท่านตั้งมั่นอยู่โดยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าแล้ว
1แต่ข้าพเจ้าได้ตั้งใจไว้ว่า เมื่อมีความทุกข์อยู่ จะไม่มาหาพวก ท่านอีก 2เพราะถ้าข้าพเจ้าทำให้พวกท่านเป็นทุกข์ ใครเล่าจะทำให้ข้าพเจ้ามีความยินดี ก็คือคนที่ข้าพเจ้าทำให้มีความทุกข์นั่นแหละ 3และข้าพเจ้าได้เขียนข้อความนั้นมาถึงท่าน เพื่อว่าเมื่อข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าจะไม่ได้รับความทุกข์จากคนเหล่านั้น ที่ควรจะทำให้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดี ข้าพเจ้าไว้ใจพวกท่านว่า ความยินดีของข้าพเจ้าก็เป็นความยินดีของท่านนำ 4เพราะว่าข้าพเจ้าเขียนถึงท่านเพราะข้าพเจ้ามีความทุกข์ใจมาก และน้ำตาไหล ไม่ใช่เพื่อจะทำให้ท่านเป็นทุกข์ แต่เพื่อจะให้ท่านรู้จักความห่วงใยอย่างมากมายที่ข้าพเจ้ามีกับพวกท่านทั้งหลาย
5ถ้าผู้ใดเป็นต้นเหตุทำให้เกิดความทุกข์ ผู้นั้นก็ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าเป็นทุกข์แต่คนเดียว แต่ได้ทำให้พวกท่านเป็นทุกข์บ้างเหมือนกัน (ที่ว่า บ้าง นั้นก็คือ ข้าพเจ้าไม่อยากจะปรักปรำผู้นั้นจนเกินไป) 6ที่คนส่วนมากได้ลงโทษคนผู้นั้นก็สมควรแล้ว 7ฉะนั้นพวกท่านทั้งหลายควรจะยกโทษให้ผู้นั้น และปลอบใจเขาต่างหาก เกรงว่าเขาจะจมลงในความทุกข์เหลือล้น 8ดังนั้นข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้ยืนยันความเห็นอกเห็นใจต่อคนนั้นใหม่ 9นี่คือเหตุที่ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่าน หวังจะลองใจท่านดูว่า ท่านจะยอมเชื่อฟังทุกประการหรือไม่ 10ถ้าพวกท่านจะยกโทษให้ผู้ใด ข้าพเจ้าก็ยกโทษให้ผู้นั้นด้วย เพราะถ้าข้าพเจ้ายกโทษให้คนใดๆ ข้าพเจ้าได้ยกโทษให้ผู้นั้นเพราะเห็นแก่พวกท่านทั้งหลาย ต่อหน้าของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 11เพื่อไม่ให้มารมีชัยเหนือเรา เพราะเรารู้กลอุบายของมันแล้ว
12เมื่อข้าพเจ้าไปถึงเมืองโตรอัส เพื่อเผยแพร่บารมีของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์นั้น มีช่องทางเปิดให้แก่ข้าพเจ้าโดยพระเจ้าผู้เป็นนาย 13ข้าพเจ้ายังไม่มีความสบายใจเลย เพราะข้าพเจ้าไม่ได้เห็นทิตัสน้องของข้าพเจ้าอยู่ที่นั่น ข้าพเจ้าจึงลาพวกนั้นเดินทางไปยังมณฑลมาซิโดเนีย
14แต่ขอบคุณพระเจ้าผู้ให้เรามีชัยตลอดเวลาโดยพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ และโปรดประทานกลิ่นหอมแห่งความรู้ของพระองค์ให้ปรากฏด้วยโตเราทุกแห่ง 15เพราะว่าเราเป็นกลิ่นอันหอมหวานของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ถวายต่อพระเจ้า ในหมู่คนที่กำลังจะหลุดพ้น และในหมู่คนที่กำลังจะพินาศ 16ฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นแห่งความตายซึ่งนำไปสู่ความตาย และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นหอมแห่งชีวิตซึ่งนำไปสู่นิพพาน ใครเล่าจะมีความสามารถเหมาะสมกับการงานเหล่านี้ 17เพราะว่า เราไม่เหมือนกับคนทั้งหลายที่เอาบารมีของพระเจ้าไปเร่ขายกิน แต่ว่าเราเผยแพร่โดยอาศัยพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ด้วยความจริงใจ อย่างคนที่มาจากพระเจ้า และอยู่ในสายตาของพระองค์
1พวกเรากำลังจะยกย่องตัวเองหรือ? หรือว่าเราต้องการหนังสือแนะนำตัวให้แก่พวกท่านเหมือนกับคนบางคนหรือ เราต้องการหนังสือแนะนำตัวจากพวกท่านหรือ? 2พวกท่านเองเป็นหนังสือของเราเขียนไว้ที่ดวงใจของเรา ให้คนทั้งหลายได้รู้และได้อ่าน 3ท่านปรากฏเป็นหนังสือของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ซึ่งเราได้เขียนไว้ไม่ใช่ด้วยน้ำหมึก แต่ด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ และไม่ได้เขียนไว้ที่แผ่นหิน แต่เขียนไว้ที่แผ่นดวงใจของมนุษย์
4และเรามีความไว้ใจในพระเจ้าโดยพระผู้เป็นพระศรีอาริย์อย่างนั้น 5ไม่ใช่เราจะคิดถือว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดจากความสามารถของเราเอง แต่ว่าความสามารถของเรามาจากพระเจ้า 6ผู้ประทานให้เราสามารถเป็นผู้ทำตามพันธสัญญาใหม่ ไม่ใช่ตามตัวอักษร แต่ตามพระวิญญาณ เพราะว่าตัวอักษรนั้นทำให้ตาย แต่พระวิญญาณนั้นนำไปสู่นิพพาน
7แต่ถ้าการปฏิบัติที่นำไปถึงความตายตามตัวอักษรที่ได้เขียนและจารึกไว้ที่แผ่นหินนั้น ยังมีรัศมี จนชนชาติอิสราเอลไม่สามารถมองหน้าของโมเสสได้ เพราะรัศมีจากใบหน้าของท่านซึ่งเป็นรัศมีที่กำลังจะเสื่อมสูญไป 8ดังนั้นการปฏิบัติตามพระวิญญาณจะไม่มีรัศมีมากกว่านั้นอีกหรือ? 9เพราะว่าถ้าการรับใช้สำหรับปรับโทษยังมีรัศมี การรับใช้สำหรับการเป็นคนบุญก็ยิ่งจะมีรัศมีมากกว่านั้นอีก 10ความจริงรัศมีที่ได้ประทานให้นั้นก็อับแสงไปแล้ว เพราะถูกรัศมีอันเลิศนั้นได้ส่องแสงข่มจนหมด 11เพราะถ้าสิ่งที่ได้จางไปยังเคยมีรัศมีถึงขนาดนั้น สิ่งซึ่งจะดำรงอยู่ก็จะมีรัศมีมากกว่านั้นอีก
12เมื่อเรามีความหวังเช่นนั้นแล้ว เราจึงกล้าหาญมากขึ้นที่จะพูด 13และไม่เหมือนกับโมเสสที่เอาผ้าคลุมหน้าไว้ เพื่อไม่ให้ชนอิสราเอลพึ่งดูความเสื่อมของรัศมีที่ค่อยๆจางไปนั้น 14แต่จิตใจของเขาก็มืดบอดไป เพราะตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ เมื่อเขาอ่านหนังสือพันธสัญญาเดิม ผ้าคลุมนั้นยังคงอยู่ ไม่ได้เปิดออก แต่ผ้าคลุมนั้นได้เปิดออกแล้วโดยพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 15แต่ว่าตลอดมาจนถึงทุกวันนี้ ตอนไหนที่เขาอ่านคำของโมเสส ผ้าคลุมนั้นก็ยังปิดบังใจของเขาไว้ 16แต่เมื่อผู้ใดหันกลับมาหาพระเจ้าผู้เป็นนาย ผ้าคลุมนั้นก็จะเปิดออก 17บัดนี้พระเจ้าผู้เป็นนายเป็นพระวิญญาณนั้น และพระวิญญาณของพระเจ้าผู้เป็นนายอยู่ที่ใด เสรีภาพก็มีอยู่ที่นั่น 18แต่เราทั้งหลายไม่มีผ้าคลุมหน้าไว้ จึงได้ดูสง่าราศีของพระเจ้าผู้เป็นนายเหมือนกับดูในกระจก และตัวเราก็เปลี่ยนไปเป็นเหมือนกับรูปลักษณ์ของพระเจ้าผู้เป็นนาย คือมีสง่าราศีเป็นลำดับขึ้นไป เหมือนกับสง่าราศีที่มาจากพระเจ้าผู้เป็นนาย ซึ่งเป็นพระวิญญาณ
1เพราะเหตุที่เรามีพันธกิจนี้โดยได้รับความกรุณา เราจึงไม่ท้อใจ 2แต่ว่าเราได้ทิ้งเล่ห์เหลี่ยมต่างๆ ที่น่าอับอายไปหมดแล้ว เราไม่ได้ทำกลอุบาย และไม่ได้พลิกแพลงบารมีของพระเจ้าโดยวิธีการที่ล่อลวง แต่เราได้มอบตัวของเราไว้กับจิตสำนึกผิดชอบของคนทั้งหลาย โดยสำแดงความจริงในสายตาของพระเจ้า 3แต่ถ้าบารมีของพระเจ้าของเราถูกบังไว้จากใคร ก็จากคนเหล่านั้นที่กำลังจะพินาศ
4ส่วนคนที่ไม่เชื่อนั้น ภูตผีผู้ครอบครองโลกนี้ได้ทำให้ใจของเขาให้มืดไป เพื่อไม่ให้ความสว่างของบารมีของพระเจ้าอันมีสง่าราศีของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้เป็นรูปลักษณ์ของพระเจ้า ส่องแสงถึงพวกเขา 5เพราะว่าเราไม่ได้เผยแพร่ตัวเราเอง แต่ได้เผยแพร่พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ว่าเป็นพระเจ้าผู้เป็นนาย และได้เผยแพร่ตัวเราเองเป็นผู้รับใช้ของพวกท่านทั้งหลาย เพราะเห็นแก่พระเยซู 6เพราะว่าพระเจ้าองค์นั้น ผู้ได้สั่งให้ความสว่างออกมาจากความมืด ได้ส่องสว่างเข้ามาในจิตใจของเรา เพื่อให้เรามีความสว่างแห่งความรู้ถึงสง่าราศีของพระเจ้าปรากฏในใบหน้าของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์
7แต่ว่าเรามีของมีค่าอยู่ในภาชนะดิน เพื่อให้เห็นว่าฤทธิ์เดชอันเลิศนั้นเป็นของพระเจ้า ไม่ได้มาจากตัวเราเอง 8เราถูกขนาบรอบข้าง แต่ก็ไม่ถึงกับกระดิกไม่ได้ เราจนปัญญา แต่ก็ไม่ถึงกับหมดหวัง 9เราถูกข่มเหง แต่ก็ไม่ถูกทิ้ง เราถูกตีลงแล้ว แต่ก็ไม่ถึงตาย 10เราแบกความตายของพระเยซู พระเจ้าผู้เป็นนายไว้ที่กายเราเสมอ เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูจะปรากฏในกายของเราด้วย 11เพราะว่าพวกเราที่มีชีวิตอยู่นั้นต้องถูกมอบไว้กับความตายอยู่เสมอ เพราะเห็นแก่พระเยซู เพื่อว่าชีวิตของพระเยซูจะได้ปรากฏในร่างกายของเราที่จะต้องตายนั้น 12เหตุฉะนั้นความตายจึงกำลังออกฤทธิ์อยู่ในเรา แต่ชีวิตกำลังออกฤทธิ์อยู่ในพวกท่านทั้งหลาย
13เพราะเรามีใจเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าเหมือนกับผู้ที่เขียนไว้ว่า “ข้าพเจ้าเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าแล้ว เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงพูด” เราก็เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าเหมือนกัน เพราะฉะนั้นเราจึงพูด 14เรารู้ว่าพระเจ้าผู้ให้พระเยซูเป็นขึ้นจากตาย จะให้เราเป็นขึ้นมาแบบเดียวกันโดยพระเยซู และจะพาเราเข้ามาหาพระองค์พร้อมกับพวกท่านทั้งหลาย 15เพราะว่าสิ่งสารพัดนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของพวกท่านทั้งหลาย เพื่อว่าเมื่อพระคุณมาถึงคนเป็นจำนวนมากขึ้น ก็จะมีการขอบคุณมากขึ้น เป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า
16เหตุฉะนั้นเราจึงไม่ท้อถอย ถึงแม้ว่ากายภายนอกของเรากำลังทรุดโทรมไป แต่จิตใจภายในนั้นก็ยังคงเจริญขึ้นใหม่ทุกวัน 17เพราะว่าความทุกข์ยากเล็กๆน้อยๆของเรา ซึ่งเรารับอยู่ประเดี๋ยวเดียวนั้นจะทำให้เรามีสง่าราศีอย่างใหญ่หลวงหาที่เปรียบไม่ได้ 18เพราะว่าเราไม่ได้เห็นแก่สิ่งของที่เราเห็นอยู่ แต่เห็นแก่สิ่งของที่ไม่เห็น เพราะว่าสิ่งของที่เห็นอยู่นั้นเป็นอนิจจังคือไม่เที่ยง แต่สิ่งที่ไม่เห็นนั้นเป็นนิจจัง คือยั่งยืนถาวรตลอดไป
1เพราะเรารู้ว่า ถ้าเรือนดิน คือร่างกายของเราอันเป็นที่อยู่ของพระเจ้านี้ถูกทำลายไป เราก็ยังมีที่อยู่ที่พระเจ้าประทานให้ ที่ไม่ได้สร้างด้วยมือมนุษย์ และตั้งอยู่ในสวรรค์ตลอดไป 2เพราะว่าในร่างกายนี้เรายังคร่ำครวญอยู่ มีความต้องการอย่างมากมายที่จะสวมที่อยู่ของเราที่มาจากสวรรค์ 3ถ้าได้สวมเช่นนั้นแล้ว เราก็จะไม่ได้เปลือยกายอยู่ 4เพราะว่าเราผู้อาศัยในร่างกายอันเป็นที่อยู่ของพระเจ้านี้จึงคร่ำครวญเป็นทุกข์ ไม่ใช่เพราะอยากที่จะเปลือยกายอยู่ แต่อยากจะสวมกายใหม่นั้น เพื่อว่าร่างกายของเราที่จะต้องตายนั้นจะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน 5แต่พระเจ้าเป็นผู้เตรียมเราไว้สำหรับการเปลี่ยนแปลงนี้ และพระองค์ได้ประทานพระวิญญาณเป็นมัดจำไว้กับเรา
6เหตุฉะนั้นเรามั่นใจอย่างเต็มที่ว่า ขณะที่เราอยู่ในร่างกายนี้ เราอยู่ห่างจากพระเจ้าผู้เป็นนาย 7เพราะเราดำเนินโดยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์ ไม่ใช่ตามที่ตามองเห็น 8เรามีความมั่นใจ และเราอยากจะอยู่กับพระเจ้าผู้เป็นนาย มากกว่าอยู่ในร่างกายนี้ 9เหตุฉะนั้นเราตั้งเป้าของเราว่า จะอยู่ในกายนี้ก็ดี หรือไม่อยู่ก็ดี เราก็จะเป็นที่พอใจของพระเจ้า 10เพราะว่าจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องปรากฏตัวที่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ เพื่อทุกคนจะได้รับสมกับการที่ได้ประพฤติในร่างกายนี้ แล้วแต่ว่าจะดีหรือชั่ว
11เพราะเหตุที่เรายำเกรงพระเจ้าผู้เป็นนายอย่างจับใจ เราจึงชักชวนคนทั้งหลาย แต่เราเป็นอย่างไรเป็นที่รู้แจ้งแก่พระเจ้าอยู่แล้ว และข้าพเจ้าหวังว่า เราได้ปรากฏอย่างแจ่มแจ้งแก่จิตสำนึกผิด และชอบของท่านด้วย 12เพราะเราไม่ได้ยกย่องตัวเองต่อพวกท่านทั้งหลายอีก แต่เราให้ท่านมีโอกาสที่จะนำเราออกอวดได้ เพื่อท่านจะได้มีข้อโต้ตอบคนเหล่านั้นที่ชอบอวดในสิ่งที่ปรากฏ แต่ไม่ได้อวดในสิ่งที่อยู่ในใจ 13เพราะว่าถ้าเราได้ประพฤติอย่างคนเสียสติ เราก็ได้ประพฤติเพราะเห็นแก่พระเจ้า หรือถ้าเราประพฤติอย่างคนปกติ ก็เพื่อประโยชน์ของพวกท่านทั้งหลาย 14เพราะว่าพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้ควบคุมเราอยู่ เพราะเรามั่นใจว่า มีผู้หนึ่งได้ตายเพื่อคนทั้งหลาย เหตุฉะนั้นคนทั้งหลายจึงตายเสียแล้ว 15และพระองค์ได้ตายเพื่อคนทั้งหลาย เพื่อคนเหล่านั้นที่มีชีวิตอยู่จะไม่ได้อยู่เพื่อประโยชน์ของตัวเองอีกต่อไป แต่จะอยู่เพื่อพระองค์ผู้ได้ตาย และเป็นขึ้นมาเพราะเห็นแก่เขาทั้งหลาย
16เหตุฉะนั้นตั้งแต่นี้ไป เราจะไม่พิจารณาผู้ใดตามค่านิยมของโลก แม้ว่าเมื่อก่อนนี้เราเคยพิจารณาพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ตามค่านิยมของโลก แต่เดี๋ยวนี้เราจะไม่พิจารณาพระองค์เช่นนั้นอีก 17เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกพระเจ้าสร้างใหม่ขึ้นแล้ว สิ่งเก่าๆก็ผ่านพ้นไป ในตอนนี้ สิ่งใหม่ๆ ก็เข้ามาแทนที่ 18ทุกสิ่งทุกอย่างนี้เกิดมาจากพระเจ้า ผู้ให้เราคืนดีกันกับพระองค์ทางพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ และประทานให้เราเป็นผู้รับใช้ในเรื่องการคืนดีกัน 19คือพระเจ้าให้โลกคืนดีกันกับพระเจ้าทางพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ไม่ได้ถือโทษในความผิดของเขา และได้มอบเรื่องการคืนดีกันมาให้เราเผยแพร่
20ฉะนั้นเราจึงเป็นทูตของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ โดยที่พระเจ้าขอร้องพวกท่านทั้งหลายทางเรา เราเป็นผู้แทนของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ จึงขอร้องท่านให้คืนดีกับพระเจ้า 21เพราะว่าพระเจ้าได้ทำให้พระองค์ผู้ไม่มีบาป ให้เป็นความบาปเพราะเห็นแก่เรา เพื่อเราจะได้เป็นคนบุญของพระเจ้าทางพระองค์
1เพราะว่าเราทำงานร่วมกันกับพระผู้เป็นพระศรีอาริย์แล้ว เราจึงวิงวอนพวกท่านว่า อย่าสักแต่รับพระคุณของพระเจ้าโดยการหาประโยชน์อะไรมิได้ 2เพราะพระเจ้ากล่าวว่า “ในเวลาที่เหมาะสม เราได้ฟังเจ้า ในวันแห่งความหลุดพ้น เราได้ช่วยเจ้า” ในตอนนี้ เป็นเวลาที่เหมาะสม ในตอนนี้ เป็นวันแห่งความหลุดพ้น
3เราไม่ได้ให้ผู้ใดมีเหตุสะดุดในสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เพื่อไม่ให้การที่เรารับใช้นั้นเป็นสิ่งที่เขาจะติเตียนได้ 4แต่เราผู้เป็นคนรับใช้ของพระเจ้าได้ทำตัวให้เป็นที่พอใจของคนทั้งหลาย โดยการอดทนอย่างเต็มที่ ในความทุกข์ ความขัดสน ในความวิบัติ 5การถูกเฆี่ยน การที่ถูกจำคุก การวุ่นวาย การงานต่างๆ การอดหลับอดนอน และการอดข้าวอดน้ำ 6โดยความบริสุทธิ์ โดยความรู้ โดยความอดกลั้นไม่โกรธเร็ว โดยใจกรุณา โดยพระวิญญาณ โดยพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา 7โดยถ้อยคำแห่งความจริง โดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า โดยการใช้เครื่องอาวุธแห่งการเป็นคนบุญด้วยมือขวาและมือซ้าย 8ไม่ว่าจะเป็นการมีเกียรติ ไม่มีเกียรติ และโดยการเล่าลือว่าชั่วหรือดี ถูกเขาหาว่าเป็นคนที่ล่อลวงเขาให้หลง แต่ยังเป็นคนสัตย์ซื่อ 9ถูกเขาหาว่าเป็นคนไม่มีใครรู้จัก แต่ยังเป็นคนที่เขาทั้งหลายรู้จักดี เป็นเหมือนกับคนตาย แต่ในตอนนี้ เรายังเป็นอยู่ เป็นเหมือนกับคนถูกเฆี่ยนตี แต่ยังไม่ตาย 10เป็นเหมือนกับคนที่มีความทุกข์ แต่ยังมีความชื่นชมยินดีอยู่เสมอ เป็นเหมือนกับคนยากจน แต่ยังทำให้คนทั้งหลายมั่งมี เป็นคนไม่มีอะไรเลย แต่ยังมีสิ่งสารพัดบริบูรณ์
11พี่น้องชาวโครินธ์ทั้งหลาย เราพูดกับท่านอย่างไม่ปิดบังเลย และใจของเราก็เปิดรับท่าน 12ใจของพวกท่านทั้งหลายไม่ได้ปิดเพราะเรา แต่ปิดเพราะความรู้สึกของตัวเอง 13ในการตอบสนอง ข้าพเจ้าขอพูดกับท่านเหมือนกับพูดกับลูก คือจงเปิดจิตใจของท่านเถิด
14พวกท่านอย่าเข้าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ เพราะว่าบุญจะมีหุ้นส่วนอะไรกับบาป และความสว่างจะเข้าสนิทกับความมืดได้อย่างไร? 15พระผู้เป็นพระศรีอาริย์กับมารจะลงรอยกันได้อย่างไร? หรือคนที่เชื่อจะมีส่วนอะไรกับคนที่ไม่เชื่อ 16วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้ เพราะว่าพวกท่านเป็นวิหารของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ ตามที่พระเจ้ากล่าวไว้ว่า “เราจะอยู่ในเขาทั้งหลาย และจะดำเนินในหมู่พวกเขา และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชาชนของเรา” 17พระเจ้าผู้เป็นนายกล่าวว่า “เหตุฉะนั้นพวกเจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น และจงแยกตัวออกจากเขาทั้งหลาย อย่าแตะต้องสิ่งที่ไม่สะอาด แล้วเราจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย 18เราจะเป็นบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรธิดาของเรา” พระเจ้าผู้เป็นนาย ผู้มีฤทธานุภาพได้กล่าวเช่นนั้น
1พี่น้องที่รักทั้งหลาย เมื่อเรามีคำสัญญาเช่นนี้แล้ว ให้เรารักษาตัวเราให้ปราศจากมลทินทุกอย่างของฝ่ายเนื้อหนัง และฝ่ายจิตใจ และจงทำให้มีความบริสุทธิ์ครบถ้วน โดยความยำเกรงพระเจ้า
2ขอให้เปิดใจต้อนรับพวกเราเถิด เราไม่ได้ทำร้ายผู้ใด เราไม่ได้ชวนผู้ใดให้ทำชั่ว เราไม่ได้โกงผู้ใดเลย 3ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ไม่ใช่เพื่อจะปรักปรำท่าน เพราะข้าพเจ้าบอกแล้วว่า พวกท่านทั้งหลายอยู่ในใจของเราเลยแหละ จะตายหรือจะเป็นก็อยู่ด้วยกัน 4ข้าพเจ้าพูดอย่างไว้ใจท่านทั้งหลาย และข้าพเจ้าภูมิใจในพวกท่านทั้งทั้งหลายอย่างมากมาย ข้าพเจ้าได้รับกำลังใจอย่างบริบูรณ์ และในความยากลำบากของเราทุกอย่าง ข้าพเจ้าก็ยังมีความปีติยินดีอย่างเหลือล้น
5เพราะแม้ว่าเมื่อเรามาถึงมณฑลมาซิโดเนียแล้ว ร่างกายของเราไม่ได้พักผ่อนเลย เรามีความลำบากอยู่รอบข้าง ภายนอกมีการต่อสู้ ภายในมีความวิตกกังวล 6แต่ถึงกระนั้นก็ดี พระเจ้าผู้ให้กำลังใจแก่คนที่ท้อใจ ได้ให้กำลังใจเราโดยให้ทิตัสมาหาเรา 7และไม่ใช่เพียงการมาของทิตัสเท่านั้น แต่โดยการที่ท่านได้ให้กำลังใจทิตัสด้วย ตามที่ทิตัสได้มาบอกเราถึงความอาลัยอาวรณ์ ความโศกเศร้า และใจจดจ่อของท่านที่มีต่อข้าพเจ้า ทำให้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดีมากขึ้น 8เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าได้ทำให้ท่านเสียใจเพราะจดหมายฉบับนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่เสียใจ ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนนั้นข้าพเจ้าจะเสียใจอยู่บ้าง เพราะข้าพเจ้าเห็นว่า จดหมายฉบับนั้นทำให้ท่านมีความเสียใจเพียงชั่วขณะเท่านั้น
9แต่บัดนี้ข้าพเจ้ามีความชื่นชมยินดี ไม่ใช่เพราะท่านเสียใจ แต่เพราะความเสียใจนั้น ทำให้ท่านกลับหลังหันจากความผิดบาป เพราะว่าท่านได้รับความเสียใจอย่างที่ชอบใจของพระเจ้า ท่านจึงไม่ได้รับผลร้ายจากเราเลย 10เพราะว่าความเสียใจอย่างที่ชอบใจของพระเจ้าก็ทำให้กลับหลังหันจากความผิดบาป ซึ่งนำไปถึงความหลุดพ้นและไม่เป็นที่น่าเสียใจ แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นก็นำไปถึงความตาย 11จงพิจารณาดูว่าความเสียใจอย่างที่ชอบใจของพระเจ้า ทำให้เกิดความกระตือรือร้นมากทีเดียว ทำให้เกิดการรีบเร่งที่จะแก้ตัวใหม่ และการเดือดร้อนแทน ความตื่นโต ความอาลัยอาวรณ์ ความกระตือรือร้น การลงโทษ ในทุกสิ่งเหล่านั้นท่านได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าท่านไม่ได้ทำผิด
12เหตุฉะนี้ที่ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน ก็ไม่ใช่เพราะเห็นแก่คนที่ได้ทำผิด หรือเพราะเห็นแก่คนที่ต้องทนต่อการร้าย แต่เพื่อให้ความห่วงใยของเราที่มีต่อท่านปรากฏแก่ท่านในสายตาของพระเจ้า 13โดยเหตุนี้ เราจึงมีกำลังใจเมื่อเห็นว่าพวกท่านได้รับกำลังใจ เรามีความชื่นชมยินดีมากขึ้นเพราะความยินดีของทิตัส ในการที่พวกท่านได้ทำให้จิตใจของเขาเบิกบาน 14เพราะถ้าข้าพเจ้าได้อวดเรื่องพวกท่านกับทิตัส ข้าพเจ้าก็ไม่ต้องละอายใจเลย ทุกสิ่งที่เราได้พูดกับท่านเป็นความจริงฉันใด สิ่งที่เราได้อวดเรื่องพวกท่านกับทิตัสเมื่อก่อนนั้น ก็ปรากฏเป็นจริงเหมือนกันฉันนั้น 15และเมื่อทิตัสคิดถึงความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าของพวกท่านทั้งหลาย และการที่พวกท่านต้อนรับเขาด้วยความยำเกรงจนตัวสั่น เขาก็เพิ่มความรักในพวกท่านหลายขึ้น 16ข้าพเจ้าชื่นชมยินดี เพราะว่าข้าพเจ้าไว้ใจท่านได้ทุกอย่าง
1พี่น้องทั้งหลาย เราอยากให้ท่านรู้ถึงพระคุณของพระเจ้า โดยที่พระองค์ ได้ประทานแก่ชุมชนของพระเจ้าทั้งหลายในมณฑลมาซิโดเนีย 2เพราะว่าเมื่อคราวที่พวกเขาถูกทดลองอย่างหนักได้รับความทุกข์ยาก ความยินดีล้นพ้นของเขา และความยากจนแสนเข็ญของเขานั้น ก็ล้นออกมาเป็นใจโอบอ้อมอารีของเขา 3เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานได้ว่า เขาถวายโดยสุดความสามารถของเขา ความจริงก็เกินความสามารถของเขาเสียอีก 4และเขายังได้วิงวอนเรา ขอให้เรายอมรับของถวายนั้น และให้เขามีส่วนในการช่วยวิมุตติชนด้วย 5ไม่เหมือนกับที่เราได้คาดหมายไว้ แต่ได้ถวายตัวเขาเองแก่พระเจ้าผู้เป็นนายก่อน แล้วได้มอบตัวให้เราตามประสงค์ของพระเจ้า 6จนถึงกับเราได้เตือนทิตัสว่า เมื่อเขาได้เริ่มแล้วฉันใด ก็ให้เขาทำให้สำเร็จกับพวกท่านทั้งหลายในพระคุณนี้เหมือนกัน 7เหตุฉะนั้นเมื่อท่านมีพร้อมบริบูรณ์ทุกสิ่ง คือความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า คำพูด ความรู้ ความกระตือรือร้นทั้งหลาย และพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อเรา พวกท่านทั้งหลายก็จงประกอบพระคุณนี้อย่างบริบูรณ์เหมือนกันเถิด
8ข้าพเจ้าพูดเช่นนี้ไม่ได้หมายว่าให้เป็นคำสั่ง แต่ได้นำเรื่องของคนอื่นที่มีความกระตือรือร้นมาลองดู พรหมวิหารสี่ของท่าน ดูว่าเป็นของแท้หรือไม่ 9เพราะพวกท่านทั้งหลายรู้จักพระคุณของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเราว่า แม้ว่าพระองค์ร่ำรวย พระองค์ก็ยังยอมเป็นคนยากจน เพราะเห็นแก่พวกท่านทั้งหลาย เพื่อพวกท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนร่ำรวย เนื่องจากความยากจนของพระองค์ 10และข้าพเจ้าจะออกความเห็นในเรื่องนี้ เพราะจะเป็นประโยชน์กับท่าน เรื่องที่ท่านได้ตั้งต้นเมื่อปีกลายนี้ และไม่ใช่ตั้งต้นจะทำเท่านั้น แต่ว่ามีน้ำใจที่จะทำด้วยนั้น
11ฉะนั้นบัดนี้ก็ควรแล้วที่ท่านจะทำเรื่องนั้นให้สำเร็จ เพื่อว่าเมื่อท่านมีใจพร้อมอยู่แล้ว ท่านก็จะได้ทำให้สำเร็จตามความสามารถของท่าน 12เพราะว่าถ้ามีน้ำใจพร้อมอยู่แล้ว พระเจ้าก็พอใจที่จะรับตามที่ทุกคนมีอยู่ ไม่ใช่ตามที่เขาไม่มี 13ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความว่า ให้การงานของคนอื่นเบาลง และให้การงานของพวกท่านหนักขึ้น 14แต่เป็นการให้กันไปให้กันมา ในยามที่พวกท่านมีบริบูรณ์เหมือนกับเดี๋ยวนี้ ท่านก็ควรจะช่วยคนเหล่านั้นที่ขัดสน และในยามที่เขามีบริบูรณ์ เขาก็จะได้ช่วยพวกท่านเมื่อขัดสน เพื่อเป็นการให้กันไปให้กันมา 15ตามที่มีเขียนไว้ว่า “คนที่เก็บได้มากก็ไม่มีเหลือ และคนที่เก็บได้น้อยก็ไม่ขาดแคลนเลย”
16แต่ขอขอบคุณพระเจ้า ผู้โปรดให้ทิตัสมีใจกระตือรือร้นเช่นนั้น เพื่อท่านทั้งหลายเหมือนกัน 17เพราะไม่เพียงแต่เขาได้รับคำเตือนเท่านั้น แต่เขาได้ไปหาท่านเพราะเขาเองมีใจพร้อมอยู่แล้วด้วย 18เราให้พี่น้องคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงในการเผยแพร่บารมีของพระเจ้าตามชุมชนของพระเจ้าทั้งหลายไปกับทิตัสด้วย 19และไม่ใช่เพียงเท่านั้น ชุมชนของพระเจ้าได้ตั้งคนนั้นไว้ให้เป็นเพื่อนเดินทางด้วยกันกับเราในพระคุณนี้ซึ่งเราได้รับใช้อยู่ เพื่อให้เป็นที่ถวายเกียรติยศแก่พระเจ้าผู้เป็นนาย และเป็นที่แสดงน้ำใจอย่างพร้อมเพียงของเรา
20เราเจตนาจะไม่ให้คนหนึ่งคนใดติเตียนเราได้ ในเรื่องของถวาย ซึ่งเรารับมาแจกนั้น 21เพราะเรามุ่งที่จะทำสิ่งที่ซื่อสัตย์ ไม่ใช่เฉพาะแต่ในสายตาของพระเจ้าผู้เป็นนายเท่านั้น แต่ในสายตาของมนุษย์ด้วย 22เราได้ส่งพี่น้องอีกคนหนึ่งไปกับเขาทั้งสองด้วย ผู้ซึ่งเราได้ทดสอบแล้วว่า มีความกระตือรือร้นในหลายสิ่ง และเดี๋ยวนี้เขามีความกระตือรือร้นมากขึ้น เพราะเรามีความไว้ใจในท่านมาก 23ถ้ามีคนใดถามถึงทิตัส ทิตัสก็เป็นเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้า และเป็นผู้ช่วยในการของพวกท่านทั้งหลาย หรือถ้ามีคนใดถามถึงพี่น้องสองคนนั้น เขาก็เป็นทูตรับใช้ของชุมชนของพระเจ้าทั้งหลายและเป็นสง่าราศีของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 24เหตุฉะนั้นจงให้พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาของท่านประจักษ์แก่คนเหล่านั้น และแสดงให้แก่ชุมชนของพระเจ้าทั้งหลายด้วย ให้สมกับที่ข้าพเจ้าได้อวดเรื่องพวกท่านให้เขาฟัง
1ข้าพเจ้าไม่จำเป็นต้องเขียนถึงท่านในเรื่องการช่วยเหลือวิมุตติชน 2เพราะข้าพเจ้ารู้ว่าใจของท่านพร้อมอยู่แล้ว ข้าพเจ้าจึงพูดอวดเรื่องพวกท่านกับพวกมาซิโดเนียว่า พวกอาคายาได้จัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว ตั้งแต่ปีกลาย และความกระตือรือร้นของพวกท่านก็เร้าใจคนทั้งหลาย 3แต่ข้าพเจ้าได้ให้พี่น้องเหล่านั้นไป เพื่อไม่ให้การอวดของเราเรื่องท่านในข้อนั้นเป็นการเปล่าประโยชน์ และเพื่อให้ท่านจัดเตรียมไว้ให้พร้อมตามที่ข้าพเจ้าได้พูดไปแล้วนั้น 4มิฉะนั้นแล้ว ถ้าชาวมาซิโดเนียบางคนมากับข้าพเจ้า และเห็นว่าท่านไม่ได้เตรียมพร้อมตามที่เราได้อวดไว้นั้น อย่าว่าแต่ท่านจะขายหน้าเลย เราเองก็จะขายหน้าด้วย 5เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเห็นว่า สมควรจะวิงวอนให้พี่น้องเหล่านั้นไปหาท่านก่อนข้าพเจ้า และให้จัดเตรียมของถวายของท่านไว้ ตามที่ท่านได้สัญญาไว้แล้ว เพื่อของถวายนั้นจะมีอยู่พร้อม และจะเป็นของถวายที่ให้ด้วยใจกว้างขวาง ไม่ใช่ให้ด้วยการฝืนใจ
6นี่แหละ คนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเกี่ยวเก็บได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเกี่ยวเก็บได้มาก 7ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดไว้ในใจ ไม่ใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย ไม่ใช่ให้ด้วยการฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าเมตตาคนเหล่านั้นที่ให้ด้วยใจยินดี 8และพระเจ้ามีฤทธิ์สามารถประทานพระคุณอันอุดมทุกอย่าง แก่พวกท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอสำหรับตัวเสมอ ทั้งจะมีสิ่งของบริบูรณ์สำหรับงานที่ดีทุกอย่างด้วย 9ตามที่พระคัมภีร์เขียนไว้ว่า “เขาแจกจ่าย เขาได้ให้แก่คนยากจน บุญของเขาดำรงอยู่ตลอดไป” 10ฝ่ายพระเจ้าผู้ประทานพืชแก่คนที่หว่าน และประทานอาหารแก่คนที่กิน จะให้พืชของท่านที่หว่านนั้นทวีขึ้นอย่างมากมาย และจะให้ผลแห่งบุญของท่านเจริญมากขึ้น 11โดยให้พวกท่านทั้งหลายมีสิ่งสารพัดมั่งคั่งบริบูรณ์ขึ้น เพื่อให้ท่านมีแจกจ่ายอย่างใจกว้างขวาง ซึ่งจะให้เกิดการขอบคุณพระเจ้า
12เพราะว่าการรับใช้ในการบริการนั้นไม่ใช่จะช่วยวิมุตติชนที่ขัดสนเท่านั้น แต่ยังเป็นเหตุให้มีการขอบคุณพระเจ้าอย่างมากมายอีกด้วย 13และเนื่องจากผลแห่งการรับใช้นั้น เขาจึงถวายเกียรติยศแก่พระเจ้า โดยเหตุที่พวกท่านทั้งหลายยอมฟัง และตั้งใจอยู่ในบารมีของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ และเพราะเหตุท่านได้แจกจ่ายแก่เขา และแก่คนทั้งหลายด้วยใจกว้างขวาง 14เขาก็จะวิงวอนขอพระพรให้แก่พวกท่านทั้งหลาย และอาลัยอาวรณ์ท่านอย่างมากมาย เพราะเหตุพระคุณของพระเจ้าซึ่งสถิตอยู่ในท่านอย่างเหลือล้น 15จงขอบคุณพระเจ้าเพราะของประทานซึ่งพระองค์ประทานนั้นที่เหลือจะพรรณนาได้
1ข้าพเจ้าผู้มีชื่อว่า เปาโล ขอวิงวอนท่านเป็นส่วนตัว โดยเห็นแก่ความสุภาพ และความใจดีของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ข้าพเจ้าผู้ที่ท่านว่า เป็นคนสุภาพถ่อมตัวเมื่ออยู่กับท่านทั้งหลาย แต่เมื่ออยู่ต่างหากก็เป็นคนใจกล้าหาญ 2คือข้าพเจ้าขอร้องท่านว่า เมื่อข้าพเจ้ามาอยู่กับท่าน อย่าให้ข้าพเจ้าต้องแสดงความกล้าหาญด้วยความแน่ใจ อย่างที่ข้าพเจ้าคาดหมายว่าสำแดงต่อบางคนที่คิดว่าเรายังทำตามค่านิยมของโลกนี้ 3เพราะว่า ถึงแม้ว่าเราอยู่ในโลกก็จริงอยู่ แต่เราก็ไม่ได้สู้รบตบมือตามอย่างที่โลกทำ 4เพราะว่าอาวุธยุทโธปกรณ์แห่งการสงครามของเราไม่ใช่ของฝ่ายโลก แต่มีอานุภาพอันใหญ่หลวงจากพระเจ้าที่จะทำลายป้อมอันแข็งแรงลงได้ 5คือทำลายความคิด และทิฐิมานะทุกอย่างที่ตั้งตัวขึ้นขัดขวางความรู้ของพระเจ้า และน้อมนำความคิดทุกอย่างให้เข้าอยู่ใต้บังคับจนถึงเชื่อฟังพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 6และพร้อมที่จะลงโทษทุกคนที่ไม่เชื่อฟัง ในเมื่อท่านรับว่าจะเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์แล้ว
7ท่านจงดูสิ่งที่ปรากฏแก่ตา ถ้าผู้ใดมั่นใจว่าตัวเป็นคนของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ก็ให้ผู้นั้นคิดถึงตัวเองอีกว่า เมื่อเขาเป็นคนของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ เราก็เป็นคนของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์เหมือนกัน 8ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะโอ้อวดมากไปสักหน่อยในเรื่องอำนาจ ซึ่งพระเจ้าผู้เป็นนายได้ให้ไว้เพื่อเสริมสร้างท่าน ไม่ใช่เพื่อทำลายท่าน ข้าพเจ้าก็จะไม่อาย 9เพื่อพวกท่านทั้งหลายจะไม่คิดเห็นว่า ข้าพเจ้าอยากให้ท่านกลัวเพราะจดหมายของข้าพเจ้า 10เพราะมีบางคนพูดว่า “จดหมายของเปาโลนั้นมีน้ำหนัก และมีอำนาจมากก็จริงอยู่ แต่ว่าตัวเขาอ่อนกำลัง และคำพูดของเขาก็ใช้ไม่ได้” 11จงให้คนเหล่านั้นเข้าใจอย่างนี้ว่า เมื่อเราไม่อยู่เราพูดไว้ในจดหมายของเราว่าอย่างไร เมื่อเรามาแล้วเราก็จะทำอย่างนั้นด้วย 12เราไม่ต้องการที่จะจัดอันดับ หรือเปรียบเทียบตัวเราเองกับบางคนที่ยกย่องตัวเอง แต่เมื่อเขาเอาตัวของเขาเป็นเครื่องวัดกันและกัน และเอาตัวเปรียบเทียบกันและกัน เขาก็เป็นคนขาดความเข้าใจ
13ฝ่ายเราจะไม่โอ้อวดในสิ่งใดเกินขอบเขต แต่ว่าจะอวดในขอบเขตที่พระเจ้าจัดไว้ให้เรา และพวกท่านก็อยู่ในขอบเขตนั้น 14การที่มาถึงท่านนั้น ไม่ใช่โดยการล่วงเกินขอบเขตอันควร เรามาจนถึงพวกท่านทั้งหลาย เพื่อเผยแพร่บารมีของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 15เราไม่ได้โอ้อวดเกินขอบเขต ไม่ได้อวดในการงานที่คนอื่นได้ทำไว้ แต่เราหวังว่า เมื่อความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าของท่านเจริญขึ้นแล้ว ท่านจะช่วยเราให้ขยายเขตกว้างขวางออกไปอีกอย่างมากมายตามขนาดของเรา 16เพื่อเราจะได้เผยแพร่บารมีของพระเจ้าในเขตที่อยู่นอกท้องถิ่นของพวกท่าน โดยไม่โอ้อวดเรื่องการงานที่คนอื่นได้ทำไว้แล้วนั้น 17ถ้าผู้ใดจะอวด ก็จงอวดพระเจ้าผู้เป็นนาย 18เพราะคนที่ยกย่องตัวเองไม่เป็นที่นับถือของผู้ใด คนที่น่านับถือนั้นคือคนที่พระเจ้าผู้เป็นนายยกย่อง
1ข้าพเจ้าอยากจะขอให้ท่านทนฟังความโง่ของข้าพเจ้าสักหน่อยหนึ่ง ความจริงท่านก็ทนอยู่แล้ว 2เพราะว่าข้าพเจ้าหวงแหนท่านอย่างที่พระเจ้าหวงแหน เพราะว่าข้าพเจ้าได้หมั้นพวกท่านไว้สำหรับสามีผู้เดียว เพื่อถวายพวกท่านให้แก่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ เป็นพรหมจารีบริสุทธิ์ 3แต่ข้าพเจ้าเกรงว่างูนั้นได้ล่อลวงนางเอวาด้วยอุบายของมันฉันใด จิตใจของท่านก็จะถูกล่อลวงให้หลงไปจากความบริสุทธิ์ ซึ่งมีอยู่ในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ โดยวิธีหนึ่งวิธีใดฉันนั้น 4เพราะว่าถ้าคนใดจะมาเผยแพร่พระเยซูอีกองค์หนึ่ง ซึ่งแตกต่างกับที่เราได้เผยแพร่นั้น หรือถ้าท่านจะรับพระวิญญาณอื่นซึ่งแตกต่างจากที่ท่านได้รับแต่ก่อน หรือรับบารมีอื่นซึ่งแตกต่างกับที่ท่านได้รับไว้แล้ว แหม พวกท่านทั้งหลายช่างอดทนสนใจฟังเขาเสียจริงๆนะ 5เพราะข้าพเจ้าคิดว่า ข้าพเจ้าไม่ด้อยกว่าอัครทูตชั้นผู้ใหญ่เหล่านั้นแม้แต่นิดเดียว 6แม้ว่าข้าพเจ้าพูดไม่เก่ง แต่ข้าพเจ้าก็ยังมีความรู้ ความจริงเราก็ได้แสดงข้อนี้ให้ประจักษ์แก่พวกท่านในกิจการทุกอย่างแล้ว
7การที่ข้าพเจ้าถ่อมกายถ่อมใจลงเพื่อยกชูท่านขึ้น และได้เผยแพร่บารมีของพระเจ้า แก่พวกท่านโดยไม่ได้คิดค่าตอบแทนอะไร เป็นการทำผิดหรือ? 8ข้าพเจ้าได้ปล้นชุมชนของพระเจ้าอื่นๆด้วยการรับเงินบำรุงจากเขา เพื่อจะได้รับใช้พวกท่าน 9และเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับพวกท่าน และกำลังอดอยากนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เป็นภาระแก่ผู้ใด เพราะว่า พี่น้องที่มาจากมณฑลมาซิโดเนียได้เจือจานให้พอแก่ความต้องการของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าระวังตัวไม่ให้เป็นภาระแก่พวกท่านในทางหนึ่งทางใดทุกอย่าง และข้าพเจ้าจะระวังตัวเช่นนี้ต่อไป 10ความจริงของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์มีอยู่ในข้าพเจ้าฉันใด จึงไม่มีผู้ใดในมณฑลอาคายา สามารถที่จะห้ามข้าพเจ้าไม่ให้อวดเรื่องนี้ได้ฉันนั้น 11เพราะเหตุใด เพราะข้าพเจ้าไม่รักพวกท่านหรือ? พระเจ้ารู้ดีว่าข้าพเจ้ารักพวกท่าน
12แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าทำไปนั้น ข้าพเจ้าก็จะทำต่อไป เพื่อข้าพเจ้าจะตัดโอกาสคนเหล่านั้นที่คอยหาโอกาส เพื่อว่าเมื่อเขาโอ้อวดนั้นเขาจะได้ปรากฏว่ามีสภาพเหมือนกับเรา 13เพราะคนเช่นนั้นเป็นอัครทูตปลอม เป็นคนงานที่หลอกลวง ปลอมตัวเป็นอัครทูตของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 14การทำเช่นนั้นไม่แปลกประหลาดเลย ถึงซาตานเองก็ยังปลอมตัวเป็นทูตแห่งความสว่างได้ 15เหตุฉะนั้นจึงไม่เป็นการแปลกอะไรที่ผู้รับใช้ของซาตานจะปลอมตัวเป็นผู้รับใช้ของความถูกต้อง ในที่สุดเขาก็จะเป็นไปตามการกระทำของเขา
16ข้าพเจ้าขอพูดซ้ำอีกว่า อย่าให้ใครเห็นไปว่าข้าพเจ้าเป็นคนโง่ แต่ถ้ามี ก็ให้เขาต้อนรับข้าพเจ้าอย่างต้อนรับคนโง่เถิด เพื่อข้าพเจ้าจะได้อวดตัวเองได้บ้าง 17การที่ข้าพเจ้าพูดเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่ได้พูดตามอย่างพระเจ้าผู้เป็นนาย แต่พูดอย่างคนโง่ เพราะว่าไว้ใจตัวเองในการอวดนั้น 18เพราะว่าเมื่อเห็นว่าหลายคนเคยอวดตามกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา ข้าพเจ้าก็จะสิอวดเหมือนกัน 19เพราะว่าการที่ท่านทนฟังคนโง่พูดด้วยความยินดีนั้น น่าจะเป็นเพราะท่านฉลาดเสียนี่กระไร 20เพราะท่านทนเอา ถ้ามีผู้นำท่านไปเป็นทาส ถ้ามีผู้เอาท่านไปเป็นเหยื่อ ถ้ามีผู้มายึดเอาของของท่านไป ถ้ามีผู้ยกตัวเองเป็นใหญ่ ถ้ามีผู้ตบหน้าท่าน
21ข้าพเจ้าต้องพูดด้วยความละอายว่า ดูเหมือนเราอ่อนแอเกินไปในเรื่องนี้ ไม่ว่าใครกล้าอวดในเรื่องใด (ข้อยพูดอย่างคนโง่) ข้าพเจ้าก็กล้าอวดเรื่องนั้นเหมือนกัน 22เขาเป็นชาติฮีบรูหรือ? ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนกัน เขาเป็นชนชาติอิสราเอลหรือ? ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนกัน เขาเป็นเชื้อสายของอับราฮัมหรือ? ข้าพเจ้าก็เป็นเหมือนกัน 23เขาเป็นผู้รับใช้ของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์หรือ? ข้าพเจ้าก็เป็นดีกว่าเขาเสียอีก (ข้อยพูดอย่างคนบ้า) ข้าพเจ้าทำงานมากกว่าเขาอีก ข้าพเจ้าถูกโบยตีเกินขนาด ข้าพเจ้าติดคุกมากกว่าเขา ข้าพเจ้าเกือบตายบ่อยๆ
24พวกยิวเฆี่ยนข้าพเจ้าห้าเทื่อๆละสามสิบเก้าที 25เขาตีข้าพเจ้าด้วยไม้เรียวสามครั้ง เขาเอาก้อนหินขว้างข้าพเจ้าครั้งหนึ่ง ข้าเจ้าเผชิญภัยเรือแตกสามครั้ง ข้าพเจ้าลอยอยู่ในทะเลวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง 26ข้าพเจ้าต้องเดินทางบ่อยๆ เผชิญภัยอันน่ากลัวในแม่น้ำ เผชิญโจรภัย เผชิญภัยจากชนชาติของข้าพเจ้าเอง เผชิญภัยจากคนต่างชาติ เผชิญภัยในเมือง เผชิญภัยในป่า เผชิญภัยในทะเล เผชิญภัยจากพี่น้องจอมปลอม 27ต้องทำงานเหน็ดเหนื่อยและยากลำบาก ต้องอดหลับอดนอนอยู่บ่อยๆ ต้องหิวและกระหาย ต้องอดข้าวอยู่เรื่อยๆ ต้องทนหนาวและเปลือยกายอยู่ 28และนอกจากสิ่งเหล่านั้นที่อยู่ภายนอกแล้ว ยังมีการอื่นที่บีบข้าพเจ้าอยู่ทุกวัน คือการดูแลชุมชนของพระเจ้าทั้งหลาย
29มีใครบ้างที่เป็นคนอ่อนกำลัง และข้าพเจ้าไม่ได้อ่อนกำลังด้วย มีใครบ้างที่ถูกทำให้สะดุด และข้าพเจ้าไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนด้วย 30ถ้าข้าพเจ้าจำเป็นต้องอวด ข้าพเจ้าก็จะอวดสิ่งที่แสดงว่า ข้าพเจ้าเป็นคนอ่อนกำลัง 31พระเจ้าผู้เป็นพ่อของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา พระองค์เป็นผู้ที่ควรแก่การสรรเสริญตลอดไป พระองค์รู้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้พูดเท็จเลย 32ผู้ว่าราชการเมืองของกษัตริย์อาเรทัสในกรุงดามัสกัส ได้ให้ทหารเฝ้ากรุงดามัสกัสไว้ เพื่อจะจับตัวข้าพเจ้า 33แต่เขาเอาตัวข้าพเจ้าใส่กระบุงใหญ่หย่อนลงทางช่องที่กำแพงเมือง ข้าพเจ้าจึงพ้นจากเงื้อมมือของผู้ว่าราชการ
1ข้าพเจ้าจำเป็นจะต้องอวด ถึงแม้ว่าจะไม่มีประโยชน์อะไร แต่ข้าพเจ้าจะเล่าต่อไปถึงนิมิต และการเปิดเผยต่างๆซึ่งมาจากพระเจ้าผู้เป็นนาย 2สิบสี่ปีมาแล้วข้าพเจ้าได้รู้จักชายคนหนึ่งในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ เขาถูกรับขึ้นไปยังสวรรค์ชั้นที่สาม (แต่จะไปทั้งกาย หรือไปโดยไม่มีกาย ข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้ารู้) 3ข้าพเจ้ารู้จักชายคนนั้น (แต่จะไปทั้งกายหรือไม่มีกาย ข้าพเจ้าไม่รู้ พระเจ้ารู้) 4คือว่าคนนั้นถูกรับขึ้นไปยังสวนสวรรค์ของพระเจ้า และได้ยินคำพูซึ่งจะพูดเป็นคำไม่ได้ และมนุษย์จะพูดออกมาก็เป็นเรื่องต้องห้าม 5สำหรับชายคนนั้นข้าพเจ้าอวดได้ แต่สำหรับตัวข้าพเจ้าเอง ข้าพเจ้าจะไม่อวดเลย นอกจากจะอวดถึงเรื่องความอ่อนแอของข้าพเจ้า
6เพราะถึงแม้ว่าข้าพเจ้าอยากจะอวด ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่คนโง่ เพราะข้าพเจ้าพูดตามความจริง แต่ข้าพเจ้าระงับไว้ ก็เพราะเกรงว่า บางคนจะยกข้าพเจ้าเกินกว่าที่เขาได้เห็น และได้ฟังเกี่ยวกับข้าพเจ้า 7และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป เนื่องจากที่ได้เห็นการเปิดเผยของพระเจ้ามากมายนั้น ก็ยังให้มีหนามในร่างกายของข้าพเจ้าอยู่ หนามนั้นเป็นทูตของมารที่คอยทุบตีข้าพเจ้า เพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป 8เรื่องหนามนั้น ข้าพเจ้าวิงวอนพระเจ้าผู้เป็นนายถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า 9แต่พระองค์พูดกับข้าพเจ้าว่า “พระคุณของเราก็มีพอสำหรับเจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีอยู่ที่ใด ฤทธิ์เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่อยู่ที่นั่น” เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงยินดีโอ้อวดในความอ่อนแอทั้งหลายของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า 10เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ข้าพเจ้าจึงพอใจในความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการถูกทำร้ายต่างๆ ในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอตอนไหน ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงขึ้นตอนนั้น
11ในการอวดนั้นข้าพเจ้าก็เป็นคนโง่ไปแล้วซี พวกท่านบังคับให้ข้าพเจ้าเป็น เพราะว่าสมควรแล้วที่ท่านจะยกย่องข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ด้อยไปกว่าอัครทูตชั้นผู้ใหญ่เหล่านั้นแต่อย่างใด๋เลย ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่วิเศษอะไรเลยก็จริงอยู่ 12แท้จริงหมายสำคัญต่างๆของอัครทูต ก็ได้สำแดงให้ประจักษ์แจ้งในหมู่พวกท่านแล้ว ด้วยความเพียรต่างๆ โดยหมายสำคัญ โดยการมหัศจรรย์ และโดยการอิทธิฤทธิ์ 13เพราะว่าพวกท่านเสียเปรียบชุมชนของพระเจ้าที่อื่นๆในข้อใดเล่า เว้นไว้ในข้อนี้ คือที่ข้าพเจ้าไม่ได้เป็นภาระแก่พวกท่าน การผิดนั้นขอท่านให้อภัยแก่ข้าพเจ้าเถิด
14ในตอนนี้ ข้าพเจ้าเตรียมพร้อมที่จะมาเยี่ยมพวกท่านเป็นครั้งที่สาม และข้าพเจ้าจะไม่เป็นภาระแก่พวกท่าน เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ต้องการสิ่งใดจากท่าน แต่ต้องการตัวท่าน เพราะว่าที่บุตรธิดาจะสะสมไว้สำหรับบิดามารดาก็ไม่สมควร แต่บิดามาดรควรสะสมไว้สำหรับบุตรธิดา 15และข้าพเจ้ามีความยินดีที่จะสละแรงทั้งหมดเพื่อพวกท่านทั้งหลาย แม้ว่าข้าพเจ้ารักท่านมากขึ้นๆ ท่านกลับรักข้าพเจ้าน้อยลง 16ถึงแม้ว่าเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ได้เป็นภาระแก่พวกท่าน แต่พวกท่านก็พูดว่า ข้าพเจ้าใช้กุศโลบายเอาเปรียบท่าน 17ข้าพเจ้าได้โกงอะไรจากพวกท่านในการที่ส่งคนเหล่านั้นไปเยี่ยมพวกท่านหรือ? 18ข้าพเจ้าขอให้ทิตัสไป และพี่น้องอีกคนหนึ่งไปด้วย ทิตัสได้โกงจากพวกท่านอยู่หรือ? เราทั้งสองไม่ได้ดำเนินการด้วยน้ำใจอย่างเดียวกันหรือ? เราไม่ได้เดินตามรอยเดียวกันหรือ?
19พวกท่านทั้งหลายยังคิดว่าเรากำลังพูดแก้ตัวต่อท่านอีกหรือ? ความจริงเราพูดในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ เหมือนกับเราอยู่ต่อหน้าพระเจ้า พี่น้องที่รัก สิ่งสารพัดที่เราได้ทำไปนั้น เราทำไปเพื่อท่านจะเจริญขึ้น 20เพราะว่าข้าพเจ้ากลัวว่าเมื่อข้าพเจ้ามาถึง ข้าพเจ้าอาจจะไม่เห็นพวกท่านเป็นเหมือนที่ข้าพเจ้าอยากเห็น และท่านจะเห็นข้าพเจ้าเหมือนคือที่ท่านอยากเห็น คือเกรงว่าไม่เหตุใดก็เหตุหนึ่ง จะมีการทะเลาะกัน ริษยากัน โกรธให้กัน มักใหญ่ใฝ่สูง นินทากัน ซุบซิบส่อเสียดกัน จองหองพองตัว และเกะกะวุ่นวายกัน 21ข้าพเจ้าเกรงว่า เมื่อข้าพเจ้ากลับมา พระเจ้าของข้าพเจ้าจะให้ข้าพเจ้าต่ำต้อยในหมู่พวกท่าน และข้าพเจ้าจะต้องเศร้าใจ เพราะเหตุหลายคนที่ได้ทำผิดมาก่อนแล้ว และไม่ได้กลับใจทิ้งความชั่วช้า การผิดประเวณี และการลามก ซึ่งเขาได้ทำอยู่นั้น
1ครั้งนี้จะเป็นครั้งที่สามที่ข้าพเจ้าจะมาเยี่ยมยามพวกท่าน คำพูดทุกๆคำต้องมีพยานสองหรือสามปาก จึงจะเป็นที่เชื่อถือได้ 2ข้าพเจ้าได้เตือนผู้ที่ทำผิดบาป และคนอื่นๆอีก และบัดนี้ข้าพเจ้าจึงบอกท่านอีก เมื่อข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กับท่าน เหมือนกับเมื่อข้าพเจ้าได้อยู่กับท่านในครั้งที่สองนั้นว่า ถ้าข้าพเจ้ามาอีก ข้าพเจ้าจะไม่เว้นการติโทษคนเหล่านี้เลย 3เพราะว่าพวกท่านทั้งหลายต้องการที่จะเห็นหลักฐานว่าพระผู้เป็นพระศรีอาริย์พูดผ่านทางข้าพเจ้า พระองค์ไม่ได้อ่อนต่อพวกท่าน แต่มีฤทธิ์มากในหมู่พวกท่าน 4เพราะถึงแม้ว่าพระองค์ถูกตรึงในความอ่อนแอ พระองค์ยังมีชีวิตอยู่โดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า เพราะว่าเราก็อ่อนแอด้วยกันกับพระองค์ แต่เรายังมีชีวิตเป็นอยู่กับพระองค์โดยฤทธิ์เดชของพระเจ้า
5ท่านจงพิจารณาดูตัวของท่านว่า ท่านตั้งอยู่ในความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าหรือไม่ จงพิสูจน์ตัวของทานเองเถิด ท่านมรู้หรือว่า พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ อยู่ในพวกท่านทั้งหลาย นอกจาท่านจะไม่สามารถผ่านการพิสูจน์นั้น 6แต่ข้าพเจ้าหวังว่าท่านคงรู้ว่าเราไม่ได้แพ้ต่อการพิสูจน์นั้น 7บัดนี้ข้าพเจ้าอธิษฐานสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าเพื่อพวกท่านทั้งหลายจะไม่ทำชั่วใดๆ ไม่ใช่ว่าเราจะให้ปรากฏว่าเราชนะการพิสูจน์ แต่เพื่อท่านจะประพฤติเป็นที่ชอบ ถึงแม้ว่าดูคล้ายๆว่าเราเองแพ้การพิสูจน์ 8เพราะว่าเราทำสิ่งใดขัดกับความจริงไม่ได้ แต่ได้ทำเพื่อความจริงเท่านั้น 9เพราะว่าเมื่อเราอ่อนแอ และท่านแข็งแรง เราก็ยินดี เราอยากได้สิ่งนี้ด้วย คือขอให้พวกท่านทั้งหลายบรรลุถึงความบริบูรณ์ 10เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงเขียนข้อความนี้เมื่อข้าพเจ้าไม่อยู่ เพื่อเมื่อข้าพเจ้ามาแล้ว จะได้ไม่ต้องกวดขันท่านโดยใช้อำนาจ ซึ่งพระเจ้าผู้เป็นนาย ประทานให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อการก่อขึ้นไมใช่เพื่อการทำลายลง
11ในที่สุดนี้ พี่น้องทั้งหลาย ขอลาก่อน ท่านจงปรับปรุงตัวให้ดี จงฟังคำวิงวอนของข้าพเจ้า จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จงอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และพระเจ้าแห่งพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สันติภาพและสันติสุขจะอยู่กับท่าน 12จงทักทายกันด้วยประเพณีไปลามาไหว้ 13วิมุตติชนของพระเจ้าทุกคนฝากความคิดถึงมาหาท่านทั้งหลาย 14ขอให้พระคุณของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนาย พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาแห่งพระเจ้า และความสนิทสนมซึ่งมาจากพระวิญญาณ จงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด สาธุ
1จดหมายนี้เขียนโดย เปาโล ผู้เป็นอัครทูต (ไม่ใช่มนุษย์แต่งตั้ง หรือมนุษย์เป็นตัวแทนแต่งตั้ง แต่พระเยซูผู้เป็นพระศรีอารยิ์และพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ผู้ได้ให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นผู้แต่งตั้ง) 2และพี่น้องทั้งหลายที่อยู่กับข้าพเจ้า เขียนจดหมายนี้ถึง ชุมชนของพระเจ้าที่อยู่ในมณฑลกาลาเทีย 3ขอให้พระคุณ สันติภาพ และสันติสุขจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อ และพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา 4ผู้ได้สละพระองค์เพราะความผิดบาป ที่อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชาของเราทั้งหลาย เพื่อช่วยเราให้พ้นจากยุคปัจจุบันอันชั่วร้าย ตามใจของพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา จงอยู่กับพวกท่านทั้งหลายเถิด 5ขอให้พระเจ้าจงมีสง่าราศีตลอดไป สาธุ
6ข้าพเจ้าประหลาดใจมาก ที่พวกท่านได้ทิ้งพระองค์ไปอย่างรวดเร็ว พระองค์ได้เรียกท่านมาโดยพระคุณของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ และได้ไปหาบารมีอื่น 7ความจริงแล้ว บารมีอื่นไม่มี แต่ว่ามีบางคนทำให้ท่านยุ่งยาก และต้องการที่จะบิดเบือนบารมีของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 8แม้แต่พวกเราเองหรือเทวดาหน้าไหน ถ้าเผยแพร่บารมีอื่นให้แก่พวกท่าน ซึ่งขัดแย้งกับบารมีของพระเจ้าที่เราได้เผยแพร่ให้แก่พวกท่านไปแล้ว ก็ให้ผู้นั้นถูกสาปแช่ง 9ตามที่เราได้กล่าวไว้ก่อนแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าขอพูดอีกว่า ถ้าผู้ใดเผยแพร่บารมีอื่นให้กับพวกท่านที่ขัดแย้งกับบารมีของพระเจ้าที่พวกท่านได้รับไว้แล้ว ผู้นั้นจะต้องถูกสาปแช่ง
10บัดนี้ข้าพเจ้ากำลังพูดเพื่อเอาใจมนุษย์หรือ? หรือข้าพเจ้าทำให้เป็นที่พอใจของพระเจ้า ข้าพเจ้าอุตส่าห์ประจบประแจงมนุษย์หรือ? ถ้าข้าพเจ้ากำลังประจบประแจงมนุษย์อยู่ ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ผู้รับใช้ของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์
11พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านรู้ว่า บารมีของพระเจ้าที่ข้าพเจ้าได้เผยแพร่ไปแล้วนั้นไม่ใช่ของมนุษย์ 12เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ได้รับบารมีนั้นจากมนุษย์ ไม่มีมนุษย์คนใดสอนข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าได้รับบารมีนั้นโดยพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ได้สำแดงแก่ข้าพเจ้า 13เพราะพวกท่านก็ได้ยินถึงชีวิตในหนหลังของข้าพเจ้าแล้วว่า เมื่อข้าพเจ้ายังอยู่ในลัทธิยูดายนั้น ข้าพเจ้าได้ข่มเหงชุมชนของพระเจ้าอย่างร้ายแรงเหลือเกิน และพยายามที่จะทำลายให้สิ้นไป 14และเมื่อข้าพเจ้าอยู่ในลัทธิยูดายนั้น ข้าพเจ้าได้ก้าวหน้าเกินกว่าเพื่อนฝูงหลายคน ที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และที่เป็นชนชาติเดียวกัน เพราะเหตุที่ข้าพเจ้ามีหัวรุนแรง มากกว่าเขาในเรื่องขนบธรรมเนียมแห่งบรรพบุรุษของข้าพเจ้า 15แต่เมื่อพระเจ้าผู้ได้เลือกสรรข้าพเจ้าไว้ตั้งแต่ครรภ์มารดา และได้เรียกข้าพเจ้าโดยพระคุณของพระองค์ พระองค์พอใจ 16ที่จะสำแดงพระโอรสของพระองค์แก่ข้าพเจ้า เพื่อให้ข้าพเจ้าเผยแพร่เรื่องพระโอรสขององค์แก่คนต่างชาตินั้น ในตอนนั้น ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ปรึกษากับมนุษย์คนใดเลย 17ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อพบกับผู้ที่เป็นอัครทูตก่อนข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าได้ออกไปยังประเทศอาระเบีย แล้วก็กลับมายังเมืองดามัสกัสอีก
18สามปีต่อมา ข้าพเจ้าขึ้นไปหาเปโตรที่กรุงเยรูซาเล็ม และพักอยู่กับท่านสิบห้าวัน 19และข้าพเจ้าไม่ได้พบอัครทูตคนอื่น ๆ เลย นอกจากยากอบน้องชายของพระเจ้าผู้เป็นนาย 20(เรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนมาถึงพวกท่านนี้ พระเจ้าเป็นพยานได้ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้โกหกเลย) 21หลังจากนั้นข้าพเจ้าก็เข้าไปในมณฑลซีเรียและซีลีเซีย 22ข้าพเจ้าไม่ได้พบกับชุมชุนของพระเจ้าในมณฑลยูเดียเลย 23เขาเพียงแต่ได้ยินว่า “ผู้ที่แต่ก่อนเคยข่มเหงเรา บัดนี้ได้เผยแพร่ความเชื่อซึ่งเขาได้เคยพยายามทำลายนั้น” 24พวกเขาได้ยกย่องสรรเสริญพระเจ้าก็เพราะข้าพเจ้าเป็นเหตุ
1สิบสี่ปีต่อมา ข้าพเจ้ากับบารนาบัสได้ขึ้นไปยังกรุงเยรูซาเล็มอีก และพาทิตัสไปด้วย 2ข้าพเจ้าขึ้นไปตามที่พระเจ้าได้สำแดงแก่ข้าพเจ้า และข้าพเจ้าได้เล่าเรื่องบารมีของพระเจ้าที่ข้าพเจ้าเผยแพร่แก่คนต่างชาติให้เขาฟัง แต่ได้เล่าให้คนสำคัญฟังเป็นการส่วนตัว เกรงว่าข้าพเจ้าอาจจะวิ่งแข่งกัน หรือวิ่งแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไร 3แต่ถึงแม้ทิตัสซึ่งอยู่กับข้าพเจ้าจะเป็นคนกรีก เขาก็ไม่ได้ถูกบังคับให้เข้าสุหนัต 4ตามคำแนะนำของพี่น้องจอมปลอมที่ได้ลอบเข้ามา เพื่อจะสอดแนมดูเสรีภาพซึ่งเรามีในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เพราะพวกเขาหวังจะเอาเราไปเป็นทาส 5แต่พวกเราไม่ได้ยอมอ่อนข้อให้กับเขาแม้แต่ชั่วโมงเดียว เพื่อให้ความจริงของบารมีนั้นดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายต่อไป 6และจากพวกเหล่านั้นที่เขาถือว่าเป็นคนสำคัญ (เขาจะเคยเป็นอะไรมาก่อนก็ตาม ก็ไม่สำคัญอะไรสำหรับข้าพเจ้าเลย พระเจ้าไม่ได้เห็นแก่หน้าผู้ใด) คนเหล่านั้นซึ่งเขาถือว่าเป็นคนสำคัญ ไม่ได้เพิ่มเติมสิ่งหนึ่งสิ่งใดให้แก่ข้าพเจ้าเลย 7แต่ตรงกันข้าม เมื่อเขาเห็นว่า ข้าพเจ้าได้รับมอบให้เผยแผ่บารมีของพระเจ้าแก่คนเหล่านั้นที่ไม่ถือพิธีเข้าสุหนัต เหมือนกันกับเปโตรได้รับมอบหมายให้เผยแพร่บารมีของพระเจ้าแก่คนที่ถือพิธีเข้าสุหนัต 8(เพราะว่า พระเจ้าผู้ได้ดลใจเปโตรให้เป็นอัครทูตไปหาพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัต ก็ได้ดลใจข้าพเจ้าให้ไปหาคนต่างชาติเหมือนกัน) 9เมื่อยากอบ เคฟาสและยอห์น ผู้ที่เขานับถือว่าเป็นหลักได้เห็นพระคุณซึ่งมอบให้แก่ข้าพเจ้าแล้ว ก็ได้จับมือขวาของข้าพเจ้ากับบารนาบัส แสดงว่าเราเป็นเพื่อนร่วมงานกัน เพื่อให้เราไปหาคนต่างชาติ และคนเหล่านั้นจะไปหาพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัต 10คนเหล่านั้นขอแต่เพียงไม่ให้เราลืมนึกถึงคนยากจน ซึ่งเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้ากระตือรือร้นที่จะทำอยู่แล้ว
11แต่เมื่อเปโตรมาถึงเมืองอันทิโอกแล้ว ข้าพเจ้าก็ได้คัดค้านท่านซึ่ง ๆ หน้า เพราะว่าท่านได้ทำผิดอย่างแน่นอน 12เพราะว่าก่อนที่คนของยากอบจะมาถึงนั้น ท่านได้กินอยู่ด้วยกันกับคนต่างชาติ แต่พอคนพวกนั้นมาถึง ท่านก็ปลีกตัวออกไปอยู่ต่างหาก เพราะเกรงใจพวกที่ถือพิธีเข้าสุหนัต 13และพวกยิวคนอื่น ๆ ก็ได้แสร้งทำตามท่านเหมือนกัน แม้แต่บารนาบัสก็แสร้งทำตามคนเหล่านั้นไปด้วย 14แต่เมื่อข้าพเจ้าเห็นว่าเขาไม่ได้ทำตามความจริงแห่งบารมีของพระเจ้านั้น ข้าพเจ้าจึงได้พูดกับเปโตรต่อหน้าคนทั้งหลายว่า “ในเมื่อพวกท่านที่เป็นคนยิวใช้ชีวิตตามอย่างคนต่างชาติ ไม่ใช่ตามอย่างพวกยิว ทำไมพวกท่านจึงบังคับคนต่างชาติให้ใช้ชีวิตตามอย่างพวกยิวเล่า”
15พวกเราผู้เป็นยิวโดยกำเนิด ไมใช่คนต่างชาติที่ถือว่าเป็นคนบาป อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา 16ก็ยังรูว่าไม่มีผู้ใดเป็นคนบุญได้ โดยการทำตามบัญญัติหรือศีล แต่เป็นคนบุญได้โดยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์เท่านั้น แม้แต่เราเองก็มีความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เพื่อเราจะได้เป็นคนบุญโดยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ไม่ใช่โดยการทำตามบัญญัติหรือศีล เพราะว่าโดยการทำตามบัญญัติหรือศีลนั้น “ไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดเป็นคนบุญได้เลย”
17แต่ถ้าในขณะที่เรากำลังอุตส่าห์จะเป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่งโดยพระผู้เป็นพระศรีอาริย์นั้น เราเองยังปรากฏเป็นคนที่มีบาป อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา พระผู้เป็นพระศรีอาริย์จะเป็นผู้ส่งเสริมบาปหรือ? ไม่มีทางเป็นเช่นนั้นอย่างแน่นอน 18เพราะว่าถ้าข้าพเจ้าก่อสิ่งที่ข้าพเจ้าได้รื้อทำลายลงแล้วขึ้นมาอีก ข้าพเจ้าก็ส่อตัวเองว่าเป็นผู้ทำผิด 19เหตุว่าโดยบัญญัติหรือศีลนั้นข้าพเจ้าได้ตายจากมันไปแล้ว เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีชีวิตอยู่กับพระเจ้า 20ข้าพเจ้าถูกตรึงไว้กับพระผู้เป็นพระศรีอาริย์แล้ว ข้าพเจ้าเองไม่มีชีวิตอยู่ต่อไป แต่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ต่างหากที่มีชีวิตอยู่ในข้าพเจ้า และชีวิตที่ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในร่างกายขณะนี้ ข้าพเจ้าดำเนินอยู่โดยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระโอรสของพระเจ้า ผู้ได้มีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อข้าพเจ้า และได้สละตัวเองของพระองค์เพื่อข้าพเจ้า 21ข้าพเจ้าไม่ได้ทำให้พระคุณของพระเจ้าเป็นที่ยกเลิก เพราะว่าถ้าความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่งเกิดจากบัญญัติหรือศีลแล้ว พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ก็ตายโดยไม่มีประโยชน์อะไร
1โอ ชาวกาลาเทียผู้โง่เขลาเอ๋ย ใครสะกดจิตของท่านให้เห็นผิดเป็นชอบไปได้ ทั้ง ๆ ที่ภาพการตรึงของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ปรากฏอยู่ต่อหน้าต่อตาพวกท่านแล้ว 2ข้าพเจ้าอยากรู้ข้อหนึ่งจากพวกท่านว่า พวกท่านได้รับพระวิญญาณโดยการทำตามบัญญัติหรือศีลหรือ? หรือได้รับโดยการฟังด้วยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า 3พวกท่านโง่ขนาดนั้นหรือ? เมื่อพวกท่านเริ่มต้นโดยฝ่ายพระวิญญาณแล้ว บัดนี้พวกท่านจะจบลงโดยฝ่ายเนื้อหนังหรือ? 4พวกท่านได้รับประสบการณ์อย่างมากมายโดยไม่มีประโยชน์หรือ? ถ้าเป็นการไม่มีประโยชน์จริง ๆ แล้ว 5พระเจ้าผู้ประทานพระวิญญาณแก่พวกท่าน และทำการอัศจรรย์ท่ามกลางพวกท่าน พระองค์ได้ทำเช่นนั้นเพราะว่าพวกท่านได้ทำตามบัญญัติหรือศีลหรือ? หรือโดยการฟังด้วยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า
6ตามที่อับราฮัม “ได้เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า” และ “และพระองค์นับว่าท่านเป็นคนบุญ ในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่งของท่าน” 7ถ้าเช่นนั้นพวกท่านจงรู้ว่า คนที่เชื่อพึ่งอาศัยนั่นแหละเป็นลูกหลานของอับราฮัม 8และพระคัมภีร์นั้นรู้ล่วงหน้าว่า พระเจ้าจะให้คนต่างชาติเป็นคนบุญโดยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า จึงได้เผยแพร่บารมีของพระเจ้าแก่อับราฮัมล่วงหน้าว่า “ชนชาติทั้งหลายจะได้รับพรเพราะเจ้า” 9เหตุฉะนั้นคนที่เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าจึงได้รับพรร่วมกับอับราฮัมผู้ที่เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้านั้น
10เพราะว่าคนทั้งหลายที่พึ่งการทำตามบัญญัติหรือศีลก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีคำเขียนไว้ว่า “ทุกคนทีไม่ได้ทำตามทุกข้อความที่เขียนไว้ในหนังสือธรรมบัญญัติก็ถูกสาปแช่ง” 11แต่เป็นที่รู้แจ้งอยู่แล้วว่า ไม่มีมนุษย์คนใดเป็นคนบุญในสายตาของพระเจ้าโดยบัญญัติหรือศีลได้เลย เพราะว่า “คนบุญจะมีชีวิตอยู่โดยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า” 12แต่บัญญัติหรือศีลไม่ได้อาศัยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า เพราะ “ผู้ที่ประพฤติตามบัญญัติหรือศีล ก็จะได้ชีวิตอยู่โดยบัญญัติหรือศีลนั้น” 13พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ไถ่เราให้พ้นความสาปแช่งแห่งบัญญัติหรือศีล โดยการที่พระองค์ยอมถูกสาปแช่งเพื่อเรา (เพราะมีคำเขียนไว้ว่า “ทุกคนที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ก็ต้องถูกสาปแช่ง”) 14เพื่อพระพรของอับราฮัมจะได้มาถึงคนต่างชาติทั้งหลาย เพราะพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เพื่อเราจะได้รับคำสัญญาแห่งพระวิญญาณโดยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า
15พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างของมนุษย์สักเรื่องหนึ่ง ถึงแม้ว่าเป็นคำสัญญาของมนุษย์ เมื่อได้รับรองกันแล้วก็ไม่มีผู้ใดจะล้มเลิกหรือเพิ่มเติมขึ้นอีกได้ 16คำสัญญาทั้งหลายที่ได้ให้ไว้กับอับราฮัม และเชื้อสายของท่านนั้น พระองค์ไม่ได้กล่าวว่า “และแก่เชื้อสายทั้งหลาย” เหมือนดังพูดกับหลายคน แต่พูดกับคนผู้เดียวคือ “แก่เชื้อสายของเจ้า” ซึ่งเป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 17แต่ข้าพเจ้าว่าอย่างนี้ว่า บัญญัติหรือศีลซึ่งมาภายหลังถึงสี่ร้อยสามสิบปี จะทำลายพันธสัญญาที่พระเจ้าได้ตั้งไว้เมื่อก่อนนั้น ให้เป็นที่ยกเลิกไม่ได้ 18เพราะว่าถ้าได้รับมรดกโดยบัญญัติหรือศีล ก็ไม่ใช่ได้โดยคำสัญญาอีกต่อไป แต่พระเจ้าให้มรดกนั้นให้แก่อับราฮัมโดยคำสัญญา
19ถ้าเช่นนั้นมีบัญญัติหรือศีลไว้เพื่ออะไร ที่เพิ่มบัญญัติหรือศีลไว้ก็เพื่อจะได้เห็นว่าผู้ฝ่าฝืนนั้นเป็นคนมีบาป อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา จนกว่าเชื้อสายที่ได้รับคำสัญญานั้นจะมาถึง และพวกทูตสวรรค์ได้ตั้งบัญญัติหรือศีลนั้นไว้โดยมือของคนกลาง 20ส่วนคำสัญญานั้น พระเจ้าได้ให้ไว้แก่อับราอัมโดยพระองค์เองโดยตรง จึงไม่จำเป็นที่จะต้องมีคนกลางแต่อย่างใด
21ถ้าเช่นนั้นบัญญัติหรือศีลขัดแย้งกับคำสัญญาของพระเจ้าหรือ? ไม่เป็นเช่นนั้นแน่นอน เพราะว่าถ้าตั้งบัญญัติหรือศีลอันสามารถทำให้คนมีชีวิตอยู่ได้ การเป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่งนั้นก็จะมีได้โดยบัญญัติหรือศีลนั้นจริง 22แต่พระคัมภีร์ได้ระบุว่า ทุกคนอยู่ในความบาป อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา เพื่อจะประทานตามคำสัญญาแก่คนทั้งหลายที่เชื่อ โดยอาศัยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์เป็นหลัก
23ก่อนที่ความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าจะมานั้น เราถูกบัญญัติหรือศีลกักตัวไว้ ถูกกั้นเขตไว้จนกว่าความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าจะปรากฏภายหลัง 24เพราะฉะนั้น บัญญัติหรือศีลจึงควบคุมเราไว้จนพระผู้เป็นพระศรีอาริย์มา เพื่อเราจะได้เป็นคนบุญโดยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า 25แต่บัดนี้ความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้านั้นได้มาแล้ว เราจึงไม่ได้อยู่ใต้บังคับของผู้ควบคุมอีกต่อไปแล้ว 26เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นลูกของพระเจ้าโดยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 27เพราะเหตุว่า คนรับพิธีมุดน้ำเข้าในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์แล้ว กะได้สวมชีวิตพระผู้เป็นพระศรีอาริย์นั้น 28เขาจะไม่เป็นยิวหรือกรีก จะไม่เป็นทาสหรือไท จะไม่เป็นชายหรือหญิง เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์แล้ว 29และถ้าพวกท่านเป็นของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์แล้ว พวกท่านก็เป็นเชื้อสายของอับราฮัม คือเป็นผู้รับมรดกตามคำสัญญา
1ข้าพเจ้าหมายความว่า ตราบใดที่ทายาทยังเป็นเด็กอยู่เขาก็ไม่ต่างอะไรกับทาสเลย ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัติทั้งหลายก็ตาม 2แต่เขาก็อยู่ใต้บังคับของผู้ปกครอง และผู้ดูแล จนถึงเวลาที่พ่อได้กำหนดไว้ 3ฝ่ายเราก็เหมือนกัน เมื่อเป็นเด็กอยู่ เราก็เป็นทาสอยู่ใต้บังคับของภูตผีปีศาจแห่งสากลจักรวาล 4แต่เมื่อครบกำหนดแล้ว พระเจ้าก็ใช้พระโอรสของพระองค์มาเกิดจากผู้หญิง และถือกำเนิดใต้บัญญัติหรือศีล 5เพื่อจะไถ่คนเหล่านั้นที่อยู่ใต้บัญญัติหรือศีล เพื่อให้เราได้รับฐานะเป็นลูก 6และเมื่อท่านเป็นลูกแล้ว พระเจ้าจึงใช้พระวิญญาณแห่งพระโอรสของพระองค์เข้ามาในใจของเรา เราจึงเรียกพระเจ้าว่าพ่อ 7เหตุฉะนั้นพวกท่านจึงไม่ใช่ทาสอีกต่อไป แต่เป็นลูก และถ้าเป็นลูกแล้วพวกท่านก็เป็นทายาทของพระเจ้า
8แต่ก่อนนี้เมื่อท่านทั้งหลายยังไม่รู้จักพระเจ้า พวกท่านเป็นทาสของสิ่งที่โดยสภาพแล้วไม่ใช่แม้แต่เทพเจ้าเลย 9แต่บัดนี้เมื่อพวกท่านรู้จักพระเจ้าแล้ว หรือที่ถูกก็คือพระเจ้ารู้จักพวกท่านแล้ว ทำไมพวกท่านจึงจะกลับไปหาภูตผีปีศาจซึ่งอ่อนแอ และอนาถา และอยากจะเป็นทาสของสิ่งเหล่านั้นอีก 10พวกท่านถือวัน เดือน ฤดู และปี 11ข้าพเจ้าเกรงว่าการที่ข้าพเจ้าได้ทำเพื่อพวกท่านนั้นจะไม่ได้ประโยชน์อะไร
12พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าวิงวอนให้พวกท่านเป็นเหมือนกับข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้าก็ได้เป็นอย่างพวกท่านแล้วเหมือนกัน พวกท่านไม่ได้ทำผิดต่อข้าพเจ้าเลย 13พวกท่านรู้ว่าตอนแรกที่ข้าพเจ้าเผยแพร่บารมีของพระเจ้ากับพวกท่านนั้น ก็เพราะการป่วยไข้ทางกาย 14และแม้ว่าสภาพของข้าพเจ้าจะเป็นการลองใจพวกท่าน พวกท่านก็ไม่ได้ดูหมิ่น หรือรังเกียจข้าพเจ้าเลย แต่ได้ต้อนรับข้าพเจ้าประหนึ่งว่าเป็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้า หรือประหนึ่งว่าข้าพเจ้าเป็นพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์เสียเอง 15พวกท่านลืมความดีอกดีใจของพวกท่านแล้วหรือ? เพราะข้าพเจ้าเป็นพยานให้พวกท่านได้ว่า ถ้าเป็นไปได้พวกท่านก็คงจะควักดวงตาของท่านออกให้ข้าพเจ้า 16ข้าพเจ้าได้กลายเป็นศัตรูของพวกท่านเพราะข้าพเจ้าบอกความจริงกับพวกท่านหรือ? 17คนเหล่านั้นเอาอกเอาใจพวกท่าน ไม่ใช่ด้วยความหวังดีเลย เขาอยากจะกีดกันพวกท่าน เพื่อพวกท่านจะได้เอาอกเอาใจพวกเขา 18การเอาอกเอาใจด้วยความหวังดีก็เป็นการดีอยู่ ไม่ใช่เฉพาะแต่ตอนเมื่อข้าพเจ้าอยู่กับพวกท่านเท่านั้น 19โอ ลูกน้อยของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าต้องเจ็บปวดเพราะพวกท่านอีกจนกว่าพระผู้เป็นพระศรีอาริย์จะได้ก่อร่างขึ้นในตัวพวกท่าน 20ข้าพเจ้าต้องการจะอยู่กับพวกท่านเดี๋ยวนี้ และเปลี่ยนน้ำเสียงของข้าพเจ้า เพราะว่าข้าพเจ้ามีข้อสงสัยในพวกท่าน
21พวกท่านที่อยากอยู่ใต้บัญญัติหรือศีล พวกท่านไม่ได้ฟังบัญญัติหรือศีลหรือ? จงบอกข้าพเจ้าเถิด 22เพราะมีคำเขียนไว้ว่า อับราฮัมมีลูกชายสองคน คนหนึ่งเกิดจากผู้หญิงที่เป็นทาส อีกคนหนึ่งเกิดจากผู้หญิงที่เป็นไท 23ลูกที่เกิดจากผู้หญิงที่เป็นทาสนั้นก็เกิดตามเนื้อหนัง แต่ลูกที่เกิดจากผู้หญิงที่เป็นไทนั้นเกิดตามคำสัญญา 24ข้อความนี้เป็นการเปรียบเทียบ ผู้หญิงสองคนนั้นได้แก่พันธสัญญาสองอย่าง คนหนึ่งมาจากภูเขาซีนาย คลอดลูกเป็นทาส คือ นางฮาการ์ 25นางฮาการ์นั้นได้แก่ภูเขาซีนายในประเทศอาระเบีย ตรงกับกรุงเยรูซาเล็มปัจจุบัน เพราะกรุงนี้กับพลเมืองเป็นทาสอยู่ 26แต่ว่ากรุงเยรูซาเล็มที่อยู่เบื้องบนนั้นเป็นไท เป็นแม่ของเราทั้งหลาย 27เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า “จงชื่นชมยินดีเถิด โอหญิงหมันผู้ไม่เคยคลอดลูก จงเปล่งเสียงโห่ร้อง เจ้าผู้ไม่ได้เจ็บครรภ์คลอดลูก เพราะว่าลูกของแม่ร้าง ก็ยังมีมากกว่าลูกของผู้ที่มีผัว” 28พี่น้องทั้งหลาย บัด นี้เราเป็นลูกแห่งคำสัญญาเหมือนกันกับอิสอัค 29แต่ในตอนนั้นผู้ที่เกิดตามเนื้อหนังได้ข่มเหงผู้ที่เกิดตามพระวิญญาณฉันใด ทุกวันนี้ก็เป็นเหมือนกันฉันนั้น 30แต่พระคัมภีร์ว่าอย่างไร ก็ว่า “จงไล่นางทาสกับลูกชายของนางไปเถิก เพราะว่าลูกชายของนางทาสจะเป็นผู้รับมรดกร่วมกับลูกชายของหญิงที่เป็นไทไม่ได้” 31เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย เราไม่ใช่ลูกของนางทาส แต่เป็นลูกของนางที่เป็นไท
1เพื่อเสรีภาพนั้นเองพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ จึงได้ให้เราเป็นไท เหตุฉะนั้นจงตั้งมั่น และอย่าเข้าเทียมแอกเป็นทาสอีกเลย
2ในตอนนี้ ข้าพเจ้าผู้มีชื่อว่าเปาโลขอบอกพวกท่านว่า ถ้าพวกท่านรับพิธีเข้าสุหนัต พระผู้เป็นพระศรีอาริย์จะทำประโยชน์อะไรให้แก่พวกท่านไม่ได้เลย 3ข้าพเจ้าเป็นพยานให้ทุกคนที่รับพิธีเข้าสุหนัตรู้อีกว่า เขาถูกผูกมัดให้ทำตามบัญญัติหรือศีลทั้งหมด 4ผู้ใดในหมู่พวกท่านที่เห็นว่าตัวเองเป็นคนบุญในความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่งโดยบัญญัติหรือศีล พวกท่านก็ขาดจากพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ และหล่นจากพระคุณไปแล้ว 5เพราะว่า โดยพระวิญญาณและความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า เราก็รอคอยความหลุดพ้นที่เราหวังว่าจะได้รับ 6เพราะว่าในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์นั้น การที่รับพิธีเข้าสุหนัตหรือไม่ ก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย แต่ความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า ที่แสดงออกเป็นโดยการกระทำตามพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา นั่นต่างหากที่สำคัญกว่า
7พวกท่านกำลังวิ่งแล่นแข่งกันดีอยู่แล้ว ใครเล่าขัดขวางพวกท่านไม่ให้เชื่อฟังความจริง 8การเป่าหูเช่นนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้าผู้เรียกพวกท่านทั้งหลาย 9เชื้อขนมเพียงนิดเดียวก็ทำให้แป้งดิบฟูขึ้นได้ทั้งก้อน 10ข้าพเจ้าไว้ใจพวกท่านในพระเจ้าผู้เป็นนายว่า พวกท่านจะไม่เชื่อถืออย่างอื่น ฝ่ายผู้ที่มารบกวนพวกท่านนั้น จะเป็นใครก็ตามจะต้องได้รับโทษ 11พี่น้องทั้งหลาย ถ้าข้าพเจ้ายังเผยแพร่โดยชักชวนให้คนรับพิธีเข้าสุหนัต ทำไมข้าพเจ้าจึงยังถูกข่มเหงอยู่อีกเล่า ถ้าเช่นนั้นกางเขนก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้สะดุดแล้ว 12ข้าพเจ้าอยากให้คนเหล่านั้นที่รบกวนพวกท่านตอนตัวเองเสีย
13พี่น้องทั้งหลาย ที่พระเจ้าเรียกท่านก็เพื่อให้มีเสรีภาพ อย่าเอาเสรีภาพของท่าน เป็นช่องทางที่จะปล่อยตัวไปตามเนื้อหนังที่เป็น กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา แต่จงรับใช้ซึ่งกันและกันด้วยพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาเถิด 14เพราะว่า บัญญัติหรือศีลทั้งหมดนั้นสรุปได้เป็นคำเดียว ว่า “จงมีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อเพื่อนบ้านเหมือนมีต่อตัวเอง” 15แต่ถ้าพวกท่านกัดกัน และกินเนื้อกันและกัน จงระวังให้ดี เกรงว่าพวกท่านจะทำให้กันย่อยยับไป
16แต่ข้าพเจ้าขอบอกว่า จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณ อย่าสนองความต้องการของเนื้อหนังที่เป็น กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา 17เพราะว่าความต้องการของเนื้อหนังต่อสู้พระวิญญาณ และพระวิญญาณก็ต่อสู้เนื้อหนัง เพราะทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกัน ดังนั้นสิ่งที่ท่านทั้งหลายอยากทำจึงทำไม่ได้ 18แต่ถ้าพระวิญญาณนำท่าน ท่านก็ไม่ได้อยู่ใต้บัญญัติหรือศีล 19ผลผลิตของเนื้อหนังที่เป็น กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชานั้น เห็นได้ชัด คือการเล่นชู้ หรือมีกิ๊ก การล่วงประเวณี การโสโครก การลามก 20การนับถือรูปเคารพ การนับถือพ่อมดหมอผี การเป็นศัตรูกัน การวิวาทกัน การริษยากัน การโกรธกัน การโต้เถียงกัน การใฝ่สูง การแตกก๊กกัน 21การอิจฉากัน การฆาตกรรม การกินเหล้าเมาสุรา การเล่นเป็นพาลเกเร และสิ่งอื่น ๆ ในทำนองนี้อีก เหมือนดังที่ข้าพเจ้าได้เตือนพวกท่านมาก่อน บัดนี้ข้าพเจ้าขอเตือนพวกท่านเหมือนกับที่เคยเตือนมาแล้วว่า คนที่ทำเช่นนี้จะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า 22ฝ่ายผลผลิตของพระวิญญาณนั้นคือ พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ความปลาบปลื้มใจ สันติภาพ และสันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ 23ความสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน การรู้จักบังคับตัวเอง เรื่องเหล่านี้ไม่มีบัญญัติหรือศีลห้ามไว้เลย 24ผู้ที่เป็นของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้เอาเนื้อหนัง ที่เป็น กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชาไปตรึงไว้ที่กางเขนแล้ว
25ในเมื่อเรามีชีวิตอยู่โดยพระวิญญาณ ก็จงดำเนินชีวิตตามพระวิญญาณเถิด 26เราอย่าถือตัว อย่ายั่วโทสะกัน และอย่าอิจฉาริษยากันเลย
1พี่น้องทั้งหลาย ถ้าแม้จับผู้หนึ่งผู้ใดที่ฝ่าฝืนประการใดได้ พวกท่านที่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณ จงช่วยผู้นั้นด้วยใจสุภาพให้เขากลับตั้งตัวใหม่ โดยคิดถึงตัวเอง เกรงว่าพวกท่านจะถูกชักจูงให้หลงไปทำเหมือนกันกับเขา 2จงช่วยรับภาระของกันและกัน พวกท่านจึงจะทำให้ บัญญัติหรือศีลของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์สำเร็จ 3เพราะว่าถ้าผู้ใดถือตัวว่าเป็นคนสำคัญ ทั้ง ๆ ที่เขาไม่สำคัญอะไรเลย ผู้นั้นก็หลอกตัวเอง 4ขอให้ทุกคนสำรวจการงานของตัวเองจึงจะมีอะไร ๆ ที่จะอวดได้ในตัว ไม่ใช่นำไปเปรียบเทียบกับคนอื่น 5เพราะว่าทุกคนต้องแบกภาระของตัวเอง
6ส่วนผู้ที่รับคำสอนแล้ว จงแบ่งสิ่งที่ดีทุกอย่างให้แก่ผู้ที่สอนตัวเองเถิด
7อย่าเข้าใจผิดเลย พวกท่านหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลงไป ก็จะเก็บเกี่ยวสิ่งนั้น 8ผู้ที่หว่านเกี่ยวกับเรื่องของเนื้อหนังที่เป็น กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชาของตัวเอง ก็จะเก็บเกี่ยวความเน่าเปื่อยจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านเกี่ยวกับเรื่องของพระวิญญาณ ก็จะเก็บเกี่ยวชีวิตเข้าสู่นิพพานจากพระวิญญาณนั้น 9อย่าให้เราเบื่อหน่ายในการทำความดี เพราะว่าถ้าเราไม่ท้อใจแล้ว เราก็จะเก็บเกี่ยวในเวลาอันที่เหมาะสม 10เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีโอกาสให้เราทำความดีกับคนทั้งหลาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่อยู่ในครอบครัวที่มีความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า
11พวกท่านจงสังเกตดูตัวอักษรที่ข้าพเจ้าเขียนถึงพวกท่านด้วยมือของข้าพเจ้าเองว่า ตัวใหญ่ขนาดไหน? 12คนที่อยากได้หน้าตามเนื้อหนัง ที่เป็น กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชานั้น เขาบังคับให้พวกทานรับพิธีเข้าสุหนัต เพื่อเขาจะไม่ได้ถูกข่มเหง เพราะเรื่องกางเขนของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์เท่านั้น 13ถึงแม้คนที่เข้าสุหนัตแล้วก็ไม่ได้ทำตามบัญญัติหรือศีล แต่เขาอยากที่จะให้พวกท่านเข้าสุหนัต เพื่อเขาจะได้เอาเนื้อหนังที่เป็น กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชาของท่านไปอวด 14แต่ข้าพเจ้าไม่ต้องการอวด นอกจากเรื่องกางเขนของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา ซึ่งโดยกางเขนนั้นโลกตรึงไว้แล้วจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ตรึงไว้แล้วจากโลก 15เพราะว่าในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ การที่ถือพิธีเข้าสุหนัตหรือไม่ ไม่เป็นเรื่องสำคัญอะไรเลย แต่การที่ถูกสร้างใหม่นั้นสำคัญกว่า 16สันติภาพ และสันติสุข และความกรุณาจากพระเจ้า จงมีแก่ทุกคนที่ทำตามกฎนี้ และแก่ชนอิสราเอลของพระเจ้า
17ตั้งแต่นี้ไป ขออย่าให้ผู้ใดมารบกวนข้าพเจ้าอีก เพราะว่าข้าพเจ้ามีรอยประทับตราของพระเยซู ติดอยู่ที่กายของข้าพเจ้าแล้ว
18พี่น้องทั้งหลาย ขอให้พระคุณของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา จงอยู่กับจิตวิญญาณของพวกท่านทั้งหลายเถิด สาธุ
1จดหมายนี้ เขียนโดยเปาโล ผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ตามความประสงค์ของพระเจ้า เขียนถึง วิมุตติชนผู้มีความเชื่อเพิ่งอาศัยในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 2ขอให้พระคุณ สันติภาพ และสันติสุขจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และจากพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนาย จงอยู่กับพวกท่านทั้งหลายเถิด
3จงยกย่องสรรเสริญพระเจ้าผู้เป็นพ่อแห่งพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา ผู้ได้ให้พรฝ่ายวิญญาณแก่เรานานาประการ จากฟ้าสวรรค์โดยพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 4ในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์นั้นพระองค์ได้เลือกเราไว้ ตั้งแต่ก่อนที่จะเริ่มสร้างโลก เพื่อเราจะบริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง และไม่มีมลทินต่อหน้าของพระองค์ 5พระเจ้าได้กำหนดเราไว้ด้วยพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาก่อน ตามที่ความพอใจของพระองค์ให้เป็นลูกโดยพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 6เพื่อจะให้เป็นที่ยกย่องสง่าราศีแห่งพระคุณของพระองค์ ซึ่งได้มอบแก่เราในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้เป็นที่รักของเรา 7ในพระเยซูนั้น พวกเราได้รับการไถ่บาปโดยเลือดของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาปของเรา โดยพระคุณอันมากมายของพระองค์ 8ซึ่งได้ให้แก่เราอย่างล้นเหลือ ให้มีปัญญาสุขุม และมีความเข้าใจรอบคอบ 9พระเจ้าได้ให้เรารู้ความล้ำลึกในจิตใจของพระองค์ ตามความประสงค์ของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ตั้งไว้ในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 10โดยประสงค์ว่าเมื่อเวลากำหนดมาถึงแล้ว พระองค์จะรวบรวมทุกสิ่งทั้งที่อยู่ในสวรรค์ และในแผ่นดินโลกไว้ในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 11ในพระองค์นั้น เราก็ได้รับการทรงเลือกด้วย คือถูกกำหนด ไว้ล่วงหน้า ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้ทรงทำกิจทุกอย่างตามที่พระองค์ได้ไตร่ตรองไว้ในจิตใจของพระองค์ 12เราทั้งหลายผู้มีความหวังในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ก่อนผู้อื่นจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นที่ยกย่อง แก่สง่าราศีของพระองค์ 13ในพระองค์นั้นพวกท่านทั้งหลายก็มีความหวังเหมือนกัน เมื่อพวกท่านได้ฟังพระคำแห่งความจริง คือบารมีของพระเจ้าเรื่องความหลุดพ้นของท่าน และได้เชื่อเพิ่งอาศัยในพระองค์แล้ว ท่านก็ได้รับการประทับตราไว้ด้วยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์แห่งคำสัญญา 14เป็นมัดจำของการรับมรดกของเรา จนกว่าเราจะได้รับเป็นกรรมสิทธิ์ เป็นที่ยกย่องสรรเสริญแก่สง่าราศีของพระองค์
15เหตุฉะนั้นครั้นข้าพเจ้าได้ยินว่า พวกท่านทั้งหลายได้เชื่อเพิ่งอาศัยในพระเยซูผู้เป็นเจ้านาย และมีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อคนบุญทั้งหลายแล้ว 16ข้าพเจ้าจึงได้ขอบคุณพระเจ้า เพราะพวกท่านทั้งหลายไม่หยุดเลย เมื่อข้าพเจ้าอธิษฐานสวดอ้อนวอนเพื่อท่าน 17ข้าพเจ้าอธิษฐานสวดอ้อนวอนว่า ขอพระเจ้าแห่งพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา คือพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ผู้มีสง่าราศี ได้ให้พวกท่านทั้งหลายมีจิตใจอันประกอบด้วยสติปัญญา และความรู้แจ้งเห็นจริงในเรื่องความรู้ถึงพระองค์ 18และขอให้ตาใจของท่านสว่างขึ้นเพื่อท่านได้รู้ว่า ในการที่พระองค์เรียกท่านนั้น พระองค์ได้ให้ความหวังอะไรบ้างแก่ท่าน และให้รู้ว่ามรดกของพระองค์ สำหรับวิมุตติชนมีสง่าราศีอันครบถ้วนบริบูรณ์เพียงใด 19และให้รู้ว่าฤทธานุภาพอันใหญ่หลวงของพระองค์มีมากมายเพียงไรสำหรับเราทั้งหลายที่เชื่อ ตามการกระทำแห่งฤทธานุภาพอันใหญ่หลวงของพระองค์ 20ซึ่งพระเจ้าได้ทำแล้วในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ เมื่อบันดาลให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย และให้อยู่เบื้องขวามือของพระเจ้าในสวรรค์สถาน 21สูงส่งเหนือกว่าทุกภูตผีที่ครอบครอง ทุกภูตผีที่มีอำนาจ ทุกภูตผีที่มีฤทธิ์เดช และทุกภูตผีที่ปกครอง และเหนือกว่านามทั้งหมดที่ถูกกล่าวถึง ไม่เพียงในยุคนี้เท่านั้น แต่ในยุคที่จะมาถึงด้วย 22พระเจ้าได้ปราบสิ่งสารพัดลงไว้ใต้เท้าของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ และได้ตั้งพระองค์ไว้เป็นหัวหน้าเหนือสิ่งสารพัดแห่งชุมชนของพระเจ้า 23ซึ่งเป็นกายของพระองค์ คือเต็มบริบูรณ์โดยเพระองค์ ผู้อยู่เต็มทุกอย่างทุกหนทุกแห่ง
1พระเจ้าได้ทำให้พวกท่านทั้งหลายมีชีวิตอยู่ แม้ว่าท่านตายแล้วโดยการฝ่าฝืนและการผิดบาป 2เมื่อก่อนนั้นท่านเคยทำตามค่านิยมของโลกนี้ ทำตามผีมารเจ้าแห่งท้องฟ้า มันเป็นวิญญาณชั่วที่ครอบครองอยู่ในคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อฟัง 3แต่ก่อนเราทั้งหลายเคยเป็นพรรคพวกกับคนเหล่านั้นที่ประพฤติตามกิเลส ตัณหาของเนื้อหนังเหมือนกัน คือทำตามความต้องการของเนื้อหนัง ที่เป็น กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา และความคิดในใจ ตามสันดาน เราจึงเป็นคนที่ควรจะถูกลงโทษเหมือนกันกับคนอื่น 4แต่พระเจ้า ผู้เต็มไปด้วยพระเมตตา เพราะเหตุแห่งพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาอันมากมาย ซึ่งพระองค์มีต่อเรานั้น
5ถึงแม้ว่าเมื่อเราตายไปแล้วในการบาป ที่อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา พระองค์ก็ยังทำให้เรามีชีวิตอยู่กับพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ (ซึ่งท่านทั้งหลายหลุดพ้นนั้นก็หลุดพ้นโดยพระคุณ) 6และพระองค์ได้ให้เราเป็นขึ้นมากับพระองค์ และได้ให้เราเข้าสู่นิพพานกับพระองค์ในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 7เพื่อว่าในยุคต่อ ๆ ไป พระองค์จะได้สำแดงพระคุณอันใหญ่หลวงของพระองค์ ในการที่พระองค์ได้เมตตาเราในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 8เพราะว่าที่พวกท่านทั้งหลายหลุดพ้นนั้นก็หลุดพ้นโดยพระคุณ เพราะความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า และไม่ใช่ทั้งหลายประพฤติด้วยตนเอง แต่พระเจ้าได้มอบให้ 9ความหลุดพ้นนั้นก็ไม่ได้มาจากการกระทำของมนุษย์ เพื่อไม่ให้คนหนึ่งคนใดอวดได้ 10เพราะว่าเราเกิดมาจากพระเจ้า พระองค์เป็นผู้สร้างเราขึ้นมาในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เพื่อให้เราทำความดีตามที่พระเจ้าได้เตรียมไว้ก่อนแล้ว เพื่อให้เราทำไปตามนั้น
11เหตุฉะนั้นท่านจงระลึกว่า เมื่อก่อนท่านเคยเป็นคนต่างชาติโดยกำเนิด และพวกที่ทำพิธีเข้าสุหนัต เคยเรียกท่านอย่างดูหมิ่นดูแคลนว่า เป็นพวกที่ไม่ได้เข้าสุหนัต 12จงระลึกว่า ในตอนนั้นท่านทั้งหลาย เป็นคนอยู่นอกพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ขาดจากการเป็นพลเมืองอิสราเอล และไม่มีส่วนในพันธสัญญาทั้งหลายซึ่งได้สัญญาไว้นั้น ไม่มีความหวัง และอยู่ในโลกที่ไม่มีพระเจ้า 13แต่บัดนี้ในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ท่านทั้งหลาย ซึ่งแต่ก่อนนั้นอยู่ไกลได้เข้ามาใกล้โดยเลือดของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 14เพราะว่าพระองค์เป็นสันติภาพและสันติสุขของเรา เป็นผู้ทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และได้รื้อกำแพงที่กั้นระหว่างสองฝ่ายลง 15คือการเป็นศัตรูกัน โดยในร่างกายของพระองค์ ได้ทำให้ธรรมบัญญัติอันประกอบไปด้วยบทบัญญัติและศีลต่าง ๆ นั้นถูกยกเลิกไป เพื่อจะทำให้ทั้งสองฝ่ายเป็นคนใหม่คนเดียวในพระองค์ เหตุฉะนั้นพระองค์จึงทำให้เกิดสันติภาพและสันติสุข
16และเพื่อพระองค์จะทำให้ทั้งสองพวกคืนดีกับพระเจ้า เป็นกายเดียวโดยกางเขน ซึ่งเป็นการทำให้การเป็นศัตรูต่อกันหมดสิ้นไป 17และพระองค์ได้มาประกาศสันติภาพและสันติสุขแก่ท่านที่อยู่ไกล และแก่คนที่อยู่ใกล้ 18เพราะว่าพระองค์ให้เราทั้งสองพวกมีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าผู้เป็นพ่อ โดยพระวิญญาณองค์เดียวกัน 19เหตุฉะนั้นบัดนี้ท่านจึงไม่ใช่คนต่างด้าวท้าวต่างแดนอีกต่อไป แต่ว่าเป็นพลเมืองอันเดียวกันกับวิมุตติชนและเป็นครอบครัวของพระเจ้า 20ท่านได้ถูกก่อสร้างขึ้นบนรากแห่งพวกอัครทูตและพวกศาสดาพยากรณ์ พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์เป็นเสาหลัก 21ในพระองค์นั้น ทุกส่วนของโครงร่างต่อกันสนิท และเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในพระเจ้าผู้เป็นนาย 22และในพระองค์นั้น ท่านก็กำลังจะถูกก่อขึ้นให้เป็นที่อยู่ของพระเจ้าในพระวิญญาณด้วย
1เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าผู้มีชื่อว่าเปาโล เป็นผู้ที่ถูกจองจำเพราะเห็นแก่พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เพื่อท่านซึ่งเป็นคนต่างชาติ 2ถ้าแม้นท่านทั้งหลายได้ยินถึงพระคุณของพระเจ้าอันเป็นพันธกิจ ซึ่งได้มอบไว้ให้แก่ข้าพเจ้า เพื่อท่านทั้งหลายแล้ว 3และรู้ว่าพระองค์ได้สำแดงให้ข้าพเจ้ารู้ข้อล้ำลึก ตามที่ข้าพเจ้าได้เขียนไว้แล้วอย่างย่อ ๆ 4และโดยคำเหล่านั้น เมื่อท่านอ่านแล้ว ก็รู้ถึงความเข้าใจของข้าพเจ้าในเรื่องความล้ำลึกของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 5ซึ่งในสมัยก่อน พระองค์ไม่ได้สำแดงแก่มนุษย์ทั้งหลาย เหมือนกับเดี๋ยวนี้ที่ได้เปิดเผยแก่พวกอัครทูตผู้บริสุทธิ์ และพวกศาสดาพยากรณ์ของพระองค์โดยพระวิญญาณ 6นั่นคือคนต่างชาติจะเป็นผู้รับมรดกร่วมกัน และเป็นอวัยวะของกายอันเดียวกัน และมีส่วนได้รับคำสัญญาของพระองค์ในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์โดยบารมีของพระเจ้านั้น
7เพราะบารมีของพระเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้รับใช้ของพระองค์ ตามของประทานแห่งพระคุณของพระองค์ ซึ่งประทานให้กับข้าพเจ้าได้ทำพันธกิจโดยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ 8ส่วนตัวของข้าพเจ้านั้น เป็นคนเล็กน้อยที่สุดในพวกวิมุตติชนทั้งหมด แต่พระองค์ได้ให้ข้าพเจ้า ประกาศความไพบูลย์อันหาที่สุดไม่ได้ของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์แก่คนต่างชาติ 9และทำให้คนทั้งหลายเห็นว่า อะไรคือความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแห่งความล้ำลึก ซึ่งตั้งแต่แรกสร้างโลกได้ปิดบังไว้ที่พระเจ้าผู้สร้างสิ่งสารพัดทั้งหลาย 10ซึ่งผ่านทางชุมชนของพระเจ้า ที่เป็นสติปัญญาอันซับซ้อนของพระองค์ เพื่อให้พวกภูตผีที่ครอบครอง และภูตผีที่มีอำนาจในท้องฟ้าได้รู้จัก 11ที่เป็นเช่นนั้นก็เป็นไปตามความประสงค์อันยั่งยืนของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้ตั้งไว้ในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา 12ในพระองค์นั้น เราจึงมีใจกล้าหาญ และมีโอกาสที่จะเข้าไปถึงพระเจ้าด้วยความมั่นใจ เพราะความเชื่อเพิ่งอาศัยในพระองค์ 13เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอร้องท่านว่า อย่าท้อถอย เพราะเหตุความยากลำบากของข้าพเจ้าที่เห็นแก่ท่าน ซึ่งเป็นสง่าราศีของท่านเอง
14เพราะเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึงคุกเข่าลงต่อพระเจ้าผู้เป็นพ่อของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา 15เพราะพระเจ้าผู้เป็นพ่อนี่แหละ ทุกครอบครัวในฟ้าสวรรค์ และแผ่นดินโลกก็ดีได้ชื่อมาจากพระองค์ 16ขอให้พระองค์ประทานกำลังเรี่ยวแรงฝ่ายจิตวิญญาณให้แก่ท่าน โดยเดชแห่งพระวิญญาณของพระองค์ตามความไพบูลย์แห่งสง่าราศีของพระองค์ 17เพื่อพระผู้เป็นพระศรีอาริย์จะอยู่ในใจของท่าน โดยความเชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้า เพื่อว่า เมื่อท่านถูกวางรากฐานไว้อย่างมั่นคงในพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาแล้ว 18ท่านก็จะรู้พร้อมกับวิมุตติชนทั้งหลาย ว่าอะไรคือความกว้าง ความยาว ความลึก และความสูง 19และให้เข้าใจถึงพรหมวิหารสี่ของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ซึ่งเกินความรู้ เพื่อท่านจะได้รับความไพบูลย์ของพระเจ้าอย่างเต็มเปี่ยม
20ขอให้สง่าราศีจงมีแด่พระเจ้าผู้มีฤทธิ์สามารถทำสิ่งสารพัดมากกว่าที่เราจะขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชที่ทำงานอยู่ภายในตัวของเรา 21ขอให้สง่าราศีจงมีแด่พระเจ้าในชุมชนของพระองค์ ในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ตลอดทุกชั่วอายุคน สาธุ
1เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าผู้ที่ถูกจองจำเพราะเห็นแก่พระเจ้าผู้เป็นนาย ขอวิงวอนท่านให้ประพฤติสมกับพันธกิจที่พวกท่านทั้งหลายถูกเรียกแล้วนั้น 2คือจงมีใจถ่อมลงทุกอย่าง และใจสุภาพ อดทน และอดกลั้นต่อกันและกันด้วยพรหมวิหารสี่ ซึ่งมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา 3จงเพียรพยายามให้มีความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันโดยพระวิญญาณ โดยเอาเอาสันติภาพและสันติสุขเป็นเครื่องผูกมัด 4มีกายเดียวและมีพระวิญญาณองค์เดียว เหมือนกับท่านได้ถูกเรียกมาให้มีความหวังอันเดียวกัน ที่เป็นไปตามการที่พระเจ้าเรียกท่านมานั้น 5ให้มีพระเจ้าผู้เป็นนายองค์เดียว ความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าองค์เดียว พิธีมุดน้ำเดียว 6พระเจ้าองค์เดียวผู้เป็นพ่อของคนทั้งหลาย ผู้อยู่เหนือคนทั้งหลาย และอยู่ทั่วคนทั้งหลาย และในท่านทั้งหลาย
7แต่ว่าพระคุณนั้นได้ให้แก่เราทุก ๆ คนตามขนาดที่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ประทานให้ 8เหตุฉะนั้นจึงมีพระคำของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า “เมื่อพระองค์ขึ้นไปสู่เบื้องสูง พระองค์นำพวกเชลยไป และประทานของประทานแก่มนุษย์” 9(ที่กล่าวว่าพระองค์ขึ้นไปนั้น จะหมายความอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากว่าพระองค์ได้ลงไปสู่เบื้องต่ำของแผ่นดินโลกก่อนด้วย 10พระองค์ผู้ลงไปนั้น ก็คือผู้ที่ขึ้นไปสู่เบื้องสูงเหนือฟ้าสวรรค์ทั้งหลายนั่นเอง เพื่อจะได้ทำให้สิ่งสารพัดสำเร็จ) 11พระองค์ให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นศาสดาพยากรณ์ บางคนเป็นผู้เผยแพร่บารมีของพระเจ้า บางคนเป็นผู้เลี้ยงดูชุมชนของพระเจ้า และอาจารย์ 12เพื่อเตรียมวิมุตติชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างร่างกายของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ให้เจริญขึ้น 13จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า และในความรู้ถึงพระโอรสองค์เดียวของพระเจ้า จนกว่าเราจะเป็นผู้ใหญ่บรรลุนิติภาวะอย่างเต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 14เพื่อเราจะไม่ได้เป็นเด็กอีกต่อไป ที่ถูกซัดไปซัดมา และหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายอันฉลาดซึ่งเป็นการล่อลวง 15แต่ให้เราพูดความจริงด้วยพรหมวิหารสี่ ซึ่งมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาเพื่อจะเจริญขึ้นทุกอย่าง ไปสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 16คือเนื่องจากพระองค์นั้น ร่างกายทั้งหมดได้ติดสนิทและผูกพันกัน โดยที่ทุก ๆ ข้อต่อที่พระองค์ได้ประทานให้เจริญเติบโตขึ้นด้วยพรหมวิหารสี่ เมื่ออวัยวะทุกอย่างทำงานตามความเหมาะสมแล้ว
17เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงขอยืนยัน และเป็นพยานในพระเจ้าผู้เป็นนายว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ท่านอย่าประพฤติอย่างคนต่างชาติ ที่เขาประพฤติกันนั้น คือมีใจจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ไร้สาระ 18โดยที่ความเข้าใจของเขามืดมนไป และเขาอยู่ห่างจากชีวิตซึ่งมาจากพระเจ้า เพราะเหตุความโง่ซึ่งอยู่ในตัวเขา อันเนื่องจากใจดื้อรั้นของเขา 19เขามีใจปราศจากความละอายต่อบาป ปล่อยตัวทำการลามก ทำการโสโครกทุกอย่างด้วยความละโมบ 20แต่ว่าท่านไม่ได้เรียนรู้จากพระผู้เป็นพระศรีอาริย์เช่นนั้น 21ถ้าแม้นท่านได้ฟังเรื่องของพระองค์ และได้รับการสอนโดยพระองค์ตามความจริง ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูแล้ว 22ท่านจงทิ้งตัวเก่าหรือธรรมชาติเก่าของท่านที่เป็นของวิถีชีวิตเก่านั้น ซึ่งจะเสื่อมไปตามกิเลส ตัณหาที่หลอกลวง 23และจงให้จิตใจของท่านเปลี่ยนใหม่ 24และให้ท่านสวมตัวใหม่หรือ ธรรมชาติใหม่ที่ได้สร้างขึ้นใหม่ตามแบบอย่างของพระเจ้า ในความถูกต้องและความบริสุทธิ์ที่แท้จริง
25เหตุฉะนั้นท่านจงเลิกโกหกหลอกลวงพูดไม่อยู่กับร่องกับรอย และ “จงพูดความจริงต่อเพื่อนบ้าน” เพราะว่าเราต่างก็เป็นอวัยวะของกันและกัน 26“ถ้าจะโกรธก็โกรธได้ แต่อย่าทำบาป” อย่าให้ตะวันตกท่านยังโกรธอยู่ 27และอย่าให้โอกาสแก่มาร 28คนที่เคยเป็นขโมยก็อย่าขโมยอีก แต่จงใช้มือทำงานที่ดี ๆ กว่า เพื่อจะได้มีอะไร ๆ แจกให้แก่คนที่อดอยาก 29อย่าให้คำหยาบคายออกมาจากปากท่านเลย แต่จงพูดแต่คำที่ดีเป็นมธุรสวาจา และเป็นประโยชน์ให้เกิดความเจริญเพื่อจะได้เป็นคุณแก่คนที่ได้ยินได้ฟัง 30และอย่าทำให้พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าเสียใจ เพราะโดยพระวิญญาณนั้นท่านได้ถูกประทับตราหมายท่านไว้ จนถึงวันที่พระองค์จะไถ่ให้หลุดพ้น 31จงให้ใจขมขื่น และใจขัดเคือง และใจโกรธ และการทะเลาะเบาะแว้งกัน และการพูดเสียดสีประชดประชัน กับการคิดปองร้ายทุกอย่าง อยู่ห่างไกลจากท่านเถิด 32และท่านจงเมตตาต่อกัน มีใจเอ็นดูต่อกัน และอภัยโทษให้กันเหมือนกับที่พระเจ้าได้อภัยโทษให้ท่าน เพราะเห็นแก่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์นั้น
1เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงเลียนแบบของพระเจ้า ให้สมกับเป็นลูกที่รักของพระองค์ 2และจงดำเนินชีวิตในพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา เหมือนกันกับที่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้รักเรา และได้ประทานพระองค์เองเพื่อเราให้เป็นเครื่องถวาย และเครื่องบูชาอันเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า
3แต่การเอ่ยถึงการล่วงประเวณี การลามกต่าง ๆ และความละโมบ อย่าให้มีขึ้นในพวกท่านเลย จะได้สมกับที่ท่านเป็นวิมุตติชนของพระเจ้า 4ทั้งอย่าพูดคำหยาบคาย พูดเล่นไม่เป็นเรื่อง และพูดตลกหยาบคายเกเร ซึ่งเป็นการไม่สมควร แต่ให้ขอบคุณพระเจ้าดีกว่า 5เพราะท่านรู้แน่ว่า คนล่วงประเวณี คนโสโครก คนโลภ ที่เป็นคนไหว้รูปเคารพ จะไม่มีส่วนในอาณาจักรของพระเจ้า และของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 6อย่าให้ผู้ใดล่อลวงท่านด้วยคำที่ไม่มีสาระ เพราะการทำเช่นนั้น พระเจ้าจึงลงโทษแก่ทุกคนที่ไม่เชื่อฟัง
7เหตุฉะนั้นท่านอย่าคบหาสมาคมกับคนเหล่านั้นเลย 8เพราะว่าเมื่อก่อนท่านเป็นความมืด แต่บัดนี้ท่านเป็นความสว่างแล้วในพระเจ้าผู้เป็นนาย จงดำเนินชีวิตอย่างลูกของความสว่าง 9(เพราะว่าผลของความสว่างคือ ความดีทุกอย่าง และความถูกต้องทั้งหลาย และความจริงทั้งหมด) 10ท่านจงพิสูจน์ว่า ทำอย่างไรบ้างจึงจะเป็นที่พอใจของพระเจ้าผู้เป็นนาย 11และอย่าเข้าส่วนกับกิจการของความมืดอันไม่มีประโยชน์ แต่จงติเตียนกิจการเหล่านั้นดีกว่า 12เพราะว่าแม้แต่จะพูดถึงการเหล่านั้น ซึ่งพวกเขาทำในที่ลับก็ยังเป็นที่น่าละอายเลย 13แต่สิ่งสารพัดที่ถูกติเตียนแล้ว ก็จะปรากฏแจ้งโดยความสว่าง เพราะว่าทุก ๆ สิ่งที่ให้ปรากฏก็คือความสว่าง 14เหตุฉะนั้นจึงมีคำกล่าวไว่ “คนที่หลับอยู่จงตื่นขึ้นและจงเป็นขึ้นมาจากความตาย และพระผู้เป็นพระศรีอาริย์จะส่องสว่างแก่ท่าน”
15เหตุฉะนั้นท่านจงระมัดระวังในการดำเนินชีวิตให้ดี อย่าให้เหมือนคนไม่มีปัญญา แต่ให้เหมือนคนมีปัญญา 16จงใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ เพราะว่าทุกวันนี้เป็นยุคที่ชั่ว 17เหตุฉะนั้นอย่าเป็นคนโง่ แต่จงเข้าใจน้ำใจของพระเจ้าผู้เป็นนายว่าเป็นอย่างไร 18และอย่ากินเหล้าเมาสุราซึ่งจะทำให้เสียคน แต่จงประกอบด้วยพระวิญญาณ 19จงทักทายกันด้วยเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงแห่งจิตวิญญาณ คือร้องเพลงยกย่องสรรเสริญจากใจของท่านถวายพระเจ้าผู้เป็นนาย 20จงขอบคุณพระเจ้าผู้เป็นพ่อสำหรับสิ่งสารพัดเสมอ ในนามพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา 21จงยอมฟังกันและกันด้วยความเคารพนับถือในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์
22ฝ่ายผู้เป็นภรรยาจงยอมฟังผู้เป็นสามีของตน เหมือนกันกับยอมฟังพระเจ้าผู้เป็นนาย 23เพราะว่าผู้เป็นสามีเป็นศีรษะของผู้เป็นภรรยา เหมือนกันกับพระผู้เป็นพระศรีอาริย์เป็นศีรษะของชุมชนของพระเจ้า และพระองค์เป็นพระผู้ทำความหลุดพ้นให้แก่ชนชนของพระเจ้านั้น 24เหตุฉะนั้นชุมชนของพระเจ้ายอมฟังพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ฉันใด ภรรยาก็ควรยอมฟังสามีทุกประการฉันนั้น 25ฝ่ายผู้เป็นสามีก็จงรักใคร่ภรรยาของตน เหมือนกันกับที่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์รักใคร่ชุมชนของพระเจ้า และได้สละพระองค์เองเพื่อชุมชนของพระเจ้า 26เพื่อจะได้ทำให้ชุมชนของพระเจ้าบริสุทธิ์ โดยการชำระด้วยน้ำ และพระวิญญาณ 27เพื่อพระองค์จะได้มอบชุมชนของพระเจ้าที่มีสง่าราศีแก่พระองค์เอง ไม่มีจุดด่างพร้อย ริ้วรอย หรือมลทินใด ๆ เลย แต่บริสุทธิ์ปราศจากตำหนิ
28“เหตุฉะนั้น ผู้เป็นสามีจึงควรจะรักใคร่ผู้เป็นภรรยาของตนเหมือนกับรักร่างกายของตน ผู้ที่รักภรรยาของตนก็รักตนเอง 29เพราะว่าไม่มีผู้ใดเกลียดชังร่างกายของตัวเอง มีแต่เลี้ยงดูและทะนุถนอม เหมือนกับพระเจ้าผู้เป็นนายทำกับชุมชนของพระองค์ 30เพราะว่าเราเป็นอวัยวะแห่งร่างกายของพระองค์ 31เพราะเหตุนี้ผู้ชายจะจากบิดามารดาของเขา ไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้ออันเดียวกัน” 32ข้อนี้เป็นข้อล้ำลึกที่สำคัญมาก ซึ่งข้าพเจ้าเข้าใจว่าหมายถึงพระผู้เป็นพระศรีอาริย์กับชุมชนของพระเจ้า 33ถึงกระนั้นก็ดี ท่านทุกคนจงรักภรรยาของตนเหมือนกับรักตัวเอง และผู้เป็นภรรยาก็จงยำเกรงสามีของตนด้วย
1ฝ่ายผู้เป็นบุตรธิดาจงนบนอบเชื่อฟังผู้เป็นบิดามารดาของตนในพระเจ้าผู้เป็นนาย เพราะการทำเช่นนั้นเป็นการถูกต้อง 2“จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า” (นี่เป็นบัญญัติหรือศีลข้อแรกที่อยู่ในคำสัญญา) 3“เพื่อท่านจะได้อยู่เย็นเป็นสุข และมีอายุยืนยาวในแผ่นดินโลก” 4ฝ่ายท่านผู้เป็นบิดาอย่ากวนใจบุตรธิดาของตนให้เกิดโมโหโทโส แต่จงอบรมบุตรธิดาด้วยการสั่งสอน และการตักเตือนตามหลักของพระเจ้าผู้เป็นนาย
5ฝ่ายผู้ที่เป็นทาสจงเชื่อฟังผู้ที่เป็นนายฝ่ายโลกด้วยใจยำเกรงจนตัวสั่น ด้วยน้ำใสใจจริงเหมือนกับทำกับพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 6อย่าให้เหมือนกับคนที่หน้าไหว้หลังหลอก ทำดีต่อหน้า หรือทำให้ถูกใจคน แต่จงทำเหมือนคือกับเป็นทาสของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์คือทำตามชอบใจของพระเจ้าด้วยความเต็มใจ 7จงรับใช้นายด้วยจิตใจเบิกบาน เหมือนกับรับใช้พระเจ้าผู้เป็นนาย ไม่ใช่รับใช้มนุษย์ 8เพราะท่านรู้อยู่แล้วว่าผู้ใดทำความดีอะไร ผู้นั้นก็จะได้รับบำเหน็จเช่นนั้นจากพระเจ้าผู้เป็นนายอีก ไม่ว่าเขาจะเป็นทาสหรือเป็นไท 9ฝ่ายผู้เป็นนายจงทำต่อทาสในทำนองเดียวกัน คืออย่าขู่เข็ญเขา เพราะท่านก็รู้แล้วว่านายของท่านอยู่ในสวรรค์ และพระองค์ไม่เลือกหน้าผู้ใดเลย
10สุดท้ายนี้ขอให้ท่านจงมีกำลังเข้มแข็งขึ้นในพระเจ้าผู้เป็นนาย และในฤทธิ์เดชอันใหญ่หลวงของพระองค์ 11จงสวมเครื่องป้องกันตัวทั้งชุดของพระเจ้าเพื่อจะต่อต้านเล่ห์เหลี่ยมของมารได้ 12เพราะเราไม่ได้ต่อสู้กับมนุษย์และเลือดเนื้อ แต่ต่อสู้กับพวกภูตผีที่ครอบครอง พวกภูตผีที่มีอำนาจ พวกภูตผีที่ครองโลกแห่งความมืดในยุคนี้ ต่อสู้กับพวกวิญญาณชั่วในฟ้าอากาศ 13เหตุฉะนั้นจงรับเครื่องป้องกันตัวทั้งชุดของพระเจ้าไว้ เพื่อท่านจะได้ต่อต้านในวันอันชั่วร้ายนั้น และเมื่อเสร็จแล้วจะอยู่อย่างมั่นคงได้ 14เหตุฉะนั้นท่านจงมั่นคง เอาความจริงคาดแอวไว้ เอาความถูกต้องเป็นแนวป้องกันอก 15และเอาบารมีของพระเจ้าแห่งสันติภาพและสันติสุข ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดความพร้อมมาสวมเป็นรองเท้า 16และพร้อมกับสิ่งทั้งหมดนี้ จงเอาความเชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้าเป็นโล่ เพราะโล่นั้นท่านจะได้ดับลูกศรไฟของมารนั้น 17จงเอาความหลุดพ้นเป็นหมวกเหล็กป้องกันศีรษะ และจงถือดาบของพระวิญญาณ ซึ่งได้แก่พระคำของพระเจ้า 18จงอธิษฐานสวดอ้อนวอนทุกอย่าง และจงขอโดยพระวิญญาณทุกเวลา ทั้งนี้จงระวังตัวด้วยความอดทนทุกอย่าง จงอธิษฐานสวดอ้อนวอนเพื่อวิมุตติชนทุกคน 19และอธิษฐานสวดอ้อนวอนเพื่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อจะได้ประทานให้ข้าพเจ้ามีคำพูด และเกิดใจกล้าหาญ ที่จะเผยแพร่ข้อล้ำลึกแห่งบารมีของพระเจ้าได้ 20เพราะบารมีของพระเจ้านี้เอง ทำให้ข้าพเจ้าเป็นทูตผู้ต้องติดโซ่ตรวนอยู่ เพื่อข้าพเจ้าจะได้เล่าเรื่องบามีของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญตามที่ข้าพเจ้าควรจะพูด
21แต่เพื่อให้ท่านได้รู้เหตุการณ์ทั้งหลายของข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าเป็นอยู่อย่างไร ทีคิกัส ซึ่งเป็นน้องที่รัก และเป็นผู้รับใช้ที่สัตย์ซื่อในพระเจ้าผู้เป็นนาย จะได้บอกท่านให้รู้ถึงเหตุการณ์ทั้งหลาย 22ข้าพเจ้าให้ผู้นี้ไปหาท่าน ก็เพราะเหตุนี้เอง คือให้ท่านได้รู่ถึงเหตุการณ์ทั้งหลายของเรา และเพื่อให้เขาส่งเสริมและให้กำลังใจท่าน
23ขอให้พวกพี่น้องได้รับสันติภาพ สันติสุข และพรหมวิหารสี่ ซึ่งมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา โดยความเชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้า ที่มาจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อและจากพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนาย 24ขอพระคุณดำรงอยู่กับคนทั้งหลายที่รักพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนาย อย่างไม่มีวันเสื่อมสลายไป สาธุ
1จดหมายนี้เขียนโดยเปาโล และทิโมธี ผู้รับใช้ของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เขียนถึง วิมุตติชนทั้งหลายในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ กับทั้งผู้รับใช้ฝ่ายจิตวิญญาณ และผู้รับใช้ฝ่ายกิจกรรมทั้งหลาย ที่อยู่ในเมืองฟีลิปปี 2ขอให้พระคุณ สันติภาพ และสันติสุขจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และจากพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนาย จงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
3ข้าพเจ้าระลึกถึงท่านเมื่อใด ข้าพเจ้าก็ขอบคุณพระเจ้าเมื่อนั้น 4และทุกเวลาที่ข้าพเจ้าอธิษฐานสวดอ้อนวอนเพื่อท่าน ข้าพเจ้าก็ขอด้วยความยินดี 5เพราะเหตุที่ท่านทั้งหลายมีส่วนในบารมีของพระเจ้าด้วยกัน ตั้งแต่วันแรกจนกระทั่งมาถึงวันนี้ 6ข้าพเจ้าแน่ใจว่า พระเจ้าผู้ตั้งต้นการดีไว้ในพวกท่านแล้ว จะทำให้สำเร็จจนถึงวันแห่งพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 7การที่ข้าพเจ้าคิดเช่นนั้นเกี่ยวกับท่านทั้งทั้งหลายก็สมควรแล้ว เพราะว่าท่านอยู่ในใจของข้าพเจ้า ท่านทั้งหลายได้รับส่วนในพระคุณด้วยกันกับข้าพเจ้า ในการที่ข้าพเจ้าถูกจองจำ และในการกล่าวแก้คดี และส่งเสริมให้บารมีของพระเจ้านั้นตั้งมั่นคงอยู่ 8เพราะว่าพระเจ้าเป็นพยานให้ข้าพเจ้าว่า ข้าพเจ้าเป็นห่วงท่านทั้งหลายเท่าใด ตามความเมตตาของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 9และข้าพเจ้าอธิษฐานสวดอ้อนวอนขอให้พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ของท่านเจริญยิ่ง ๆ ขึ้นในความรู้และในวิจารณญาณทุกอย่าง 10เพื่อท่านทั้งหลายจะสังเกตได้ว่าอะไรดีที่สุด และเพื่อท่านจะได้เป็นคนบริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง และไม่เป็นที่ติได้ จนถึงวันของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 11จะได้เป็นผู้ที่บริบูรณ์ด้วยผลของบุญ ซึ่งเกิดขึ้นโดยพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เพื่อถวายเกียรติและการยกย่องแก่พระเจ้า
12พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าอยากให้ท่านรู้ว่า การทั้งหลายที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้านั้น ได้กลับเป็นเหตุให้บารมีของพระเจ้าแพร่ขยายออกไป 13จนเป็นที่รู้กันในหมู่พวกผู้คุม และคนอื่น ๆ ว่า การที่ข้าพเจ้าถูกจองจำนั้นก็เพื่อพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 14และพี่น้องส่วนมากได้มีความเชื่อมั่นในพระเจ้าผู้เป็นนาย เนื่องจากการจองจำของข้าพเจ้า และพวกเขาก็มีใจกล้าหาญที่จะพูดพระคำของพระเจ้านั้นโดยไม่เกรงกลัวอะไร
15ความจริงมีบางคนเผยแพร่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ด้วยจิตใจริษยาและโต้เถียงกัน แต่ก็มีคนอื่นที่เผยแพร่ด้วยใจหวังดี 16ฝ่ายหนึ่งเผยแพร่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์โดยมีใจที่เป็นพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา โดยรู้แล้วว่าพระเจ้าได้ตั้งให้ข้าพเจ้าเป็นผู้แก้คดีเกี่ยวกับบารมีของพระเจ้านั้น 17แต่อีกฝ่ายหนึ่งเผยแพร่ด้วยการชิงดีชิงเด่นกัน ไม่ใช่ด้วยความจริงใจ จงใจจะเพิ่มความทุกข์ยากลำบากให้แก่ข้าพเจ้าในการถูกจองจำ 18ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็จะเป็นอะไรไป แม้ว่าเขาจะเผยแพร่โดยประการใดก็ตาม จะเป็นการแกล้งทำก็ดี หรือโดยใจจริงก็ดี แต่เขาก็ได้เผยแพร่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ในการนี้ทำให้ข้าพเจ้ามีความยินดี
19ข้าพเจ้าจะมีความชื่นชมยินดีต่อไปด้วย เพราะข้าพเจ้ารู้ว่า โดยคำอธิษฐานสวดอ้อนวอนของท่าน และโดยการช่วยเหลือของพระวิญญาณแห่งพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์นี้ จะเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าได้รับการปลดปล่อย 20เพราะว่าเป็นความมุ่งมาดปรารถนา และความหวังว่า ข้าพเจ้าจะไม่ได้รับความอับอายใด ๆ เลย แต่เมื่อก่อนทุกครั้งมีใจกล้าหาญเสมอฉันใด บัดนี้ก็ขอให้เป็นเหมือนแต่ก่อนฉันนั้น พระผู้เป็นพระศรีอาริย์จะได้รับเกียรติในร่างกายของข้าพเจ้าเสมอ แม้จะโดยชีวิตหรือโดยความตายก็ตาม 21เพราะว่าสำหรับข้าพเจ้านั้น การมีชีวิตอยู่ก็เพื่อพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ และการตายก็ได้กำไร 22แต่ถ้าข้าพเจ้ายังจะมีชีวิตอยู่ ข้าพเจ้าก็จะทำพันธกิจให้เกิดผล แต่ข้าพเจ้าบอกไม่ได้ว่าจะเลือกฝ่ายใดดี 23ข้าพเจ้าลังเลใจอยู่ในระหว่างสองฝ่ายนี้ คือว่า ข้าพเจ้ามีความต้องการที่จะจากไป เพื่อไปอยู่กับพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ซึ่งดีกว่าอย่างมากมาย 24แต่การที่ข้าพเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็มีความจำเป็นสำหรับพวกท่าน 25เมื่อข้าพเจ้าแน่ใจเช่นนี้แล้ว ข้าพเจ้าก็รู้ว่าข้าพเจ้าจะยังอยู่ และคงอยู่กับท่านทั้งหลายเพื่อให้ท่านเจริญขึ้น และชื่นชมยินดีในความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า 26เพื่อว่าเพราะข้าพเจ้า ความดีอกดีใจของท่านจะมากขึ้นในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เพราะข้าพเจ้าจะมาหาท่านอีก
27ขอแต่เพียงให้ท่านดำเนินชีวิตให้สมกับบารมีของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ เพื่อว่าแม้ว่าข้าพเจ้าจะมาหาท่านหรือไม่ก็ตาม ข้าพเจ้าก็จะได้รู้ข่าวของท่านว่า ท่านตั้งมั่นคงอยู่ เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ต่อสู้เหมือนกับเป็นคนเดียว เพื่อความเชื่อพึ่งอาศัยในบารมีของพระเจ้านั้น 28และท่านไม่เกรงกลัวผู้ที่ขัดขวางแต่อย่างใดเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นก็จะเป็นที่รู้แจ้งแก่เขาว่า พวกเขาจะถึงซึ่งความพินาศ แต่พวกท่านก็จะหลุดพ้น และการนั้นมาจากพระเจ้า 29เพราะว่าพระเจ้าได้ยอมรับท่านเพราะเห็นแก่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ไม่ใช่ให้ท่านเชื่อถือในพระองค์เท่านั้น แต่ให้ท่านทนความทุกข์ยากเพราะเห็นแก่พระองค์ด้วย 30คือให้ท่านต้องต่อสู้เหมือนกับที่ท่านได้เห็นข้าพเจ้าต่อสู้ และซึ่งท่านได้ยินว่าข้าพเจ้ากำลังสู้อยู่ในขณะนี้
1เหตุฉะนั้น ถ้ามีการส่งเสริมสนับสนุนกันประการใดในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ถ้ามีการให้กำลังใจประการใดในพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ถ้ามีส่วนประการใดในพระวิญญาณ ถ้ามีความเห็นอกเห็นใจ และความเมตตากรุณาประการใด 2ก็ขอให้ท่านทำให้ความยินดีของข้าพเจ้าเต็มเปี่ยม โดยการมีความคิดอย่างเดียวกัน มีพรหมวิหารสี่อย่างเดียวกัน มีใจเดียวกัน และคิดพร้อมเพรียงกัน 3อย่าทำอะไรในทางโต้เถียงกันหรืออวดดี แต่จงมีใจถ่อมถือว่าคนอื่นดีกว่าตัว 4อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่น ๆ ด้วย 5ท่านจงมีน้ำใจต่อกัน เหมือนกับที่มีในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 6ผู้อยู่ในสภาพของพระเจ้า แต่ไม่ได้ถือว่าการเท่าเทียมกับพระเจ้านั้นเป็นสิ่งที่จะต้องยึดถือ 7แต่ได้สละ และรับสภาพอย่างทาส ถือกำเนิดเป็นมนุษย์ 8และเมื่อปรากฏในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ถ่อมลง ยอมเชื่อฟังจนกระทั่งถึงความตาย คือตายที่กางเขน 9เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงได้ยกพระองค์ขึ้นอย่างสูงสุด และได้ประทานนามเหนือนามทั้งหลายให้แก่พระองค์ 10เพื่อทุกหัวเข่าในสวรรค์ก็ดี ที่แผ่นดินโลกก็ดี ใต้พื้นแผ่นดินโลกก็ดี จะต้องคุกเข่าลง กราบไหว้ในนามแห่งพระเยซูนั้น 11และเพื่อปากทุกปากจะยอมรับว่า พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์เป็นพระเจ้าผู้เป็นนาย อันเป็นการถวายเกียรติแก่พระเจ้าผู้เป็นพ่อ
12เหตุฉะนี้ท่านที่รักทั้งหลาย เมื่อท่านยอมเชื่อฟังทุกเวลาฉันใด ก็จงอุตส่าห์ประพฤติ ให้สมกับได้รับความหลุดพ้น ที่ท่านได้รับแล้วด้วยความกลัวจนตัวสั่นฉันนั้น 13เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทำงานอยู่ภายในท่าน ทั้งให้มีใจอยาก และให้ประพฤติตามชอบใจของพระองค์
14จงทำสิ่งสารพัดโดยปราศจากการบ่นและการโต้เถียงกัน 15เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่ถูกติเตียน และไม่มีความผิด เป็นลูกของพระเจ้าที่ไม่มีที่ติ ในท่ามกลางยุคที่คดโกงและร้อยเล่ห์เพทุบาย ท่านปรากฏในหมู่พวกเขาเหมือนกับดวงสว่างต่าง ๆ ในโลก 16จงยึดมั่นในพระคำแห่งชีวิต เพื่อข้าพเจ้าจะได้ชื่นชมยินดีในวันของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ว่า ข้าพเจ้าไม่ได้วิ่งเปล่า ๆ และไม่ได้ทำงานโดยไม่มีประโยชน์อะไร 17ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าต้องถวายตัวเองเป็นเครื่องบูชาเพื่อความเชื่อของท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้ายังจะมีความชื่นชมยินดีด้วยกันกับท่านทั้งหลาย 18ซึ่งท่านก็ควรจะยินดี และชื่นชมด้วยกันกับข้าพเจ้าเหมือนกัน
19แต่ข้าพเจ้ามีความหวังในพระเยซู พระเจ้าผู้เป็นนายว่า อีกไม่นานข้าพเจ้าจะให้ทิโมธีไปหาท่าน เพื่อข้าพเจ้าจะได้มีกำลังใจเมื่อได้รับข่าวของท่าน 20เพราะว่าข้าพเจ้าไม่มีผู้ใดที่มีน้ำใจเหมือนกับทิโมธี ซึ่งจะเอาใจใส่ในทุกข์สุขของท่านอย่างแท้จริง 21เพราะว่าคนทั้งหลายก็แสวงหาประโยชน์ของตัวเอง ไม่ได้แสวงหาประโยชน์ของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 22แต่ท่านก็รู้ถึงคุณค่าของทิโมธีแล้วว่า เขาได้รับใช้ร่วมกับข้าพเจ้าในการเผยแพร่บารมีของพระเจ้า เหมือนดังลูกรับใช้พ่อ 23เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงหวังว่า เมื่อข้าพเจ้ารู้ว่าคดีความของข้าพเจ้าจบลงอย่างไรแล้ว ข้าพเจ้าจะส่งเขามาหาท่านทันที 24แต่ข้าพเจ้าไว้วางใจในพระเจ้าผู้เป็นนายว่า อีกไม่นานข้าพเจ้าเองจะมาหาท่านด้วย
25ข้าพเจ้าคิดแล้วว่า จะต้องให้เอปาโฟรดิทัสน้องชายของข้าพเจ้า ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงาน และเพื่อนทหารของข้าพเจ้า และเป็นผู้นำข่าวของพวกท่าน และได้รับใช้ข้าพเจ้าในยามทุกข์ยาก มาหาท่านทั้งหลาย 26เพราะว่าเขาคิดถึงท่านทุกคน และเป็นทุกข์มากเพราะท่านได้ข่าวว่าเขาป่วย 27เขาป่วยจริง ๆ ป่วยจนเกือบจะตายโน่นแหละ แต่พระเจ้ากรุณาต่อเขา และไม่ใช่ต่อเขาคนเดียว แต่กรุณาต่อข้าพเจ้าด้วย เพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ามีความทุกข์ซ้อนทุกข์ 28เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงรีบใช้เขาไป หวังว่าเมื่อท่านทั้งหลายได้เห็นเขาอีก เขาจะได้ชื่นชมยินดี และความทุกข์ของข้าพเจ้าก็จะเบาบางลงไปบ้าง 29เหตุฉะนั้นท่านจงต้อนรับเขาไว้ในพระเจ้าผู้เป็นนายด้วยความยินดีทุกอย่าง และจงนับถือคนเช่นนี้ 30เพราะว่าเขาเกือบจะตายแล้ว เพราะเห็นแก่การงานของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ คือเขาได้เอาชีวิตเป็นเดิมพัน เพื่อการรับใช้ของท่านทั้งหลายที่บกพร่องต่อข้าพเจ้าอยู่นั้นจะได้เต็มบริบูรณ์
1สุดท้ายนี้ ขอให้พวกพี่น้องทั้งหลาย จงชื่นชมยินดีในพระเจ้าผู้เป็นนาย การที่ข้าเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านซ้ำอีก ก็ไม่เป็นการลำบากอะไร แต่เป็นการปลอดภัยสำหรับท่านทั้งหลาย
2จงระวังพวกหมาป่า จงระวังคนชั่ว จงระวังพวกถือการเชือดเนื้อเถือหนัง 3เพราะว่าเราทั้งหลายเป็นพวกถือพิธีเข้าสุหนัตแท้ เป็นผู้กราบไหว้บูชาพระเจ้าด้วยจิตใจ และชื่นชมยินดีในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ และไม่ได้ไว้ใจในเนื้อหนังที่อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา
4ถึงแม้ว่าข้าพเจ้าเองมีเหตุที่จะไว้ใจในเนื้อหนัง ถ้าผู้อื่นคิดว่าเขามีเหตุผลที่จะไว้ใจในเนื้อหนัง ข้าเจ้าก็มีมากกว่าเขาเสียอีก 5คือเมื่อข้าพเจ้าเกิดมาได้แปดวันก็ได้เข้าสุหนัต ข้าพเจ้าเป็นชนชาติอิสราเอล ตระกูลเบนยามิน เป็นชาติฮีบรู เกิดจากชาวฮีบรู ในด้านบัญญัติหรือศีลก็อยู่ในคณะฟาริสี 6ในด้านความกระตือรือร้นก็ได้ข่มเหงชุมชนของพระเจ้า ในด้านการเป็นคนบุญโดยบัญญัติหรือศีล ข้าเจ้าก็ไม่มีข้อบกพร่องเลย 7แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์กับข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไม่มีประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์
8ตามความเป็นจริงแล้ว ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไม่มีประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความดีแห่งความรู้ถึงพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของข้าพเจ้า เพราะพระองค์นั่นแหละ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนกับสิ่งไร้ค่า เพื่อข้าพเจ้าจะได้พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 9และจะได้ปรากฏอยู่ในพระองค์ ไม่มีบุญของข้าพเจ้าเองซึ่งได้มาโดยบัญญัติหรือศีล แต่มีมาโดยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ เป็นบุญที่มาจากพระเจ้าโดยความเชื่อพึ่งอาศัย 10เพื่อข้าพเจ้าจะได้รู้จักพระองค์ และฤทธิ์เดชแห่งการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระองค์ และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือ เป็นเหมือนกับพระองค์ในความตายของพระองค์ 11ถ้าเป็นไปได้ข้าพเจ้าก็จะได้เป็นขึ้นมาจากความตายเหมือนกันกับพระองค์
12ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าได้แล้ว หรือสำเร็จแล้ว แต่ข้าพเจ้ากำลังอุตส่าห์มุ่งหน้าไป เพื่อข้าพเจ้าจะได้คว้าเอาตามอย่างที่พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้คว้าข้าพเจ้าไว้เป็นของพระองค์แล้ว 13พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ถือว่าข้าพเจ้าคว้าไว้ได้แล้ว แต่ข้าพเจ้าทำสิ่งหนึ่ง คือทิ้งสิ่งที่ผ่านมาแล้ว และโน้มตัวออกไปหาสิ่งที่อยู่ข้างหน้า 14ข้าพเจ้ากำลังอุตส่าห์มุ่งหน้าไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัลซึ่งพระเจ้าได้เรียกจากเบื้องบนให้เราไปรับในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 15เหตุฉะนั้นให้เราซึ่งเป็นผู้ใหญ่บรรลุนิติภาวะแล้วมีใจคิดเช่นนั้น และถ้าท่านคิดอย่างอื่น พระเจ้าก็จะแสดงสิ่งนี้ให้กับท่าน 16แต่เราได้แค่ไหนแล้ว ก็ให้เราดำเนินต่อไปจากนั้น
17พี่น้องทั้งหลาย จงทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า ท่านมีพวกเราเป็นโตอย่างอยู่แล้ว จงดูคนที่ทำตามแบบอย่างนั้น 18เพราะว่ามีคนหลายคน ที่ทำตัวเป็นศัตรูต่อกางเขนของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ซึ่งข้าพเจ้าได้บอกท่านถึงเรื่องของเขาหลายครั้งแล้ว และบัดนี้ยังบอกอีกด้วยน้ำตาไหล 19ปลายทางของคนเหล่านั้นคือความพินาศ พระของเขาคือกระเพาะ เขายกความที่น่าอับอายขึ้นมาโอ้อวด เขาสนใจในวัตถุทางโลก 20ฝ่ายพวกเราเป็นชาวสวรรค์ เรารอคอยพระผู้ทำความหลุดให้เราซึ่งจะมาจากสวรรค์ คือพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนาย 21พระองค์จะเปลี่ยนแปลงร่ากายอันต่ำต้อยของเรา ให้เหมือนกับร่างกายอันมีสง่าราศีของพระองค์ ด้วยฤทธานุภาพซึ่งทำให้พระองค์สามารถปราบสิ่งสารพัดลงใต้อำนาจของพระองค์
1เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย ผู้เป็นที่รัก เป็นที่ห่วงหาอาวรณ์ เป็นที่ยินดี และเป็นมงกุฎของข้าพเจ้า พวกที่รักของข้าพเจ้า จงยึดมั่นในพระเจ้าผู้เป็นนายเถิด
2ข้าพเจ้าขอเตือนนางยูโอเดีย และขอเตือนนางสินทิเคให้มีใจปรองดองกันในพระเจ้าผู้เป็นนาย 3ข้าพเจ้าขอร้องท่านผู้เป็นเพื่อนร่วมแอกแท้ ๆ ของข้าพเจ้า ให้ท่านช่วยผู้หญิงเหล่านั้น เพราะว่าเขาได้ทำงานเกี่ยวกับบารมีของพระเจ้าด้วยกันกับข้าพเจ้า และกับเคลเมด้วย รวมทั้งคนอื่นที่เป็นเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้า ซึ่งชื่อของเขาเหล่านั้นมีอยู่ในหนังสือแห่งชีวิตแล้ว
4จงชื่นชมยินดีในพระเจ้าผู้เป็นนายทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด 5จงให้จิตใจที่สุภาพของท่านปรากฏแก่คนทั้งหลาย พระเจ้าผู้เป็นนายอยู่ใกล้แล้ว 6อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใด ๆ เลย แต่จงขอต่อพระเจ้าทุกสิ่งทุกอย่าง ด้วยการอธิษฐานสวดอ้อนวอน สวดภาวนา กับการขอบพระคุณ 7แล้วสันติภาพ และสันติสุขของพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจทุกอย่าง จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์
8พี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ จงพิจารณาว่าอะไรจริง อะไรน่านับถือ อะไรยุติธรรม อะไรบริสุทธิ์ อะไรน่ารัก อะไรมีคุณ คือถ้ามีอะไรดีเลิศ อะไรที่ควรแก่การยกย่อง ก็ขอจงพิจารณาดูสิ่งเหล่านี้ 9จงทำทุกสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้ ได้รับไว้ ได้ยิน และได้เห็นในข้าพเจ้าแล้ว และพระเจ้าแห่งสันติภาพ และสันติสุขจะอยู่กับท่านทั้งหลาย
10ข้าพเจ้ามีใจชื่นชมยินดีในพระเจ้าผู้เป็นนายอย่างมากมาย เพราะว่าในที่สุดท่านก็ได้ระลึกถึงข้าพเจ้าอีก ท่านคิดถึงข้าพเจ้าจริง ๆ แต่ยังหาโอกาสจะช่วยเหลือไม่ได้ 11ข้าพเจ้าไม่ได้พูดถึงเรื่องความอดอยาก เพราะข้าพเจ้าจะมีฐานะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าก็เรียนรู้แล้วที่จะพอใจอยู่อย่างนั้น 12ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าอยู่ไหนหรือในกรณีใด ๆ ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ที่จะเผชิญกับความอิ่มท้อง และความอดอยาก ทั้งความสมบูรณ์พูนสุข และความอดอยากแล้ว 13ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์เป็นผู้เสริมกำลังข้าพเจ้า
14แต่มันก็เป็นความกรุณาของท่านที่ได้ร่วมทุกข์กับข้าพเจ้า 15และพวกท่านชาวฟีลิปปีก็รู้อยู่แล้วว่า การเผยแพร่บารมีของพระเจ้าในเวลาเริ่มแรกนั้น เมื่อข้าพเจ้าออกไปจากมณฑลมาซิโดเนีย ไม่มีชุมชนของพระเจ้าใด มีส่วนร่วมกับข้าพเจ้าในรายรับรายจ่ายเลย นอกจากพวกท่านพวกเดียวเท่านั้น 16เพราะเมื่อข้าพเจ้าอยู่ที่เมืองเธสะโลนิกา พวกท่านก็ได้ฝากของมาช่วยหลายครั้ง 17ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าอยากจะได้รับของฝาก แต่ว่าข้าพเจ้าอยากให้ท่านได้ผลกำไรในบัญชีของท่านมากขึ้น 18ข้าพเจ้าได้รับครบ และมากกว่านั้นอีก ข้าพเจ้าก็อิ่มอยู่เพราะได้รับของซึ่งเอปาโฟรดิทัสได้นำมาจากพวกท่าน เป็นกลิ่นหอม เป็นเครื่องบูชาที่พระเจ้าชอบ และพอใจ 19และพระเจ้าของข้าพเจ้าจะประทานสิ่งสารพัด ตามที่ท่านต้องการนั้นจากทรัพย์อันรุ่งเรืองของพระองค์โดยพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 20ขอให้สง่าราศีจงมีแก่พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราสืบ ๆ ไปตลอดกาล สาธุ
21ข้าพเจ้าขอฝากความคิดถึงมายังวิมุตติชนทุกคนในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พี่น้องทั้งหลายที่อยู่กับข้าพเจ้าก็ฝากความคิดถึงมาหาท่าน 22พวกวิมุตติชนทั้งหลายฝากความคิดถึงมาท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกข้าราชการของจักรพรรดิซีซาร์
23ขอให้พระคุณแห่งพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด สาธุ
1จดหมายนี้ เขียนโดยเปาโล ผู้เป็นอัครทูตของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ตามใจของพระเจ้า และทิโมธีผู้เป็นน้องชาย 2เรียน วิมุตติชน และพี่น้องที่เชื่อพึ่งอาศัยในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ณ เมืองโคโลสี ขอให้พระคุณ สันติภาพ และสันติสุขจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา จงดำรงอยู่กับท่านเถิด
3เราขอบพระคุณพระเจ้าผู้เป็นพ่อของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้เป็นเจ้านายของเราเสมอ เมื่อเราอธิษฐานสวดอ้อนวอน เพื่อท่านทั้งหลาย 4เพราะเราได้ยินถึงความเชื่อของท่านในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ และเรื่องพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซึ่งท่านมีต่อวิมุตติชน ชนทั้งปวง 5โดยเหตุซึ่งมีความหวังอันสะสมไว้สำหรับท่านในนิพพาน ซึ่งเมื่อก่อนท่านเคยได้ยินมาแล้วในคำแห่งความจริง คือบารมีของพระเจ้า 6ซึ่งเผยแพร่มาถึงท่าน ดั่งที่กำลังเกิดผล และทวีขึ้นทั่วโลก เช่นเดียวกับที่กำลังเป็นอยู่ในตัวท่านทั้งหลายด้วย ตั้งแต่วันที่ท่านได้ยิน และเข้าใจในพระคุณของพระเจ้าตามความจริง 7ดังที่ท่านได้เรียนจากเอปาฟรัสซึ่งเป็นเพื่อนร่วมงานที่รักของเรา เขาเป็นผู้ที่เอาใจใส่ปรนนิบัติพระผู้เป็นพระศรีอาริย์เพื่อพวกเราจริง ๆ 8และเขาได้เล่าให้เราฟังถึงพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ที่ท่านมีอยู่ในพระวิญญาณด้วย
9เพราะเหตุนี้ นับตั้งแต่วันที่เราได้ยิน เราก็ไม่ได้หยุดในการที่จะอธิษฐานสวดอ้อนวอน ขอเพื่อท่าน ให้ท่านเพียบพร้อมด้วยความรู้ถึงจิตใจของพระองค์ ในสรรพปัญญา และในความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ 10เพื่อท่านจะได้ประพฤติอย่างที่สมควรต่อพระเจ้าผู้เป็นเจ้านาย และทำตนให้เป็นที่พอใจพระองค์ ให้เกิดผลในการดีทุกอย่าง และเจริญขึ้นในความรู้ถึงพระเจ้า 11ขอให้ท่านมีกำลังมากขึ้นทุกอย่างโดยฤทธิ์เดชแห่งสง่าราศีของพระองค์ ขอให้ท่านมีความทรหดที่สุด และความอดทนนานด้วยความยินดี 12ให้ขอบพระคุณพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ผู้ทำให้เราทั้งหลาย สมกับที่จะเข้าส่วนได้รับมรดกด้วยกันกับวิมุตติชนในความสว่าง 13พระองค์ได้ช่วยเราให้พ้นจากอำนาจของความมืด และได้ย้ายเรามาตั้งไว้ในอาณาจักรแห่งพระโอรส ที่หวงแหนของพระองค์ 14ในพระโอรสนั้นเราจึงได้รับการไถ่ ซึ่งเป็นการยกบาปที่อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหาของเรา
15พระองค์เป็นภาพลักษณ์ของพระเจ้า ผู้ซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา เป็นลูกหัวปีเหนือสรรพสิ่งทั้งปวง 16เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้า และที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตา และซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ว่าจะเป็นที่นั่งของพวกภูตผี หรือพวกภูตผีที่ปกครอง หรือพวกภูตผีที่ครอบครอง หรือพวกภูตผีที่มีอำนาจ ทุกสิ่งถูกสร้างขึ้น โดยพระองค์ และเพื่อพระองค์ 17พระองค์ดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง และสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นระเบียบอยู่โดยพระองค์ 18พระองค์เป็นศีรษะของกาย คือชุมชนของพระเจ้า พระองค์เป็นจุดเริ่มต้น เป็นคนแรกที่เป็นขึ้นมาจากความตาย เพื่อพระองค์จะได้เป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง 19เพราะว่าพระเจ้าพอใจ ที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นดำรงอยู่ในพระองค์ 20และโดยพระองค์ ให้สิ่งสารพัดกลับคืนดีกับพระเจ้า ไม่ว่าสิ่งนั้นจะอยู่ในแผ่นดินโลกหรือในอาณาจักรสวรรค์ พระองค์ทำให้มีสันติภาพ และสันติสุข ด้วยเลือดแห่งกางเขนของพระองค์
21และพวกท่าน ซึ่งเมื่อก่อนนี้ไม่ถูกกันกับพระเจ้า และเป็นศัตรูในใจด้วยการชั่วต่าง ๆ 22บัดนี้พระองค์ให้คืนดีกับพระองค์ โดยความตายแห่งกายเนื้อหนังของพระองค์ เพื่อจะได้มอบท่านให้แก่พระเจ้า ให้เป็นผู้บริสุทธิ์ไร้มลทิน และไมมีที่ติ 23แต่ท่านต้องดำรง และตั้งมั่นอยู่ในความเชื่อ และไม่โยกย้ายไปจากความหวังใจในบารมีของพระเจ้าซึ่งท่านได้ยินแล้ว และได้ประกาศแล้วแก่มนุษย์ทุกคนที่อยู่ใต้ฟ้า ซึ่งข้าพเจ้าเปาโล เป็นผู้รับใช้ในการประกาศบารมีของพระเจ้านั้น
24บัดนี้ข้าพเจ้าดีอกดีใจในการที่ได้รับความทุกข์ยากเพื่อท่าน ส่วนการทนทุกข์ของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ที่ยังขาดอยู่นั้น ข้าพเจ้าก็รับทนจนสำเร็จในเนื้อหนังของข้าพเจ้า เพราะเห็นแก่ร่างกายของพระองค์ คือชุมชนของพระเจ้า 25ข้าพเจ้าได้มาเป็นผู้รับใช้ของชุมชนของพระเจ้า ตามที่พระเจ้าได้มอบภาระให้ข้าพเจ้าเพื่อท่าน เพื่อจะได้กล่าวพระคำของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ 26คือข้อความล้ำลึกซึ่งซ่อนเร้นอยู่หลายยุค และหลายชั่วอายุนั้น บัดนี้ได้ให้เป็นที่ประจักษ์แก่วิมุตติชนของพระองค์แล้ว
27พระเจ้าชอบใจที่จะสำแดงให้วิมุตติชนเหล่านั้นรู้ว่า ในหมู่คนต่างชาตินั้น อะไรเป็นความมั่งคั่งแห่งข้อล้ำลึกนี้ คือที่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ สถิตในท่านอันเป็นที่หวังแห่งศักดิ์ศรี 28พระองค์นั้นแหละเราประกาศอยู่ โดยเตือนสติทุกคนและสั่งสอนทุกคนให้มีสติปัญญาทุกอย่าง เพื่อจะได้มอบทุกคนให้เป็นผู้ใหญ่ในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 29เพราะเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงตรากตรำทำงานด้วยความอุตสาหะ เข้มแข็งด้วยพลังที่พระองค์ทำกิจอยู่ในข้าพเจ้า
1เพราะข้าพเจ้าอยากให้ท่านรู้ว่า ข้าพเจ้าสู้อุตส่าห์มากเพียงไร เพื่อท่าน เพื่อชาวเมืองเลาดีเซีย และเพื่อคนทั้งปวงที่ยังไม่เคยเห็นหน้าของข้าพเจ้า 2เพื่อเขาจะได้รับกำลังใจใจ และเข้าติดสนิทกันในพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ซึ่งจะทำให้เขาเปี่ยมด้วยความมั่นใจอย่างบริบูรณ์ในด้านความเข้าใจ และทำให้พวกเขารู้ความล้ำลึกของพระเจ้า คือพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 3ซึ่งคลังแห่งสติปัญญา และความรู้ทุกอย่างปิดซ่อนไว้ในพระองค์ 4ข้าพเจ้ากล่าวเช่นนี้ เพื่อมิให้ผู้ใดล่อลวงท่านด้วยคำชักชวนอันน่าฟัง 5เพราะถึงแม้ว่าตัวของข้าพเจ้าไม่อยู่กับพวกท่าน แต่จิตใจของข้าพเจ้ายังอยู่กับท่านทั้งหลาย และมีความชื่นชมยินดีที่ได้เห็นท่านอยู่กันอย่างเรียบร้อย และเห็นความเชื่อของท่านที่มีในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์นั้นมั่นคงยิ่งนัก
6เหตุฉะนั้นเมื่อท่านได้ต้อนรับพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้เป็นเจ้านายแล้วฉันใด จงปฏิบัติพระองค์ด้วยฉันนั้น 7จงหยั่งรากลงและก่อร่างสร้างขึ้นในพระองค์ และมั่นคงอยู่ในความเชื่อ ตามที่ท่านได้รับคำสั่งสอนมาแล้ว และจงบริบูรณ์ด้วยการขอบพระคุณ
8จงระวังให้ดี อย่าให้ใครทำให้พวกท่านตกเป็นทาสด้วยหลักปรัชญา และคำหลอกลวงที่เหลวไหลตามตำนานของมนุษย์ ตามพวกภูตผีที่ครอบงำของจักรวาล ไม่ใช่ตามพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 9เพราะว่าในพระองค์นั้น สภาพของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ 10และพวกท่านได้รับความครบบริบูรณ์ในพระองค์ ผู้เป็นศีรษะ เหนือภูตผีที่ครอบครองและภูตผีที่มีอำนาจทั้งหมด 11ในพระองค์นั้น ท่านได้รับพิธีเข้าสุหนัตที่มือมนุษย์มิได้กระทำ โดยที่ท่านได้สละกายเนื้อหนังเสียในการเข้าสุหนัตแห่งพระคริสต์ 12และได้ถูกฝังไว้กับพระองค์ในพิธีจุ่มน้ำแล้ว และในพิธีนั้นท่านได้เป็นขึ้นมาจากตายกับพระองค์ด้วย โดยเชื่อในการกระทำของพระเจ้าผู้ได้บันดาลให้พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย 13และท่านที่ตายแล้ว ด้วยการละเมิดทั้งหลายของท่าน และด้วยเหตุที่เนื้อหนังของท่านมิได้เข้าสุหนัต พระองค์ได้ให้ท่านมีชีวิตร่วมกับพระองค์ และได้ยกโทษการละเมิดทั้งหลายของท่าน 14พระองค์ฉีกเอกสารหนี้ที่มีคำสั่งต่าง ๆ ซึ่งต่อสู้และขัดขวางเรา และขจัดออกไปเสียโดยตรึงไว้ที่กางเขน 15พระองค์ปลดพวกภูตผีที่ครอบครอง และพวกภูตผีที่มีอำนาจ พระองค์ประจานพวกมันอย่างเปิดเผย และมีชัยชนะเหนือพวกมันโดยทางกางเขนนั้น
16เหตุฉะนั้นอย่าให้ผู้ใดพิพากษาปรักปรำท่านในเรื่องการกิน การดื่มของมึนเมา ในเรื่องเทศกาล วันต้นเดือน หรือวันศีล 17สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงเงาของเหตุการณ์ที่จะมีมาในภายหลัง แต่กายนั้นเป็นของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 18อย่าให้ผู้ใดตัดสิทธิ์ของท่าน ด้วยเขาทำทีถ่อมใจลง กราบไหว้ทูตสวรรค์ พวกเขาใฝ่ฝันอยู่ในนิมิต หยิ่งผยองอย่างไม่มีเหตุผล ตามความคิดฝ่ายเนื้อหนังของเขา 19และไม่ได้ยึดมั่นในพระองค์ ผู้เป็นศีรษะ ศีรษะนั้นเป็นเหตุให้กายทั้งหมดได้รับการบำรุงเลี้ยง และติดต่อกันด้วยข้อ และเอ็นต่าง ๆ จึงได้เจริญขึ้นตามที่พระเจ้าโปรดให้เจริญขึ้นนั้น 20ถ้าท่านทั้งหลายตายกับพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ พ้นจากพวกภูตผีที่ครอบงำของจักรวาลแล้ว ทำไมท่านจึงมีชีวิตเหมือนกับว่าพวกท่านยังอยู่ฝ่ายโลก? ทำไมท่านยอมอยู่ใต้กฎต่าง ๆ 21เช่น อย่าเอามือหยิบ อย่าชิม อย่าแตะต้อง เป็นต้น 22คือกล่าวถึงสิ่งที่ต้องพินาศเมื่อใช้มัน 23จริงอยู่สิ่งเหล่านี้ดูเหมือนมีปัญญา คือการนมัสการด้วยความสมัครใจ การทำทีถ่อมใจ และการทรมานกาย แต่ไม่มีประโยชน์อะไรในการต่อสู้กับความใคร่ของเนื้อหนัง อันเป็น กิเลส ตัณหา
1ถ้าท่านได้รับการบันดาลให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ด้วยกันกับพระผู้เป็นพระศรีอาริย์แล้ว ก็จงแสวงหาสิ่งซึ่งอยู่เบื้องบน ในที่ซึ่งพระพระผู้เป็นพระศรีอาริย์อาศัยอยู่ คือนั่งอยู่ข้างขวาของพระเจ้า 2จงเอาใจใส่สิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่ใช่สิ่งที่อยู่บนแผ่นดินโลก 3เพราะว่าท่านได้ตายแล้ว และชีวิตของท่านซ่อนไว้กับพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ในพระเจ้า 4เมื่อพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้เป็นชีวิตของเราปรากฏ ขณะนั้นท่านก็จะปรากฏพร้อมกับพระองค์ในศักดิ์ศรี เข้าสู่ความหลุดพ้นขั้นที่สาม ด้วย
5เหตุฉะนั้นจงดับ กิเลส ตัณหาในตัวท่านเสีย ซึ่งได้แก่การล่วงประเวณี การโสโครก ราคะ ความปรารถนาชั่ว และความโลภ ซึ่งเป็นการนับถือรูปเคารพ 6เพราะสิ่งเหล่านี้ พระพิโรธของพระเจ้าก็จะลงมาสู่มนุษย์ทั้งหลาย 7ครั้งหนึ่งเมื่อท่านยังดำรงชีวิตอยู่กับสิ่งเหล่านี้ ท่านก็เคยประพฤติสิ่งเหล่านี้ด้วย 8แต่บัดนี้ ท่านจงดับสิ่งเหล่านี้ทิ้งเสีย คือความโกรธ ความขัดเคือง การคิดปองร้าย การพูดเสียดสี คำพูดหยาบคาย 9อย่าพูดโกหกต่อกัน เพราะว่าท่านได้นำตัวเก่า พร้อมกับการประพฤติแบบเก่าไปตรึงที่กางเขนแล้ว 10และได้สวมตัวใหม่ ที่กำลังสร้างขึ้นใหม่ ตามภาพลักษณ์ ของพระองค์ผู้ทรงสร้าง ขณะที่ท่านเรียนรู้จักพระเจ้า 11เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่เป็นพวกกรีกหรือพวกยิว ไม่เป็นผู้ที่เข้าสุหนัตหรือไม่ได้เข้าสุหนัต พวกคนต่างชาติหรือชาวสิเธีย ทาสหรือไทก็ไม่เป็น แต่ว่าพระผู้เป็นพระศรีอาริย์เป็นทุกสิ่ง และดำรงอยู่ในทุกคน
12เหตุฉะนั้นในฐานะที่เป็นพวกซึ่งพระเจ้าเลือกไว้ ให้เป็นพวกที่บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง และเป็นพวกที่พระองค์ห่วงใย จงสวมใจเมตตา ใจปรานี ใจอ่อนโยน ใจถ่อมสุภาพ ใจอดทน 13จงผ่อนหนักผ่อนเบาซึ่งกันและกัน และถ้าแม้ว่าผู้ใดมีเรื่องราวต่อกัน ก็จงยกโทษให้กันและกัน องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ยกโทษให้ท่านแล้วฉันใด ท่านจงกระทำอย่างนั้นเหมือนกัน 14แล้วจงสวมพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ทับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด เพราะพรหมวิหารสี่ย่อมผูกพันทุกสิ่งไว้ให้ถึงซึ่งความสมบูรณ์ 15และจงให้สันติภาพและสันติสุขของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ครอบครองจิตใจของท่าน พระเจ้าเรียกท่านไว้ให้เป็นกายเดียวด้วย เพื่อสันติภาพและสันติสุขนั้น และท่านจงมีใจขอบพระคุณ 16จงให้ธรรมะของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์อยู่ในตัวใหม่ของท่านอย่างบริบูรณ์ จงสั่งสอน และเตือนสติกันด้วยปัญญาทั้งสิ้น จงร้องเพลงสดุดี เพลงนมัสการ และเพลงสรรเสริญด้วยใจขอบพระคุณพระเจ้า 17และเมื่อท่านจะทำสิ่งใดด้วยกาย หรือวาจาก็ตาม จงกระทำทุกสิ่งในนามของพระเยซูผู้เป็นเจ้านาย และขอบพระคุณพระเจ้าผู้เป็นพ่อ โดยพระเยซูนั้น
18ฝ่ายผู้เป็นภรรยาจงยอมฟังผู้เป็นสามีของตน ซึ่งเป็นการสมควรในองค์พระเจ้าผู้เป็นนาย 19ฝ่ายผู้เป็นสามีก็จงรักภรรยาของตน และอย่าทำอะไรรุนแรงต่อนาง 20ฝ่ายลูกทั้งหลายจงเชื่อฟังพ่อแม่ของตนทุกอย่าง เพราะการนี้เป็นที่พอใจขององค์พระผู้เป็นเจ้า 21ฝ่ายพ่อ ก็อย่ายั่วโทสะของลูก ๆ ของตน เกรงว่าเขาจะท้อใจ 22ฝ่ายพวกทาส จงเชื่อฟังผู้ที่เป็นนายของตนตามเนื้อหนังทุกอย่าง ไม่ใช่ตามอย่างคนที่ทำแต่ต่อหน้า อย่างคนประจบสอพลอ แบบหน้าไหว้หลังหลอก แต่ทำด้วยน้ำใสใจจริง ด้วยความเกรงกลัวองค์พระผู้เป็นเจ้า 23ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ก็จงทำด้วยความเต็มใจเหมือนกระทำเพื่อมอบให้แก่องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่เหมือนทำแก่มนุษย์ 24ท่านรู้ว่าท่านจะได้รับมรดกจากองค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นบำเหน็จ คือพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้เป็นเจ้านายที่ท่านรับใช้อยู่ 25ส่วนผู้ที่ทำความผิด ก็จะได้รับผลตามความผิดที่เขาได้ทำนั้น และไม่มีการเห็นแก่หน้าผู้ใดเลย
1ฝ่ายผู้เป็นเจ้านาย ก็จงจงปฏิบัติต่อทาสของตน ตามความยุติธรรม และเท่าเทียมกัน เพราะท่านรู้ว่าท่านก็มีเจ้านายองค์หนึ่งในสวรรค์ด้วย 2จงเอาใจใส่ในการอธิษฐาน สวดอ้อนวอน จงเฝ้าระวัง และมีใจขอบพระคุณ 3และขอให้อธิษฐานสวดอ้อนวอนเผื่อเราด้วย เพื่อพระเจ้าจะเปิดประตูให้เรื่องราวที่เราเผยแพร่นั้น เพื่อเราจะได้ประกาศข้อล้ำลึกแห่งพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ (ที่ข้าพเจ้าถูกจำจองอยู่ก็เพราะเหตุนี้) 4เพื่อข้าพเจ้าจะได้กล่าวชี้แจงข้อความอย่างชัดเจน ตามสมควรที่ข้าพเจ้าควรจะกล่าวนั้น 5จงปฏิบัติกับคนภายนอกด้วยใช้สติปัญญาอันชาญฉลาดจงใช้ทุกโอกาสให้เป็นประโยชน์ที่สุด 6จงให้คำพูดของท่านประกอบด้วยเมตตาคุณเสมอ ปรุงด้วยเกลือให้มีรส เพื่อท่านจะได้รู้ว่าควรจะตอบทุกคนอย่างไร
7ทีคิกัส ผู้เป็นน้องที่รัก และเป็นผู้ที่เอาใจใส่ในการรับใช้ และเป็นเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้าในองค์พระผู้เป็นเจ้า จะบอกให้ท่านรู้ถึงเหตุการณ์ทั้งปวงของข้าพเจ้า 8ข้าพเจ้ากำลังจะส่งเขาหาท่านก็เพราะเหตุนี้เอง คือเพื่อจะให้ท่านรู้ถึงความเป็นอยู่ของเรา และเพื่อให้เขาจะให้กำลังใจของท่าน 9เขาจะมาพร้อมกับโอเนสิมัส ผู้เป็นน้องที่รัก และสัตย์ซื่อ ซึ่งเป็นคนหนึ่งในพวกท่าน เขาทั้งสองจะเล่าให้ท่านรู้ถึงเหตุการณ์ทั้งปวงที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้าให้ท่านฟัง 10อาริสทารคัส เพื่อนที่ถูกจำจองร่วมกันกับข้าพเจ้า ได้ฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลาย และมาระโก ลูกพี่ลูกน้องของบารนาบัส และเยซูซึ่งมีชื่ออีกชื่อหนึ่งว่ายุสทัส ก็ฝากความคิดถึงมายังท่านด้วย (ข้าพเจ้าเคยกำชับท่านไว้ว่าให้ต้อนรับมาระโกถ้าเขามาหาท่าน)
11ในบรรดาเพื่อนร่วมงานของข้าพเจ้า เพื่ออาณาจักรของพระเจ้า คนเหล่านี้เท่านั้นที่เป็นคนเข้าสุหนัต และพวกเขาเป็นผู้ปลอบใจข้าพเจ้า 12เอปาฟรัส ผู้เป็นคนหนึ่งในพวกท่าน และเป็นผู้รับใช้ของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ฝากความคิดถึงมายังท่านด้วย เขาพากเพียรในการอธิษฐานสวดอ้อนวอนเผื่อท่านอยู่เสมอ เพื่อจะให้ท่านเจริญเป็นผู้ใหญ่และบริบูรณ์ ในการซึ่งเป็นที่พอใจของพระเจ้าอย่างเต็มที่ 13ข้าพเจ้ารับรองได้ว่าเขา เขาตรากตรำทำงานหนักเพื่อท่าน และเพื่อคนที่อยู่ในเมืองเลาดีเซีย และเพื่อคนที่อยู่ในเมืองฮีเอราบุรี 14นายแพทย์ลูกา เพื่อนที่รัก กับเดมาส ฝากความคิดถึงมายังพวกท่าน
15ข้าพเจ้าขอฝากความคิดถึงมายังพี่น้องทั้งหลายที่เมืองเลาดีเซีย รวมถึงนางนุมฟากับคนอื่น ๆ ที่รวมตัวเป็นชุมชนของพระเจ้าในบ้านของนาง 16และเมื่อพวกท่านได้อ่านจดหมายฉบับนี้แล้ว จงส่งไปให้คนอื่น ๆ ที่รวมตัวเป็นชุมชนของพระเจ้า ที่อยู่เมืองเลาดีเซียอ่านด้วย และขณะเดียวกันจดหมายที่มาจากเมืองเลาดีเซียฉบับนั้น ท่านก็จงอ่านด้วย 17และฝากบอกอารคิปปัสว่า “การรับใช้ซึ่งเขาได้รับมอบหมายให้ทำในองค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จงทำให้สำเร็จ” 18คำแสดงความคิดถึงนี้ข้าพเจ้าเปาโล เขียนด้วยลายมือของข้าพเจ้าเอง ขอให้ท่านจงระลึกถึงโซ่ตรวนของข้าพเจ้า ขอให้พระคุณดำรงอยู่กับท่านด้วยเถิด
1จดหมายนี้ เขียนโดยเปาโล สิลวานัส และทิโมธี เขียนเถิง ชุมชนของพระเจ้าชาวเมืองเธสะโลนิกา ในพระเจ้าผู้เป็นพ่อ และพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนาย ขอให้พระคุณ สันติภาพและสันติสุขจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และจากพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนาย ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
2เราขอบคุณพระเจ้าเพราะท่านทั้งหลายเสมอ และเมื่ออธิษฐานสวดอ้อนวอน เราก็เอ่ยถึงท่านเสมอ 3ต่อหน้าพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา เราระลึกถึงความเชื่อของท่านที่แสดงออกเป็นการกระทำ และ พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาที่ท่านเต็มใจทำงานหนัก และความพากเพียรซึ่งเกิดจากความหวังในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา 4พี่น้องทั้งหลาย ผู้เป็นที่รัก เรารู้แน่ว่าพระเจ้าได้เลือกสรรท่านทั้งหลายไว้แล้ว 5เพราะบารมีของพระเจ้าของเราไม่ได้มาถึงท่านด้วยคำพูดเท่านั้น แต่มาโดยฤทธิ์เดช และโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ และโดยความไว้ใจอันเต็มเปี่ยม ตามที่ท่านทั้งหลายรู้อยู่แล้วว่า เราเป็นคนอย่างไรในหมู่พวกท่านเพราะเห็นแก่ท่าน 6และท่านก็ทำตามอย่างของเรา และของพระเจ้าผู้เป็นนาย โดยที่ท่านได้รับถ้อยคำนั้นด้วยความยากลำบากเป็นอันมาก แต่ท่านยังมีความยินดีในพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ
7เพราะเหตุนั้นท่านจึงเป็นแบบอย่างแก่ทุกคนที่เชื่อแล้วในมณฑลมาซิโดเนีย และมณฑลอาคายา 8เพราะว่าพระคำของพระเจ้าผู้เป็นนายได้เล่าลือออกไปจากพวกท่าน ไม่ใช่แต่ในมณฑลมาซิโดเนียและมณฑลอาคายาเท่านั้น แต่ความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าของท่านในพระเจ้าได้กระจายไปทุกแห่งหน จนเราไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก 9เพราะคนเหล่านั้นก็ได้รายงานเกี่ยวกับเราว่า เราได้รับการต้อนรับจากพวกท่านอย่างไร และกล่าวถึงการที่ท่านได้ทิ้งรูปเคารพ และหันมาหาพระเจ้า เพื่อรับใช้พระเจ้าผู้เที่ยงแท้ และมีชีวิตอยู่ 10และรอคอยพระโอรสของพระองค์จากสวรรค์ ซึ่งพระเจ้าได้ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย คือพระเยซูผู้ทำให้เราพ้นจากการลงโทษที่จะมีมาภายหน้านั้น
1พี่น้องทั้งหลาย ท่านเองก็รู้ว่า การที่เรามาหาท่านนั้นไม่ได้เปล่าประโยชน์อะไรเลย 2แต่ถึงแม้ว่าเราต้องทนการยากลำบาก และได้รับการอัปยศต่างๆมาแล้วที่เมืองฟีลิปปี ซึ่งท่านก็รู้อยู่ เราก็ยังมีใจกล้าหาญในพระเจ้าของเรา ที่ได้เผยแพร่บารมีของพระเจ้าแก่ท่านทั้งหลาย โดยเผชิญกับอุปสรรคหลายอย่าง 3เพราะว่า คำเตือนสติของเราไม่ได้เกิดมาจากความคิดผิด หรือการโสโครก หรืออุบายใดๆ 4แต่ว่าพระเจ้าเห็นชอบที่จะมอบบารมีของพระองค์ไว้กับเรา เราจึงประกาศเผยแพร่ออกไป ไม่ใช่เพื่อให้เป็นที่พอใจของมนุษย์ แต่ให้เป็นที่พอใจของพระเจ้า ผู้พิสูจน์จิตใจของเรา 5เพราะว่าเราไม่ได้ใช้คำยกยอใดๆเลย ซึ่งท่านก็รู้อยู่ หรือไม่ได้ใช้ถ้อยคำคลุมๆเคลือๆเพื่อความโลภเลย พระเจ้าเป็นพยานฝ่ายเรา 6และแม้ในฐานะเป็นอัครทูตของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ เราจะเรียกร้องให้เป็นภาระก็ได้ แต่เราก็ไม่แสวงหาเกียรติจากมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นจากท่านหรือจากคนอื่น 7แต่ว่าเราอยู่ในหมู่พวกท่านด้วยความสุภาพอ่อนโยน เหมือนกับพี่เลี้ยงที่เลี้ยงดูลูกของตัวเอง 8เมื่อเราผูกพันกับท่านเช่นนี้แล้ว เราก็มีใจพร้อมที่จะเผื่อแผ่เจือจาน ไม่ใช่แต่เพียงเกี่ยวกับบารมีของพระเจ้าเท่านั้น แต่ได้มอบชีวิตจิตใจของเราให้กับท่านด้วย เพราะท่านเป็นที่รักของเรา
9พี่น้องทั้งหลาย ท่านคงจำได้ถึงการทำงานอันเหน็ดเหนื่อย และความยากลำบากของเรา เมื่อเราประกาศเผยแพร่บารมีของพระเจ้าให้แก่ท่าน เราทำงานทั้งกลางคืนและกลางวัน เพื่อเราจะไม่เป็นภาระแก่ผู้ใดในพวกท่าน 10ท่านทั้งหลายเป็นพยานฝ่ายเรา และพระเจ้าก็เป็นพยานด้วยว่าพฤติกรรมของเรานั้นบริสุทธิ์ เที่ยงธรรม และหาข้อติไม่ได้ในหมู่พวกท่านที่เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า 11ตามที่ท่านรู้แล้วว่า เราได้เตือนสติ ให้กำลังใจและบอกท่านทุกคน เหมือนว่าบิดาทำกับบุตรธิดา 12เพื่อให้ท่านประพฤติอย่างสมควรต่อพระเจ้า ผู้เรียกให้เข้ามาในอาณาจักรและสง่าราศีของพระองค์ 13เพราะเหตุนี้เราจึงขอบคุณพระเจ้าเสมอ เพราะว่าเมื่อพวกท่านทั้งหลายได้รับพระคำของพระเจ้าซึ่งท่านได้ยินจากเรา ท่านไม่ได้รับไว้อย่างเป็นถ้อยคำของมนุษย์ แต่ได้รับไว้ตามความเป็นจริง คือเป็นพระคำของพระเจ้า ซึ่งกำลังทำงานอยู่ภายในพวกท่านทั้งหลายที่เชื่อด้วย
14พี่น้องทั้งหลาย ท่านได้ปฏิบัติตามอย่างชุมชนของพระเจ้าในมณฑลยูเดียที่อยู่ฝ่ายพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เพราะว่าท่านได้รับความลำบากจากพลเมืองของตัวเอง เหมือนกับคนเหล่านั้นได้รับจากพวกยิว 15พวกยิวได้ฆ่าพระเยซู ผู้เป็นพระเจ้าผู้เป็นนาย และพวกศาสดาพยากรณ์ของเขาเอง และได้ข่มเหงพวกเรา และขัดใจพระเจ้า และเป็นศัตรูกับคนทั้งหลาย 16โดยที่ขัดขวางไม่ให้เราประกาศเผยแพร่แก่คนต่างชาติเพื่อจะให้พวกนั้นหลุดพ้นได้ เพื่อ “ให้การบาปของเขาเต็มเปี่ยมเสมอ” แต่ในที่สุดพระพิโรธของพระเจ้าได้ตกลงบนเขา
17พี่น้องทั้งหลาย แม้ว่าเราต้องลาจากพวกท่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง ก็เป็นจากกันเพียงแต่ร่างกายเท่านั้น ส่วนจิตใจยังผูกพันอยู่กับท่านเสมอ เราได้พยายามทุกวิถีทางจะกับมาหาพวกท่านอีก 18เรามีความต้องการ อยากมาหาท่านทั้งหลาย ข้าพเจ้าผู้มีชื่อว่า เปาโลอยากมาหลายครั้งแล้ว แต่มารได้ขัดขวางเราไว้ 19เพราะอะไรเล่าเป็นความหวัง หรือความยินดี หรือมงกุฎแห่งความชื่นชมยินดีของเรา ต่อหน้าพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา เมื่อเพระองค์จะกลับมา ก็ไม่ใช่ท่านทั้งหลายดอกหรือ? 20เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นศักดิ์ศรี และความชื่นชมยินดีของเรา
1เหตุฉะนั้นเมื่อเราทนอยู่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว เราจึงเห็นชอบที่จะให้เขาปล่อยเราไว้ที่กรุงเอเธนส์ตามลำพัง 2และได้ให้ทิโมธีน้องชายของเรา ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าในเรื่องบารมีของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ไปหาพวกท่าน เพื่อจะได้ตั้งพวกท่านไว้ให้มั่นคงในเรื่องความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าของท่าน และเพื่อจะได้ปลอบประโลมใจพวกท่าน 3เพื่อจะได้ไม่มีใครหวั่นไหวด้วยการยากลำบากเหล่านี้ ท่านเองก็รู้แล้วว่า เราถูกกำหนดไว้แล้วสำหรับการนั้น 4เพราะว่าเมื่อเราได้อยู่กับพวกท่านทั้งหลาย เราได้บอกท่านไว้ก่อนแล้วว่า เราจะต้องทนการยากลำบาก แล้วก็เป็นเป็นเช่นจริงๆ ตามที่ท่านก็รู้อยู่แล้ว 5เพราะเหตุนี้ เมื่อข้าพเจ้าอดทนต่อไปอีกไม่ได้ ข้าพเจ้าจึงได้ใช้คนไปเพื่อจะได้รู้ถึงความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าของท่าน เกรงว่าผู้ทดลองนั้นได้ลองใจท่านด้วยประการหนึ่งประการใด แล้วงานที่เราตรากตรำมาก็จะเป็นงานที่ไม่มีประโยชน์อะไร
6แต่บัดนี้ทิโมธีได้จากพวกท่านมาถึงพวกเราแล้ว และได้นำข่าวดีมาบอกเราเรื่องความเชื่อ และพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาของท่านทั้งหลาย และว่าท่านได้ระลึกถึงเราอยู่เสมอด้วยความหวังดี และใฝ่ฝันจะเห็นเรา เหมือนกับเราใฝ่ฝันจะเห็นท่านเหมือนกัน 7พี่น้องทั้งหลาย โดยเหตุนี้ ความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าของท่าน ได้ทำให้เราบรรเทาจากความทุกข์ยาก และความลำบากของเรา 8เพราะว่าเมื่อท่านมั่นคงอยู่ในพระเจ้าผู้เป็นนาย ชีวิตของเราก็สดชื่น 9เราจะขอบคุณพระเจ้าเพราะท่านอย่างไรอีกจึงจะเหมาะสม สำหรับความชื่นชมยินดี ซึ่งเรามีอยู่เพราะท่าน ต่อหน้าพระเจ้าของเรา 10เราอธิษฐานสวดอ้อนวอนทั้งกลางคืนกลางวัน เพื่อจะได้เห็นหน้าท่านอีก และจะได้เพิ่มเติมความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าของท่านส่วนที่ยังบกพร่องอยู่ให้บริบูรณ์
11บัดนี้พระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา ได้นำทางเราไปถึงท่าน 12และขอพระเจ้าผู้เป็นนายได้ให้พวกท่านทั้งหลายเจริญ และบริบูรณ์ไปด้วยพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อกันและกัน และแก่คนทั้งหลาย เหมือนกับเรามีต่อท่านทั้งหลายนั้น 13เพื่อพระองค์ได้เสริมสร้างจิตใจของท่านให้ตั้งมั่นคงอยู่ในความบริสุทธิ์ ปราศจากข้อตำหนิติเตียนต่อหน้าพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ในเมื่อพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเราจะเสด็จมากับวิมุตติชนทั้งหลายของพระองค์
1พี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้ เราขอวิงวอน และเตือนสติท่านในพระเยซูพระเจ้าผู้เป็นนายว่า ท่านได้เรียนจากเราแล้วว่าควรจะประพฤติอย่างไร จึงจะเป็นที่พอใจของพระเจ้า ท่านกำลังประพฤติเช่นนั้นอยู่แล้ว ขอให้ท่านประพฤติยิ่งๆขึ้นไป 2เพราะพวกท่านทั้งหลายรู้คำแนะนำซึ่งเราได้ให้ไว้กับท่าน โดยพระเยซูพระเจ้าผู้เป็นนายแล้ว 3เพราะนี่หละเป็นความประสงค์ของพระเจ้า คือให้ท่านเป็นคนบริสุทธิ์ ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง เว้นเสียจากการล่วงประเวณี 4ให้ทุกคนในพวกท่านรู้จักที่จะมีภรรยาในทางที่บริสุทธิ์ และมีเกียรติ 5ไม่ใช่ด้วยกามราคะ ตัณหาเหมือนกันกับคนต่างชาติที่ไม่รู้จักพระเจ้า 6และอย่าให้ผู้ใดล่วงเกิน และทำผิดต่อพี่น้องในเรื่องนี้เลย เพราะว่าพระเจ้าผู้เป็นนาย เป็นผู้ลงโทษต่อคนทั้งหลายที่ทำเช่นนั้น เหมือนกับที่เราได้บอกไว้ก่อนแล้ว 7เพราะพระเจ้าไม่ได้เรียกเราให้เป็นคนลามก แต่เรียกเราให้เป็นคนบริสุทธิ์ ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง 8เหตุฉะนั้นคนที่ปัดกฎนี้ทิ้ง ไม่ได้ปัดมนุษย์ทิ้ง แต่ได้ปัดพระเจ้าทิ้ง และพระองค์เป็นผู้ประทานพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ให้แก่ท่าน
9ส่วนเรื่องการใช้พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อพี่น้องทั้งหลายนั้น ไม่จำเป็นที่จะให้ข้าพเจ้าเขียนถึงท่าน เพราะพระเจ้าสอนให้ท่านมีต่อกันเองอยู่แล้ว 10ความจริงท่านได้ประพฤติต่อบรรดาพี่น้องทั่วมณฑลมาซิโดเนียเช่นนั้นอยู่แล้ว แต่พี่น้องทั้งหลาย เราขอวิงวอนท่านให้มีพรหมวิหารสี่มากขึ้นอีก 11และจงตั้งเป้าว่าจะอยู่อย่างสงบ และทำกิจธุระส่วนของตัว และทำการงานด้วยมือของตัวเอง เหมือนอย่างที่เราได้บอกท่านแล้ว 12เพื่อท่านจะได้เป็นที่นับถือของคนภายนอก และท่านจะไม่ต้องพึ่งอาศัยใครเลย
13พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่อยากให้ท่านไม่รู้ถึงเรื่องคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้ว เพื่อท่านจะไม่เป็นทุกข์โศกเศร้า เหมือนกันกับคนอื่นๆที่ไม่มีความหวัง 14เพราะถ้าเราเชื่อว่าพระเยซูตายแล้ว และเป็นขึ้นมาจากความตาย โดยพระเยซูนั้นพระเจ้าจะนำคนทั้งหลายที่ล่วงหลับไปแล้วนั้นมากับพระองค์ 15ในข้อนี้เราขอบอกให้ท่านรู้ตามพระคำของพระเจ้าผู้เป็นนายว่า เราผู้ยังเป็นอยู่ และรอคอยพระเจ้าผู้เป็นนายเสด็จมา จะไม่มีใครล่วงหน้าไปก่อนคนเหล่านั้นที่ล่วงหลับไปแล้ว 16เพราะว่าพระเจ้าผู้เป็นนายจะเสด็จมาจากสวรรค์ ด้วยเสียงดังกู่ก้อง ด้วยสำเนียงของหัวหน้าทูตสวรรค์ และด้วยเสียงแตรของพระเจ้า และคนทั้งหลายที่ตายแล้วในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์จะเป็นขึ้นมาก่อน
17หลังจากนั้นเราทั้งหลายซึ่งยังเป็นอยู่และเหลืออยู่ จะถูกรับขึ้นไปในเมฆพร้อมกับคนเหล่านั้น เพื่อจะได้พบกับพระเจ้าผู้เป็นนายในฟ้าอากาศ อย่างนั้นแหละเราก็จะได้อยู่กับพระเจ้าผู้เป็นนายตลอดไปเป็นนิตย์ 18เหตุฉะนั้นจงปลอบใจกันและกันด้วยถ้อยคำเหล่านี้เถิด
1พี่น้องทั้งหลาย เรื่องวันและเวลาที่พระได้กำหนดไว้นั้น ไม่จำเป็นจะต้องเขียนบอกให้ท่านรู้ 2เพราะท่านเองก็รู้ดีแล้วว่า วันของพระเจ้าผู้เป็นนายจะมาเหมือนกับขโมยที่มาในเวลากลางคืน 3เมื่อเขาพูดว่า “สงบสุขและปลอดภัยแล้ว” วันนั้นแหละความพินาศก็จะมาถึงเขาทันที เหมือนกันกับความเจ็บปวดมาถึงผู้หญิงที่มีครรภ์ เขาจะหนีก็ไม่พ้น 4แต่พี่น้องทั้งหลาย ท่านไม่ได้อยู่ในความมืดแล้ว วันนั้นจะมาถึงท่านอย่างขโมยมา 5พวกท่านทั้งหลายเป็นลูกของความสว่าง และเป็นลูกของกลางวัน เราทั้งหลายไม่ได้เป็นของกลางคืน หรือของความมืด
6เหตุฉะนั้นอย่าให้เราหลับ เหมือนกับคนอื่น แต่ให้เราเฝ้าระวัง และไม่ดื่มเหล้าเมาสุรา 7เพราะว่าคนนอนหลับก็หลับในเวลากลางคืน และคนเมาก็ย่อมเมาในเวลากลางคืน 8แต่เมื่อเราเป็นของกลางวันแล้ว ก็อย่าให้เราเมามาย จงสวมความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า กับพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาเป็นเกราะป้องกันอก และสวมความหวังที่จะได้ความหลุดพ้นในความหลุดพ้นขั้นที่สามเป็นหมวกเหล็ก 9เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้กำหนดเราไว้สำหรับการลงโทษ แต่สำหรับให้ได้รับความหลุดพ้น ในความหลุดพ้นขั้นที่สาม โดยพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา 10ผู้ได้ตายเพื่อเรา เพื่อว่าถึงเราจะตื่นอยู่หรือจะหลับ เราจะได้มีชีวิตกับพระองค์ 11เหตุฉะนั้นจงให้กำลังใจกัน และต่างคนต่างจงเสริมสร้างกันขึ้น ตามอย่างที่ท่านกำลังทำอยู่นั้น
12พี่น้องทั้งหลาย เราขอวิงวอนท่านให้รู้จักคนที่ทำงานอยู่ในพวกท่าน และรับใช้ท่านในพระเจ้าผู้เป็นนาย และตักเตือนท่าน 13จงเคารพ และรักนับถือเขาให้มากเพราะการงานที่เขาได้ทำอยู่ และจงอยู่อย่างสงบสุขด้วยกัน 14และพี่น้องทั้งหลาย เราขอเตือนสติพวกท่านให้ตักเตือนคนที่เกียจคร้าน ให้กำลังใจผู้ที่ท้อใจ ช่อยเหลือคนที่อ่อนกำลัง และมีใจอดเอาเบาสู้ต่อคนทั้งหลาย 15ระวังให้ดีอย่าให้คนใดทำชั่วตอบแทนการชั่ว แต่จงหาทางทำดีเสมอต่อพวกท่านเอง และต่อคนทั้งหลายด้วย 16จงเบิกบานอยู่เสมอ 17จงอธิษฐานสวดอ้อนวอนอย่างสม่ำเสมอ 18จงขอบคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นความประสงค์ของพระเจ้า ในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์เพื่อท่านทั้งหลาย 19อย่าดับพระวิญญาณ 20อย่าหมิ่นประมาทคำพยากรณ์ 21จงพิสูจน์ทุกอย่าง สิ่งที่ดีนั้นจงยึดถือไว้ให้มั่น 22จงเว้นจากสิ่งที่ชั่วร้ายทุกอย่าง
23และขอให้พระเจ้าแห่งสันติภาพและสันติสุขให้ท่านเป็นคนบริสุทธิ์หมดจดความหลุดพ้นขั้นที่สอง และขอให้ทั้งจิตวิญญาณ จิตใจ และร่างกายของท่านปราศจากการติเตียน จนถึงวันที่พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเราเสด็จมา 24พระองค์ผู้เรียกท่านนั้นสัตย์ซื่อ และพระองค์จะให้สำเร็จ
25พี่น้องทั้งหลาย จงอธิษฐานสวดอ้อนวอนเพื่อเราด้วย 26จงทักทายกันกับพวกพี่น้องด้วยธรรมเนียมไปลามาไหว้ 27ข้าพเจ้าสั่งท่านทั้งหลายโดยพระเจ้าผู้เป็นนาย ให้ท่านอ่านจดหมายฉบับนี้ให้พี่น้องทั้งหลายฟัง 28ขอให้พระคุณของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
1จดหมายนี้เขียนโดย เปาโล สิลวานัส และทิโมธี เขียนถึง ชุมชนของพระเจ้าแห่งเมืองเธสะโลนิกา ในพระเจ้าผู้เป็นพ่อของราและพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนาย 2ขอให้พระคุณ สันติภาพ และสันติสุขจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนาย ดำรงอยู่กับเจ้าทั้งหลายเด้อ
3พี่น้องทั้งหลาย เราต้องขอบคุณพระเจ้าเพราะท่านทั้งหลายอยู่เสมอ ซึ่งเป็นการสมควร เพราะความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าของท่านก็เจริญหลายขึ้น และพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาของท่านทุกคนที่มีต่อกันทวีขึ้นอย่างมากมาย 4ฉะนั้นเราเองจึงอวดท่านทั้งหลาย ต่อชุมชนของพระเจ้าในเรื่องความเพียรและความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าของท่าน ในยามที่ท่านถูกข่มเหงหลายสิ่งหลายอย่าง และที่ท่านได้อดทนต่อความยากลำบากนั้น
5เรื่องนี้แสดงให้เห็นชัดถึงการพิพากษาอันยุติธรรมของพระเจ้า ซึ่งจะพิสูจน์ว่าท่านเป็นผู้สมควรกับอาณาจักรของพระเจ้า เพราะเห็นแก่อาณาจักรนั้นท่านทั้งหลายจึงกำลังทนทุกข์อยู่ 6เพราะว่าพระเจ้าเห็นว่า เป็นการยุติธรรมแล้วที่พระองค์จะเอาความยากลำบากให้กับท่านทั้งหลาย 7และที่พระองค์จะให้ท่านทั้งหลายที่รับความยากลำบากนั้น ได้รับการบรรเทาด้วยกันกับเรา เมื่อพระเยซูเจ้าจะเสด็จมาจากสวรรค์ปรากฏตัวในเปลวไฟ พร้อมกับหมู่ทูตสวรรค์ผู้มีฤทธิ์ของพระองค์ 8และพระองค์จะลงโทษต่อคนเหล่านั้นที่ไม่รู้จักพระเจ้า และแก่คนที่ไม่เชื่อฟังบารมีของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา 9คนเหล่านั้นจะได้รับโทษอันเป็นความพินาศนิรันดร์ และพ้นไปจากหน้าของพระเจ้าผู้เป็นนาย และพ้นจากสง่าราศีแห่งฤทธานุภาพของพระองค์ 10ในวันนั้น เมื่อพระองค์จะเสด็จมาเพื่อรับเกียรติยศ เพราะพวกวิมุตติชนของพระองค์ และเพื่อให้เป็นที่อัศจรรย์ใจแก่คนทั้งหลาย ที่เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า เพราะท่านก็ได้เชื่อคำพยานของเราแล้ว
11เหตุฉะนั้นเราจึงอธิษฐานสวดอ้อนวอนเพื่อท่านทั้งหลายเสมอ ขอให้พระเจ้าของเราถือว่าท่านเป็นผู้ที่สมควรแก่การที่พระองค์ได้เรียกมานั้น และได้บันดาลด้วยฤทธิ์เดชของพระองค์ให้ความตั้งใจดีทุกอย่าง และกิจการแห่งความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าทุกอย่างสำเร็จ 12เพื่อพระนามของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเราจะได้เกียรติยศเพราะท่านทั้งหลาย และท่านจะได้รับเกียรติเพราะพระองค์ตามพระคุณแห่งพระเจ้าของเรา และพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนาย
1บัดนี้พี่น้องทั้งหลาย เรื่องการที่พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเราจะเสด็จกลับมา และที่พระองค์รวบรวมเราทั้งหลายไปเป็นของพระองค์นั้น เราขอวิงวอนท่านว่า 2อย่าให้ใจของท่านหวั่นไหวง่าย หรือตื่นตระหนกตกใจ ไม่ว่าจะเป็นโดยทางจิตใจ หรือทางคำพูด หรือทางจดหมายเป็นเชิงว่ามาจากเรา อ้างว่าวันของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์มาถึงแล้ว 3อย่าให้ผู้หนึ่งผู้ใดล่อล่วงท่านโดยทางหนึ่งทางใดเลย เพราะว่าวันนั้นจะไม่มาถึง เว้นแต่จะมีการทรยศเสียก่อน และคนนอกกฎหมายนั้นจะปรากฏตัว เขาคือลูกแห่งความพินาศ 4ผู้กีดกันขัดขวางและยกตัวขึ้นต่อสู้อะไร ๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็นเทพเจ้า หรืออะไร ๆ ที่เขากราบไหว้นั้น แล้วมันก็นั่งในพระวิหารของพระเจ้าเหมือนว่าเป็นพระเจ้าเสียเอง ประกาศตัวว่าเป็นพระเจ้า
5พวกท่านทั้งหลายจำไม่ได้หรือว่า เมื่อข้าพเจ้ายังอยู่กับท่าน ข้าพเจ้าได้บอกเรื่องนี้ให้ท่านรู้แล้ว 6และท่านก็รู้จักผู้นั้นที่กำลังหน่วงเหนี่ยวมันไว้ในขณะนี้ เพื่อมันจะปรากฏออกมาได้ต่อเมื่อถึงเวลาของมัน 7เพราะว่าอำนาจลึกลับนอกกฎหมายนั้นก็เริ่มทำงานอยู่แล้ว เพียงแต่ผู้ที่คอยหน่วงเหนี่ยวเดี๋ยวนี้นั้นจะยังหน่วงเหนี่ยวอยู่ จนกว่าผู้ที่คอยหน่วงเหนี่ยวนั้นจะถูกพาออกไป 8ขณะนั้นคนนอกกฎหมายนั้นจะปรากฏโตขึ้น และพระเจ้าผู้เป็นนายจะประหารมันด้วยลมปากของพระองค์ และจะเผาผลาญให้สูญไปด้วยการปรากฏแห่งการเสด็จกลับมาของพระองค์ 9คนนอกกฎหมายนั้นจะมาโดยการดลบันดาลของซาตาน พร้อมกับอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ และหมายสำคัญ และการอัศจรรย์แห่งความหลอกลวง 10และอุบายหลอกลวงทั้งหลายสำหรับคนเหล่านั้นที่พินาศอยู่ เพราะเขาทั้งหลายบ่ได้รับพรหมวิหารสี่แห่งความจริง อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาไว้เพื่อจะหลุดพ้นได้ 11เพราะเหตุนี้พระเจ้าจึงให้ความลุ่มหลงมาครอบงำเขา ให้เขาเชื่อสิ่งที่หลอกลวง 12เพื่อคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อความจริง แต่ยินดีในการการหลอกลวง จะได้ถูกลงโทษทุกคน
13พี่น้องทั้งหลาย ผู้เป็นที่รักของพระเจ้าผู้เป็นนาย เราจำต้องขอบคุณพระเจ้าเพราะท่านอยู่เสมอ เพราะว่าพระเจ้าได้เลือกท่านไว้ตั้งแต่เริ่มแรกให้หลุดพ้น โดยได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ ในความหลุดพ้นขั้นที่สองโดยพระวิญญาณ และโดยเชื่อฟังความจริง 14พระเจ้าได้เรียกท่านทั้งหลายให้มาถึงที่หลุดพ้น โดยทางบารมีของพระเจ้าของเรา เพื่อจะได้รับสง่าราศีของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา 15เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย จงมั่นคงไว้ และยึดถือคำสั่งสอนที่ท่านได้เรียนแล้ว ไม่ว่าจะด้วยคำพูด หรือด้วยจดหมายของเรา
16บัดนี้ ขอให้พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา และพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา ผู้ที่มีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อเรา และได้ให้เราได้รับกำลังใจอันยั่งยืน ความร่มเย็นเป็นสุข และความหวังอันดีโดยพระคุณ 17ส่งเสริมและเสริมสร้างจิตใจของท่านให้มั่นคง ในคำพูดและในการกระทำอันดีทุกอย่าง
1พี่น้องทั้งหลาย ในที่สุดนี้จงอธิษฐาน สวดอ้อนวอนเพื่อเรา เพื่อว่าบารมีของพระเจ้าผู้เป็นนายสิได้เผยแพร่ออกไป และจะได้รับเกียรติยศเหมือนกับที่ได้เป็นไปในหมู่พวกท่านแล้ว 2และเพื่อเราจะได้พ้นจากคนพาลชั่วร้าย เพราะว่า ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเชื่อ 3แต่ว่าพระเจ้าผู้เป็นนายเป็นผู้สัตย์ซื่อ จะเสริมกำลังท่านทั้งหลาย และป้องกันท่านไว้ให้พ้นจากการชั่วร้าย 4เรามีความมั่นใจในพระเจ้าผู้เป็นนายเกี่ยวกับท่านว่า ท่านกำลังประพฤติ และจะประพฤติต่อไปตามที่เราได้บอกท่าน 5ขอพระเจ้าผู้เป็นนายทรงนำใจของท่านทั้งหลายให้เข้าเถิงพรมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาของพระเจ้า และถึงความมั่นคงของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์
6บัดนี้ พี่น้องทั้งหลาย เราขอบอกท่านในนามของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเราว่า จงปลีกตัวของท่านออกไปจากพี่น้องทุกคนที่อยู่อย่างเกียจคร้าน และไม่ประพฤติตามคำสอนซึ่งเขาได้รับจากเรา 7เพราะว่าพวกท่านเองก็รู้อยู่ว่าท่านควรจะทำตามเราอย่างไร เพราะเราไม่ได้เกียจคร้านเลย เมื่อเราอยู่ในหมู่พวกท่าน 8และเราไม่ได้กินอาหารผู้ใดฟรี ๆ แต่เราได้ทำงานหนักด้วยความพากเพียรทั้งกลางคืนและกลางวัน เพื่อเราจะไม่เป็นภาระแก่คนหนึ่งคนใดในพวกท่าน 9ไม่ใช่ว่าเพราะเราไม่มีสิทธิ์ แต่ว่าเพื่อทำให้เป็นแบบอย่างของท่านทั้งหลายให้ทำตามเรา 10แม้เมื่อเราอยู่กับพวกท่าน เราก็ได้บอกท่านอย่างนี้ว่า ถ้าผู้ใดไม่ยอมทำงาน ก็อย่าให้เขากิน 11เพราะเราได้ยินว่า มีบางคนในพวกท่านอยู่อย่างเกียจคร้าน ไม่ทำการทำงานอะไรเลย แต่ชอบยุ่งกับธุระของคนอื่น 12เราจึงบอกและเตือนสติคนแบบนั้น โดยพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเราว่า ให้เขาทำงานด้วยใจสงบ และหากินด้วยตัวเอง 13พี่น้องทั้งหลาย ท่านอย่าอ่อนใจที่จะทำการดีเลย
14ถ้าผู้ใดไม่เชื่อฟังถ้อยคำพูดของเราในจดหมายฉบับนี้ จงจดจำคนนั้นไว้ อย่าสมาคมกับเขาเลย เพื่อเขาจะได้อาย 15อย่าถือว่าเขาเป็นศัตรู แต่จงเตือนสติเขาฉันพี่น้องคนหนึ่ง
16บัดนี้ ขอให้พระเจ้าผู้เป็นนายแห่งสันติภาพ และสันติสุข โปรดประทานสันติภาพและสันติสุขให้กับท่านทั้งหลายทุกเวลา และทุกทาง ขอให้พระเจ้าผู้เป็นนายดำรงอยู่กับท่านทุกคนเถิด
17คำส่งท้ายนี้เป็นลายมือของข้าพเจ้า ผู้มีชื่อว่า เปาโล เป็นเครื่องหมายในจดหมายทุกฉบับ ข้าพเจ้าเขียนอย่างนี้ 18ขอให้พระคุณของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา ดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด
1จดหมายนี้ เขียนโดยเปาโล อัครทูตของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ตามคำสั่งของพระเจ้า ผู้เป็นพระผู้ทำความหลุดพ้นให้เรา และพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้เป็นความหวังของเรา 2เขียนถึง ทิโมธี ผู้เป็นบุตรแท้ของข้าพเจ้าในความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า ขอพระคุณและพระกรุณา สันติภาพและสันติสุขจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และจากพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา จงดำรงอยู่กับท่านเถิด
3เมื่อข้าพเจ้าได้ไปยังมณฑลมาซิโดเนีย ข้าพเจ้าได้ขอร้องให้ท่านคอยอยู่ในเมืองเอเฟซัส เพื่อท่านจะได้บอกบางคนไม่ให้เขาสอนแตกต่างออกไป 4ทั้งไม่ให้เขาเอาใจใส่ในเรื่องนิยายปรัมปราต่างๆ และเรื่องลำดับวงศ์ตระกูลอันไม่รู้จบ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดปัญหามากกว่าให้เกิดความเข้าใจในแผนการของพระเจ้า อันดำเนินไปด้วยความเชื่อ 5แต่จุดประสงค์แห่งคำบอกนั้นก็คือ พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาซึ่งเกิดจากใจอันบริสุทธิ์ และจากจิตสำนึกอันดี และจากความเชื่ออันจริงใจ 6บางคนก็ได้ผิดไปจากจุดประสงค์เลี่ยงไปจากสิ่งเหล่านี้ หลงไปในทางพูดเหลวไหล 7และแม้ว่าเขาไม่เข้าใจคำที่เขากล่าว ทั้งสิ่งที่เขายืนยัน เขาก็ยังต้องการอยากเป็นครูสอนธรรมบัญญัติ
8บัดนี้ เราทั้งหลายรู้อยู่ว่าบัญญัติหรือศีลนั้นดี ถ้าผู้ใดใช้ให้ถูกต้อง 9คือโดยรู้ว่าบัญญัติหรือศีลนั้นไม่ได้มีไว้สำหรับคนบุญ แต่มีไว้สำหรับคนที่ชอบฝ่าฝืน คนดื้อด้าน คนผิด คนบาป คนไม่บริสุทธิ์และคนหมิ่นประมาท คนฆ่าพ่อฆ่าแม่ คนฆ่าคน 10คนล่วงประเวณี พวกกะเทย ผู้ร้ายค้าคน คนโกหก คนทวนสบถ และอะไรๆที่ขัดกับคำสอนอันมีหลัก 11ตามที่มีอยู่ในบารมีของพระเจ้าผู้เสวยสุข คือบารมีของพระเจ้าที่ได้มอบไว้กับข้าพเจ้านั้น
12ข้าพเจ้าขอบคุณพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา ผู้เสริมกำลังของข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ถือว่าข้าพเจ้าเป็นคนสัตย์ซื่อ จึงตั้งข้าพเจ้าให้ทำงานของพระองค์ 13ถึงแม้ว่าเมื่อก่อนนั้นข้าพเจ้าเป็นคนหมิ่นประมาท ข่มเหง และเป็นผู้ทำความหยาบช้า แต่ข้าพเจ้าได้รับพระกรุณา เพราะว่าที่ข้าพเจ้าได้ทำไปเช่นนั้นโดยความเชื่ออย่างโง่เขลา 14และพระคุณของพระเจ้าผู้เป็นนายของเรานั้นมีอย่างมากมาย พร้อมด้วยความเชื่อ และพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาซึ่งมีอยู่ในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 15คำนี้เป็นความจริง และสมควรที่คนทั้งหลายรับเอาไว้ คือว่าพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้เข้ามาในโลกเพื่อจะได้ช่วยคนบาป ที่อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชาให้หลุดพ้น และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นคนบาป ที่อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชามากกว่าคนอื่น 16แต่ว่าเพราะเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงได้รับพระกรุณา คือว่าเพื่อพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์จะได้สำแดงความอดกลั้นใจทุกอย่าง ให้เห็นในตัวของข้าเจ้าซึ่งเป็นคนบาป ที่อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชามากกว่าคนอื่นนั้น ให้เป็นแบบอย่างแก่คนทั้งหลายที่จะเชื่อพระองค์ในภายหลังแล้วได้รับชีวิตเข้าสู่นิพพาน 17ขอเกียรติยศและสง่าราศีจงมีแก่พระมหากษัตริย์ผู้ทรงพระเจริญอยู่ตลอดไป ผู้เป็นอมตะ เป็นผู้ที่ไม่ได้ปรากฏแก่ตา เป็นพระเจ้าองค์เดียว สืบๆไปเป็นนิตย์ สาธุ
18ทิโมธีผู้เป็นบุตรของข้าพเจ้าเอ๋ย คำบอกนี้ข้าพเจ้าได้ให้ไว้กับท่านตามคำพยากรณ์ซึ่งอ้างอิงถึงท่าน เพื่อข้อความเหล่านั้นจะเป็นแรงใจให้ท่านสู้รบได้ดี 19จงยึดความเชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้าไว้และมีจิตสำนึกอันดี ซึ่งข้อนี้บางคนได้ทิ้งไปแล้ว ความเชื่อของเขาจึงพังทลายลง 20คนเหล่านั้นก็มีฮีเมเนอัส และอเล็กซานเดอร์ ซึ่งข้าพเจ้าได้มอบเขาไว้กับมารแล้ว เพื่อเขาจะได้เรียนรู้ที่จะไม่หมิ่นประมาทพระเจ้า
1เหตุฉะนั้นก่อนสิ่งอื่นใด ข้าพเจ้าขอเตือนสติท่านทั้งหลายให้อธิษฐานสวดอ้อนวอน สวดภาวนา และขอบคุณเพื่อคนทั้งหลาย 2เพื่อกษัตริย์ทั้งหลาย และคนทั้งหลายที่มีตำแหน่งสูง เพื่อเราจะได้ดำเนินชีวิตอย่างเงียบๆและสงบสุข อย่างอ่อนน้อมในทางของพระเจ้า 3เพราะว่าการทำเช่นนี้เป็นการดี และเป็นการถูกต้องในสายตาของพระเจ้า พระผู้ทำความหลุดพ้นให้เรา 4ผู้มีความประสงค์ให้คนทั้งหลายหลุดพ้น และให้รู้ความจริงนั้น 5เพราะเหตุว่า มีพระเจ้าองค์เดียว และมีคนกลางเพียงผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ คือพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ผู้มีสภาพเป็นมนุษย์ 6ผู้สละตัวของพระองค์เองเป็นค่าไถ่สำหรับคนทั้งหลาย เหตุการณ์นี้เป็นพยานในเวลาที่เหมาะสม 7และสำหรับการนี้ ข้าพเจ้าจึงถูกตั้งไว้เป็นประกาศผู้เผยแพร่และเป็นอัครทูต (ข้าเจ้าพูดความจริงในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์และไม่ได้โกหกเลย) และเป็นครูสอนความเชื่อ และความจริงแก่คนต่างชาติ
8เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าอยากให้ผู้ชายทั้งหลายอธิษฐานสวดอ้อนวอนในที่ทุกแห่ง โดยใจบริสุทธิ์ปราศจากโทโสโมโห และการโต้เถียงกัน 9ฝ่ายพวกผู้หญิงก็เหมือนกันให้แต่งตัวสุภาพเรียบร้อย พร้อมด้วยความรู้จักอาย และความมีสติสัมปชัญญะ ไม่ใช่ถักผมหรือประดับกายด้วยเครื่องทอง และไข่มุกหรือเสื้อผ้าราคาแพง 10แต่ให้ประดับด้วยการกระทำดี ซึ่งสมกับหญิงที่ประกาศตัวว่าเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า 11ให้ผู้หญิงเรียนอย่างเงียบๆ และด้วยใจนอบน้อมทุกอย่าง 12ข้าพเจ้าไม่อนุญาตให้ผู้หญิงสั่งสอน หรือใช้อำนาจเหนือผู้ชาย แต่ให้เขานิ่งๆอยู่ 13เพราะว่าพระเจ้าได้ปั้นอาดัมขึ้นมาก่อน แล้วจึงได้ปั้นเอวาขึ้นมา 14และอาดัมไม่ได้ถูกล่อลวง แต่ผู้หญิงนั้นได้ถูกล่อลวงจึงได้ฝ่าฝืน 15แต่ถึงกระนั้นเธอก็จะหลุดพ้นได้ด้วยการคลอดบุตร ถ้าเขาทั้งหลายยังดำรงอยู่ในความเชื่อพึ่งอาศัย ในพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และในความบริสุทธิ์ โดยการมีสติสัมปชัญญะ
1คำนี้เป็นคำจริง คือว่าถ้าชายคนใดอยากมีหน้าที่เป็นผู้รับใช้ฝ่ายจิตวิญญาณในชุมชนของพระเจ้า คนนั้นก็ต้องการกิจการงานที่ดี 2ผู้รับใช้ฝ่ายจิตวิญญาณนั้นต้องเป็นคนที่ไม่มีใครตำหนิได้ เป็นสามีของหญิงคนเดียว เป็นคนรอบคอบ รู้จักประมาณตนในการกินดื่ม มีสติสัมปชัญญะ เป็นคนสง่าเรียบร้อย มีอัธยาศัยรับรองแขกดี เหมาะที่จะเป็นครู 3ไม่ดื่มเหล้าเมามาย ไม่เป็นนักเลง ไม่เป็นคนโลภมักได้ แต่เป็นคนสุภาพ ไม่เป็นคนมักทะเลาะวิวาท ไม่เป็นคนเห็นแก่เงิน 4ต้องเป็นคนจัดการบ้านเรือนของตนเองได้ดี อบรมลูกๆทั้งหลายให้อยู่ในคำสั่งสอน และมีใจนอบน้อม 5เพราะว่าถ้าชายคนใดไม่รู้จักจัดการบ้านเรือนของตน คนนั้นจะดูแลชุมชนของพระเจ้าได้อย่างไร? 6คนที่เป็นผู้รับใช้ฝ่ายจิตวิญญาณนี้ จะต้องไม่เป็นผู้ที่กลับใจใหม่ๆ เกรงว่าเขาอาจจะเย่อหยิ่ง และก็จะถูกปรับโทษเหมือนกันกับมารนั้น 7นอกจากนั้นเขาจะต้องเป็นที่นับถือของคนภายนอก ถ้าไม่เช่นนั้นจะเป็นที่ติเตียน และจะติดบ่วงของมาร
8ฝ่ายผู้รับใช้ฝ่ายกิจกรรมนั้นก็เหมือนกัน คือต้องเป็นคนเอาการเอางาน ไม่เป็นคนหน้าไหว้หลังหลอก ไม่ดื่มเหล้าเมามาย ไม่เป็นคนโลภมักได้ 9และเป็นคนยึดมั่นในข้อล้ำลึกแห่งความเชื่อพึ่งอาศัยด้วยจิตสำนึกผิดชอบอันบริสุทธิ์ 10จงลองดูคนเหล่านี้เสียก่อน และเมื่อเห็นว่าไม่มีข้อตำหนิแล้ว จึงตั้งเขาไว้ในตำแหน่งผู้รับใช้ฝ่ายกิจกรรม 11ฝ่ายพวกผู้หญิงที่เป็นภรรยาของเขาก็เหมือนกัน ต้องเป็นคนเอาการเอางาน ไม่ใส่ร้ายผู้อื่น เป็นคนรู้จักประมาณตนในการกินดื่ม และเป็นคนสัตย์ซื่อในสิ่งทั้งปวง 12ผู้รับใช้ฝ่ายกิจกรรมนั้นต้องเป็นสามีของหญิงคนเดียว และอบรมสั่งสอนบุตรธิดาของตน และจัดการบ้านเรือนของตนได้ดี 13เพราะว่าคนที่ทำหน้าที่ผู้รับใช้ฝ่ายกิจกรรมได้ดี ก็มีหน้ามีตา และมีใจกล้าหาญอย่างมากมายในความเชื่อที่มีในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์
14ข้าพเจ้าหวังว่าอีกไม่นานจะมาหาท่าน แต่ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่าน ก็เพื่อว่า 15หากข้าพเจ้ามาช้า ท่านก็จะได้รู้ว่าควรทำอย่างไรในครอบครัวของพระเจ้า คือชุมชนของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ เป็นหลักและรากแห่งความจริง 16เราต้องยอมรับว่า ข้อล้ำลึกแห่งบารมีของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ก็คือว่า “พระเจ้าปรากฏเป็นมนุษย์ พระวิญญาณได้พิสูจน์แล้ว เหล่าทูตสวรรค์ทั้งหลายก็เห็น และมีผู้เผยแพร่พระองค์แก่ชนต่างชาติ มีชาวโลกเชื่อถือพระองค์ และพระองค์ถูกรับขึ้นไปในสง่าราศีของพระเจ้า”
1บัดนี้ พระวิญญาณได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า ต่อไปภายหน้าจะมีบางคนทิ้งความเชื่อเพิ่งอาศัยในพระเจ้า โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวง และฟังคำสอนของพวกผีปิศาจ 2ซึ่งมาจากการหน้าซื่อใจคดของคนที่โกหก คือคนที่มีจิตสำนึกเป็นทาสของมาร 3คนเหล่านี้ เขาห้ามไม่ให้มีการแต่งงาน ห้ามกินอาหารบางชนิดซึ่งพระเจ้าสร้างไว้ให้ผู้ที่เชื่อและรู้จักความจริง กินด้วยขอบพระคุณ 4เพราะว่าสิ่งสารพัดที่พระเจ้าได้สร้างไว้นั้นเป็นของดี ถ้ากินด้วยขอบคุณ ก็ไม่ห้ามเลยแม้แต่สิ่งเดียว 5เพราะว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นของที่ชำระไว้แล้วโดยพระคำของพระเจ้าและคำอธิษฐานสวดอ้อนวอน
6ถ้าท่านจะให้พวกพี่น้องระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ ท่านก็จะเป็นผู้รับใช้ที่ดีของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เจริญด้วยคำสอนแห่งความเชื่อพึ่งอาศัย และด้วยหลักคำสอนอันดีที่ท่านได้ประพฤติตามนั้น 7อย่าเอาใจใส่กับเทพนิยายอันหาสาระไม่ได้ จงฝึกตัวเองในทางของพระเจ้า 8เพราะว่าถ้าการฝึกทางกายนั้นมีประโยชน์อยู่บ้าง ทางของพระเจ้าก็มีประโยชน์ในทุกทาง เพราะพระองค์ให้มีประโยชน์สำหรับชีวิตในปัจจุบัน และอนาคตด้วย 9ข้อความต่อไปนี้เป็นความจริง และสมควรที่จะรับไว้ 10เหตุที่เราตรากตรำทำงานและทนสู้ ก็เพราะว่าเรามีความหวังในพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ พระผู้ทำความหลุดพ้นให้คนทั้งหลาย โดยเฉพาะของผู้ที่เชื่อเพิ่งอาศัยในพระองค์
11จงสั่งและสอนสิ่งเหล่านี้ 12อย่าให้ผู้ใดดูหมิ่นความหนุ่มแน่นของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่คนทั้งหลายที่เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า ทั้งในทางคำพูด การประพฤติ พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา การมีน้ำใจ ความเชื่อ และความบริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง 13จงเอาใจใส่ในการอ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุม การเทศนาสั่งสอน จนกว่าเราจะมา 14อย่ามองข้ามของประทานที่มีอยู่ในตัวท่าน ซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ท่านตามคำพยากรณ์ เมื่อคณะผู้รับใช้ฝ่ายจิตวิญญาณได้รับรองท่าน 15จงทำหน้าที่เหล่านี้ โดยถือเป็นชีวิตจิตใจ เพื่อความจำเริญของท่านจะได้ปรากฏแก่คนทั้งหลาย 16จงเอาใจใส่ทั้งตัวท่าน และคำสอนของท่าน จงยึดข้อที่กล่าวนี้ให้มั่น เพราะเมื่อทำเช่นนั้น ท่านจะช่วยทั้งตัวท่านเอง และคนทั้งหลายที่ฟังท่านให้หลุดพ้นได้
1ในการตักเตือนนั้น อย่าตำหนิชายผู้อาวุโส แต่จงขอร้องท่านเหล่านั้นให้เหมือนกับเป็นบิดาของเรา จงถือว่าคนหนุ่มๆทั้งหลายเป็นเหมือนกันกับพี่หรือน้อง 2และผู้หญิงที่มีอายุเป็นเหมือนกับเป็นแม่ของเรา ส่วนผู้หญิงสาวๆก็ให้เป็นเหมือนกับพี่สาวน้องสาว ให้มีใจบริสุทธิ์ต่อเขาเหมือนกัน
3จงให้เกียรติแก่แม่ม่ายไร้ที่พึ่งพา 4ถ้าแม่ม่ายคนใดมีลูกหลานก็ให้ลูกหลานนั้น ฝึกหัดทำหน้าที่ในทางของพระเจ้าต่อคนในครอบครัวของตัวเองก่อน และให้ตอบแทนคุณบิดามารดา เพราะว่าการทำเช่นนี้เป็นการดี และเป็นที่พอใจของพระเจ้า 5ฝ่ายผู้หญิงที่เป็นแม่ม่ายที่ไร้ที่พึ่งพา และอยู่เพียงลำพังผู้เดียวนั้น ก็ได้วางใจในพระเจ้า และอธิษฐานสวดอ้อนวอน สวดภาวนาทั้งกลางคืนและกลางวัน 6ส่วนผู้หญิงที่ปล่อยตัวนั้น ก็ตายทั้งเป็น 7จงบอกข้อความเหล่านี้ เพื่อเขาจะไม่ถูกติเตียน 8ถ้าแม้นผู้ใดไม่เลี้ยงดูวงศาคณาญาติของตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนในบ้านเรือนของตัว ผู้นั้นก็ได้ปฏิเสธความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าเสียแล้ว และชั่วยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าเสียอีก
9อย่าให้แม่ม่ายคนใดที่อายุต่ำกว่าหกสิบปี หรือผู้ที่ได้แต่งงานมากกว่าหนึ่งครั้ง ไปลงชื่อในทะเบียนแม่ม่าย 10และจะต้องเป็นผู้ที่ได้ชื่อว่าได้ทำความดี เช่นได้เอาใจใส่เลี้ยงดูลูก มีน้ำใจรับรองแขก ได้ล้างเท้าให้วิมุตติชน สงเคราะห์คนที่มีความทุกข์ยาก และได้บำเพ็ญคุณงามความดีทุกอย่าง 11แต่แม่ม่ายสาวๆนั้นอย่ารับขึ้นทะเบียน เพราะว่าเมื่อเขาหลงระเริงห่างจากพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ไปแล้ว ก็จะอยากแต่งงานอีก 12เขาจะต้องถูกติเตียน เพราะเขาได้ละเมิดคำปฏิญาณเดิมของเขา 13นอกจากนั้นเขาก็จะกลายเป็นคนเกียจคร้าน เที่ยวไปบ้านนี้บ้านนั้น และไม่ใช่แต่เกียจคร้านเท่านั้น แต่ปากบอนด้วย และเที่ยวยุ่งกับเรื่องของคนอื่น พูดสิ่งที่ไม่ควรจะพูด
14เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าอยากให้พวกแม่ม่ายสาวๆนั้นมีสามี มีลูก และดูแลบ้านเรือน เพื่อไม่ให้ศัตรูมีช่องทางนินทาได้ 15เพราะว่ามีบางคนได้หลงตามมารไปแล้ว 16ถ้าผู้หญิงที่มีความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าคนใดมีญาติพี่น้องเป็นแม่ม่าย ก็ให้เขาช่วยเลี้ยงดู อย่าให้เป็นภาระแก่ชุมชนของพระเจ้าเลย เพื่อชุมชนของพระเจ้าจะได้สงเคราะห์คนที่เป็นแม่ม่ายที่ไร้ที่พึ่งจริงๆ
17จงถือว่าผู้รับใช้ฝ่ายจิตวิญญาณที่เอาใจใส่ดูแลดีนั้นสมควรได้รับเกียรติสองเท่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้รับใช้ฝ่ายจิตวิญญาณที่ทำงานหนักในการประกาศเผยแพร่และสั่งสอน 18เพราะพระคัมภีร์กล่าวว่า “อย่าเอาตะกร้อครอบปากวัว ขณะที่มันกำลังนวดข้าวอยู่” และ “ผู้ทำงานสมควรจะได้รับค่าจ้าง” 19อย่ายอมรับคำกล่าวหาผู้รับใช้ฝ่ายจิตวิญญาณคนใด เว้นเสียแต่จะมีพยานสองสามปาก 20สำหรับผู้รับใช้ฝ่ายจิตวิญญาณที่ยังคงทำผิดบาป จงบอกกล่าวเขาต่อหน้าคนทั้งหลาย เพื่อผู้อื่นจะได้ยำเกรง 21ข้าพเจ้าบอกท่านต่อหน้าพระเจ้า พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ และต่อเหล่าทูตสวรรค์ที่ได้เลือกสรรไว้แล้วนั้น ให้ท่านรักษากฎเหล่านี้ไว้โดยไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด และไม่ทำอะไรๆด้วยใจลำเอียง
22อย่าได้ด่วนแต่งตั้งผู้ใด และอย่ามีส่วนร่วมในการทำบาปของผู้อื่นเลย จงรักษาตัวให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง 23อย่าดื่มแต่น้ำอีกต่อไป แต่จงดื่มเหล้าองุ่นบ้างเล็กน้อย เพื่อประโยชน์แก่กระเพาะอาหารของท่าน และโรคที่เกิดกับท่านอยู่เสมอๆ 24การทำผิดบาปของบางคนก็ปรากฏชัดขึ้น ทำให้เขาไปสู่พิพากษา แต่การทำผิดบาปของคนอื่นนั้นจะปรากฏภายหลัง 25ส่วนการทำดีนั้นก็ปรากฏชัดเหมือนกัน และถึงแม้ว่าจะไม่ปรากฏชัด แต่ก็จะถูกปิดบังไว้ไม่ได้
1จงให้คนทั้งหลายที่ตกอยู่ในการเป็นทาส ถือว่านายของตัวเป็นผู้สมควรแก่การได้รับเกียรติยศทุกสถาน เพื่อพระนามของพระเจ้า และคำสอนของพระองค์จะไม่ได้ถูกเหยียดหยาม 2ฝ่ายคนเหล่านั้นผู้มีนายเป็นผู้มีความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า ก็อย่าให้เขาดูหมิ่นเหยียดหยามนาย เพราะว่าเหตุที่ได้มาเป็นพี่น้องกันแล้ว แต่มากกว่านั้นเขาต้องรับใช้นายให้ดีขึ้น เพราะเหตุว่านายผู้ที่จะได้รับประโยชน์จากการรับใช้ของเขานั้น เป็นผู้ที่มีความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า และเป็นที่รัก
จงสั่งสอนและสนับสนุนให้เขาทำตามหน้าที่เหล่านี้ 3ถ้าผู้ใดสอนผิดไปจากนี้ และไม่ยอมเห็นด้วยกับหลักพระคำของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา และคำสอนที่สมกับทางของพระเจ้า 4ผู้นั้นก็เป็นคนจองหองและไม่รู้อะไร แต่ชอบโต้เถียงและโต้แย้งในเรื่องคำ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดการอิจฉากัน การทะเลาะวิวาทกัน การนินทากัน การไม่ไว้วางใจกัน 5และการด่าทอกันของผู้มีใจต่ำทราม และไม่มีความจริง ที่คิดว่าทางของพระเจ้านั้นเป็นทางได้ประโยชน์ 6จริงอยู่ เราได้รับประโยชน์อย่างมากมายจากทางของพระเจ้าพร้อมทั้งความสุขใจ
7เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลกฉันใด เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ฉันนั้น (ซึ่งตรงกับสำนวนที่ว่า “มาตัวเปล่า ก็ไปตัวเปล่า” เช่นกัน) 8แต่ถ้าเรามีอาหารและเสื้อผ้า ก็ให้เราพอใจด้วยของเหล่านั้นเถิด 9ส่วนคนเหล่านั้นที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในการลองใจ และติดบ่วงแร้วในกิเลส ตัณหาหลายอย่างอันโง่งม และเป็นภัยแก่ตัวเอง ซึ่งทำให้คนเราต้องถึงความพินาศเสื่อมสูญไป 10เพราะว่าการบูชาเงินเป็นพระเจ้านั้น เป็นต้นเหตุแห่งความชั่วทั้งหลาย และเพราะความโลภนี่แหละ จึงทำให้บางคนห่างไกลจากความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้านั้น และตรอมใจด้วยความทุกข์
11แต่ท่านผู้เป็นคนของพระเจ้า จงหลีกหนีจากสิ่งเหล่านี้ จงตั้งเป้าหมายอยู่ในความถูกต้อง ในทางของพระเจ้า ในความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า ในพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ในความอดทน และความสุภาพ 12จงต่อสู้อย่างเต็มกำลังเพื่อความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า จงยึดชีวิตเข้าสู่นิพพานไว้ ซึ่งพระเจ้าเรียกให้ท่านไปรับ ในเมื่อท่านได้รับเชื่ออย่างดีต่อหน้าพยานหลายคน 13ข้าพเจ้าบอกท่านต่อหน้าพระเจ้า ผู้ให้ชีวิตแก่สิ่งทั้งปวง และต่อพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้ได้เป็นพยานอันดีต่อหน้าปอนทิอัส ปีลาต 14ให้ท่านรักษาคำสั่งนี้ไว้อย่าให้บกพร่อง และอย่าให้มีที่ติได้ จนถึงเวลาที่พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเราจะเสด็จกลับมา 15ซึ่งพระเจ้าผู้เสวยสุข และมีฤทธิ์สูงสุดแต่พระองค์เดียว พระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย และพระผู้เป็นเจ้าเหนือเทพเจ้าทั้งหลาย จะสำแดงในเวลาอันควร 16พระองค์ผู้เดียวเป็นอมตะ และสถิตอยู่ในความสว่างที่ซึ่งไม่มีผู้ใดจะเข้าไปถึง ผู้ซึ่งมนุษย์ไม่เคยเห็น และจะเห็นไม่ได้ พระเกียรติและฤทธานุภาพจงมีแก่พระองค์สืบๆไปเป็นนิตย์ สาธุ
17จงบอกคนเหล่านั้นที่มั่งมีฝ่ายโลก จงบอกเขาอย่าให้เขาถือว่าตัวดี อย่าให้เขามุ่งหวังอยู่ในความร่ำรวยที่ไม่เที่ยงนั้น แต่ให้หวังในพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ ผู้ประทานสิ่งสารพัดเพื่อความสะดวกสบายของเรา 18จงบอกเขาให้ทำดี ทำดีมากๆ ให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และไม่เห็นแก่ตัว 19ถ้าทำอย่างนี้จึงจะเป็นการวางรากฐานอันดีไว้สำหรับตัวเองในภายหน้า เพื่อว่าเขาจะได้รับเอาชีวิต ซึ่งเป็นชีวิตที่จะเข้าสู่นิพพาน
20ทิโมธีเอย สิ่งที่ข้าพเจ้าบอกท่านแล้ว จงรักษาให้ดี จงหลีกเลี่ยงการพูดที่ไม่มีประโยชน์ และการขัดแย้งในความเห็นซึ่งสำคัญผิดว่าเป็นความรู้ 21ซึ่งบางคนสำคัญผิดเช่นนั้น จึงได้พลาดไปจากความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า ขอพระคุณจงดำรงอยู่กับท่านเถิด
1จดหมายนี้เขียนโดยเปาโล อัครทูตของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ โดยความประสงค์ของพระเจ้า ตามคำสัญญาแห่งชีวิต ซึ่งมีในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 2เขียนถึง ทิโมธี ลูกที่รัก ขอพระคุณ ความเมตตา สันติภาพ และสันติสุขจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อ และพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของรา จงดำรงอยู่กับท่านเถิด
3ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าผู้ที่ข้าพเจ้าได้รับใช้ ด้วยจิตสำนึกอันบริสุทธิ์สืบมาตั้งแต่บรรพบุรุษของข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าได้ระลึกถึงท่านในคำอธิษฐานสวดอ้อนวอนของข้าพเจ้าอยู่เสมอ 4ขณะข้าพเจ้าระลึกถึงน้ำตาของท่าน ข้าพเจ้าก็มีความปรารถนาทั้งกลางคืนกลางวันที่จะได้พบท่าน ซึ่งจะทำให้ข้าพเจ้ายินดีอย่างเต็มเปี่ยม 5ข้าพเจ้าระลึกถึงความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า อันแท้จริงของท่าน อันเป็นความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า ซึ่งเมื่อก่อนมีอยู่ในโลอิสยายของท่าน และอยู่ในยูนีสแม่ของท่าน และบัดนี้ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีอยู่ในท่าน 6อันเป็นของประทานของพระเจ้าซึ่งมีอยู่ในท่าน โดยที่ข้าพเจ้าได้เอามือปรกไปที่ท่านนั้น ขอเตือนว่าท่านจงทำให้รุ่งเรืองขึ้นเถิด 7เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ประทานจิตที่ขลาดกลัวให้เรา แต่ได้ประทานจิตที่ประกอบด้วยฤทธิ์อำนาจ พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และการบังคับตัวเองให้แก่เรา
8อย่าละอายที่จะเป็นพยานฝ่ายพระเจ้าผู้เป็นนายของเรา หรือฝ่ายตัวของข้าพเจ้าที่ถูกจองจำอยู่เพราะเห็นแก่พระองค์ แต่จงมีส่วนในการยากลำบาก เพื่อเห็นแก่บารมีของพระเจ้า โดยอาศัยฤทธิ์เดชของพระองค์ 9ผู้ทำความหลุดพ้นให้เรา และให้เราได้มาเป็นผู้รับใช้พระองค์ ไม่ใช่เพราะเห็นแก่ความดีที่เราทำ แต่เพราะเห็นแก่ความประสงค์ของพระองค์เอง และพระคุณที่ได้ประทานแก่เราในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์มานั้น 10แต่บัดนี้ได้สำแดงให้รู้แล้วโดยการที่พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระผู้ทำความหลุดพ้นให้เราเสด็จมา ผู้ได้กำจัดความตายให้สูญไป และได้นำชีวิตและสภาพอมตะให้กระจ่างโดยบารมีของพระเจ้า
11สำหรับบารมีของพระเจ้านั้น ข้าพเจ้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ประกาศเผยแพร่ เป็นอัครทูต และเป็นครู 12เพราะเหตุนั้นเองข้าพเจ้าจึงได้ทนทุกข์ลำบากเช่นนี้ ถึงขนาดนั้นข้าพเจ้าก็ไม่ละอาย เพราะว่าข้าพเจ้ารู้จักพระเจ้า ที่ข้าพเจ้าได้เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า และข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า พระองค์มีฤทธิ์สามารถป้องกันสิ่งที่ข้าพเจ้าได้มอบไว้กับพระองค์จนถึงวันนั้นได้ 13จงประพฤติตามแบบแห่งคำสอนที่ถูกต้องที่ท่านได้ยินจากข้าพเจ้า ในความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า และพรหมวิหารสี่ อั้นได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาซึ่งมีอยู่ในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 14จงรักษาความจริงที่ได้มอบไว้กับท่านโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่สถิตอยู่ในเรา
15ท่านก็รู้แล้วว่า คนทั้งหลายที่อยู่ในมณฑลเอเชียนั้นต่างก็หนีไปจากข้าพเจ้า ในพวกนั้นมีฟีเจลัส และเฮอร์โมเกเนสรวมอยู่ด้วย 16ขอพระเจ้าผู้เป็นนายเมตตาแก่ครอบครัวของโอเนสิโฟรัสด้วยเถิด เพราะเขาได้ทำให้ข้าพเจ้าชื่นใจบ่อย ๆ และเขาไม่อายต่อโซ่ตรวนของข้าพเจ้าเลย 17แต่ขณะที่เขาอยู่ในกรุงโรม เขาได้อุตส่าห์สืบหาข้าพเจ้าจนพบ 18และเคยได้รับใช้ข้าพเจ้าที่เมืองเอเฟซัสมากมาย ท่านก็รู้ดีอยู่แล้ว ขอพระเจ้าผู้เป็นนายประทานความเมตตาแก่เขาในวันนั้นด้วยเถิด
1เหตุฉะนั้นลูกเอ๋ย จงเข้มแข็งขึ้นในพระคุณซึ่งมีอยู่ในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 2จงมอบคำสอนเหล่านั้นที่ท่านได้ยินจากข้าพเจ้าต่อหน้าพยานหลายคนไว้กับคนที่สัตย์ซื่อ ที่สามารถสอนคนอื่นได้ด้วย 3จงทนการยากลำบากเหมือนกันกับทหารที่ดีของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอารยิ์ 4ไม่มีทหารคนใด เมื่อเข้าประจำการแล้ว จะไปวิตกกังวลกับการทำมาหากินของเขา เพราะว่าเขาอุตส่าห์ที่จะทำให้ผู้บังคับบัญชาพอใจ 5นักกีฬาจะไม่ได้รับเหรียญทอง ถ้าเขาไม่ได้แข่งตามกติกา 6ชาวไร่ชาวนาผู้ทำงานหนักก็ควรเป็นคนแรกที่ได้รับผล 7จงใคร่ครวญถึงสิ่งที่ข้าพเจ้าได้พูดเถิด เพราะว่าพระเจ้าผู้เป็นนายจะประทานความเข้าใจให้กับท่านในทุกสิ่ง
8จงระลึกถึงพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้สืบเชื้อสายจากกษัติย์ดาวิด ได้ถูกบันดาลให้เป็นขึ้นมาจากความตาย ตามบารมีของพระเจ้าที่ข้าพเจ้าประกาศเผยแพร่ไปนั้น 9และเพราะเหตุบารมีของพระเจ้านั้น ข้าพเจ้าจึงทนทุกข์ ถูกล่ามโซ่เหมือนเป็นผู้ร้าย แต่พระคำของพระเจ้านั้นไม่มีผู้ใดเอาโซ่ล่ามไว้ได้ 10เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงยอมทนทุกอย่าง เพราะเห็นแก่ผู้ที่เลือกสรรไว้นั้น เพื่อเขาจะได้รับความหลุดพ้น ซึ่งมีอยู่ในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พร้อมทั้งศักดิ์ศรีนิรันดร 11คำนี้เป็นคำจริง คือถ้าเราตายกับพระองค์ เราก็จะมีชีวิตอยู่กับพระองค์เหมือนกัน 12ถ้าเราทนความทุกข์ทรมาน เราก็จะได้ครอบครองร่วมกับพระองค์ด้วย ถ้าเราปฏิเสธพระองค์ พระองค์ก็จะปฏิเสธเราเหมือนกัน 13ถ้าเราไม่สัตย์ชื่อ พระองค์ก็ยังสัตย์ซื่ออยู่เสมอ เพราะพระองค์จะปฏิเสธพระองค์เองไม่ได้
14จงเตือนเขาทั้งหลายให้ระลึกถึงข้อความเหล่านี้ และบอกเขาต่อหน้าของพระเจ้าผู้เป็นนาย ไม่ให้เขาโต้เถียงกันในเรื่องถ้อยคำ ซึ่งไม่เป็นประโยชน์อะไรเลย มีแต่เป็นเหตุให้คนที่ฟังหลงไป 15จงหมั่นศึกษาค้นคว้าเพื่อสำแดงตัวให้เป็นที่ชอบใจของพระเจ้า เป็นคนงานที่ไม่ต้องอาย แยกแยะพระคำแห่งความจริงนั้นได้อย่างถูกต้อง 16จงหลีกหนีจากคำสอนที่ไม่มีคุณธรรม เพราะคำสอนเช่นนั้นทำให้เกิดความชั่วมากยิงขึ้น 17และคำพูดของเขาจะกระจายออกไปเหมือนกับแผลเนื้อร้าย ในพวกนั้นมีฮีเมเนอัสกับฟิเลทัสเป็นต้น 18คนทั้งสองนั้นได้หลงจากความจริง โดยไปพูดว่าการเป็นขึ้นมาจากความตายนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขากำลังทำให้ความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าของบางคนหันเหไป 19แต่ว่ารากฐานที่พระเจ้าได้วางไว้นั้นมีตราประทับไว้ว่า “พระเจ้าผู้เป็นนายรู้จักคนเหล่านั้นที่เป็นของพระองค์” และ “ให้ทุกคนที่ออกพระนามของพระผู้เป็นนายทิ้งความชั่วช้าเสีย”
20ในบ้านใหญ่หลังหนึ่ง ๆ ไม่ได้มีแต่ภาชนะทองคำ และเงินเท่านั้น แต่มีภาชนะไม้ และภาชนะดินด้วย บางอันก็มีเกียรติ และบางอันก็ไม่มีเกียรติ 21เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดชำระตัวให้พ้นจากสิ่งที่ไม่มีค่า เขาก็จะเป็นภาชนะที่มีค่า ซึ่งชำระให้บริสุทธิ์ เหมาะที่เจ้าของเรือนจะใช้ให้เป็นประโยชน์ พร้อมสำหรับการดีทุกอย่าง 22ดังนั้นจงหลีกหนีจากกามราคะตัณหาของคนหนุ่ม แต่จงเอาใจใส่ในความถูกต้อง ในความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา สันติภาพ และสันติสุข ร่วมกับผู้ที่ออกพระนามของพระเจ้าผู้เป็นนายด้วยใจบริสุทธิ์ 23อย่าเกี่ยวข้องกับปัญหาอันโง่เขลา และไม่เป็นสาระ เพราะรู้แล้วว่าปัญหาเหล่านั้นก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาทกัน
24ฝ่ายผู้รับใช้ของพระเจ้าผู้เป็นนายต้องไม่เป็นคนที่มักทะเลาะวิวาท แต่ต้องมีใจเมตตาต่อคนทั้งหลาย เหมาะที่จะเป็นครู และมีความอดทน 25ชี้แจงให้ฝ่ายตรงกันข้ามเข้าใจด้วยความสุภาพ ว่าพระเจ้าอาจจะให้เขากลับใจมารับความจริง 26และพวกเขาอาจหลุดพ้นจากบ่วงแร้วของมาร ผู้ซึ่งดักจับพวกเขาไว้ให้ทำตามความประสงค์ของมัน
1แต่จงเข้าใจข้อนี้เถิด คือว่าในสมัยจะสิ้นยุค จะเกิดเหตุการณ์กลียุค 2เพราะมนุษย์จะเห็นแก่ตัว เห็นแก่เงินทอง อวดตัว เย่อหยิ่ง จองหอง ชอบด่าว่า ไม่เชื่อฟังคำสั่งสอนของบิดามารดา อกตัญญู ไม่มีศีลธรรม 3ไม่มีมนุษยธรรม ไม่ให้อภัยกัน ใส่ร้ายกัน ไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจ ดุร้าย เกลียดชังความดี 4ทรยศ มุทะลุ หัวสูง รักความสนุกสนานมากกว่าพระเจ้า 5ถือศาสนาแต่เปลือกนอก ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ คนเช่นนี้ท่านอย่าคบ
6เพราะในคนเหล่านั้น มีคนที่แอบไปตามบ้าน แล้วนำผู้หญิงที่เบาปัญญาหนาด้วยบาป ที่อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา ที่หลงใหลในกิเลส ตัณหาต่าง ๆ ไปเป็นเชลย 7ผู้หญิงพวกนี้จะฟังทุกคนที่พูด แต่ไม่อาจจะเข้าถึงหลักแห่งความจริงได้ 8เหมือนกับ ยันเนสกับยัมเบรส์ที่ได้ต่อต้านโมเสสฉันใด คนเหล่านี้ก็จะต่อต้านความจริงฉันนั้น เขาเป็นคนใจชั่ว และในเรื่องความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้านั้นเขาใช้ไม่ได้เลย 9แต่เขาจะไปไม่ได้กี่น้ำหรอก เพราะความโง่ของเขาจะปรากฏแก่คนทั้งหลาย เหมือนกันกับความโง่ของชายสองคนนั้น
10บัดนี้ ท่านก็รู้แจ้งอยู่แล้วในคำสอน การประพฤติ ความมุ่งหมาย ความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า ความอดทน พรหมวิหารสี่ อั้นได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ความเพียร 11การถูกข่มเหง การทนทุกข์ยากลำบากของข้าพเจ้า และสิ่งที่เกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ที่เมืองอันทิโอก เมืองอิโคนียูม และเมืองลิสตรา การกดขี่ข่มเหงที่ข้าพเจ้าได้ทนเอา ถึงขนาดนั้นก็ดี พระเจ้าผู้เป็นนายได้ให้ข้าพเจ้าปลอดภัยจากสิ่งเหล่านั้นทั้งหมด
12แท้จริงทุกคนที่อยากจะดำเนินชีวิตตามทางของพระเจ้าในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ จะถูกกดขี่ข่มเหง 13ขณะที่คนชั่วและคนเจ้าเล่ห์จะชั่วร้ายมากกว่าเดิม ทั้งล่อลวงคนอื่น และก็ถูกคนอื่นล่อลวงด้วย 14แต่ฝ่ายท่านจงดำเนินต่อไปในสิ่งที่ได้เรียนรู้แล้ว และได้เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าอย่างมั่นคง ท่านก็รู้ว่าได้เรียนมาจากผู้ใด 15และตั้งแต่เป็นเด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งสามารถสอนท่านให้ถึงความหลุดพ้น โดยความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 16พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า ให้เป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดีขึ้น และการอบรมในเรื่องความถูกต้อง 17เพื่อคนของพระเจ้าจะได้เตรียมพร้อม ที่จะทำการดีทุกอย่าง
1ข้าพเจ้าบอกท่านต่อหน้าพระเจ้า และพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้จะพิพากษาคนเป็นและคนตาย ในการมาปรากฏ และการตั้งอาณาจักรของพระองค์ ว่า 2จงประกาศเผยแผ่พระคำขอพระเจ้า ให้เอาใจใส่ที่จะทำทั้งที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส จงชักชวนด้วยเหตุผล เตือนสติ และตักเตือนด้วยความอดทนอยู่เสมอในการสั่งสอน
3เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนอันถูกต้องไม่ได้ แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาอยากฟัง เพื่อบรรเทาความอยาก 4เขาจะเลิกฟังความจริง และจะหันไปฟังนิยายต่าง ๆ 5ฝ่ายท่านจงหนักแน่นมั่นคง จงอดทนต่อความทุกข์ยากลำบาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศเผยแพร่บารมีของพระเจ้า และจงทำการรับใช้ให้สำเร็จ
6เพราะว่าบัดนี้ข้าพเจ้าพร้อมที่จะเป็นเครื่องบูชาแล้ว และเวลาที่ข้าพเจ้าจะจากไปนั้นก็ใกล้จะถึงแล้ว 7ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้แข่งขันจนถึงที่สุด ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าไว้แล้ว 8ตั้งแต่นี้ต่อไป มงกุฎแห่งการเป็นคนบุญก็เตรียมไว้สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ซึ่งพระเจ้าผู้เป็นนาย ผู้พิพากษาที่ชอบธรรม จะประทานแก่ข้าพเจ้าในวันนั้น และไม่ใช่แก่ข้าพเจ้าผู้เดียวเท่านั้น แต่จะประทานแก่คนทั้งหลายที่ยินดีในการเสด็จมาของพระองค์
9จงพยายามมาหาข้าพเจ้าโดยเร็ว 10เพราะว่าเดมาสได้หลงรักโลกปัจจุบันนี้เสียแล้ว และได้ทิ้งข้าพเจ้าแล้วหนีไปยังเมืองเธสะโลนิกา เครสเซนส์ได้ไปยังมณฑลกาลาเทีย ทิตัสได้ไปยังเมืองดาลมาเทีย 11ลูกาคนเดียวเท่านั้นที่อยู่กับข้าพเจ้า จงไปตามมาระโก และนำเขามาด้วย เพราะเขาเป็นประโยชน์แก่ข้าพเจ้าสำหรับการรับใช้นี้ 12ข้าพเจ้าได้ส่งทีคิกัสไปยังเมืองเอเฟซัสแล้ว 13เมื่อท่านมาจงเอาเสื้อคลุม ซึ่งข้าพเจ้าได้ฝากไว้กับคารปัสที่เมืองโตรอัสมาด้วย พร้อมกับหนังสือต่าง ๆ และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือหนังสือที่เขียนบนแผ่นหนัง 14อเล็กซานเดอร์ช่างทองแดงนั้นได้ทำร้ายข้าพเจ้าอย่างสาหัส “พระเจ้าผู้เป็นนายจะตอบแทนเขาให้สมกับการกระทำของเขา”
15ท่านจงระวังเขาให้ดีด้วย เพราะเขาได้คัดค้านถ้อยคำของเราอย่างรุนแรง 16ในการแก้คดีครั้งแรกของข้าพเจ้านั้น ไม่มีใครเข้าข้างข้าพเจ้าแม้แต่คนเดียว เขาได้ทิ้งข้าพเจ้าไปหมด ข้าพเจ้าอธิษฐานสวดอ้อนวอนต่อพระเจ้าว่า ขออย่าให้พวกเขาต้องได้รับโทษเลย 17แต่พระเจ้าผู้เป็นนายอยู่กับข้าพเจ้า และได้ประทานกำลังให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงประกาศเผยแพร่พระคำของพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ เพื่อให้คนต่างชาติทั้งหลายได้ยิน ดังนั้นข้าพเจ้าจึงปลอดภัยจากปากสิงโตนั้น 18พระเจ้าผู้เป็นนายจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากการร้ายทุกอย่าง และจะช่วยให้ข้าพเจ้าหลุดพ้นได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ของพระองค์ สง่าราศีจงมีแก่พระองค์สืบ ๆ ไปเป็นนิตย์ สาธุ
19ขอฝากความคิดถึงมายังปริสคากับอาควิลลา และคนในครอบครัวของโอเนสิโฟรัสด้วย 20เอรัสทัสยังค้างอยู่ที่เมืองโครินธ์ แต่เมื่อข้าพเจ้าจากโตรฟีมัสที่เมืองมิเลทัสนั้น เขายังป่วยอยู่ 21ท่านจงพยายามมาให้ถึงก่อนฤดูหนาว ยูบูลัส ปูเดนส์ ลีนัส คลาวเดีย และพี่น้องทั้งหลายฝากความคิดถึงมาหาท่าน 22ขอพระผู้เป็นเจ้านาย สถิตอยู่กับจิตวิญญาณของท่าน ขอพระคุณจงดำรงอยู่กับท่านเถิด สาธุ
1จดหมายนี้เขียนโดยเปาโล ผู้รับใช้ของพระเจ้า และอัครทูตของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เพื่อส่งเสริมความเชื่อของผู้ที่พระเจ้าได้เลือกสรรไว้ และให้มีความรูในความจริงตามทางของพระเจ้า 2โดยหวังว่าจะได้ชีวิตเข้าสู่นิพพาน ซึ่งพระเจ้าผู้ไม่เคยพูดเท็จ ได้สัญญาไว้ตั้งแต่ครั้งโบราณกาล 3แต่ในเวลาที่พระองค์กำหนดไว้ ก็ได้ให้พระธรรมของพระองค์ปรากฏด้วยการประกาศเผยแพร่ ซึ่งข้าพเจ้าได้รับมอบไว้ ตามคำสั่งของพระเจ้าผู้ช่วยเราทั้งหลายให้หลุดพ้น 4เขียนจดหมายนี้ถึง ทิตัส ผู้เป็นลูกชายแท้ ๆ ของข้าพเจ้าในความเชื่อเดียวกัน ขอพระคุณ และสันติภาพ และสันติสุขจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อ และพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระผู้ทำความหลุดพ้นของเรา จงดำรงอยู่กับท่านเถิด
5เพราะเหตุนี้เองข้าพเจ้าจึงให้ท่านอยู่ที่เกาะครีตก่อน ก็เพื่อท่านได้แก้ไขสิ่งที่ยังบกพร่องให้เรียบร้อย และตั้งผู้รับใช้ฝ่ายจิตวิญญาณไว้ทุกเมืองตามที่ข้าพเจ้าได้บอกท่านแล้ว 6คือตั้งคนที่ไม่มีข้อตำหนิ มีภรรยาผู้เดียว มีลูกที่มีความเชื่อ และไม่มีผู้ใดกล่าวหาว่าลูกนั้นเป็นนักเลง หรือเป็นคนดื้อด้าน
7เพราะว่าผู้รับใช้ฝ่ายจิตวิญญาณนั้น ในฐานะที่เป็นผู้รับมอบภาระจากพระเจ้า ต้องเป็นคนที่ไม่มีข้อตำหนิ ไม่เป็นคนเย่อหยิ่ง ไม่เป็นคนเลือดร้อน ไม่เป็นนักเลงสุรา ไม่เป็นนักเลงหัวไม้ และไม่เป็นคนโลภมักได้ 8แต่เป็นคนมีนำใจรับรองแขกดี เป็นผู้รักความดี เป็นคนมีสติสัมปชัญญะ เป็นคนยุติธรรม เป็นคนบริสุทธิ์ รู้จักบังคับใจตนเอง 9และเป็นคนยึดมั่นในหลักคำสอนอันแท้จริงตามที่ได้เรียนรู้มาแล้ว เพื่อจะสามารถเตือนสติด้วยคำสอนอันมีหลัก และชี้แจงแก่ผู้ที่คัดค้านคำสอนนั้น
10เพราะว่ามีคนเป็นอันมากที่ดื้อด้าน พูดมากไม่เป็นสาระ และหลอกลวง โดยเฉพาะคนทั้งหลายที่เข้าสุหนัต 11จำเป็นต้องให้เขาสงบปากสงบคำ เพราะเขาพลิกบ้านคว่ำเรือนให้เสียไป โดยสอนสิ่งที่ไม่ควรจะสอนเลย เพราะเห็นแก่เล็กแก่น้อย 12ในพวกเขาเองมีคนหนึ่งเป็นผู้พยากรณ์ได้กล่าวว่า “ชาวครีตเป็นคนพูดโกหกอยู่เสมอ เป็นเหมือนก้นกับสัตว์ร้าย และเป็นคนเกียจคร้านกินเติบ”
13คำที่เขาอ้างนี้เป็นความจริง เหตุฉะนั้นท่านจงต่อว่าเขาให้แรง ๆ เพื่อเขาจะได้มีความเชื่ออันมีหลัก 14และจะไม่ได้สนใจในนิยายของพวกยิว และบทบัญญัติของมนุษย์ที่ไม่ความจริง
15สำหรับคนบริสุทธิ์นั้น ทุกสิ่งก็บริสุทธิ์ แต่สำหรับคนชั่วช้า และคนที่ไม่มีความเชื่อนั้น ก็ไม่มีสิ่งใดบริสุทธิ์เลย แต่จิตใจและจิตสำนึกผิดชอบของเขาก็เสื่อมทรามไป 16เขาแสดงตัวว่ารู้จักพระเจ้า แต่ว่าในการกระทำของเขานั้นปฏิเสธพระองค์ เขาเป็นคนน่ารังเกียจ ไม่เชื่อฟังผู้ใด และไม่เหมาะที่จะกระทำการดีใด ๆ เลย
1ฝ่ายท่านจงสั่งสอนให้สอดคล้องกับคำสอนอันมีหลัก 2ควรสอนผู้ชายที่สูงอายุให้รู้จักประมาตนในการกินดื่ม ให้เอาจริงเอาจัง ให้มีสติสัมปชัญญะ ให้มีความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า มีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และความอดทนตามสมควร 3ส่วนผู้หญิงที่สูงอายุก็เหมือนกัน ให้เขามีความยำเกรงพระเจ้า อย่าเป็นคนส่อเสียด อย่าเป็นคนกินเหล้าเมาสุรา แต่ให้เป็นผู้สอนสิ่งที่ดีงาม 4เพื่อเขาจะได้ฝึกสอนพวกผู้หญิงสาว ๆ ให้รู้จักลูกรักสามี และบุตรธิดาของตน 5ให้มีสติสัมปชัญญะ เป็นคนบริสุทธิ์ เอาใจใส่ในบ้านเรือน มีความเมตตา และเชื่อฟังสามีของตน ถ้าทำอย่างนี้จึงจะไม่มีผู้ใดลบหลู่พระคำของพระเจ้าได้
6ส่วนชายหนุ่มก็เหมือนกัน จงเตือนเขาให้ใช้สติสัมปชัญญะ 7ท่านจงประพฤติให้เป็นแบบอย่างในการดีทุกอย่าง ในการสอน จงแสดงความซื่อสัตย์สุจริต และมีใจสูง 8และใช้คำพูดอันมีหลัก ซึ่งไม่มีผู้ใดจะตำหนิได้ เพื่อฝ่ายศัตรูจะได้อาย ไม่มีสิ่งใดจะตำหนิเราได้
9จงตักเตือนพวกทาสให้เชื่อฟังนายของตน และให้กระทำสิ่งที่ถูกใจนายทุกประการ อย่าได้โต้เถียงเลย 10อย่าให้ยักยอก แต่ให้สัตย์ซื่อหมดทุกอย่าง เพื่อว่าในการทั้งหลายนั้น เขาจะได้เทิดเกียรติหลักคำสอนของพระเจ้า ผู้เป็นพระผู้ทำความหลุดพ้นของเรา 11เพราะว่าพระคุณของพระเจ้าได้ปรากฏแล้ว เพื่อช่วยคนทั้งหลายให้หลุดพ้น 12สอนให้เราทิ้งความชั่ว และ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา และดำเนินชีวิตในโลกนี้อย่างมีสติสัมปชัญญะ ซื่อสัตย์สุจริตตามทำนองคลองธรรมของพระเจ้า 13คอยความสุข ซึ่งจะได้รับโดยความหวัง ได้แก่การปรากฏอันมีสง่าราศีของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ และพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระผู้ทำความหลุดพ้นของเรา 14ผู้ได้ประทานพระองค์เองให้เรา เพื่อไถ่เราให้พ้นจากความชั่วช้าทุกอย่าง และชำระเราให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง เพื่อให้เป็นชนชาติพิเศษของพระองค์ และเป็นคนที่กระตือรือร้นที่จะกระทำความดี 15ข้อความเหล่านี้ ท่านจงใช้สั่งสอน ตักเตือน และว่ากล่าวเขาด้วยสิทธิอำนาจทุกอย่าง อย่าให้ผู้ใดหมิ่นประมาทท่านได้
1จงเตือนคนเหล่านั้นให้นอบน้อมต่อผู้ปกครองบ้านเมือง และผู้มีอำนาจ ให้เชื่อฟังและพร้อมที่จะทำการดีทุกอย่าง 2อย่าให้เขาว่าร้ายผู้ใด อย่าให้เป็นคนมักทะเลาะวิวาท แต่ให้เป็นคนสุภาพ แสดงอัธยาศัยไมตรีอันดีงามต่อคนทั้งหลาย
3เพราะว่าเมื่อก่อนนั้นเราเองก็โง่ ไม่เชื่อฟัง หลงผิด เป็นทาสของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา และการเริงสำราญต่าง ๆ ใช้ชีวิตอย่างเลวร้าย ริษยา น่าชัง และเกลียดชังกัน 4แต่ว่าเมื่อความเมตตา และพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาของพระเจ้า พระผู้ทำความหลุดพ้นของเราปรากฏแล้ว 5พระองค์ได้ช่วยเราให้หลุดพ้น ไม่ใช่เพราะการกระทำที่ถูกต้องของเราเอง แต่พระองค์กรุณาชำระให้เรามีใจใหม่ และสร้างเราขึ้นมาใหม่โดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
6พระองค์นั้นได้ประทานแก่เราทั้งหลายอย่างบริบูรณ์ โดยพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระผู้ทำความหลุดพ้นของเรา 7เพื่อว่าเมื่อเราได้เป็นคนบุญในความหลุดพ้นบาปขั้นที่หนึ่ง โดยพระคุณของพระองค์แล้ว เราจะได้เป็นผู้ได้รับมรดกที่มุ่งหวังนั่นคือชีวิตเข้าสู่นิพพาน
8คำนี้เป็นคำจริง ข้าพเจ้าอยากให้ท่านเน้นเรื่องเหล่านี้ เพื่อคนทั้งหลายที่เชื่อในพระเจ้าแล้วจะได้อุตส่าห์ทำความดี การเหล่านี้ดีและเป็นประโยชน์แก่คนทั้งหลาย 9แต่จงหลีกเสียจากปัญหาโง่เขลาที่โต้เถียงกัน จากการลำดับวงศ์ตระกูล และการเถียงกัน การทะเลาะกันเรื่องบัญญัติหรือศีล เพราะว่าการทำเช่นนั้นไม่มีประโยชน์อะไร และไม่เป็นเรื่องเป็นราว 10คนใด ๆ ที่ยุแหย่ให้แตกนิกายกัน เมื่อได้ตักเตือนเขาครั้งหนึ่งสองครั้งแล้ว ก็อย่าเกี่ยวข้องเขาเลย 11เพราะรู้แล้วว่าคนเช่นนั้นเป็นคนนอกลู่นอกทาง และบาปหนา เต็มไปด้วย กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา เขาปรับโทษตัวเขาเอง
12เมื่อข้าพเจ้าจะใช้อารเทมาส หรือทีคิกัสมาหาท่าน ท่านจงรีบไปหาข้าพเจ้าที่เมืองนิโคบุรี เพราะข้าพเจ้าตั้งใจแล้วว่าจะค้างอยู่ที่นั่นจนสิ้นฤดูหนาว 13ท่านจงช่วยส่งเศนาสผู้เป็นทนายความกับอปอลโลไปตามทางของเขา อย่าให้เขาขาดสิ่งใดเลย 14ให้พวกเราเรียนรู้ที่จะทำความดีด้วย เพื่อจะเป็นประโยชน์เมื่อถึงคราวจำเป็น และเพื่อพวกเราจะไม่เป็นคนที่ไร้ผล
15คนทั้งหลายที่อยู่กับข้าพเจ้าฝากความคิดถึงมาหาท่านด้วย ขอฝากความคิดถึงมายังคนทั้งหลายที่ระราในความเชื่อ ขอพระคุณดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด สาธุ
1จดหมายนี้เขียนโดยเปาโล ผู้ถูกจองจำเพื่อพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ กับทิโมธีน้องชายของเรา เขียนจดหมายนี้ถึง ฟีเลโมน เพื่อนร่วมงานที่รักของเรา 2และถึงนางอัปเฟียผู้เป็นน้องสาว และอารคิปปัสผู้เป็นเพื่อนทหารด้วยกันกับเรา และชุมชนของพระเจ้าที่อยู่ในบ้านของท่าน 3ขอพระคุณ สันติภาพ และสันติสุขจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเรา และจากพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนาย จงดำรงอยู่กับพวกท่านทั้งหลายเถิด
4เมื่อข้าพเจ้าระลึกถึงท่านในคำอธิษฐานสวดอ้อนวอน ข้าพเจ้าขอบคุณพระเจ้าอยู่เสมอ 5เพราะข้าพเจ้าได้ยินถึงพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา และความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้าของท่านที่มีต่อพระเยซูพระเจ้าผู้เป็นนาย และต่อวิมุตติชนทั้งหลาย 6และข้าพเจ้าอธิษฐานสวดอ้อนวอนขอให้การที่ท่านร่วมเชื่อกับพวกเรานั้น จงเพิ่มพูนความรู้ในการดีทั้งหลายของพวกเรา ซึ่งมีในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 7น้องเอ๋ย พรหมวิหารสี่ ของท่านทำให้เรามีความยินดี และเป็นสุขใจอย่างยิ่ง เพราะจิตใจของบรรดาวิมุตติชนก็ชื่นบานขึ้นเพราะท่าน
8เหตุฉะนั้น แม้ว่าโดยพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ข้าพเจ้ามีใจกล้าพอที่จะสั่งให้ท่านทำในสิ่งที่ควรทำได้ 9แต่เพราะเห็นแก่พรหมวิหารสี่ ข้าพเจ้าขออ้อนวอนท่านดีกว่า คืออ้อนวอนอย่างเปาโล ผู้มีอายุมากแล้ว และบัดนี้เป็นผู้ถูกจองจำอยู่ เพราะเห็นแก่พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 10ข้าพเจ้าขออ้อนวอนท่านเรื่องโอเนสิมัส ลูกของข้าพเจ้าซึ่งข้าพเจ้าได้ให้กำเนิดเมื่อข้าพเจ้าถูกจองจำอยู่ 11เมื่อก่อนนั้นเขาไม่เป็นประโยชน์แก่ท่าน แต่เดี๋ยวนี้เขาเป็นประโยชน์ทั้งแก่ท่านและแก่ข้าพเจ้า 12ข้าพเจ้าส่งเขามาหาท่าน ซึ่งเท่ากับส่งดวงใจของข้อยมาเลยแหละ 13ข้าพเจ้าอยากจะให้เขาอยู่กับข้าพเจ้า เพื่อเขาสจะได้รับใช้ข้าพเจ้าแทนท่าน ในระหว่างที่ข้าพเจ้าถูกจองจำเพราะเห็นแก่บารมีของพระเจ้านั้น 14แต่ว่าข้าพเจ้าจะไม่ทำอะไรลงไปนอกจากท่านจะเห็นชอบด้วย เพื่อว่าคุณความดีที่ท่านทำนั้นจะไม่เป็นการฝืนใจ แต่จะเป็นความประสงค์ของท่านเอง
15อาจจะเป็นเพราะเหตุนี้ที่ทำให้เขาต้องจากท่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพื่อท่านจะได้เขากลับคืนมาตลอดไป 16บัดนี้เขาไม่ได้เป็นทาสอีกต่อไป แต่ดียิ่งกว่าการเป็นทาส คือเป็นพี่น้องที่รัก เขาเป็นที่รักของข้าพเจ้า แต่คงจะเป็นที่รักของท่านมากกว่านั้นอีก ทั้งในฐานะเป็นคนธรรมดา และเป็นคนในพระเจ้าผู้เป็นนาย 17เหตุฉะนั้นถ้าท่านถือว่าข้าพเจ้าเป็นเพื่อนร่วมงานของท่าน ก็จงรับเขาไว้เหมือนรับตัวข้าพเจ้าเอง 18ถ้าเขาได้ทำผิดต่อท่านประการใด หรือเป็นหนี้อะไรท่าน ก็ขอให้ท่านจงคิดเอาจากข้าพเจ้าเถิด 19ข้าพเจ้าผู้มีชื่อว่า เปาโล ได้เขียนไว้ด้วยลายมือของข้อยเองว่า ข้าพเจ้าจะใช้ให้ทั้งหมด ข้าพเจ้าจะไม่อ้างถึงเรื่องที่ท่านเป็นหนี้ข้าพเจ้า และแม้แต่ตัวของท่านเองด้วย
20น้องเอ๋ย ในตอนนี้ จงให้ข้าพเจ้าได้ประโยชน์ในพระเจ้าผู้เป็นนาย เพราะท่านด้วยเถิด จงให้ข้าพเจ้าชื่นใจในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 21ข้าพเจ้ามั่นใจว่าท่านจะเชื่อฟัง จึงได้เขียนจดหมายมาถึงท่าน เพราะรู้อยู่ว่าท่านจะทำมากกว่าที่ข้าพเจ้าขอเสียอีก 22อีกประการหนึ่ง ขอให้ท่านได้จัดเตรียมที่พักไว้สำหรับข้าพเจ้าด้วย เพราะข้าพเจ้าหวังว่าจะมาหาท่านอีก ตามคำอธิษฐานสวดอ้อนวอนของท่าน
23เอปาฟรัส ผู้ซึ่งถูกจองจำอยู่ด้วยกันกับข้าพเจ้า เพื่อพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ได้ฝากความคิดเถิงมาถึงท่าน 24มาระโก อาริสทารคัส เดมาส และลูกา ผู้เป็นเพื่อนร่วมงานกับข้าพเจ้า ก็ฝากความคิดถึงมาหาท่านด้วย
25ขอพระคุณของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา จงดำรงอยู่กับจิตวิญญาณของเถิด สาธุ
1ในโบราณกาลพระเจ้าได้พูดกับบรรพบุรุษของเรา ด้วยวิธีต่าง ๆ มากมาย ผ่านทางพวกศาสดาพยากรณ์ 2แต่ในวาระสุดท้ายนี้พระองค์ได้พูดกับเราทั้งหลายทางพระโอรส ผู้ซึ่งพระองค์ได้ตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก พระองค์ได้สร้างจักรวาลโดยพระโอรส 3พระโอรสเป็นแสงสะท้อนสง่าราศีของพระเจ้า และมีสภาพเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์ และค้ำจุนสิ่งทั้งปวงไว้โดยพระคำ อันมีฤทธานุภาพของพระองค์ เมื่อพระโอรสได้ล้างบาปของเราด้วยพระองค์เองแล้ว ก็ได้นั่งเบื้องขวาของพระเจ้าเบื้องบน 4พระองค์ยิ่งใหญ่กว่าเหล่าทูตสวรรค์มากนัก ด้วยว่าพระองค์ได้รับนามที่ดีกว่านามของทูตสวรรค์นั้นเป็นมรดก
5เพราะว่ามีผู้ใดบ้างในบรรดาทูตสวรรค์ที่พระองค์ได้พูดกับเขาในเวลาใดว่า “เจ้าเองเป็นลูกชายของเรา วันนี้เราได้ให้กำเนิดแก่เจ้าแล้ว” และยังพูดอีกว่า “เราจะเป็นพ่อของเจ้า และเจ้าจะเป็นลูกของเรา” 6และอีกครั้งหนึ่งเมื่อพระองค์นำพระโอรสองค์หัวปีนั้นเข้ามาในโลก พระองค์ก็พูดว่า “ให้บรรดาพวกทูตสวรรค์ทั้งสิ้นของพระเจ้านมัสการพระโอรส” 7ส่วนพวกทูตสวรรค์นั้น พระองค์พูดว่า “พระองค์บันดาลพวกทูตสวรรค์ของพระองค์ให้เป็นดุจสายลม และบันดาลผู้รับใช้ของพระองค์ให้เป็นดุจเปลวไฟ” 8แต่ส่วนพระโอรสนั้น พระองค์พูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระที่นั่งของพระองค์ดำรงเป็นนิตย์ ไม้เท้าแห่งอาณาจักรของพระองค์ก็เป็นไม้เท้าที่เที่ยงธรรม
9พระองค์รักความชอบธรรม และเกลียดชังความชั่วช้า ฉะนั้นพระเจ้า คือ พระเจ้าของพระองค์ ได้แต่งตั้งพระองค์ไว้ด้วยน้ำมันหอมแห่งความยินดี ยิ่งกว่าเพื่อนทั้งปวงของพระองค์” 10และ “ข้าแต่พระเจ้าผู้เป็นนาย เมื่อแรกเริ่มเดิมทีพระองค์วางรากฐานของแผ่นดินโลก และฟ้าสวรรค์เป็นผลงานการสร้างของพระองค์ 11สิ่งเหล่านี้จะพินาศไป แต่พระองค์ดำรงอยู่ สิ่งเหล่านี้จะเก่าไปเหมือนเครื่องนุ่งห่ม 12พระองค์จะม้วนสิ่งเหล่านี้ไว้ดุจเสื้อคลุม และสิ่งเหล่านั้นก็จะเปลี่ยนแปลงไป แต่พระองค์ยังเป็นอย่างเดิม และปีเดือนของพระองค์จะไม่สิ้นสุด” 13แต่จะมีทูตสวรรค์องค์ใดเล่าที่พระองค์ได้พูดในเวลาใดว่า “จงนั่งที่ขวาของเรา จนกว่าเราจะกระทำให้ศัตรูของเจ้าเป็นแท่นรองเท้าของเจ้า” 14ทูตสวรรค์ทั้งปวงเป็นแต่เพียงวิญญาณที่รับใช้พระเจ้า ที่พระองค์ส่งไปช่วยเหลือบรรดาผู้ที่จะได้รับความหลุดพ้นเป็นมรดกมิใช่หรือ?
1เหตุฉะนั้นเราควรจะสนใจในข้อความเหล่านั้น ที่เราได้ยินได้ฟังให้มากขึ้นอีก เพราะมิฉะนั้น ในเวลาหนึ่งเวลาใดเราจะห่างไกลไปจากข้อความเหล่านั้น 2ด้วยว่าถ้าถ้อยคำซึ่งทูตสวรรค์ได้กล่าวไว้นั้นปรากฏเป็นความจริง และการละเมิดกับการไม่เชื่อฟังทุกอย่างได้รับผลตอบสนองตามความยุติธรรมแล้ว 3ดังนั้น ถ้าเราละเลยความหลุดพ้นอันยิ่งใหญ่แล้ว เราจะหลุดพ้นได้อย่างไร ความหลุดพ้นนั้นได้เริ่มขึ้นโดยการประกาศของพระเจ้าผู้เป็นนาย และบรรดาผู้ที่ได้ยินพระองค์ ก็ได้รับรองว่าเป็นความจริง 4ทั้งนี้พระเจ้าก็เป็นพยานด้วย โดยแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และโดยการอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ และโดยของประทานจากพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ตามความประสงค์ของพระองค์
5เพราะว่าพระองค์ไม่ได้มอบโลกใหม่ ซึ่งเรากล่าวถึงนั้นให้อยู่ใต้บังคับของเหล่าทูตสวรรค์ 6แต่มีคนกล่าวเป็นพยานในบางแห่งว่า “มนุษย์เป็นผู้ใดเล่าซึ่งพระองค์ระลึกถึงเขา และบุตรมนุษย์เป็นผู้ใดซึ่งพระองค์เยี่ยมเยียนเขา 7พระองค์ทำให้เขาต่ำกว่าพวกทูตสวรรค์เพียงชั่วระยะหนึ่ง และพระองค์มอบสง่าราศี กับเกียรติเป็นมงกุฎให้แก่เขา 8พระองค์มอบสิ่งทั้งปวงให้อยู่ภายใต้เท้าของเขา” ในการซึ่งพระองค์มอบสิ่งทั้งปวงให้อยู่ใต้อำนาจของเขานั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่ไม่อยู่ใต้อำนาจของเขา และขณะนี้ เรายังไม่เห็นว่าทุกสิ่งอยู่ใต้อำนาจของเขา 9แต่เราก็เห็นพระเยซู ผู้ซึ่งพระเจ้าทำให้พระองค์ต่ำกว่าทูตสวรรค์เพียงชั่วระยะหนึ่งนั้น พระองค์ได้รับสง่าราศีและพระเกียรติเป็นมงกุฎ เพราะที่พระองค์ตายด้วยความทุกข์ทรมาน ทั้งนี้โดยพระคุณของพระเจ้า พระองค์จะได้ตายเพื่อมนุษย์ทุกคน 10ด้วยว่าในการที่พระเจ้าจะพาลูกชายลูกหญิงเป็นอันมากถึงศักดิ์ศรีนั้น ก็สมอยู่แล้วที่พระองค์ผู้เป็นเจ้าของสิ่งสารพัด และผู้บันดาลให้สิ่งสารพัดเกิดขึ้น จะให้ผู้ที่เป็นนายแห่งความหลุดพ้นของเขานั้นได้ถึงที่สำเร็จโดยการทนทุกข์ทรมาน 11เพื่อว่าทั้งพระองค์ผู้ชำระคนเหล่านั้นให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่สอง และคนเหล่านั้นที่ได้รับการชำระ ก็มาจากแหล่งเดียวกัน เพราะเหตุนั้นพระองค์จึงไม่ละอายที่จะเรียกเขาเหล่านั้นว่า เป็นพี่น้อง
12ดังที่พระองค์กล่าวว่า “เราจะประกาศนามของพระองค์แก่พี่น้องของเรา เราจะสรรเสริญพระองค์ในท่ามกลางที่ชุมชน” 13และกล่าวอีกว่า “เราจะไว้วางใจในพระองค์” ทั้งกล่าวอีกว่า “ดูเถิด ตัวเรากับลูกของเรา ซึ่งพระเจ้าประทานแก่เราอยู่ที่นี่แล้ว” 14เหตุฉะนั้น ครั้นลูกทั้งหลายมีเนื้อและเลือดอยู่แล้ว พระองค์ก็ได้มีเนื้อและเลือดเหมือนกัน เพื่อโดยความตายนั้น พระองค์จะได้ทำลายมารผู้ที่มีอำนาจแห่งความตาย 15และจะได้ปลดปล่อยเขาเหล่านั้นให้พ้นจากการเป็นทาสตลอดชีวิต เนื่องจากกลัวความตาย 16ความจริง พระองค์ไม่ได้ช่วยบรรดาทูตสวรรค์ แต่ช่วยพงศ์พันธุ์ของอับราฮัม 17เหตุฉะนั้น พระองค์จึงต้องเป็นเหมือนกับพี่น้องทุกอย่าง เพื่อจะได้เป็นมหาปุโรหิต ผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา และความซื่อสัตย์ ในการกระทำทุกอย่างต่อพระเจ้า เพื่อลบล้างบาปของประชาชน 18เพราะเหตุที่พระองค์ได้ทนทุกข์ทรมาน และถูกทดลอง พระองค์จึงสามารถช่วยผู้ที่ถูกทดลองได้
1เหตุฉะนั้น พี่น้องที่เป็นวิมุตติชนทั้งหลาย ผู้เข้าส่วนด้วยกันในการทรงเรียกซึ่งมาจากสวรรค์นั้น จงพิจารณาดูพระเยซู และผู้เป็นมหาปุโรหิตที่เราเราประกาศว่าเชื่อ 2พระองค์สัตย์ซื่อต่อพระเจ้าผู้แต่งตั้งพระองค์ไว้ เหมือนอย่างโมเสสได้สัตย์ซื่อในชุมชนของพระเจ้า 3แต่ถึงกระนั้นพระเยซูก็สมควรได้รับเกียรติมากกว่าโมเสส เช่นเดียวกับผู้สร้างบ้านย่อมมีเกียรติยศมากกว่าบ้านนั้น 4เพราะว่าบ้านทุกหลังต้องมีผู้สร้าง แต่ว่าผู้สร้างสิ่งทั้งปวงก็คือพระเจ้า 5ฝ่ายโมเสสนั้นสัตย์ซื่อในชุมชนทั้งสิ้นของพระเจ้า ในฐานะผู้รับใช้ เพื่อจะได้เป็นพยานในเรื่องต่าง ๆ ที่พระเจ้ากล่าวในภายหลัง 6แต่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์นั้นในฐานะที่เป็นพระโอรส ผู้มีอำนาจเหนือชุมชนของพระเจ้า และเราก็เป็นชุมชนนั้น หากเพียงแต่เราจะยึดความมั่นใจ และความภูมิใจในความหวังนั้นไว้
7เหตุฉะนั้น ตามที่พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กล่าวว่า “วันนี้ ถ้าท่านทั้งหลายจะได้ยินเสียงของพระองค์ 8อย่าให้จิตใจของท่านดื้อรั้นไปเหมือนอย่างในครั้งกบฏนั้น ในวันที่ถูกทดสอบในถิ่นทุรกันดาร 9เมื่อบรรพบุรุษของท่านทดสอบเรา โดยเอาเราเข้าพิสูจน์ และได้เห็นกิจการของเราถึงสี่สิบปี 10เพราะเหตุนั้นเราจึงโกรธคนในยุคนั้น” และว่า “ใจของเขาหลงผิดอยู่เสมอ พวกเขาไม่รู้จักทางของเรา” 11ดังนั้นเราจึงให้คำมั่นสัญญาด้วยความโกรธของเราว่า “เขาจะไม่ได้เข้าสู่การหยุดพักของเรา” 12นี่แน่ะ พี่น้องทั้งหลาย จงระวังให้ดี เพื่อจะไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดในพวกท่านมีใจชั่วและไม่เชื่อ แล้วก็หลงไปจากพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ 13ท่านจงเตือนสติกันและกันทุกวัน ตลอดเวลาที่เรียกว่า วันนี้ เพื่อว่าจะไม่มีผู้ใดในพวกท่านมีใจดื้อรั้นไปเพราะเล่ห์กลของบาป ที่อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชสา 14เพราะเรามีส่วนร่วมกับพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ถ้าเราเพียงแต่ยึดความมั่นใจที่เรามีอยู่ ในตอนต้นไว้ให้มั่นคงจนถึงที่สุด
15ดังมีคำกล่าวที่ว่า “วันนี้ ถ้าท่านทั้งหลายจะได้ยินเสียงของพระองค์ อย่าให้จิตใจของท่านดื้อรั้นไปอย่างในการกบฏครั้งนั้น” 16ใครเล่าที่ได้ยินแล้วแต่ยังกบฏ? ก็คือ ทุกคนที่โมเสสนำออกจากอียิปต์มิใช่หรือ? 17และใครเล่าที่พระองค์ได้โกรธตลอดสี่สิบปีนั้น ก็คนเหล่านั้นที่ทำบาป และซากศพของเขาก็ถูกทิ้งอยู่ในถิ่นทุรกันดารมิใช่หรือ? 18และแก่ใครเล่าที่พระองค์ได้ให้คำมั่นสัญญาว่า เขาจะไม่ได้เข้าสู่การหยุดพักของพระองค์ ก็คนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อมิใช่หรือ? 19เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นว่า เขาไม่สามารถเข้าไปสู่การหยุดพันนั้นได้ เพราะพวกเขาไม่ได้เชื่อ
1เหตุฉะนั้น เมื่อมีคำสัญญาที่ให้ไว้แล้วว่า จะให้เข้าสู่การหยุดพักของพระองค์ ก็ให้เราทั้งหลายระมัดระวัง มิฉะนั้นอาจจะมีบางคนในพวกท่านไปไม่ถึง 2เพราะว่าเราได้รับข่าวดีเช่นเดียวกับพวกเขา แต่ข่าวที่ได้ยินนั้นไม่เป็นประโยชน์แก่เขา เพราะพวกเขาไม่เชื่อ 3ส่วนเราทั้งหลายที่เชื่อแล้วก็ได้เข้าสู่การหยุดพัก ดังที่พระองค์ได้กล่าวว่า “ตามที่เราได้ให้คำมั่นสัญญาด้วยความโกรธว่า พวกเขาจะไม่ได้เข้าสู่การหยุดพักของเรา” แม้ว่างานนั้นสำเร็จแล้วตั้งแต่สร้างโลก 4และมีข้อหนึ่งที่พระองค์ได้กล่าวถึงวันที่เจ็ดดังนี้ว่า “ในวันที่เจ็ดพระเจ้าพักการงานทั้งสิ้นของพระองค์” 5และในข้อนั้นก็กล่าวอีกว่า “เขาจะไม่ได้เข้าสู่การหยุดพักของเรา” 6ที่จริงยังมีทางให้บางคนเข้าสู่การหยุดพักนั้น แต่คนเหล่านั้นที่ได้ยินข่าวดีคราวก่อนไม่ได้เข้า เพราะเขาไม่เชื่อฟัง 7ดังนั้นพระองค์ได้กำหนดไว้อีกวันหนึ่งคือ วันนี้ ตามที่พระองค์ได้กล่าวทางดาวิดในเวลาหลายปีต่อมา ถึงข้อที่เคยอ้างมาแล้วว่า “วันนี้ถ้าท่านทั้งหลายได้ยินเสียงของพระองค์อย่าให้จิตใจของท่านดื้อรั้น” 8เพราะว่าถ้าโยชูวาได้พาพวกเขาเข้าสู่การหยุดพักนั้นแล้ว พระองค์ก็คงไม่ได้กล่าวในภายหลังถึงวันอื่นอีก 9ฉะนั้นจึงยังมีการหยุดพักในวันศีลสำหรับประชากรของพระเจ้า 10เพราะว่าคนใดที่ได้เข้าไปสู่การหยุดพักของพระองค์แล้ว ก็ได้หยุดการงานของตน เหมือนพระเจ้าได้หยุดจากพระราชกิจของพระองค์
11เหตุฉะนั้น ขอให้เราพยายามเข้าสู่การหยุดพักนั้น เพื่อจะไม่มีผู้คนหนึ่งคนใดพลาดไป ทำตามอย่างคนที่ไม่เชื่อฟังเหล่านั้น 12เพราะว่า พระคำของพระเจ้านั้นมีชีวิต และฤทธานุภาพอยู่เสมอ คมยิ่งกว่าดาบสองคมใด ๆ แทงทะลุกระทั่งแยกจิต และวิญญาณ ทั้งข้อกระดูก และไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิด และความมุ่งหมายในใจด้วย 13ไม่มีสิ่งทรงสร้างใดใดถูกปิดซ่อนไว้จากพระองค์ แต่ตรงกันข้ามทุกสิ่งก็ปรากฏแจ้งต่อสายตาของพระองค์ ผู้ซึ่งเราต้องถวายรายงานด้วยด้วย
14เหตุฉะนั้นเมื่อเรามีมหาปุโรหิตผู้เป็นใหญ่ที่ผ่านฟ้าสวรรค์ไปแล้ว คือพระเยซูพระโอรสของพระเจ้า ขอให้เราทั้งหลายมั่นคงในการยอมรับของเราไว้ 15เพราะว่าเราไม่ได้มีมหาปุโรหิตที่ไม่สามารถจะเห็นใจในความอ่อนแอของเรา แต่ได้ถูกทดสอบเหมือนอย่างเราทุกประการ ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังไม่มีบาป 16ฉะนั้นขอให้เราทั้งหลายจงมีใจกล้าเข้ามาถึงพระที่นั่งแห่งพระคุณ เพื่อเราจะได้รับความเมตตา และจะได้พบพระคุณที่จะช่วยเราในขณะที่เราต้องการ
1ฝ่ายมหาปุโรหิตทุกคนที่เลือกมาจากมนุษย์ ได้แต่งตั้งไว้สำหรับมนุษย์ในบรรดาการซึ่งเกี่ยวกับพระเจ้า เพื่อท่านจะได้นำเครื่องบรรณาการ และเครื่องบูชามาถวายเพราะความบาป 2ท่านผู้นั้นมีใจเมตตากรุณาคนโง่ และคนหลงผิดได้ เพราะท่านเองก็มีความอ่อนกำลังอยู่รอบตัวด้วย 3เหตุฉะนั้นท่านต้องถวายเครื่องบูชาเพราะความบาปเพื่อคนทั้งปวงฉันใด ท่านจึงต้องถวายเพื่อตัวเองด้วยฉันนั้น 4และไม่มีผู้ใดตั้งตนเองเป็นปุโรหิตได้ นอกจากพระเจ้าทรงเรียกเหมือนอย่างเรียกอาโรน
5ในทำนองเดียวกัน พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ก็ไม่ได้ยกย่องพระองค์เองขึ้นเป็นมหาปุโรหิต แต่เป็นโดยพระเจ้า ผู้ได้กล่าวกับพระองค์ว่า “เจ้าเป็นลูกของเรา วันนี้เราให้กำเนิดเจ้าแล้ว” 6เหมือนพระองค์ได้กล่าวไว้อีกแห่งหนึ่งว่า “เจ้าเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์ตามอย่างของเมลคีเซเดค”
7ฝ่ายพระเยซู ขณะเมื่อพระองค์อยู่ในสภาพของเนื้อหนังนั้น พระองค์ได้อธิษฐานและสวดอ้อนวอนด้วยน้ำตาไหล ต่อพระเจ้าผู้สามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้ และพระเจ้าได้ยิน เพราะพระองค์ได้เกรงกลัวต่อพระเจ้า 8ถึงแม้ว่าพระองค์เป็นพระโอรส พระองค์ก็เรียนรู้ที่จะนอบน้อมยอมเชื่อฟัง โดยความทุกข์ลำบากที่พระองค์ได้ทนเอา 9และเมื่อพระเยซูถูกทำให้เพียบพร้อมทุกประการแล้ว พระองค์ก็เป็นแหล่งกำเนิดความหลุดพ้นตลอดไปชั่วนิรันดร์สำหรับคนทั้งปวงที่เชื่อฟังพระองค์ 10โดยพระเจ้าได้ตั้งพระเยซูให้เป็นมหาปุโรหิต ตามอย่างของเมลคีเซเดค 11เรื่องเกี่ยวกับมหาปุโรหิตนั้นมีมาก และยากที่จะอธิบายให้เข้าใจได้ เพราะว่าท่านทั้งหลายกลายเป็นคนหูตึงเสียแล้ว 12ถึงแม้ว่าขณะนี้ท่านทั้งหลายควรจะเป็นครูได้แล้ว แต่ท่านก็ต้องให้คนอื่นสอนท่านอีกในเรื่องหลักเบื้องต้นแห่งพระคำของพระเจ้า และท่านทั้งหลายกลายเป็นคนที่ยังต้องกินน้ำนม ไม่ใช่อาหารแข็ง 13เพราะว่าทุกคนที่ยังกินน้ำนมนั้น ก็ยังไม่เข้าใจในพระคำแห่งความชอบธรรม เพราะเขายังเป็นเด็กอยู่ 14แต่อาหารแข็งนั้นเป็นอาหารสำหรับผู้ใหญ่ คือผู้ที่เคยฝึกหัดความคิดของเขาจนสังเกตได้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว
1เหตุฉะนั้นให้เราผ่านหลักคำสอนเบื้องต้นของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ไว้ และให้เราก้าวไปให้ถึงความบริบูรณ์ อย่าเอาสิ่งเหล่านี้มาวางเป็นรากอีกเลย คือการกลับใจใหม่จากการประพฤติที่ตายแล้ว และความเชื่อในพระเจ้า 2และคำสอนว่าด้วยพิธีมุดน้ำ และการปรกมือ และการเป็นขึ้นมาจากตาย และการพิพากษาลงโทษเป็นนิตย์นั้น 3ถ้าพระเจ้าจะอนุญาต เราก็จะกระทำอย่างนี้ได้ 4เพราะว่าคนเหล่านั้นที่ได้รับความสว่างมาครั้งหนึ่งแล้ว และได้รู้รสของประทานจากสวรรค์ ได้มีส่วนในพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ 5และได้รู้รสของความดีงามแห่งพระคำของพระเจ้า และฤทธิ์เดชแห่งยุคที่จะมานั้น 6ถ้าเขาเหล่านั้นจะหลงอยู่อย่างนี้ ก็เหลือวิสัยที่จะให้เขากลับใจใหม่อีกได้ เพราะตัวเขาเองได้ตรึงพระบุตรของพระเจ้าเสียอีกแล้ว และได้ทำให้พระองค์ขายหน้าต่อคนเป็นอันมาก 7ด้วยว่าพื้นแผ่นดินที่ได้ดูดดื่มน้ำฝนที่ตกลงมาเนือง ๆ และงอกขึ้นมาเป็นต้นผักให้ประโยชน์แก่คนทั้งหลายที่ได้พรวนดินด้วยนั้น ก็รับพระพรมาจากพระเจ้า 8แต่ดินที่งอกหนามใหญ่และหนามย่อยก็ถูกทอดทิ้ง และเกือบจะถึงที่สาปแช่งแล้ว ซึ่งในที่สุดก็จะถูกเผาไฟเสีย
9แต่ดูก่อนท่านที่รัก แม้เราพูดอย่างนั้น เราก็เชื่อแน่ว่าท่านทั้งหลายคงจะได้สิ่งที่ดีกว่านั้น และสิ่งซึ่งเกี่ยวกับความหลุดพ้น 10เพราะว่าพระเจ้ายุติธรรม จะไม่ลืมการงาน และการทำงานหนักด้วยความเอาใจใส่ซึ่งท่านได้แสดงต่อนามของพระองค์ คือการรับใช้วิมุตติชนนั้น และยังรับใช้อยู่ 11และเราอยากให้ท่านทั้งหลายทุกคนแสดงความตั้งใจจริง ให้มั่นใจอย่างเต็มในความหวัง จนกว่าจะประสบผลสำเร็จ 12เพื่อท่านจะไม่เป็นคนเฉื่อยชา แต่ให้ตามอย่างคนเหล่านั้นที่อาศัยความเชื่อ และความเพียร จึงได้รับคำสัญญาเป็นมรดก 13เพราะว่าเมื่อพระเจ้าได้สัญญาไว้กับอับราฮัมนั้น โดยเหตุที่ไม่มีใครเป็นใหญ่กว่าพระองค์ ที่พระองค์จะให้คำมั่นสัญญาได้นั้น พระองค์ก็ได้ทรงให้คำมั่นสัญญาแก่พระองค์เอง 14คือพระองค์กล่าวว่า “เราจะอวยพรเจ้าเป็นแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น”
15เช่นนั้นแหละ เมื่ออับราฮัมได้ทนคอยด้วยความเพียรแล้ว ท่านก็ได้รับตามคำสัญญานั้น 16ส่วนมนุษย์นั้นต้องให้คำมั่นสัญญาต่อหน้าผู้ที่เป็นใหญ่กว่าตน และเมื่อเกิดข้อทุ่มเถียงอะไรกันขึ้น ก็ต้องถือคำมั่นสัญญานั้นเป็นคำยืนยันขั้นเด็ดขาด 17ฝ่ายพระเจ้า เมื่อพระองค์ตั้งใจจะสำแดงให้ผู้ที่รับคำสัญญานั้นเป็นมรดกรู้ให้แน่ใจยิ่งขึ้นว่า ความคิดของพระองค์จะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ พระองค์จึงได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ด้วย 18เพื่อสองประการนั้นเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ในที่ซึ่งพระองค์จะพูดโกหกไม่ได้นั้น เราซึ่งได้หนีมาหาที่ลี้ภัยนั้นจึงจะได้รับการให้กำลังใจอย่างจริงจัง ที่จะฉวยเอาความหวังซึ่งมีอยู่ตรงหน้าเรา 19ความหวังนั้นเรายึดไว้ต่างสมอเรือของจิตวิญญาณ เป็นความหวังทั้งแน่ และมั่นคง และได้ทอดสมอไว้ภายในม่าน 20ที่พระเยซูผู้นำหน้าได้เข้าไปก่อนเพื่อเราแล้ว เพราะพระองค์ได้รับการแต่งตั้งเป็นมหาปุโรหิตเป็นนิตย์ตามอย่างเมลคีเซเดค
1เพราะเมลคีเซเดคผู้นี้คือกษัตริย์เมืองซาเลม เป็นปุโรหิตของพระเจ้าผู้สูงสุด ผู้ได้พบอับราฮัม ขณะที่กำลังกลับมาจากการทำสงครามกับกษัตริย์ทั้งหลายนั้น และได้อวยพรแก่อับราฮัม 2อับราฮัมก็ได้ถวายของเป็นสิบเปอร์เซ็นต์ของสิ่งทั้งปวงแก่เมลคีเซเดค ตอนแรกเมลคีเซเดคนั้น แปลว่ากษัตริย์แห่งความชอบธรรม แล้วภายหลังก็เป็นกษัตริย์เมืองซาเลมด้วย ซึ่งคือกษัตริย์แห่งสันภาพและสันติสุข 3พ่อแม่และตระกูลของท่านก็ไม่มี วันเกิดวันตายก็เช่นกัน แต่เป็นเหมือนพระโอรสของพระเจ้า เมลคีเซเดคนั้นแหละดำรงอยู่เป็นปุโรหิตตลอดไปชั่วนิรันดร์
4จงคิดดูเถิด ท่านผู้นี้ยิ่งใหญ่เพียงไร ที่อับราฮัมผู้เป็นต้นตระกูลของเรานั้น ยังได้นำสิบเปอร์เซ็นต์แห่งของริบนั้นมามอบให้แก่ท่าน 5และแท้จริงบรรดาเชื้อสายของเลวี ซึ่งได้รับตำแหน่งปุโรหิตนั้น ถึงแม้ว่าท่านเหล่านั้นได้สืบเชื่อสายจากอับราฮัม ก็ยังมีคำสั่งให้รับสิบเปอร์เซ็นต์จากบรรดาประชากรตามพระบัญญัติ คือจากพวกพี่น้องของตน 6แต่เมลคีเซเดคผู้นี้ไม่ใช่เชื้อสายพวกเขา แต่ก็ยังได้รับสิบเปอร์เซ็นต์จากอับราฮัม และได้อวยพรให้อับราฮัมผู้ที่ได้รับคำสัญญาของพระเจ้า 7สิ่งที่ค้านไม่ได้ คือผู้น้อยต้องรับพรจากผู้ใหญ่ 8อีกประการหนึ่ง ในกรณีของปุโรหิตเผ่าเลวีนั้น มนุษย์ที่ต้องตายเป็นผู้รับสิบเปอร์เซ็นต์ แต่ในกรณีของเมลคีเซเดคผู้ที่รับสิบเปอร์เซ็นต์นั้น มีหลักฐานในพระคัมภีร์ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ 9ถ้าจะพูดไปอีกอย่างหนึ่งก็ว่า เลวีนั้นที่รับสิบเปอร์เซ็นต์ ก็ยังได้ถวายสิบเปอร์เซ็นต์ ทางอับราฮัม 10เพราะว่าขณะนั้นเขายังอยู่ในสายเลือดของบรรพบุรุษ ขณะที่เมลคีเซเดคได้พบกับอับราฮัม
11อย่างไรก็ดี ถ้าพวกปุโรหิตเผ่าเลวีนำมนุษย์มาสู่พระเจ้าได้ ด้วยว่าประชาชนได้รับธรรมบัญญัติโดยระบบนี้ ไฉนจะต้องมีปุโรหิตอีกตามแบบอย่างของเมลคีเซเดค แทนพวกปุโรหิตตามแบบอย่างของอาโรนเล่า 12เพราะเมื่อตำแหน่งปุโรหิตเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ธรรมบัญญัติก็จำเป็นจะต้องเปลี่ยนแปลงไปด้วย 13เพราะว่าท่านที่เรากล่าวถึงนั้นมาจากตระกูลอื่น ซึ่งเป็นตระกูลที่ยังไม่มีผู้ใดเคยทำหน้าที่รับใช้ที่แท่นบูชาเลย 14เพราะเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรานั้นได้สืบเชื้อสายมาจากตระกูลยูดาห์ โมเสสไม่ได้ว่าจะมีปุโรหิตมาจากตระกูลนั้นเลย
15และข้อนี้ประจักษ์ชัดยิ่งขึ้นอีก เมื่อปรากฏว่ามีปุโรหิตอีกผู้หนึ่งเกิดขึ้นตามอย่างของเมลคีเซเดค 16ซึ่งไม่ได้ตั้งขึ้นตามบัญญัติที่เป็นเรื่องเชื้อสาย แต่เป็นเรื่องตามฤทธิ์เดชแห่งชีวิตอันไม่เสื่อมสิ้นสลายได้เลย 17เพราะมีพยานกล่าวถึงท่านว่า “ท่านเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์ตามอย่างของเมลคีเซเดค” 18ด้วยว่าจริง ๆ แล้วพระบัญญัติที่มีอยู่เดิมนั้น ก็ได้ยกเลิกไปแล้ว เพราะขาดฤทธิ์เดชและไร้ประโยชน์ 19เพราะว่าธรรมบัญญัตินั้นไม่สามารถนำมนุษย์มารสู่พระเจ้าได้ แต่ได้นำความหวังอันดีกว่าเข้ามา และโดยความหวังนั้นเราทั้งหลายจึงเข้ามาใกล้พระเจ้า
20ที่ว่าดีกว่านั้นก็เพราะว่า ปุโรหิตคนนั้นได้ตั้งขึ้นโดยคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ 21บรรดาปุโรหิตเหล่านั้นไม่มีการกล่าวคำมั่นสัญญา เมื่อเขาเข้ารับตำแหน่ง แต่ส่วนปุโรหิตใหม่นี้มีคำมั่นสัญญาจากพระองค์ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ให้คำมั่นสัญญาแล้ว และจะไม่เปลี่ยนใจของพระองค์ว่า ‘ท่านเป็นปุโรหิตเป็นนิตย์ตามอย่างของเมลคีเซเดค’” 22พระเยซูเป็นผู้รับประกันพันธสัญญาอันดีกว่านั้นสักเพียงใด
23ส่วนปุโรหิตเผ่าเลวีเหล่านั้นก็ได้ตั้งขึ้นไว้หลายคน เพราะว่าความตายได้ขัดขวางไม่ให้ดำรงอยู่ในตำแหน่งตลอดไป 24แต่พระเยซูนี้ พระองค์ดำรงตำแหน่งปุโรหิตตลอดกาล เพราะพระองค์ดำรงอยู่เป็นนิตย์ 25ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงมีความสามารถเป็นนิตย์ ที่จะช่วยคนทั้งปวงที่ได้เข้ามาถึงพระเจ้าโดยทางพระองค์นั้น ให้ได้รับความหลุดพ้น เพราะว่าพระองค์มีชีวิตอยู่เป็นนิตย์ เพื่อขอความกรุณาให้แก่คนเหล่านั้น
26มหาปุโรหิตเช่นนี้แหละที่เหมาะสำหรับเรา คือเป็นผู้บริสุทธิ์ ปราศจากอุบาย ไร้มลทิน แยกจากคนบาปทั้งปวง ประทับอยู่สูงกว่าฟ้าสวรรค์ 27พระองค์ไม่ต้องนำเครื่องบูชามาทุกวัน ๆ ดังเช่นมหาปุโรหิตอื่น ๆ ผู้ซึ่งถวายสำหรับความผิดของตัวเองก่อน แล้วจึงถวายสำหรับความผิดของประชาชน ส่วนพระองค์ได้ถวายเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียว คือเมื่อพระองค์ได้ถวายพระองค์เอง 28ด้วยว่าธรรมบัญญัตินั้นได้แต่งตั้งมนุษย์ที่อ่อนกำลังขึ้นเป็นมหาปุโรหิต แต่คำมั่นสัญญานั้นซึ่งมาภายหลังธรรมบัญญัติ ได้แต่งตั้งพระโอรสขึ้น ผู้ถึงความสำเร็จเป็นนิตย์
1บัดนี้ ในเรื่องที่เราพูดมาแล้วนั้น ข้อสรุปนั้นคือว่า เรามีมหาปุโรหิตอย่างนี้เอง ผู้ได้นั่งอยู่เบื้องขวาพระที่นั่งแห่งผู้ทรงเดชานุภาพในสวรรค์ 2เป็นผู้ปฏิบัติกิจในสถานบริสุทธิ์ และในพลับพลาแท้ ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตั้งไว้ ไม่ใช่มนุษย์ตั้ง 3เพราะว่ามหาปุโรหิตทุกคนได้รับการแต่งตั้งให้ถวายทั้งเครื่องบูชา และของถวาย ฉะนั้นมหาปุโรหิตองค์นี้ทรงจำเป็นต้องมีสิ่งที่จะถวายด้วย 4ถ้าพระองค์อยู่ในโลก พระองค์ก็จะไม่ได้เป็นปุโรหิต เพราะว่ามีปุโรหิตที่ถวายของกำนัลตามธรรมบัญญัติอยู่แล้ว 5ปุโรหิตเหล่านั้นปฏิบัติตามแบบ และเงาแห่งสิ่งเหล่านั้นที่อยู่ในสวรรค์ เหมือนพระเจ้าได้สั่งแก่โมเสส เมื่อท่านจะสร้างพลับพลานั้นว่า “ดูเถิด จงทำทุกสิ่งตามแบบอย่างที่เราแจ้งแก่เจ้าบนภูเขา” 6แต่ว่าพระองค์ได้เป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาอันยอดเยี่ยมกว่าเดิม เพราะได้ตั้งขึ้นโดยคำสัญญาอันดีกว่าเดิทเท่าใด บัดนี้พระองค์ก็ได้ตำแหน่งอันดีกว่าเดิมเท่านั้น 7เพราะว่าถ้าพันธสัญญาเดิมนั้นไม่มีข้อบกพร่องแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมีพันธสัญญาที่สองอีก
8ด้วยว่าพระเจ้าได้กล่าวติเขาว่า “พระเจ้าผู้เป็นนายกล่าวว่า ‘ดูเถิด วันเวลาจะมาถึง ซึ่งเราจะทำพันธสัญญาใหม่กับวงศ์วานอิสราเอล และวงศ์วานยูดาห์ 9ไม่เหมือนกับพันธสัญญาซึ่งเราได้กระทำกับบรรพบุรุษของเขาทั้งหลาย เมื่อเราจูงมือเขาเพื่อนำเขาออกจากแผ่นดินอียิปต์ เพราะว่าเขาเหล่านั้นไม่ได้ตั้งมั่นอยู่ในพันธสัญญาของเราอีกต่อไปแล้ว เราจึงได้ละเขาไว้’” พระเจ้าผู้เป็นนายกกล่าวดังนี้แหละ 10นี่คือพันธสัญญาซึ่งเราจะกระทำกับวงศ์วานอิสราเอลภายหลังสมัยนั้น พระเจ้าผู้เป็นนายกกล่าวว่า “เราจะบรรจุบัญญัติของเราไว้ในจิตใจของเขาทั้งหลาย และจะจารึกมันไว้ที่ในดวงใจของเขาทั้งหลาย และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นประชากรของเรา 11และทุกคนจะไม่สอนเพื่อนบ้านของตนและพี่น้องของตนแต่ละคนอีกว่า ‘จงรู้จักพระเจ้าผู้เป็นนายก’ เพราะเขาทั้งหลายจะรู้จักเราหมด ตั้งแต่คนต่ำต้อยที่สุดถึงคนใหญ่โตที่สุด 12เพราะเราจะกรุณาต่อการความชั่วช้าของเขา และจะไม่จดจำบาปและความชั่วช้าของเขาอีกต่อไป” 13เมื่อพระองค์กล่าวถึง “พันธสัญญาใหม่” พระองค์ถือว่า พันธสัญญาเดิมนั้นพ้นสมัยไปแล้ว และสิ่งที่พ้นสมัยและเก่าไปแล้วนั้น ก็พร้อมที่จะเสื่อมสูญไป
1แท้จริง ถึงแม้พันธสัญญาเดิมนั้นก็ยังได้มีกฎสำหรับการรับใช้ในพิธีนมัสการ และได้มีสถานอันบริสุทธิ์สำหรับโลกนี้ 2เพราะว่าได้มีพลับพลาสร้างขึ้นตกแต่งเสร็จแล้ว คือห้องชั้นนอก ซึ่งมีเชิงเทียน โต๊ะ และขนมปังศักดิ์สิทธิ์ ห้องนี้เรียกว่าที่บริสุทธิ์ 3และภายในม่านชั้นที่สองมีห้องพลับพลาซึ่งเรียกว่า ที่บริสุทธิ์ที่สุด 4ห้องนั้นมีแท่นทองคำสำหรับถวายเครื่องหอม และมีหีบพันธสัญญาหุ้มด้วยทองคำทุกด้าน ในหีบนั้นมีโถทองคำใส่มานา และมีไม้เท้าของอาโรนที่ออกช่อ และมีแผ่นศิลาที่จารึกพันธสัญญา 5และเหนือหีบนั้นมีรูปทูตสวรรค์แห่งสง่าราศีคลุมพระที่นั่งพระกรุณานั้น สิ่งเหล่านี้เราจะพรรณนาให้ละเอียดในที่นี้ไม่ได้
6แล้วเมื่อจัดตั้งสิ่งเหล่านี้ไว้อย่างนั้นแล้ว พวกปุโรหิตก็เข้าไปในพลับพลาหรือศาลของยาห์เวห์ห้องที่หนึ่งทุกครั้งที่รับใช้พระเจ้า 7แต่ในห้องที่สองนั้นมีมหาปุโรหิตผู้เดียวเท่านั้นที่เข้าไปได้ปีละครั้ง และต้องนำเลือดเข้าไปถวายเพื่อตัวเอง และเพื่อความผิดของประชาชนด้วย 8อย่างนั้นแหละ พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ได้สำแดงว่า ทางซึ่งจะเข้าไปในที่บริสุทธิ์ที่สุดนั้นไม่ได้ปรากฏแจ้ง คราวเมื่อพลับพลาเดิมยังตั้งอยู่ 9พลับพลาเดิมเป็นเครื่องเปรียบสำหรับในเวลานั้น คือมีการถวายของกำนัล และเครื่องบูชา ซึ่งจะกระทำให้ใจวินิจฉัยผิดและชอบของผู้ถวายนั้นถึงที่สำเร็จไม่ได้ 10ซึ่งเป็นแต่เพียงของกินของดื่ม และพิธีชำระล้างต่าง ๆ และเป็นพิธีสำหรับเนื้อหนังที่ได้บัญญัติไว้จนกว่าจะถึงเวลาที่จะต้องเปลี่ยนแปลงใหม่
11แต่เมื่อพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้มาเป็นมหาปุโรหิตแห่งสิ่งประเสริฐ ซึ่งจะมาถึงโดยทางพลับพลาอันใหญ่ยิ่งกว่า และสมบูรณ์ยิ่งกว่าแต่ก่อน ที่ไม่ได้สร้างขึ้นด้วยมือ และพูดได้ว่ามิได้เป็นอย่างของโลกนี้ 12พระองค์ได้เข้าไปในที่บริสุทธิ์เพียงครั้งเดียวเท่านั้น และพระองค์ไม่ได้นำเลือดแพะและเลือดลูกวัวเข้าไป แต่ทรงนำเลือดของพระองค์เองเข้าไป และทำการไถ่บาปให้แก่เราสำเร็จชั่วนิรันดร์ 13เพราะถ้าเลือดวัวตัวผู้และเลือดแพะ และเถ้าของลูกโคตัวเมีย ที่ประพรมลงบนคนบาป สามารถชำระเนื้อหนังให้บริสุทธิ์ได้ 14มากยิ่งกว่านั้นสักเท่าไรเลือดของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ โดยพระวิญญาณนิรันดร์ได้ถวายพระองค์เอง แด่พระเจ้าเป็นเครื่องบูชาอันปราศจากตำหนิ จะได้ชำระใจวินิจฉัยผิด และชอบของท่านทั้งหลายให้พ้นจากการประพฤติที่ตายแล้ว เพื่อจะได้ปฏิบัติพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่
15เพราะเหตุนี้พระองค์จึงเป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ เพื่อเมื่อมีผู้หนึ่งตายสำหรับที่จะไถ่การละเมิดของคนที่ได้ละเมิดต่อพันธสัญญาเดิมนั้นแล้ว คนทั้งหลายที่ถูกเรียกแล้วนั้นจะได้รับมรดกอันนิรันดร์ตามคำสัญญา 16เพราะว่าในกรณีที่เกี่ยวกับหนังสือพินัยกรรม ผู้ทำหนังสือนั้นก็ต้องถึงแก่ความตายแล้ว 17เพราะว่าเมื่อคนตายแล้วหนังสือพินัยกรรมนั้นจึงใช้ได้ มิฉะนั้นเมื่อผู้ทำยังมีชีวิตอยู่ หนังสือพินัยกรรมนั้นก็ใช้ไม่ได้ 18เหตุฉะนั้นพันธสัญญาเดิมก็ไม่ได้ตั้งขึ้นไว้โดยปราศจากเลือด 19เพราะว่าเมื่อโมเสสประกาศข้อบังคับทุกข้อแก่บรรดาประชากรตามธรรมบัญญัติแล้ว ท่านจึงได้เอาเลือดลูกวัว และเลือดลูกแพะกับน้ำ และเอาขนแกะสีแดง และต้นหุสบมาประพรมหนังสือม้วนนั้นกับทั้งบรรดาคนทั้งปวง 20กล่าวว่า “นี่เป็นเลือดแห่งพันธสัญญา ซึ่งพระเจ้าบัญญัติไว้แก่ท่านทั้งหลาย” 21แล้วท่านก็เอาเลือดประพรมพลับพลากับเครื่องใช้ทุกชนิดในการปฏิบัตินั้นเช่นเดียวกัน 22และตามธรรมบัญญัติถือว่า เกือบทุกสิ่งจะถูกชำระด้วยโลหิต และถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้ว ก็จะไม่มีการอภัยบาปเลย
23เหตุฉะนั้นจึงจำเป็นต้องชำระล้างแบบจำลองของสวรรค์ โดยใช้เครื่องบูชาอย่างนี้ แต่ว่าของจริงในสวรรค์นั้น ต้องชำระด้วยเครื่องบูชาที่ดีกว่าเครื่องบูชาเหล่านั้น 24เพราะว่าพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ไม่ได้เข้าในสถานที่บริสุทธิ์ซึ่งสร้างขึ้นด้วยมือมนุษย์ อันเป็นแบบจำลองจากของจริง แต่พระองค์ได้เข้าไปในสวรรค์นั้นเอง และบัดนี้ได้ปรากฏจำเพาะพระเจ้าเพื่อเราทั้งหลาย 25พระองค์ไม่ต้องทรงถวายพระองค์เองซ้ำอีก เหมือนอย่างมหาปุโรหิตที่เข้าไปในที่บริสุทธิ์ทุกปี ๆ นำเอาเลือดซึ่งไม่ใช่โลหิตของตัวเองเข้าไปด้วย 26มิฉะนั้นพระองค์คงต้องทนทุกข์ทรมานบ่อย ๆ ตั้งแต่สร้างโลกมา แต่ว่าเดี๋ยวนี้พระองค์ได้ปรากฏในเวลาที่สุดนี้ครั้งเดียว เพื่อจะได้กำจัดความบาปได้โดยถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชา 27มีข้อกำหนดสำหรับมนุษย์ไว้แล้วว่าจะต้องตายหนหนึ่ง และหลังจากนั้นก็จะมีการพิพากษาฉันใด 28พระผู้เป็นพระศรีอาริย์จึงต้องถวายพระองค์เองหนหนึ่ง เพื่อจะได้รับเอาความบาปของคนเป็นอันมาก แล้วพระองค์จะปรากฏครั้งที่สองปราศจากความบาปแก่บรรดาคนที่คอยพระองค์ให้เขาถึงความหลุดพ้นฉันนั้น
1โดยเหตุที่ธรรมบัญญัตินั้นได้เป็นแต่เงาของสิ่งดีที่จะมาภายหน้า มิใช่ตัวจริงของสิ่งนั้นทีเดียว ธรรมบัญญัตินั้นจะใช้เครื่องบูชาที่เขาถวายทุกปี ๆ เสมอมา กระทำให้ผู้ถวายสักการบูชานั้นถึงที่สะอาดหมดจดไม่ได้ 2เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นได้ เขาคงได้หยุดการถวายเครื่องบูชาแล้วมิใช่หรือ? เพราะถ้าผู้นมัสการนั้นได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ครั้งหนึ่งแล้ว เขาคงจะไม่รู้สึกว่ามีบาปอีกต่อไป 3แต่การถวายเครื่องบูชานั้นเป็นเหตุให้ระลึกถึงความบาปทุกปี ๆ 4เพราะเลือดวัวผู้และเลือดแพะไม่สามารถชำระความบาปได้
5ดังนั้นเมื่อพระองค์เข้ามาในโลกแล้ว พระองค์ได้กล่าวว่า “เครื่องสัตว์บูชาและเครื่องบูชาพระองค์ไม่ประสงค์ แต่พระองค์ได้จัดเตรียมกายสำหรับข้าฯ 6เครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาไถ่บาป พระองค์ไม่พอใจ” 7แล้วข้าฯบอกว่า “ดูเถิด ข้าฯมาแล้ว พระเจ้าข้า เพื่อจะกระทำตามใจของพระองค์” (ในหนังสือม้วนก็มีเขียนเรื่องของข้าฯ) 8เมื่อพระองค์กล่าวดังนี้แล้วว่า “เครื่องสัตว์บูชาและเครื่องบูชา และเครื่องเผาบูชาและเครื่องบูชาไถ่บาป พระองค์ไม่ประสงค์ และไม่พอใจ” ซึ่งเขาได้บูชาตามพระบัญญัตินั้น 9แล้วพระองค์จึงกล่าวว่า “นี่แน่ะ ข้าฯมาแล้ว พระเจ้าข้า เพื่อจะทำตามใจของพระองค์” พระองค์ยกเลิกระบบเดิมนั้นเสีย เพื่อจะตั้งระบบใหม่ 10ตามใจของพระองค์นั้นเองที่เราทั้งหลายได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยการถวายร่างกายของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์เพียงครั้งเดียวเท่านั้น
11ฝ่ายปุโรหิตทุกคนก็ยืนปฏิบัติอยู่ทุกวัน ๆ และนำเอาเครื่องบูชาอย่างเดียวกันมาถวายเนือง ๆ เครื่องบูชานั้นจะยกเอาความบาปไปเสียไม่ได้เลย 12ฝ่ายพระองค์นี้ ครั้นถวายเครื่องบูชาเพราะความบาปเพียงหนเดียวซึ่งใช้ได้เป็นนิตย์ ก็ไปอยู่เบื้องขวาของพระเจ้า 13ตั้งแต่นี้ไปพระองค์คอยอยู่จนถึงบรรดาศัตรูของพระองค์จะถูกปราบลงเป็นที่รองบาทของพระองค์ 14เพราะว่าโดยการถวายบูชาหนเดียว พระองค์ได้กระทำให้คนทั้งหลายที่ถูกชำระแล้วให้ถึงความสำเร็จเป็นนิตย์ 15และพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็เป็นพยานให้แก่เราด้วย เพราะว่าพระองค์ได้กล่าวไว้แล้วว่า 16“นี่คือพันธสัญญาซึ่งเราจะทำกับเขาทั้งหลายภายหลังสมัยนั้น” องค์พระผู้เป็นเจ้ากล่าว “เราจะบรรจุบัญญัติของเราไว้ในจิตใจของเขาทั้งหลาย และจะจารึกมันไว้ที่ในดวงใจของเขาทั้งหลาย 17และจะไม่จดจำบาปและความชั่วช้าของเขาอีกต่อไป” 18ดังนั้นเมื่อมีการลบบาปแล้ว ก็ไม่มีการถวายเครื่องบูชาไถ่บาปอีกต่อไป
19เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เมื่อเรามีใจกล้าที่จะเข้าไปในสถานศักดิ์สิทธิ์โดยเลือดของพระเยซู 20ตามทางใหม่และเป็นทางที่มีชีวิต ซึ่งพระองค์ได้เปิดออกสำหรับเราทั้งหลายโดยม่านนั้น คือร่างกายของพระองค์ 21และครั้นเรามีมหาปุโรหิตสำหรับประชากรของพระเจ้าแล้ว 22ก็ให้เราเข้ามาใกล้ด้วยใจจริง ด้วยความเชื่ออันเต็มเปี่ยม มีใจที่ถูกชำระให้พ้นจากการวินิจฉัยผิดและชอบที่ชั่วร้าย และมีกายที่ล้างชำระด้วยน้ำอันบริสุทธิ์ 23ให้เรายึดมั่นในความเชื่อที่เราทั้งหลายรับไว้นั้น โดยไม่หวั่นไหว (เพราะว่าพระองค์ผู้ประทานคำสัญญานั้นเป็นผู้สัตย์ซื่อ) 24และให้เราพิจารณาดูกันและกัน เพื่อเป็นเหตุให้มีความเมตตา และกระทำการดี 25ซึ่งเราเคยประชุมกันนั้นอย่าให้หยุด เหมือนอย่างบางคนเคยกระทำนั้น แต่จงเตือนสติกันและกัน และให้มากยิ่งขึ้นเมื่อท่านทั้งหลายเห็นวันเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว
26เมื่อเราได้รับความรู้เรื่องความจริงแล้ว แต่เรายังขืนทำผิดอีก เครื่องบูชาไถ่บาปก็จะไม่มีเหลืออยู่เลย 27แต่จะมีความหวาดกลัวในการรอคอยการพิพากษาโทษและไฟอันร้ายแรง ซึ่งจะเผาผลาญบรรดาคนที่ขัดขวางนั้นเสีย 28คนที่ได้ฝ่าฝืนธรรมบัญญัติของโมเสสนั้น ถ้ามีพยานสักสองสามปาก ก็จะต้องตายโดยปราศจากความเมตตา 29ท่านทั้งหลายคิดดูซิว่าคนที่เหยียบย่ำพระโอรสของพระเจ้า และดูหมิ่นเลือดแห่งพันธสัญญาซึ่งชำระเขาให้บริสุทธิ์ว่าเป็นสิ่งชั่วช้า และประมาทต่อพระวิญญาณผู้ทรงพระคุณ ควรจะถูกลงโทษมากยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด 30เพราะเรารู้จักพระองค์ผู้ได้กล่าวว่า “การแก้แค้นเป็นของเรา เราจะตอบสนอง องค์พระผู้เป็นเจ้าได้กล่าวไว้” และได้กล่าวอีกว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าจะพิพากษาประชากรของพระองค์” 31การตกอยู่ในอุ้งมือของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่นั้นเป็นที่น่าหวาดกลัว
32แต่ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงคราวก่อนนั้น หลังจากที่ท่านได้รับความสว่างแล้ว ท่านได้อดทนต่อความยากลำบากอย่างใหญ่หลวง 33บางทีท่านก็ถูกประจานให้อับอายขายหน้า และถูกข่มเหง บางทีท่านก็ร่วมทุกข์กับคนที่ถูกข่มเหงนั้น 34เพราะว่าท่านทั้งหลายมีใจเมตตาต่อข้าพเจ้า ในเมื่อข้าพเจ้าต้องถูกขังไว้ และเมื่อมีคนปล้นชิงเอาทรัพย์สิ่งของของท่านไป ท่านก็ยอมให้ด้วยใจยินดี เพราะท่านรู้แล้วว่า ท่านมีทรัพย์สมบัติที่ดีกว่าและถาวรกว่านั้นอีกในสวรรค์ 35เหตุฉะนั้นขออย่าได้ละทิ้งความไว้วางใจของท่าน ซึ่งมีบำเหน็จอันยิ่งใหญ่ 36ด้วยว่าท่านทั้งหลายต้องการความเพียร เพื่อว่าครั้นท่านกระทำตามใจของพระเจ้าจนกระทั่งสำเร็จได้ ท่านจะได้รับตามคำสัญญา 37“เพราะอีกไม่นานพระองค์ผู้จะเดินทางมาก็จะเดินทางมาและจะไม่ชักช้า 38แต่คนบุญจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ และถ้าผู้ใดเสื่อมถอย ใจของเราจะไม่มีความพอใจในคนนั้นเลย” 39แต่เราทั้งหลายไม่อยู่ฝ่ายคนเหล่านั้นที่กลับถอยหลังถึงความพินาศ แต่อยู่ฝ่ายคนเหล่านั้นที่เชื่อจนให้จิตวิญญาณถึงที่หลุดพ้น
1บัดนี้ ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง 2โดยความเชื่อนี้เอง พวกบรรพบุรุษก็ได้รับการรับรองจากพระเจ้า 3โดยความเชื่อนี้เอง เราจึงเข้าใจว่า พระเจ้าได้สร้างโลกจักรวาลด้วยคำพูดของพระองค์ ดังนั้นสิ่งที่มองเห็นจึงเป็นสิ่งที่เกิดจากสิ่งที่ไม่ปรากฏให้เห็น
4โดยความเชื่อ อาแบลนั้นจึงได้นำเครื่องบูชาที่ดีกว่าเครื่องบูชาของคาอินมาถวายแด่พระเจ้า เพราะเหตุเครื่องบูชานั้นจึงมีพยานว่าท่านเป็นคนบุญ คือพระเจ้าเป็นพยานแก่ของถวายของท่าน โดยความเชื่อนั้น แม้ว่าอาแบลตายแล้วท่านก็ยังพูดอยู่ 5โดยความเชื่อ เอโนคจึงถูกรับขึ้นไป เพื่อไม่ให้ท่านประสบกับความตาย ไม่มีผู้ใดพบท่าน เพราะพระเจ้ารับท่านไปแล้ว ก่อนที่รับท่านขึ้นไปนั้นมีพยานว่า ท่านเป็นที่พอใจของพระเจ้า 6แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอใจของพระองค์ก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาหาพระเจ้าได้นั้นต้องเชื่อว่าพระองค์มีชีวิตอยู่ และพระองค์เป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่ปลงใจแสวงหาพระองค์ 7โดยความเชื่อ เมื่อพระเจ้าเตือนโนอาห์ถึงเหตุการณ์ที่ยังไม่ปรากฏ ท่านมีใจเกรงกลัวจัดแจงต่อนาวา เพื่อช่วยครอบครัวของท่านให้รอด และด้วยเหตุนี้เอง ท่านจึงได้ปรับโทษแก่โลก และได้เป็นทายาทแห่งการเป็นคนบุญ ซึ่งเกิดมาจากความเชื่อ
8โดยความเชื่อ เมื่ออับราฮัมถูกเรียกให้ออกเดินทางไปยังที่ซึ่งท่านจะรับเป็นมรดก ท่านได้เชื่อ ฟังและได้เดินทางออกไปโดยหารู้ไม่ว่าจะไปทางไหน 9โดยความเชื่อ ท่านได้พำนักในแผ่นดินแห่งคำสัญญานั้น เหมือนอยู่ในดินแดนแปลกถิ่น คืออาศัยอยู่ในเพิงพักกับอิสอัค และยาโคบซึ่งเป็นทายาทด้วยกันกับท่านในคำสัญญาอันเดียวกันนั้น 10เพราะว่าท่านได้คอยอยู่เพื่อจะได้เมืองที่มีรากฐาน ซึ่งพระเจ้าเป็นนายช่าง และเป็นผู้สร้างขึ้น 11โดยความเชื่อ นางซาราห์เองเช่นกัน จึงได้รับพลังตั้งครรภ์ และได้คลอดลูกเมื่อชรามากแล้ว เพราะนางถือว่าพระองค์ผู้ได้ให้คำสัญญานั้นเป็นผู้สัตย์ซื่อ 12เหตุฉะนั้น คนเป็นอันมากดุจดาวบนท้องฟ้า และดุจเม็ดทรายที่ชายทะเล ซึ่งนับไม่ได้ ได้เกิดแต่ชายคนเดียว และชายคนนั้นก็เท่ากับคนที่ตายแล้วด้วย
13บรรดาคนเหล่านี้ได้ตายไปในระหว่างที่เชื่ออยู่ ยังไม่ได้รับผลตามคำสัญญาทั้งหลายนั้น แต่ได้แลเห็นคำสัญญาแต่ไกล 14เพราะคนที่พูดอย่างนี้ก็แสดงให้เห็นชัดแล้วว่า เขากำลังแสวงหาเมืองที่จะได้เป็นของเขา 15และแท้จริงถ้าเขาคิดถึงบ้านเมืองที่เขาจากมานั้น เขาก็คงจะมีโอกาสกลับไปได้ 16แต่บัดนี้เขาปรารถนาที่จะอยู่ในเมืองที่ดีกว่านั้น คือเมืองสวรรค์ เหตุฉะนั้นพระเจ้าจึงไม่ได้ละอาย เมื่อเขาเรียกพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าของเขา เพราะพระองค์ได้จัดเตรียมเมืองหนึ่งไว้สำหรับเขาแล้ว
17โดยความเชื่อ เมื่ออับราฮัมถูกลองใจ ก็ได้ถวายอิสอัคเป็นเครื่องบูชา นี่แหละผู้ได้รับคำสัญญานั้นไว้ก็ได้ถวายลูกชายคนเดียวของตน 18คือลูกที่มีคำกล่าวไว้ว่า “เขาจะสืบเชื้อสายของเจ้าทางสายอิสอัค” 19ท่านเชื่อว่าพระเจ้ามีฤทธิ์สามารถให้อิสอัคเป็นขึ้นมาจากความตายได้ และท่านได้รับลูกชายคนนั้นกลับคืนมาอีก ประหนึ่งว่าลูกนั้นเป็นขึ้นมาจากตาย 20โดยความเชื่อ อิสอัคได้อวยพรแก่ยาโคบ และเอซาว คือเกี่ยวกับเหตุการณ์ซึ่งจะเกิดขึ้นในภายหน้านั้น 21โดยความเชื่อ ยาโคบเมื่อจะตายได้อวยพรแก่ลูกชายทั้งสองของโยเซฟ และได้นมัสการขณะที่ค้ำอยู่บนหัวไม้เท้าของท่าน 22โดยความเชื่อ โยเซฟเมื่อกำลังจะตายได้กล่าวถึงการที่ชนชาติอิสราเอลจะออกไป และได้มีคำสั่งไว้เรื่องกระดูกของท่าน
23โดยความเชื่อ เมื่อโมเสสเกิดมาแล้ว พ่อแม่ได้ซ่อนท่านไว้ถึงสามเดือน เพราะเห็นว่าเป็นเด็กรูปงาม และไม่ได้กลัวคำสั่งของฟาโรห์นั้น 24โดยความเชื่อ ครั้นโมเสสโตขึ้นแล้ว ไม่ยอมให้เรียกว่าเป็นโอรสของธิดาฟาโรห์ 25ท่านเลือกการร่วมทุกข์กับประชากรของพระเจ้า แทนการเริงสำราญในความบาป 26ท่านถือว่าความอัปยศของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ดีกว่าคลังทรัพย์ในประเทศอียิปต์ เพราะท่านหวังบำเหน็จที่จะได้รับนั้น 27โดยความเชื่อ ท่านได้ออกจากประเทศอียิปต์ โดยมิได้เกรงกลัวความกริ้วของฟาโรห์ เพราะท่านยอมทนอยู่เหมือนประหนึ่งได้เห็นพระองค์ผู้ไม่ปรากฏแก่ตา 28โดยความเชื่อ ท่านได้ถือเทศกาลปัสกา และพิธีประพรมเลือด เพื่อไม่ให้เพชฌฆาตผู้ประหารลูกหัวปีมาถูกต้องพวกอิสราเอลได้
29โดยความเชื่อ พวกอิสราเอลได้ข้ามทะเลแดงเหมือนกับว่าเดินบนดินแห้ง แต่เมื่อพวกอียิปต์ได้ลองเดินข้ามดูบ้าง ก็จมน้ำตายหมด 30โดยความเชื่อ เมื่อพวกอิสราเอลล้อมกำแพงเมืองเยรีโคไว้ถึงเจ็ดวันแล้ว กำแพงเมืองก็พังลง 31โดยความเชื่อ นางราหับหญิงโสเภณีจึงไม่ได้พินาศไปพร้อมกับคนเหล่านั้นที่ไม่ได้เชื่อ เมื่อนางได้ต้อนรับคนสอดแนมนั้นไว้อย่างสันติ 32และข้าพเจ้าจะกล่าวอะไรต่อไปอีกเล่า เพราะไม่มีเวลาพอที่จะกล่าวถึงกิเดโอน บาราค แซมสัน เยฟธาห์ ดาวิด และซามูเอล และศาสดาพยากรณ์ทั้งหลาย
33โดยความเชื่อ ท่านเหล่านั้นจึงได้มีชัยเหนืออาณาจักรต่าง ๆ ได้ตั้งระบบความยุติธรรม ได้รับพระสัญญา ได้ปิดปากสิงโต 34ได้ดับไฟที่ไหม้อย่างรุนแรง ได้พ้นจากคมดาบ ความอ่อนแอของท่านก็กลับเป็นความเข้มแข็ง มีกำลังความสามารถในการทำสงคราม ได้ตีกองทัพประเทศอื่น ๆ ตกพ่ายไป 35พวกผู้หญิงก็ได้รับคนพวกของนางที่ตายแล้วกลับฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาอีก บางคนก็ถูกทรมาน แต่ก็ไม่ยอมรับการปลดปล่อย เพื่อเขาจะได้รับการเป็นขึ้นมาจากความตายอันเป็นชีวิตที่ดีกว่า 36บางคนถูกทดลองโดยคำเยาะเย้ยและการถูกโบยตี และยังถูกล่ามโซ่และถูกขังคุกด้วย 37บางคนถูกหินขว้าง บางคนก็ถูกเลื่อยเป็นท่อน ๆ บางคนถูกทดลอง บางคนก็ถูกฆ่าด้วยดาบ บางคนเที่ยวสัญจรไปนุ่งห่มหนังแกะและหนังแพะ อดอยาก ทนทุกข์เวทนาและทนการเคี่ยวเข็ญ 38(โลกไม่สมกับคนเช่นนั้นเลย) เขาพเนจรไปในถิ่นทุรกันดารและตามภูเขา และอยู่ตามถ้ำและตามโพรง 39คนเหล่านั้นทุกคนมีชื่อเสียงดีโดยความเชื่อของเขา แต่เขาก็ยังไม่ได้รับสิ่งที่สัญญาไว้ 40ด้วยว่าพระเจ้าจัดเตรียมการอย่างดีกว่าไว้สำหรับเราทั้งหลาย เพื่อไม่ให้เขาทั้งหลายถึงที่สำเร็จนอกจากเรา
1เหตุฉะนั้น ครั้นเรามีพยานพรั่งพร้อมอยู่รอบข้างเช่นนี้แล้ว ก็ให้เราทิ้งของหนักทุกสิ่งที่ถ่วงอยู่ และความผิดที่เรามักง่ายกระทำนั้น และการวิ่งแข่งกันที่กำหนดไว้สำหรับเรานั้น ให้เราวิ่งด้วยความเพียรพยายาม 2หมายเอาพระเยซูเป็นผู้ริเริ่มความเชื่อ และผู้ทำให้ความเชื่อของเราสำเร็จ เพราะเห็นแก่ความยินดีที่มีอยู่ตรงหน้านั้น พระองค์ได้ทนเอากางเขน ถือว่าความละอายไม่เป็นสิ่งสำคัญอะไร และได้อยู่เบื้องขวาพระที่นั่งของพระเจ้าแล้ว
3ท่านทั้งหลายจงพินิจคิดถึงพระองค์ ผู้ได้ทนเอาการติเตียนนินทาของคนบาปต่อพระองค์มากเท่าใด เพื่อท่านทั้งหลายจะไม่รู้สึกท้อถอย 4ท่านทั้งหลายยังไม่ได้รบสู้กับความบาปจนถึงเลือดตกยางออกเลย 5และท่านได้ลืมคำเตือนนั้นเสีย ซึ่งได้เตือนท่านเหมือนกับเตือนลูกว่า “ลูกชายของเราเอ๋ย อย่าดูหมิ่นการตีสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้า และอย่าระอาใจเมื่อพระองค์ติเตียนท่านนั้น 6เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าตีสอนผู้ที่พระองค์รัก และเมื่อพระองค์รับผู้ใดเป็นลูก พระองค์ก็เฆี่ยนตีผู้นั้น” 7ถ้าท่านทั้งหลายทนเอาการตีสอน พระเจ้าย่อมปฏิบัติต่อท่านเหมือนท่านเป็นลูก ด้วยว่ามีคนใดเล่าที่พ่อแม่ไม่ได้ตีสอนเขาบ้าง 8แต่ถ้าท่านทั้งหลายไม่ได้ถูกตีสอนเช่นเดียวกับคนทั้งปวง ท่านก็ไม่ได้เป็นลูก แต่เป็นลูกที่ไม่มีพ่อ 9อีกประการหนึ่ง เราทั้งหลายได้มีพ่อที่เป็นมนุษย์ที่ได้ตีสอนเรา และเราจึงได้นับถือพ่อนั้น ยิ่งกว่านั้นอีก เราควรจะได้ยำเกรงนบนอบต่อพ่อแห่งจิตวิญญาณและจำเริญชีวิตมิใช่หรือ 10เพราะแท้จริงพ่อเหล่านั้นตีสอนเราเพียงชั่วเวลาเล็กน้อย ตามความเห็นดีเห็นชอบของเขาเท่านั้น แต่พระองค์ได้ตีสอนเราเพื่อประโยชน์ของเรา เพื่อให้เราได้เข้าส่วนในความบริสุทธิ์ของพระองค์ 11ดังนั้นการตีสอนทุกอย่างเมื่อกำลังถูกอยู่นั้นไม่เป็นการชื่นใจเลย แต่เป็นการเศร้าใจ แต่ภายหลังก็ทำให้เกิดผลเป็นความสุขสำราญแก่บรรดาคนที่ต้องทนอยู่นั้น คือความชอบธรรมนั้นเอง
12เพราะเหตุนั้น จงยกมือที่อ่อนแรงขึ้น และจงให้หัวเข่าที่อ่อนล้ามีกำลังขึ้น 13และจงกระทำทางที่เท้าของท่านจะเดินไปนั้นให้ตรงไป เพื่ออาการที่ทำให้ง่อยจะมิได้กำเริบขึ้น แต่จะได้หายเป็นปกติ 14จงอุตส่าห์ที่จะอยู่อย่างสงบสุขกับคนทั้งปวง และที่จะได้ใจบริสุทธิ์ ด้วยว่านอกจากนั้นไม่มีใครจะได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า 15และจงระวังให้ดีเกรงว่าจะมีบางคนกำลังเสื่อมจากพระคุณของพระเจ้า และเกรงว่าจะมีรากขมขื่นแซมขึ้นมาทำให้เกิดความยุ่งยากแก่ท่าน และเป็นเหตุให้คนเป็นอันมากเป็นมลทินไป 16และเกรงว่าจะมีคนกระทำผิดประเวณี หรือคนประมาทเหมือนอย่างเอซาว ผู้ได้เอาสิทธิของบุตรหัวปีนั้นขายเสียเพราะเห็นแก่อาหารคำเดียว 17เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่แล้วว่า ต่อมาภายหลังเมื่อเอซาวอยากได้รับพรนั้นเป็นมรดก เขาก็ได้รับคำปฏิเสธ เพราะเขาไม่มีหนทางแก้ไขเลย ถึงแม้ว่าได้กลับใจแสวงหาจนน้ำตาไหล
18ท่านทั้งหลายไม่ได้มาถึงภูเขาที่จะถูกต้องได้ และที่ได้ไหม้ไฟแล้ว และถึงที่ดำ ถึงที่มืดมิด และถึงที่ลมพายุ 19และถึงเสียงแตร และถึงเสียงพูดของพระเจ้า ซึ่งคนเหล่านั้นที่ได้ยินแล้วได้อ้อนวอนขอไม่ให้พูดแก่เขาอีก 20(เพราะว่าข้อความที่บัญญัติไว้นั้นเขาทนไม่ได้ คือที่ว่า “แม้แต่สัตว์ถ้าแตะต้องภูเขานั้นก็จะต้องถูกขว้างด้วยก้อนหินให้ตาย หรือแทงทะลุด้วยแหลนให้ตาย” 21สิ่งที่เห็นนั้นน่ากลัวจริง ๆ จนโมเสสเองก็กล่าวว่า “ข้าพเจ้ากลัวจนตัวสั่น”)
22แต่ท่านทั้งหลายได้มาถึงภูเขาไซออน และมาถึงเมืองของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ คือกรุงเยรูซาเล็มแห่งสวรรค์ และมาถึงที่ชุมชนทูตสวรรค์มากมายเหลือที่จะนับได้ 23และมาถึงที่ชุมชนที่ร่างเริมและมาถึงชุมชนของลูกหัวปี ซึ่งมีชื่อจารึกไว้ในสวรรค์แล้ว และมาถึงพระเจ้าผู้พิพากษาคนทั้งปวง และมาถึงจิตวิญญาณของคนบุญซึ่งถึงความสมบูรณ์แล้ว 24และมาถึงพระเยซูผู้เป็นคนกลางแห่งพันธสัญญาใหม่ และมาถึงเลือดประพรมที่มีเสียงร้องที่ดีกว่าเสียงเลือดของอาแบล
25จงระวังให้ดี อย่าปฏิเสธไม่ยอมฟังพระองค์ผู้พูดนั้น เพราะว่าถ้าเขาเหล่านั้นที่ปฏิเสธไม่ยอมฟังคำเตือนของพระองค์ที่พื้นแผ่นดินโลกไม่ได้พ้นโทษ ถ้าเราเมินหน้าจากพระองค์ผู้เตือนจากสวรรค์ เราทั้งหลายก็จะไม่ได้พ้นโทษมากยิ่งกว่านั้นอีก 26เสียงของพระองค์คราวนั้นได้บันดาลให้แผ่นดินหวั่นไหว แต่บัดนี้พระองค์ได้สัญญาไว้ว่า “อีกครั้งหนึ่งเราจะกระทำให้หวาดหวั่นไหว มิใช่แผ่นดินโลกแห่งเดียว แต่ทั้งสวรรค์ด้วย” 27และถ้อยคำที่กล่าวไว้ว่า “อีกครั้งหนึ่ง” นั้น แสดงว่าสิ่งที่หวั่นไหวนั้นจะถูกกำจัดเสีย เหมือนกับสิ่งที่สร้างให้มีขึ้น เพื่อให้สิ่งที่ไม่หวั่นไหวคงเหลืออยู่ 28เหตุฉะนั้น ครั้นเราได้อาณาจักรที่ไม่หวั่นไหวมาแล้ว ก็ให้เรารับพระคุณ เพื่อเราจะได้ปฏิบัติพระเจ้าตามชอบใจของพระองค์ ด้วยความเคารพและยำเกรง 29เพราะว่าพระเจ้าของเรานั้นเป็นไฟที่เผาผลาญ
1จงให้ความรักฉันพี่น้องมีอยู่ต่อกันเสมอไป 2อย่าละเลยที่จะต้อนรับแขกแปลกหน้า เพราะว่าโดยการกระทำเช่นนั้น บางคนก็ได้ต้อนรับทูตสวรรค์โดยไม่รู้ตัว 3จงระลึกถึงคนเหล่านั้นที่ถูกจำจองอยู่ เหมือนหนึ่งว่าท่านทั้งหลายก็ถูกจำจองอยู่กับเขา จงระลึกถึงคนทั้งหลายที่ถูกเคี่ยวเข็ญ เหมือนหนึ่งว่าเป็นตัวของท่านเองซึ่งมีร่างกายเหมือนอย่างเขาด้วย 4จงให้การสมรสเป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง และให้ที่นอนปราศจากมลทิน แต่คนที่ล่วงประเวณีและคนที่มีกิ๊กนั้น พระเจ้าจะพิพากษาโทษเขา 5ท่านจงอย่าเป็นคนรักเงิน จงพอใจในสิ่งที่ท่านมีอยู่ เพราะว่าพระเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่า “เราจะไม่ปล่อยเจ้าไว้หรือไม่ทอดทิ้งเจ้าเลย 6เพื่อว่าเราทั้งหลายจะกล่าวด้วยใจกล้าว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระผู้ช่วยของข้าฯ ข้าฯจะไม่กลัว มนุษย์จะทำอะไรแก่ข้าฯได้เล่า’”
7ท่านทั้งหลายจงระลึกถึงคนเหล่านั้นที่รับใช้ท่านอยู่ ผู้ซึ่งได้ประกาศพระคำของพระเจ้าแก่ท่าน และจงพิจารณาดูผลงานของเขา แล้วจงตามอย่างความเชื่อของเขา 8พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ยังเหมือนเดิมในเวลาวานนี้ และเวลาวันนี้ และต่อ ๆ ไปเป็นนิจกาล 9อย่าหลงไปตามคำสอนต่าง ๆ ที่แปลก ๆ เพราะว่าเป็นการดีอยู่แล้วที่จะให้กำลังใจเข้มแข็งขึ้นด้วยพระคุณ ไม่ใช่ด้วยอาหารการกิน ซึ่งไม่เคยเป็นประโยชน์แก่คนที่หลงติดอยู่เลย 10เรามีแท่นบูชาแท่นหนึ่ง และคนที่รับใช้ในพลับพลานั้น ไม่มีสิทธิ์ที่จะกินของจากแท่นนั้นได้ 11เพราะซากของสัตว์เหล่านั้นที่มหาปุโรหิตได้เอาเลือดเข้าไปในสถานบริสุทธิ์เพื่อเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปนั้น ก็ต้องเอาไปเผาเสียนอกค่าย
12เหตุฉะนั้น พระเยซูก็ได้ทนทุกข์ทรมานภายนอกประตูเมืองเช่นเดียวกัน เพื่อชำระประชากรให้บริสุทธิ์ด้วยเลือดของพระองค์ 13เพราะฉะนั้น ให้เราทั้งหลายออกไปหาพระองค์ภายนอกค่ายนั้น และยอมรับคำดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อพระองค์ 14เพราะว่าที่นี่เราไม่มีเมืองที่ถาวร แต่ว่าเราแสวงหาเมืองที่จะมีในภายหน้า 15เหตุฉะนั้น ให้เราถวายคำยกย่องสรรเสริญ เป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้าตลอดไปโดยทางพระองค์นั้น คือกล่าวขอบพระคุณพระนามของพระองค์ 16แต่อย่าลืมที่จะทำการดี และที่จะแบ่งปันข้าวของซึ่งกันและกัน เพราะเครื่องบูชาอย่างนั้นเป็นที่พอใจของพระเจ้า
17ท่านทั้งหลายจงยอมเชื่อฟังและยอมอยู่ในคำของคนเหล่านั้นที่รับใช้ท่าน ด้วยว่าท่านเหล่านั้นคอยระวังดูแลจิตวิญญาณของท่าน เหมือนกับผู้ที่จะต้องรายงาน เพื่อเขาจะได้ทำการนี้ด้วยความชื่นใจ ไม่ใช่ด้วยความเศร้าใจ เพราะที่ทำดังนั้นก็จะไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่ท่านทั้งหลาย 18จงอธิษฐานเพื่อเรา เพราะเราแน่ใจว่า เรามีใจวินิจฉัยผิดและชอบดีอยู่แล้ว และปรารถนาที่จะปฏิบัติอย่างซื่อสัตย์ในทุกอย่าง 19และข้าพเจ้าวิงวอนท่านมากยิ่งให้ทำเช่นนั้น เพื่อข้าพเจ้าจะได้กลับคืนไปอยู่กับท่านโดยเร็ว
20บัดนี้ขอพระเจ้าแห่งสันติภาพและสันติสุข ผู้ทรงบันดาลให้พระเยซูเจ้าของเราเป็นขึ้นมาจากความตาย คือผู้เลี้ยงแกะที่ยิ่งใหญ่ โดยเลือดแห่งพันธสัญญานิรันดร์นั้น 21พระองค์ได้ทำให้ท่านทั้งหลายสมบูรณ์ในการดีทุกอย่าง เพื่อจะได้ปฏิบัติตามใจของพระองค์ และทำงานในท่านทั้งหลายให้เป็นที่ชอบในสายตาของพระองค์โดยพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ขอสง่าราศีจงมีแด่พระองค์สืบ ๆ ไปเป็นนิตย์ สาธุ
22พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้เพียรฟังคำเตือนสตินี้ เพราะข้าพเจ้าได้เขียนจดหมายมาถึงท่านทั้งหลายเพียงไม่กี่คำเท่านั้น 23ท่านทั้งหลายจงรู้ด้วยว่า ทิโมธีน้องชายของเรา ได้รับการปล่อยเป็นอิสระแล้ว ถ้าเขามาถึงเร็ว ข้าพเจ้าก็จะมาพบท่านทั้งหลายพร้อมกับเขา 24ขอฝากความคิดถึงมายังท่านเหล่านั้นที่รับใช้ท่าน และวิมุตติชนทั้งปวง พวกพี่น้องที่เป็นชาวอิตาลีก็ฝากความคิดถึงมายังท่านทั้งหลายด้วย 25ขอพระคุณจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด สาธุ
1จดหมายนี้ เขียนโดย ยากอบ ผู้รับใช้ของพระเจ้า และของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เขียนถึงคนอิสราเอลสิบสองเผ่าที่กระจัดกระจายอยู่นั้น
2พี่น้องทั้งหลาย เมื่อพวกท่านประสบกับความทุกข์ยากลำบากต่าง ๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่าชื่นชมยินดี 3เพราะว่าพวกท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดสอบความเชื่อของพวกท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง 4และจงให้ความหนักแน่มั่นคงนั้น ยืนยาวตลอดไป เพื่อพวกท่านทั้งหลายจะได้เป็นคนที่ดีพร้อม มีคุณสมบัติครบถ้วน ไม่มีสิ่งใดบกพร่องเลย
5ถ้าผู้ใดในพวกท่านขาดสติปัญญา ก็ให้ผู้นั้นขอจากพระเจ้า ผู้ประทานให้คนทั้งหลายด้วยความกรุณา และไม่ได้ตำหนิผู้ใด แล้วผู้นั้นก็จะได้รับสิ่งที่ขอนั้น 6แต่จงให้ผู้นั้นขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนกับคลื่นในทะเล ซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา 7ผู้นั้นอย่าคิดว่าจะได้รับอะไรจากพระเจ้าเลย 8เขาเป็นคนสองใจ ไม่มั่นคงในแนวทางที่ตนกระทำนั้น
9ให้พี่น้องที่ต่ำต้อยโอ้อวดที่พระเจ้ายกย่องเชิดชูเขา 10และคนร่ำรวยก็จงโอ้อวดเมื่อตกต่ำลง เพราะว่าเขาจะต้องล่วงลับไปเหมือนกับดอกหญ้า 11เพราะว่าเมื่อตะวันขึ้น ความร้อนอันแรงกล้าก็จะทำให้หญ้าเหี่ยวแห้งไป และดอกหญ้าก็หล่นลง และความงามของมันก็หมดไป ทำนองเดียวกัน คนร่ำรวยก็จะถูกทำลายไปในขณะที่เขายุ่งอยู่กับธุรกิจของเขา
12คนที่อดทนต่อการลองใจก็เป็นสุข เพราะว่าเมื่อผู้นั้นอดทนได้แล้ว เขาก็จะได้รับมงกุฎแห่งชีวิต ที่พระเจ้าได้สัญญาไว้กับคนทั้งหลายที่รักพระองค์ 13ถ้าผู้ใดถูกล่อลวง อย่าให้ผู้นั้นพูดว่า “การล่อลวงนี้มาจากพระเจ้า” เพราะว่าความชั่วจะล่อพระเจ้าไม่ได้ และพระองค์เองก็ไม่ล่อลวงผู้ใดเลย 14แต่ทุกคนถูกล่อลวง ก็เพราะว่ากิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชาของเขาเอง ล่อลวงและชักนำให้เขาทำตาม 15เมื่อกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชาเกิดขึ้นแล้ว ก็ทำให้เกิดความผิดบาป และเมื่อความผิดบาปขยายตัวเต็มที่แล้ว ก็นำไปสู่ความตาย
16พี่น้องที่รักทั้งหลาย อย่าได้หลงผิดไปเลย 17ของประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างมาจากสวรรค์ คือลงมาจากพระเจ้าผู้สร้างดวงสว่างต่าง ๆ พระองค์ไม่มีการเปลี่ยนแปลง หรือไม่มีการหมุนเวียนให้เกิดความมืด 18พระองค์ได้ตั้งใจไว้แล้วว่า จะให้ชีวิตใหม่แก่เราทั้งหลายโดยพระวิญญาณแห่งความจริง เพื่อว่าพวกเราทั้งหลายจะได้เป็นหนึ่ง หรือเป็นเอกท่ามกลางสรรพสิ่งที่พระองค์ได้สร้างไว้
19พี่น้องที่รักทั้งหลาย จงจดจำข้อนี้ไว้ จงเร็วในการฟัง และช้าในการพูด ก่อนจะพูดอะไรให้คิดไตร่ตรองให้ถ้วนถี่ และช้าในการโกรธ ก่อนจะโกรธก็ให้นับหนึ่งถึงสิบ 20เพราะว่าความโกรธของมนุษย์ไม่ได้ทำให้ความถูกต้องของพระเจ้าเกิดขึ้น 21ฉะนั้นจงกำจัดความชั่วมัวหมองทุกอย่าง และการทำชั่วอันเป็นนิสัยให้หมดไป จงยอมจำนนต่อพระเจ้า และรับเอาพระคำของพระองค์ที่ปลูกฝังไว้ในจิตใจของพวกท่าน ซึ่งสามารถช่วยจิตใจของพวกท่านทั้งหลายให้หลุดพ้นได้
22แต่พวกท่านทั้งหลาย จงเป็นคนที่ทำตามพระคำของพระเจ้านั้น ไม่ใช่เพียงแต่เป็นผู้ฟังเท่านั้น ซึ่งเป็นการหลอกลวงตัวเอง 23เพราะว่าถ้าผู้ใดก็ตามฟังพระคำของพระเจ้าแล้ว และไม่ได้ทำตาม ผู้นั้นก็เป็นเหมือนคนที่มองหน้าของตนเองในกระจกเงา 24เมื่อดูแล้วก็หนีไป และก็ลืมในทันทีว่าตนเองเป็นอย่างไร 25แต่ผู้ใดก็ตามที่พิจารณาดูบัญญัติหรือศีลอันบริบูรณ์ ซึ่งเป็นบัญญัติหรือศีลแห่งเสรีภาพ และยึดมั่นในบัญญัติหรือศีลนั้น ไม่ได้เป็นผู้ฟังแล้วก็หลงลืมหรือหนีไป แต่เป็นผู้ที่ทำตาม ผู้นั้นก็จะได้รับความสุข เพราะการทำตามนั้น 26ถ้าผู้ใดเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนมีธรรมะ และไม่ได้สงบปากสงบคำ แต่หลอกลวงตัวเอง ธรรมะของผู้นั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร 27ธรรมะที่บริสุทธิ์ไม่มีมลทินต่อหน้าพระเจ้าผู้เป็นพ่อนั้น คือการเยี่ยมเด็กกำพร้า และแม่ม่ายที่มีความทุกข์ร้อน และการรักษาตัวเองให้พ้นจากความชั่วช้าของโลก
1พี่น้องทั้งหลาย เมื่อพวกท่านมีความเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูผู้ที่เป็นพระศรีอาริย์ พระเจ้าผู้เป็นนายของเรา ผู้เป็นนายแห่งสง่าราศีนั้นแล้ว จงอย่าลำเอียง 2เพราะว่าถ้ามีคนหนึ่งสวมแหวนทองคำ และแต่งตัวดีเข้ามาในที่ประชุมของพวกท่าน และมีคนจนคนหนึ่งแต่งตัวมอซอเข้ามาด้วย 3และพวกท่านก็สนใจแต่คนที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าอย่างดี และพูดกับเขาด้วยเสียงอ่อนเสียงหวานว่า “เชิญมานั่งที่นี่เถิด” ในขณะเดียวกันท่านก็พูดกับคนยากจนนั้นด้วยน้ำเสียงที่ไม่น่าฟังว่า “แกจงยืนอยู่ที่นั่นแหละ” หรือ “มานั่งอยู่แทบเท้าของข้าสิ” 4ถ้าทำเช่นนั้น พวกท่านไม่ได้แบ่งชั้นวรรณะ และตัดสินคนด้วยใจชั่วหรือ? 5พี่น้องที่รักทั้งหลาย จงฟังดี ๆ นะ พระเจ้าได้เลือกคนยากจนในโลกนี้ให้เป็นคนร่ำรวยในความเชื่อ และให้เป็นผู้รับมรดกที่พระองค์สัญญาไว้กับผู้ที่รักพระองค์มิใช่หรือ? 6แต่พวกท่านทั้งหลายได้ดูหมิ่นคนจน มิใช่คนร่ำรวยหรือที่กดขี่ข่มเหงพวกท่าน ไม่ใช่คนร่ำรวยหรือที่ลากพวกท่านไปขึ้นศาล 7ไม่ใช่คนเหล่านั้นหรือที่สบประมาทพระนามอันประเสริฐ ซึ่งพระเจ้าได้มอบหมายให้แก่พวกท่าน
8ถ้าพวกท่านทั้งหลายทำตามบัญญัติหรือศีลจริง ๆ แล้ว ตามพระคัมภีร์ที่ว่า จงมีพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาต่อเพื่อนบ้าน เหมือนกับมีต่อตนเองแล้ว พวกท่านทั้งหลายก็ทำดีอยู่ 9แต่ถ้าพวกท่านทั้งหลายลำเอียง พวกท่านก็ทำผิดบาป และถ้าจะพูดตามบัญญัติหรือศีลพวกท่านก็ทำผิด 10เพราะว่าผู้ใดรักษาบัญญัติหรือศีลได้เป็นจำนวนมาก แต่ผิดอยู่ข้อเดียว ผู้นั้นกะก็เป็นคนที่ผิดบัญญัติหรือศีลทั้งหมด 11เพราะว่าพระเจ้าได้กล่าวว่า เจ้าอย่าล่วงประเวณีผัวเมียเขา แล้วก็ได้กล่าวอีกว่า เจ้าอย่าฆ่าคน ถึงแม้ว่าเจ้าไม่ได้ล่วงประเวณีแต่ได้ฆ่าคน เจ้าก็เป็นผู้ทำผิดต่อบัญญัติหรือศีลแล้ว 12พวกท่านทั้งหลายจงพูดและทำ เหมือนดังเป็นผู้ที่จะได้รับการพิพากษาด้วยกฎแห่งเสรีภาพ 13เพราะว่าการพิพากษาจะไม่มีทางให้ความเมตตา แก่ผู้ที่ไม่แสดงความเมตตา แต่ความเมตตาก็จะมีชัยเหนือการพิพากษา
14พี่น้องทั้งหลาย ใครก็ตามที่บอกว่าตัวเองมีความเชื่อ แต่ไม่ได้ทำตามจะมีประโยชน์อะไร ความเชื่อที่เขามีอยู่จะช่วยเขาให้หลุดพ้นได้หรือ? 15ถ้าพี่น้องหญิงชายคนใดขัดสนเครื่องนุ่งห่มเสื้อผ้าแพรพรรณ และข้าวกินแต่ละมื้อ 16แล้วก็มีคนใดคนหนึ่งในพวกท่านพูดกับเขาว่า “ขอเชิญไปเป็นสุขเถิด ขอให้เจ้าอบอุ่น และอิ่มเถิด” และไม่ได้ให้อะไรเขาสักอย่าง จะมีประโยชน์อะไร 17ความเชื่อก็เหมือนกัน ถ้ไม่ทำตามก็ไม่มีประโยชน์อะไร 18แต่บางคนก็จะพูดว่า “ท่านมีความเชื่อ แต่ข้าพเจ้ามีการทำตาม” จงแสดงความเชื่อของท่าน ที่ไม่มีการทำตามให้ข้าพเจ้าดูซิ และเพราะการทำตามนั้น ข้าพเจ้าจะแสดงให้พวกท่านทั้งหลายเห็นความเชื่อของข้าพเจ้า 19พวกท่านทั้งหลายเชื่อว่าพระเจ้าเป็นหนึ่ง นั่นก็ดีอยู่แล้ว แม้แต่พวกผีปีศาจก็เชื่อ และกลัวจนตัวสั่น 20โอ คนโง่เอ๋ย พวกท่านต้องการให้หาหลักฐานหรือว่า ความเชื่อที่ไม่ทำตามนั้นไม่มีประโยชน์อะไร 21เมื่ออับราฮัมบรรพบุรุษของพวกเรา ได้พาอิสอัคบุตรชายของท่านมาถวายต่อพระเจ้าบนแท่นบูชา ท่านจึงได้เป็นคนบุญ คือได้รับความหลุดพ้นบาปขั้นที่หนึ่ง เพราะท่านทำตามมิใช่หรือ? 22พวกท่านทั้งหลายก็เห็นแล้วว่า ความเชื่อและการประพฤติตามของท่านนั้นไปด้วยกัน และความเชื่อของท่านนั้นจะสมบูรณ์ได้ก็เพราะท่านประพฤติตาม 23แล้วก็เป็นความจริงตามพระคัมภีร์ที่เขียนไว้ว่า อับราฮัมเชื่อพระเจ้า และพระเจ้าก็ถือว่า ความเชื่อนั้นเป็นความหลุดพ้นขั้นที่หนึ่ง ของท่าน และท่านก็ได้ชื่อว่า เป็นเพื่อนของพระเจ้า 24พวกท่านทั้งหลายก็เห็นแล้วว่า ผู้ใดจะเป็นคนบุญ หลุดพ้นบาปขั้นที่หนึ่งได้ ก็เพราะการประพฤติตาม ไม่ใช่เพราะความเชื่อเพียงอย่างเดียว 25และในทำนองเดียวกัน นางราหับที่เป็นโสเภณี ก็ได้เป็นคนบุญ หลุดพ้นบาปขั้นที่หนึ่ง เพราะการประพฤติตามมิใช่หรือ เมื่อนางได้รับรองผู้ส่งข่าวเหล่านั้น และส่งเขาหนีไปทางอื่น 26เพราะว่า ร่างกายที่ไม่มีจิตวิญญาณนั้นตายแล้วฉันใด ความเชื่อที่ไม่ได้ประพฤติตามก็เป็นเหมือนกันนั่นแหละ
1พี่น้องทั้งหลาย อย่าได้พากันเป็นอาจารย์กันหลายคนเลย เพราะว่าพวกท่านก็รู้ว่า เราทั้งหลายที่เป็นผู้สอนคนอื่นนั้น จะได้รับการพิพากษาที่เคร่งครัดกว่าผู้อื่น 2เพราะพวกเราทุกคนพากันทำผิดพลาดไปหลาย ๆ อย่าง ถ้าผู้ใดไม่ได้ทำผิดทางคำพูด ผู้นั้นก็เป็นคนดีอย่างครบถ้วนแล้ว และเขาสามารถจะบังคับตัวของเขาเองได้ 3ถ้าเราเอาบังเหียนใส่ปากม้าเพื่อให้มันเชื่อฟังเรา เราก็บังคับมันให้ไปไหนมาไหนได้ 4จงดูเรือ มันก็เป็นเหมือนกัน แม้ว่าจะเป็นเรือใหญ่ และถูกลมแรงพัดแล่นไป เรือก็ยังหันไปมาได้ด้วยหางเสืออันเล็ก ๆ ตามใจของนายท้ายที่จะให้ไปทางไหน? 5ปากก็เหมือนกัน ปากเป็นอวัยวะเล็ก ๆ และมักจะอวดอ้างเรื่องใหญ่ ๆ จงคิดดูด ไม้ขีดก้านเดียวอาจจะเผาป่าใหญ่ให้ไหม้ไปได้ 6และปากนั้นก็เป็นไฟ ปากเป็นโลกที่มีแต่ความชั่วร้าย ในบรรดาอวัยวะของเรา ปากเป็นเหตุให้ร่างกายทั้งหมดเป็นมลทินไป ปากทำให้วงเวียนแห่งชีวิตถูกเผาไหม้ และมันเองก็ติดไฟมาจากนรก 7เพราะว่าสัตว์เดรัจฉานทุกชนิด ทั้งนก สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ในทะเลก็สามารถเลี้ยงให้เชื่องได้ และมนุษย์ก็ได้เลี้ยงให้เชื่องแล้ว 8แต่ปากนั้นไม่มีมนุษย์คนใดสามารถทำให้มันเชื่องได้ ปากเป็นสิ่งชั่วร้าย ที่อยู่ไม่เป็นสุข และเต็มไปด้วยพิษร้ายทำให้ตายได้ 9เราทั้งหลายยกย่องพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ด้วยปากนั้น และด้วยปากอันเดียวกันนั้น เราก็ใช้แช่งด่ามนุษย์ ผู้ที่พระเจ้าสร้างไว้ตามรูปลักษณ์ของพระองค์ 10คำยกย่องและคำแช่งด่าก็ออกมาจากปากอันเดียวกัน พี่น้องทั้งหลาย ไม่ควรให้เป็นเช่นนั้น 11บ่อน้ำพุจะมีน้ำจืด และน้ำกร่อยพุ่งออกมาจากป่องเดียวกันได้หรือ? 12พี่น้องทั้งหลายต้นมะเดื่อจะออกผลเป็นมะกอกเทศได้หรือ? หรือต้นองุ่นจะออกลูกเป็นมะเดื่อได้หรือ? บ่อน้ำพุเค็มก็ทำให้เกิดน้ำจืดอีกไม่ได้เลย
13ในพวกท่านผู้ใดเป็นคนฉลาดและมีปัญญา ก็ให้ผู้นั้นแสดงออกด้วยการทำดี ให้มีใจอ่อนโยนประกอบด้วยปัญญา 14แต่ถ้าในจิตใจของท่าน มีความอิจฉา ความขมขื่น และการมักใหญ่ใฝ่สูง ก็อย่าโอ้อวด และอย่าทรยศต่อสู้ความจริง 15ปัญญาเช่นนี้ ไม่เหมือนปัญญาที่มาจากสวรรค์ แต่เป็นปัญญาของฝ่ายโลก เป็นไปตามกิเลส ตัณหา และเป็นของผีปีศาจ 16เพราะว่าที่ใดมีความอิจฉาริษยา และความมักใหญ่ใฝ่สูง ที่นั่นกะวุ่นวาย และมีการทำความชั่วช้าลามกต่าง ๆ 17แต่ปัญญามาจากสวรรค์นั้นประการแรกก็คือความบริสุทธิ์ แล้วต่อมาก็เป็นความสงบสุข สุภาพและว่านอนสอนง่าย เต็มไปด้วยความเมตตาและผลผลิตอันดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด 18ผู้ที่สร้างสันติภาพและสันติสุข ก็หว่านอย่างสันติภาพและสันติสุข และผลิตผลที่เขาเก็บเกี่ยวก็คือการได้เป็นคนบุญ คือความหลุดพ้นบาปขั้นที่หนึ่ง
1อะไรเป็นสาเหตุของสงคราม และอะไรเป็นสาเหตุของการผิดพ้องหมองใจกันในพวกท่านทั้งหลาย บ่แม่นกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชาของพวกท่านหรือ? ที่ทำให้พวกท่านต่อสู้กัน 2พวกท่านทั้งหลายอยากได้ แต่ไม่ได้ ท่านก็เข่นฆ่ากัน ท่านโลภแต่ไม่ได้ ท่านก็ทะเลาะและรบราฆ่าฟันกัน ท่านไม่มีก็เพราะท่านไม่ได้ขอ 3ท่านขอแล้วก็ไม่ได้รับ เพราะว่าท่านขอผิด ท่านขอไปเพื่อสนองกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชาของตัวท่านเอง
4โอ คนคดในข้องอในกระดูกเอ๋ย ท่านไม่รู้หรือว่า การทำตามค่านิยมของโลกนั้น คือการเป็นศัตรูกับพระเจ้า ฉะนั้น ผู้ใดทำตามค่านิยมของโลก ผู้นั้นก็ตั้งตัวเป็นศัตรูกับพระเจ้า 5หรือท่านคิดว่าเป็นสิ่งไม่มีสาระหรือ? ที่พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระเจ้าเป็นห่วงวิญญาณที่ได้ให้ไว้อยู่ในเราทั้งหลาย” 6แต่พระองค์ก็ได้ให้พระคุณเพิ่มขึ้นอีก ฉะนั้น พระคัมภีร์จึงกล่าวว่า “พระเจ้าต่อสู้ผู้ที่จองหอง แต่ให้พระคุณแก่คนที่มีใจถ่อม”
7เหตุฉะนั้น พวกท่านทั้งหลายจงยอมจำนนต่อพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร และมันจะหนีจากท่านไป 8พวกท่านทั้งหลายจงเข้าใกล้พระเจ้า และพระองค์ก็จะมาใกล้ท่านเหมือนกัน คนผิดบาปทั้งหลายเอ๋ย จงล้างมือของท่านให้สะอาด และคนสองใจเอ๋ย จงล้างใจของท่านให้สะอาดบริสุทธิ์ 9จงเป็นทุกข์โศกเศร้าและร้องไห้ คนที่กำลังจะหัวเราะนั้นจงหยุด ให้โศกเศร้าไปเถอะ และคนที่มีความยินดีก็ให้มีความเศร้าโศกไปเถอะ 10พวกท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงต่อพระเจ้า และพระองค์จะเชิดชูท่านขึ้น
11พี่น้องทั้งหลาย อย่าใส่ร้ายซึ่งกันและกัน ผู้ใดที่พูดใส่ร้ายพี่น้อง หรือตัดสินพี่น้องของตน ผู้นั้นก็ใส่ร้ายบัญญัติหรือศีล และตัดสินบัญญัติหรือศีลนั้น แต่ถ้าท่านตัดสินบัญญัติหรือศีล ท่านก็ไม่ใช่ผู้ที่ทำตามบัญญัติหรือศีล แต่เป็นผู้ใส่ร้ายบัญญัติหรือศีล 12มีแต่ผู้ตั้งบัญญัติหรือศีลเท่านั้นเป็นผู้ตัดสิน มีแต่พระเจ้าองค์เดียวเท่านั้นสามารถจะช่วยเราให้หลุดพ้นได้ และสามารถทำลายเราได้ แต่ท่านเป็นผู้ใดเล่า ท่านจึงจะตัดสินเพื่อนบ้านของท่านได้
13คิดดูดี ๆ คนที่พูดว่า “วันนี้หรือพรุ่งนี้ เราสิเข้าไปในเมืองนี้เมืองนั้น และจะอยู่ที่นั่นปีหนึ่ง และจะค้าขายหากำไร” 14แต่ว่าท่านรู้เรื่องของพรุ่งนี้ ว่าชีวิตของท่านจะเป็นอย่างไร ชีวิตของท่านก็เป็นเหมือนหมอกในตอนเช้าที่ปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยาม แล้วก็หายไป 15แทนที่จะพูดเช่นนั้น พวกท่านทั้งหลายควรจะพูดว่า “ถ้าพระเจ้าเมตตา เราก็จะมีชีวิตอยู่ และก็จะทำสิ่งนั้นสิ่งนี้” 16แต่ตามความเป็นจริง พวกท่านทั้งหลายโอ้อวด และคุยโม้ การโอ้อวดทุกอย่างเช่นนั้นเป็นความชั่วช้า 17เหตุฉะนั้น ผู้ใดรู้ว่าอะไรเป็นความดี และไม่ได้ทำ คนนั้นก็เป็นบาป
1ฝ่ายคนร่ำรวย จงฟังข้าพเจ้าให้ดี ๆ จงร้องไห้โอดครวญเพราะความฉิบหายจะเกิดขึ้นกับท่าน 2ทรัพย์สมบัติของท่านก็ผุพังไปแล้ว และตัวแมลงก็กัดกินเสื้อผ้าของท่าน 3เงินและทองของท่านก็จะเกิดสนิม และสนิมนั้นก็จะเป็นพยานหลักฐานต่อสู้พวกท่าน และจะเผาผลาญเลือดเนื้อท่านเหมือนกันกับไฟ ท่านได้สะสมสมบัติเงินทองไว้แล้วสำหรับมื้อสุดท้าย 4โอ พวกท่านไม่ได้จ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างที่ทำงานในนาของพวกท่าน ฟังเสียงร้องทุกข์ของพวกเขาดูสิ และเสียงร้องทุกข์ของคนที่เกี่ยวข้าวนั้น ได้ไปถึงหูของพระเจ้าผู้มีฤทธิ์อำนาจยิ่งใหญ่แล้ว 5พวกท่านมีชีวิตอยู่ในโลกอย่างฟุ่มเฟือย และสนุกสนาน ท่านได้บำรุงบำเรอจิตใจของท่านไว้เพื่อรอวันตายหมู่ 6ท่านได้ตัดสินลงโทษ และได้ฆ่าคนดีมีศีลธรรม พวกเขาก็ไม่ได้ต่อต้านพวกท่าน
7เหตุฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย จงอดทนจนกว่าพระเจ้าจะมาปรากฏ จงดูชาวนา ว่าเขามีความอดทนมามายขนาดไหน? เขาคอยจนกว่าว่าจะมีฝนต้นฤดู และฝนชุกปลายฤดู 8ท่านทั้งหลายก็จงอดทนเหมือนกันนั้น จงตั้งอกตั้งใจให้ดี เพราะว่าใกล้จะถึงเวลาที่พระเจ้าจะมาปรากฏแล้ว 9พี่น้องทั้งหลาย จงอย่าบ่นว่าให้แก่กันและกัน เพื่อท่านจะไม่ต้องถูกพิพากษา จงดูพระเจ้าผู้พิพากษาพระองค์ยืนอยู่ที่ประตูแล้ว 10พี่น้องทั้งหลาย จงเอาแบบอย่างในการทนทุกข์ และการอดทนของศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า ผู้ได้พูดในนามของพระเจ้าผู้เป็นนาย 11พวกเราเรียกท่านว่า เป็นผู้ที่มีความสุข เพราะพวกท่านมีความอดทน พวกท่านได้ยินถึงเรื่องความอดทนของโยบแล้ว และพวกท่านก็รู้ว่า ในที่สุดนั้น พระเจ้าผู้เมตตากรุณาได้ให้รางวัลแก่ท่านมากมายขนาดไหน? 12ฟังให้ดีนะพี่น้องทั้งหลาย ที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด ก็คือ อย่าสาบาน อย่าอ้างฟ้าสวรรค์หรือแผ่นดินโลก หรือสิ่งอื่น ๆ แต่ที่ใช่ก็ให้ว่าใช่ ไม่ใช่ก็ให้ว่าไม่ใช่ เพื่อท่านจะไม่ได้ถูกลงโทษ
13ในพวกท่านมีผู้ใดทุกข์ยากลำบากหรือ? ก็ให้ผู้นั้นอธิษฐานสวดอ้อนวอน ผู้ใดมีความร่าเริงยินดีหรือ? ก็ให้ผู้นั้นร้องเพลงยกย่องพระเจ้า 14ในพวกท่านมีผู้ใดเจ็บป่วยหรือ? ก็ให้ผู้นั้นเชิญพวกผู้อาวุโสแห่งชุมชนของพระเจ้ามา และให้คนเหล่านั้นอธิษฐานสวดอ้อนวอนเพื่อเขา และเจิมเขาด้วยน้ำมัน ในนามของพระเจ้าผู้เป็นนาย 15และการอธิษฐานสวดอ้อนวอนด้วยความเชื่อก็จะช่วยให้ผู้ป่วยรอดชีวิตได้ และพระเจ้าผู้เป็นนายก็จะช่วยให้เขาหายโรคได้ และถ้าเขาได้ทำผิดบาป พระองค์ก็จะอภัยให้เขา 16ฉะนั้นพวกท่านทั้งหลาย จงสารภาพบาปต่อกันและกัน และจงอธิษฐานสวดอ้อนวอนเพื่อกันและกัน เพื่อเจ้าทั้งหลายจะได้พ้นจากโรคภัยไข้เจ็บ คำอธิษฐานสวดอ้อนวอนของคนบุญ ที่พึ่งอาศัยในพระเจ้านั้นก็มีพลังทำให้เกิดผล 17เอลียาห์ศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า ก็เป็นคนเหมือนกับเราทั้งหลายนี่แหละ และท่านได้อธิษฐานสวดอ้อนวอนด้วยความเชื่ออันแรงกล้าขอไม่ให้ฝนตก และฝนก็ไม่ตกต้องแผ่นดินเป็นเวลาสามปีกับหกเดือน 18แลท่านก็ได้อธิษฐานสวดอ้อนวอนขออีกครั้งหนึ่ง และฟ้าสวรรค์ก็ได้ประทานฝนให้ตกลงมา และแผ่นดินก็ได้ผลิตพืชผลต่าง ๆ นานา 19พี่น้องทั้งหลาย ถ้าคนใดคนหนึ่งในพวกท่านหลงผิดไปจากความจริง และผู้ใดชักจูงให้เขากลับหลังหันจากความผิดบาปนั้นได้ 20ก็จงให้ผู้นั้นรู้ไว้เถิดว่า ผู้ที่ช่วยคนบาปคนหนึ่งให้พ้นจากทางผิดของเขานั้น ก็ได้ช่วยจิตวิญญาณของเขาให้หลุดพ้นจากความตาย และได้ทำให้บาปต่าง ๆ ได้รับการอภัย
1จดหมายนี้ เขียนโดยเปโตร อัครทูตของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เขียนไปถึงบรรดาผู้เชื่อพระเจ้าที่กระจัดกระจายไปอยู่ในแคว้นปอนทัส แคว้นกาลาเทีย แคว้นคัปปาโดเซีย แคว้นเอเชีย และแคว้นบิธีเนีย 2ซึ่งเป็นผู้ที่พระเจ้าผู้เป็นพ่อได้เลือกไว้ และกำหนดไว้แล้ว และพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ได้ชำระแล้ว เพื่อให้มีการยอมเชื่อพึ่งอาศัยในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ และให้ได้รับการประพรมด้วยเลือดของพระองค์ ขอพระคุณ สันติภาพและสันติสุข จงบังเกิดทวีคูณแก่ท่านทั้งหลายด้วยเถิด
3สาธุการแด่พระเจ้าผู้เป็นพ่อแห่งพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ผู้เป็นเจ้านายของเรา ผู้มีเมตตา กรุณาแก่เรา โปรดให้เราบังเกิดใหม่ เข้าสู่ความหวังอันมีชีวิตอยู่ โดยการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 4และเพื่อให้ได้รับมรดก ซึ่งไม่รู้เปื่อยเน่า ปราศจากมลทิน และไม่ร่วงโรย ซึ่งได้เตรียมไว้ในสวรรค์เพื่อท่านทั้งหลาย 5ซึ่งเป็นผู้ที่เป็นฤทธิ์เดชของพระเจ้าได้คุ้มครองไว้ด้วยความเชื่อให้ถึงความหลุดพ้นในขั้นที่หนึ่ง ซึ่งพร้อมแล้วที่จะปรากฏในวาระสุดท้าย
6ในความหลุดพ้นในขั้นที่หนึ่งนั้น ท่านทั้งหลายชื่นชมยินดี ถึงแม้ว่าเดี๋ยวนี้ จำเป็นที่ท่านจะต้องทนทุกข์ทรมานชั่วขณะหนึ่ง ในการถูกทดลองต่างๆ 7เพื่อการลองดูความเชื่อของท่าน อันประเสริฐยิ่งกว่าทองคำ ซึ่งแม้เสียไปได้ก็ยังถูกลองด้วยไฟ จะได้เป็นเหตุให้เกิดความสรรเสริญ เกิดศักดิ์ศรีและเกียรติยศ ในเวลาที่พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์จะมาปรากฏ 8พระองค์ผู้ที่ท่านทั้งหลายยังไม่ได้เห็น แต่ท่านยังรักพระองค์อยู่ แม้ว่าขณะนี้ท่านไม่เห็นพระองค์ แต่ท่านยังเชื่อและชื่นชม ด้วยความปีติยินดีเป็นล้นพ้นเหลือที่จะกล่าวได้ 9แล้ววิญญาณจิตของท่านทั้งหลายจึงได้รับความหลุดพ้นในขั้นที่หนึ่ง อันเป็นผลแห่งความเชื่อ
10บรรดาผู้พยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้า ผู้ได้พยากรณ์ถึงพระคุณซึ่งจะบังเกิดแก่ท่านทั้งหลาย ก็ได้สืบค้น และสอบถามเกี่ยวกับเรื่องความหลุดพ้นทั้งสามขั้นนี้ 11พวกเขาได้สืบค้นหาบุคคลและเวลา ซึ่งพระวิญญาณของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ผู้สถิตอยู่ในตัวพวกเขาได้บ่งไว้ เมื่อพวกเขาได้ทำนายถึงความทุกข์ทรมานของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ และสง่าราศีที่จะมาภายหลัง 12ก็โปรดเผยให้ผู้พยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้าเหล่านั้นทราบว่า ที่พวกเขาเหล่านั้นได้รับใช้ในเหตุการณ์ทั้งปวงนั้น ไม่ใช่สำหรับพวกเขาเองแต่สำหรับท่านทั้งหลาย บัดนี้คนเหล่านั้นที่ประกาศบารมีของพระเจ้าแก่ท่านทั้งหลาย ก็ได้กล่าวสิ่งเหล่านั้นแก่ท่านแล้ว โดยพระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ที่ประทานมาจากสวรรค์ เป็นสิ่งซึ่งพวกทูตสวรรค์มีความปรารถนาอยากจะได้ดู
13เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลาย จงเตรียมตัวเตรียมใจของท่านไว้ให้ดี และจงข่มใจ ตั้งความหวังให้เต็มเปี่ยมในพระคุณ คือพระคุณซึ่งประทานแก่ท่าน เมื่อพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์จะสำแดงพระองค์ 14โดยที่ท่านเป็นลูกที่เชื่อพึ่งอาศัย ขออย่าได้ประพฤติตามกิเลส ตัณหา อย่างที่เกิดจากความโง่เขลาของท่านในกาลก่อน 15แต่เพราะพระองค์ผู้เรียกท่านทั้งหลายนั้นบริสุทธิ์ ท่านทั้งหลายจงประพฤติให้บริสุทธิ์พร้อมทุกประการ 16ดังที่มีพระคำเขียนไว้แล้วว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นคนบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์ 17และถ้าท่านสวดอ้อนวอนขอต่อพระองค์ เรียกพระองค์ว่า พ่อผู้พิพากษาทุกคนตามการกระทำของเขา โดยไม่มีอคติ จงประพฤติตนด้วยความยำเกรงตลอดเวลาที่ท่านอยู่ในโลกนี้
18ท่านรู้ว่าพระองค์ได้ไถ่ท่านทั้งหลายออกจากการกระทำอันหาสาระมิได้ ซึ่งท่านได้รับต่อจากบรรพบุรุษของท่าน มิใช่ไถ่ไว้ด้วยสิ่งที่เสื่อมสลายได้ เช่นเงินและทอง 19แต่ไถ่ด้วยเลือดอันประเสริฐของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ดังเลือดลูกแกะที่ปราศจากตำหนิหรือจุดด่างพร้อย 20แท้จริงพระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดได้กำหนดพระผู้เป็นพระศรีอาริย์นั้นไว้ก่อนสร้างโลก แต่ให้พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ปรากฏพระองค์ในวาระสุดท้ายนี้ เพื่อท่านทั้งหลาย 21เพราะพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ท่านจึงวางใจในพระเจ้า ผู้ชุบพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ให้เป็นขึ้นมาจากความตาย และประทานเกียรติยศแก่พระองค์ เพื่อให้ความเชื่อพึ่งอาศัย และความหวังของท่านอยู่ในพระเจ้า 22ที่ท่านทั้งหลายได้รับการชำระจิตใจของท่านให้บริสุทธิ์แล้ว ด้วยการเชื่อพึ่งอาศัยความจริง จนมีใจรักเมตตาพวกพี่น้องอย่างจริงใจ ท่านทั้งหลายจงแสดงความเมตตาต่อกันให้มากด้วยน้ำใสใจจริง
23ท่านทั้งหลายได้บังเกิดใหม่แล้ว ไม่ใช่จากสิ่งที่เป็นอนิจจัง แต่จากสิ่งที่ไม่ตาย คือด้วยพระคำของพระเจ้าอันมีชีวิตและดำรงอยู่ 24เพราะว่า บรรดาเนื้อหนังร่างกายก็เป็นเสมือนต้นหญ้า และบรรดาศักดิ์ศรีของพวกเขาก็เป็นเสมือนดอกหญ้า ต้นหญ้าเหี่ยวแห้งไป และดอกก็ร่วงโรยไป 25แต่พระคำของพระเจ้ายั่งยืนอยู่เป็นนิตย์ พระคำนั้นคือบารมีของพระเจ้าที่ได้ประกาศเผยแพร่ให้ท่านทั้งหลายทราบแล้ว
1เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงละความชั่วทั้งปวง การอุบายต่างๆความไม่จริงใจ ความริษยาอาฆาต และคำพูดส่อเสียดทั้งหลาย 2เช่นเดียวกับทารกแรกเกิด จงปรารถนาน้ำนมฝ่ายวิญญาณอันบริสุทธิ์ เพื่อโดยน้ำนมนั้นจะทำให้ท่านทั้งหลายเจริญขึ้น สู่ความหลุดพ้นทั้งสามขั้นนั้น 3เพราะท่านได้ลิ้มรสความเมตตากรุณาคุณขององค์พระผู้เป็นเจ้า 4จงมาหาพระองค์ ผู้เป็นหินผาที่ให้ชีวิต ซึ่งมนุษย์ได้ปฏิเสธไม่ยอมรับแล้ว แต่ว่าตามความคิดของพระเจ้านั้น พระองค์เป็นหินผาที่เลือกไว้ และมีค่าอันประเสริฐ
5และท่านทั้งหลายก็เป็นเสมือนหินผาที่ให้ชีวิต ที่กำลังก่อขึ้นเป็นวิหารฝ่ายพระวิญญาณ เป็นปุโรหิตบริสุทธิ์ เพื่อถวายการบูชาฝ่ายวิญญาณ ที่ชอบใจของพระเจ้าโดยทางพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 6เพราะมีคำเขียนไว้ในพระคัมภีร์แล้วว่า “ดูก่อน เราวางหินผาก้อนหนึ่งลงในไซออน เป็นหินผาหัวมุมที่เลือกแล้ว และเป็นหินผาที่มีค่าอันประเสริฐ และผู้ใดที่เชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์ ก็จะไม่ได้รับความอับอาย” 7พระองค์มีค่าอันประเสริฐ สำหรับท่านทั้งหลายที่เชื่อพึ่งอาศัย แต่สำหรับคนทั้งหลายที่ไม่เชื่อพึ่งอาศัยนั้น “หินผาที่ช่างก่อสร้างทิ้งเสียแล้วนั้น ได้กลับกลายเป็นหินผามุมเอกแล้ว” 8และเป็นหินผาที่ทำให้คนสะดุด และเป็นที่ทำให้คนหกล้ม” ที่พวกเขาสะดุดนั้น เพราะพวกเขาไม่เชื่อฟังพระคำของพระเจ้า ตามที่พวกเขาถูกกำหนดให้กระทำเช่นนั้น 9แต่ท่านทั้งหลายเป็นชนชาติที่พระองค์เลือกไว้แล้ว เป็นพวกปุโรหิตหลวง เป็นประชาชาติบริสุทธิ์ เป็นชนชาติของพระเจ้าโดยเฉพาะ เพื่อให้ท่านทั้งหลายประกาศบารมีของพระองค์ ผู้ได้เรียกท่านทั้งหลายให้ออกมาจากความมืด เข้าไปสู่ความสว่างอันมหัศจรรย์ของพระองค์ 10เมื่อก่อนท่านทั้งหลายไม่มีชาติ แต่บัดนี้ท่านเป็นชนชาติของพระเจ้าแล้ว เมื่อก่อนท่านทั้งหลายไม่ได้รับความเมตตา แต่บัดนี้ท่านได้รับความเมตตากรุณาแล้ว
11ดูก่อนท่านที่รัก ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านทั้งหลาย ผู้อาศัยในโลกอย่างโลกไม่เป็นบ้านเกิดเมืองนอน ให้เว้นจาก กิเลส ตัณหา ซึ่งเป็นศัตรูต่อจิตวิญญาณของท่าน 12จงรักษาความประพฤติอันดีของท่านไว้ในหมู่คนต่างชาติ เพื่อว่าเมื่อมีคนติเตียนท่านว่าประพฤติชั่ว พวกเขาจะได้เห็นการดีของพวกท่าน และพวกเขาจะได้สรรเสริญพระเจ้า ในวันที่พระองค์กลับมาครั้งที่สอง 13ท่านทั้งหลายจงยอมฟังการบังคับบัญชา ที่มนุษย์ตั้งไว้ทุกอย่าง เพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่ว่าผู้นั้นจะเป็นจักรพรรดิผู้มีอำนาจยิ่ง 14หรือจะเป็นเจ้าเมืองผู้ที่ได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิ ให้ลงโทษผู้กระทำชั่ว และยกย่องคนที่ประพฤติดี 15เพราะเป็นความประสงค์ของพระเจ้า ที่จะให้ท่านทั้งหลายระงับความโง่ของคนโง่ด้วยการประพฤติดี 16จงดำเนินชีวิตอย่างคนมีเสรีภาพ แต่อย่าใช้เสรีภาพนั้น เป็นข้ออ้างเพื่อจะทำความชั่ว แต่จงดำเนินชีวิตอย่างผู้รับใช้ของพระเจ้า 17จงให้เกียรติแก่ทุกคน จงรักเมตตาพี่น้อง จงยำเกรงพระเจ้าและจงถวายเกียรติแด่จักรพรรดิ
18ท่านทั้งหลายที่เป็นทาสรับใช้ จงเชื่อฟังนายของท่านทุกอย่าง ไม่ใช่เฉพาะนายที่เป็นคนใจดี และสุภาพเท่านั้น แต่ทั้งนายที่ร้ายด้วย 19เพราะว่าผู้ที่ได้รับความเห็นชอบว่าดีนั้น ก็ต่อเมื่อพวกเขาเห็นแก่พระเจ้า และยอมอดทนต่อความทุกข์ที่ไร้ความเป็นธรรม 20เพราะจะเป็นความดีความชอบอย่างไรถ้าท่านทำความชั่ว และท่านถูกเฆี่ยนเพราะการกระทำชั่วนั้น แม้ท่านจะอดทนต่อการถูกเฆี่ยนด้วยความอดกลั้น แต่ว่าถ้าท่านทั้งหลายกระทำการดี และทนเอาเมื่อตกทุกข์ยาก เพราะการดีนั้น ท่านก็จะเป็นที่พอใจของพระเจ้า 21เพราะพระเจ้าใช้ท่านสำหรับเหตุการณ์เช่นนี้ เพราะว่าพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ก็ได้ทนทุกข์ทรมานเพื่อท่านทั้งหลาย ให้เป็นแบบอย่างแก่ท่าน เพื่อท่านจะได้ดำเนินตามรอยเท้าของพระองค์
22พระองค์ไม่ได้กระทำบาปเลย และไม่ได้พูดเท็จเลย 23เมื่อพวกเขากล่าวคำหยาบคายต่อพระองค์ พระองค์ไม่ได้กล่าวตอบเขาด้วยคำหยาบคายเลย เมื่อพระองค์ทนทุกข์ พระองค์ไม่ได้อาฆาตมาดร้าย แต่มอบเรื่องของพระองค์ไว้แก่พระเจ้าผู้พิพากษาอย่างยุติธรรม 24พระองค์เองได้รับแบกบาปของเราไว้ในร่างกายของพระองค์ ที่ต้นไม้นั้น เพื่อว่าเราทั้งหลายจะได้ตายจากบาป ที่ใต้อำนาจของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา ได้ และดำเนินชีวิตตามทำนองคลองธรรม ด้วยบาดแผลของพระองค์ ท่านทั้งหลายจึงได้รับการรักษาให้หาย 25เพราะว่าท่านทั้งหลายเป็นเหมือนแกะที่หลงฝูงไป แต่บัดนี้ได้กลับมาหาผู้เลี้ยงและผู้พิทักษ์จิตวิญญาณของท่านทั้งหลายแล้ว
1ฝ่ายท่านทั้งหลายผู้เป็นภรรยาก็เช่นกัน จงเชื่อฟังผู้เป็นสามีเพื่อว่าสามีบางคนจะไม่เชื่อฟังคำของพระเจ้า แต่ความประพฤติของภรยาก็อาจจะจูงใจเขาได้ โดยไม่ต้องพูดเลยสักคำเดียว 2คือเมื่อเขาได้เห็นการประพฤติ ที่นอบน้อมถ่อมตนและดีงามของท่านทั้งหลาย ผู้เป็นภรรยา 3การประดับกายของท่านนั้น อย่าให้เป็นการประดับภายนอก ด้วยการถักผม ประดับด้วยเครื่องทองคำ และนุ่งห่มเสื้อผ้าสวยงาม 4แต่จงให้เป็นการประดับภายในจิตใจ แต่งด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้ร่วงโรย คือด้วยจิตใจที่สงบและสุภาพ ซึ่งเป็นสิ่งที่ประเสริฐยิ่งในสายตาพระเจ้า
5บรรดาผู้หญิงที่ดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้า ในครั้งโบราณนั้น ก็ได้ประดับกายเช่นนั้น และเชื่อฟังสามีของตน 6เช่นนางซาราห์เชื่อฟังอับราฮัม และเรียกสามีของนางว่านาย ถ้าท่านทั้งหลายประพฤติดี และไม่มีความหวาดกลัวสิ่งใด ท่านก็เป็นลูกหลานของนาง 7ท่านทั้งหลายที่เป็นสามีก็เช่นกัน จงอยู่กินกับภรรยาด้วยความเข้าใจในเธอ จงให้เกียรติแก่นาง เพราะเป็นเพศที่อ่อนแอกว่า และเพราะทั้งสองได้รับชีวิตอันเป็นพระคุณเป็นมรดก เพื่อว่าคำสวดอ้อนวอนของท่านจะไม่มีอุปสรรคขัดขวาง
8ในที่สุดนี้ ท่านทั้งหลายจงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เห็นอกเห็นใจกัน รักกันฉันพี่น้อง มีจิตใจอ่อนโยนและอ่อนน้อม 9อย่าทำการร้ายตอบแทนการร้าย อย่าด่าตอบการด่า แต่ตรงกันข้าม จงอวยพรแก่พวกเขา ด้วยว่าพระองค์ได้เรียกให้ท่านกระทำเช่นนั้น เพื่อท่านจะได้รับพร 10เพราะว่า ผู้ที่จะรักชีวิต และปรารถนาที่จะเห็นวันดี ก็ให้ผู้นั้นยับยั้งปากของตนไม่พูดในสิ่งชั่ว และห้ามปากไม่ให้พูดเป็นอุบายล่อลวง 11ให้พวกเขาละความชั่วและกระทำความดี ให้พวกเขาใฝ่หาสันติภาพและสันติสุขและมุ่งดำเนินไป 12เพราะว่าสายตาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเฝ้าดูคนบุญ และสายหูของพระองค์สดับคำอ้อนวอนของพวกเขา แต่หน้าตาของพระองค์ไม่เป็นมิตรกับคนทั้งหลายที่ทำความชั่ว
13ถ้าท่านทั้งหลายใฝ่ใจประพฤติความดี ผู้ใดจะทำร้ายท่าน 14แต่ถึงแม้ว่าท่านทั้งหลายต้องทนทุกข์ เพราะเหตุประพฤติอย่างถูกต้อง ท่านก็เป็นสุข อย่ากลัวเขา และอย่าคิดวิตกไปเลย 15แต่ในใจของท่าน จงเคารพนับถือ พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ว่าเป็น องค์พระผู้เป็นเจ้า จงเตรียมตัวไว้ให้พร้อมเสมอ เพื่อท่านจะสามารถตอบทุกคนที่ถามท่านว่า ท่านมีความหวังเช่นนี้ด้วยเหตุผลประการใด แต่จงตอบด้วยใจสุภาพ และด้วยความนับถือ 16และให้ความสำนึกผิดของท่านไม่เป็นเหตุติท่าน เพื่อว่าเมื่อท่านถูกใส่ร้าย คนที่กล่าวร้ายความประพฤติดีของท่านในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ จะต้องได้รับความอับอาย
17เพราะว่า การได้รับความทุกข์ เพราะทำความดี ถ้าเป็นที่ชอบใจของพระเจ้า ก็ดีกว่าจะต้องทนอยู่เพราะการประพฤติชั่ว 18ด้วยว่าพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ก็ได้ตาย ครั้งเดียวเท่านั้นเพราะความผิดบาป ที่อยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา คือพระองค์ผู้เป็นคนบุญเพื่อผู้เป็นคนบาป เพื่อจะได้นำเราทั้งหลายไปถึงพระเจ้า ฝ่ายร่างกายพระองค์จึงตาย แต่ฝ่ายวิญญาณเป็นขึ้นจากตาย 19และโดยทางวิญญาณ พระองค์ได้ไปประกาศพระคำแก่วิญญาณที่ติดคุกอยู่ 20ซึ่งในกาลก่อนไม่ได้เชื่อพึ่งอาศัยในพระเจ้า คราวเมื่อพระเจ้าโปรดงดโทษไว้ในสมัยโนอาห์ ขณะที่เขากำลังต่อเรือใหญ่ในนั้นมีน้อยคน คือทางน้ำนั้น แปดคนรอดชีวิตจากน้ำท่วม
21บัดนี้พิธีมุดน้ำก็ช่วยท่านทั้งหลายให้รู้ว่าได้รับความหลุดพ้นในทั้งสามขั้นเช่นเดียวกัน มิใช่เป็นการชำระมลทินทางร่างกาย แต่ให้มีจิตสำนึกว่าชอบต่อหน้าพระเจ้า โดยที่พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้เป็นขึ้นมาจากความตาย 22พระองค์ได้ไปสู่สวรรค์ และสถิตอยู่เบื้องขวามือของพระเจ้าแล้ว มีพวกทูตสวรรค์และภูตผีที่ครอบครอง และภูตผีที่มีฤทธิ์เดชทั้งหลายอยู่ใต้อำนาจของพระองค์ทั้งสิ้น
1ฉะนั้น โดยเหตุที่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้ทนทุกข์ทรมานทางร่างกายแล้ว ท่านทั้งหลายก็จงมีความคิดอย่างเดียวกัน ไว้เป็นเครื่องอาวุธด้วย เพราะว่าผู้ที่ได้ทนทุกข์ทรมานทางร่างกายเช่นนี้ก็ไม่สัมพันธ์กับบาปแล้ว 2เพื่อจะได้ไม่ดำเนินชีวิตที่ยังเหลืออยู่ในโลกตามใจปรารถนาของมนุษย์ แต่ตามความประสงค์ของพระเจ้า 3จงให้เวลาที่ผ่านไปแล้วนั้น เพียงพอสำหรับการกระทำสิ่งที่คนต่างชาติชอบกระทำ คือประพฤติตัวตาม กิเลส ตัณหา ตามใจปรารถนาอันชั่ว เมาสุรายาเมา เลี้ยงกันอย่างถึงใจ กินเหล้าวุ่นวายกัน และการไหว้รูปเคารพอันน่ารังเกียจ 4พวกเขาประหลาดใจที่บัดนี้ท่านทั้งหลายไม่ได้ประพฤติชั่วเหมือนอย่างเขา และพวกเขาก็กล่าวร้ายท่าน 5คนเหล่านั้นจะต้องให้การแก่พระองค์ ผู้พร้อมแล้วที่จะพิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย 6ด้วยเหตุนี้เอง บารมีของพระเจ้าจึงได้ประกาศแม้แก่คนที่ตายไปแล้ว เพื่อพวกเขาจะมีชีวิตทางจิตวิญญาณเช่นพระเจ้า แม้ว่าเมื่อพวกเขายังอยู่ในโลกนี้ พวกเขาถูกพิพากษาลงโทษเหมือนอย่างมนุษย์ทั่วๆไป 7อวสานของสิ่งทั้งปวงก็ใกล้จะมาถึงแล้ว เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลายจงมีสติสัมปชัญญะ และจงรู้จักสงบใจ เพื่อแก่การสวดอ้อนวอน 8ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรหมดก็คือ จงรักเมตตาซึ่งกันและกันให้มาก เพราะว่าความรักความเมตตาลบล้างความผิดมากมายได้
9ท่านทั้งหลาย จงต้อนรับเลี้ยงดูซึ่งกันและกันโดยไม่บ่น 10ตามซึ่งทุกคนได้รับพรสวรรค์ที่ประทานให้แล้ว ก็ให้ใช้พรสวรรค์นั้นเพื่อประโยชน์แก่กันและกัน เป็นผู้รับผิดชอบที่ดี ที่แจกและสำแดงพระคุณนานาประการของพระเจ้า 11ถ้าผู้หนึ่งผู้ใดจะพูด ก็ให้พูดเหมือนหนึ่งพูดสุภาษิตของพระเจ้า ถ้าคนใดกระทำบริการ ก็จงให้บริการตามกำลัง ซึ่งพระเจ้าโปรดประทาน เพื่อว่าพระเจ้าจะได้เกียรติยศในการทั้งปวง โดยทางพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระสิริหรือสง่าราศีและฤทธานุภาพจงมีแด่พระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ สาธุ
12ดูก่อนท่านที่รัก อย่าประหลาดใจ ที่ท่านต้องได้รับความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส เป็นการลองใจ เหมือนหนึ่งว่าเหตุการณ์อันประหลาดได้เกิดขึ้นกับท่าน 13แต่ว่าท่านทั้งหลายจงชื่นชมยินดี ในการที่ท่านได้มีส่วนร่วม ในความทุกข์ยากของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ เพื่อว่าเมื่อสง่าราศีของพระเจ้าปรากฏขึ้น ท่านทั้งหลายก็จะได้ชื่นชมยินดีเป็นอันมากด้วย 14ถ้าท่านถูกด่าว่าเพราะชื่อของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ท่านก็เป็นสุข ด้วยว่าพระวิญญาณแห่งสง่าราศีและของพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับท่าน 15แต่ว่าอย่าให้มีผู้ใดในพวกท่านได้รับโทษฐานเป็นผู้ฆ่าคน หรือเป็นขโมย หรือเป็นคนทำร้าย หรือเป็นคนที่เที่ยวยุ่งกับธุระของคนอื่น 16แต่ถ้าผู้ใดถูกการร้ายเพราะมีชื่อว่าเป็นผู้เชื่อในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ก็อย่าให้ผู้นั้นมีความละอายเลย แต่ให้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าเพราะชื่อนั้น 17ด้วยว่าถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะต้องเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า และถ้าการพิพากษานั้นเริ่มต้นที่พวกเราก่อน ปลายทางของคนเหล่านั้น ที่ไม่เชื่อพึ่งอาศัยในบารมีของพระเจ้าจะเป็นอย่างไร 18และ ถ้าคนบุญจะหลุดพ้นไปได้อย่างยากเย็นแล้ว คนที่ไม่เคารพพระเจ้า และคนบาปจะไปอยู่ที่ไหน 19เหตุฉะนั้น ขอให้คนทั้งหลายที่ทนทุกข์ทรมานตามความประสงค์ของพระเจ้า จงประพฤติชอ บและฝากวิญญาณจิตของตนไว้กับองค์พระผู้สร้าง ผู้เที่ยงธรรมนั้นเถิด
1เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าจึงตักเตือนบรรดาผู้อาวุโสในพวกท่านทั้งหลาย ในฐานะที่ข้าพเจ้าก็เป็นผู้อาวุโสคนหนึ่ง และเป็นพยานถึงความทุกข์ทรมานของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ และมีส่วนที่จะรับศักดิ์ศรีอันจะมาปรากฏภายหลัง 2จงเลี้ยงดูคนของพระเจ้า ที่อยู่ในความดูแลของท่าน ไม่ใช่ด้วยความฝืนใจ แต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ด้วยการเห็นแก่ทรัพย์สิ่งของที่ได้มาโดยทุจริต แต่ด้วยใจสุจริต 3และไม่ใช่เหมือนเป็นเจ้านายที่ข่มขี่ผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ แต่เป็นแบบอย่างแก่คนของพระเจ้านั้น 4และเมื่อพระผู้เลี้ยงผู้ยิ่งใหญ่จะมาปรากฏ ท่านทั้งหลายจะรับศักดิ์ศรีเป็นมงกุฎที่ร่วงโรยไม่ได้เลย
5ในทำนองเดียวกันท่านที่อ่อนอาวุโส ก็จงเชื่อฟังคำของพวกผู้อาวุโสกว่า อันที่จริง ให้ท่านทุกคนมีความถ่อมใจในการปฏิบัติต่อกันและกัน ด้วยว่าพระเจ้าเป็นปฏิปักษ์กับคนเหล่านั้น ที่ถือตัวจองหอง แต่พระองค์สำแดงพระคุณ แก่คนที่อ่อนน้อมถ่อมตน 6เหตุฉะนั้นท่านทั้งหลาย จงถ่อมใจลงภายใต้อำนาจอันฤทธิ์ของพระเจ้า เพื่อว่าพระองค์จะได้ทรงยกท่านขึ้นเมื่อถึงเวลาอันควร 7จงปลงความกระวนกระวายของท่านไว้กับพระองค์ เพราะว่าพระองค์ห่วงใยท่านทั้งหลาย 8ท่านทั้งหลายจงสงบใจ จงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมาร มันวนเวียนอยู่รอบๆตัว ดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้ 9จงต่อสู้กับศัตรูนั้นด้วยใจมั่นคงในความเชื่อพึ่งอาศัย เพราะว่าพวกพี่น้องทั้งหลายของท่านทั่วโลก ก็ประสบความทุกข์ลำบากอย่างเดียวกัน 10และเมื่อท่านทั้งหลายได้ทนทุกข์อยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้ว พระเจ้าผู้มีพระคุณล้ำเลิศ ผู้ได้เรียกให้ท่านทั้งหลายเข้าในศักดิ์ศรีนิรันดร์ในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระองค์เองก็จะโปรดปรับปรุงท่านให้มั่นคง และมีกำลังขึ้น
11ขอฤทธานุภาพ จงมีแด่พระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์ สาธุ 12ข้าพเจ้าได้เขียนอย่างย่อๆมาถึงท่านทั้งหลายผ่านทางสิลวานัส ซึ่งข้าพเจ้าถือว่าเป็นพี่น้องที่สัตย์ซื่อคนหนึ่ง ข้าพเจ้าเตือนสติ และเป็นพยานแก่ท่านทั้งหลายว่า พระคุณนั้นเป็นพระคุณที่แท้จริงของพระเจ้า จงตั้งมั่นคงอยู่ในพระคุณนั้น 13ชุมชนของพระเจ้าที่เมืองบาบิโลน ซึ่งพระเจ้าได้เลือกไว้เช่นเดียวกัน ฝากความคิดถึงมายังท่าน และมาระโก ลูกชายของข้าพเจ้า ก็ฝากความคิดถึงมายังท่านด้วย 14จงทักทายกันด้วยธรรมเนียมไปลามาไหว้ อันแสดงความรักเมตตาต่อกัน ขอให้สันติภาพและสันติสุขดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายที่เชื่อพึ่งอาศัยในพระผู้เป็นพระศรีอาริย์เถิด
1จดหมายนี้ เขียนโดยซีโมนเปโตร ผู้รับใช้ของพระเจ้า และอัครทูตของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ เรียนท่านทั้งหลายที่มีความเชื่อพึ่งอาศัยเท่าเทียมกับเรา ด้วยบุญบารมีแห่งพระเจ้าของเราทั้งหลาย คือพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้เป็นเจ้านาย พระผู้ทำความหลุดพ้นให้เรา 2ขอพระคุณ สันติภาพและสันติสุขจงเพิ่มพูนแก่ท่านทั้งหลาย โดยซาบซึ้งในพระเจ้า และพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้านายของเรา 3ด้วยเห็นแล้วว่า ฤทธิ์เดชของพระองค์ได้ให้สิ่งสารพัดแก่เรา ที่จะให้เรามีชีวิตและมีธรรมะ โดยรู้จักพระองค์ ผู้ได้ทรงเรียกเราด้วยสง่าราศี และความล้ำเลิศของพระองค์ 4พระองค์จึงได้ประทานพระสัญญาอันประเสริฐ และใหญ่ยิ่งแก่เรา เพื่อว่าด้วยเหตุเหล่านี้ ท่านทั้งหลายจะพ้นจากความเสื่อมโทรม ที่มีอยู่ในโลกนี้ เพราะ กิเลส ตัณหา และจะได้รับส่วนในสภาพของพระองค์ 5เพราะเหตุนี้เอง ท่านจงอุตส่าห์จนสุดกำลัง ที่จะเอาธรรมะ เพิ่มความเชื่อพึ่งอาศัย เอาความรู้เพิ่มคุณธรรม 6เอาการยับยั้งชั่งใจเพิ่มความรู้ เอาความอดทนเพิ่มการบังคับตนเอง และเอาธรรมะเพิ่มความอดทน 7เอาความรักเมตตากันฉันพี่น้องเพิ่มธรรมะ และเอาความรักเมตตาคนทั่วไปเพิ่มความรักเมตตากันฉันพี่น้อง
8ถ้าท่านทั้งหลายเพียบพร้อมด้วยพรสวรรค์เหล่านี้แล้ว ก็จะกระทำให้ท่านเกิดประโยชน์ และเกิดผลที่ได้ซาบซึ้งในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ของเรา 9เพราะว่าผู้ใดที่ขาดธรรมะเหล่านี้ พวกเขาก็เป็นคนตาบอดตาสั้น และลืมไปว่าตนเองได้รับการชำระให้พ้นความผิดบาปแล้วในความหลุดพ้นขั้นที่สอง 10เพราะฉะนั้น พี่น้องทั้งหลาย จงยิ่งอุตส่าห์กระทำตน ให้เป็นไปตามที่พระเจ้าที่เรียกและเลือกท่านไว้แล้วนั้น เพราะว่าถ้าท่านประพฤติเช่นนั้น ท่านจะไม่พลาดจากทางที่นำไปสู่ความหลุดพ้น 11ดังนั้นท่านทั้งหลายจะมีสิทธิสมบูรณ์ ที่จะเข้าในอาณาจักรนิรันดร์ของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ พระผู้ทำความหลุดพ้นให้เรา 12เหตุฉะนั้น ถึงแม้ว่าท่านจะรู้ และตั้งมั่นคงอยู่ในความจริงแล้วก็ดี ข้าพเจ้าก็พร้อมอยู่เสมอที่จะเตือนสติท่านทั้งหลาย ให้ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ 13ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังอาศัยอยู่ในร่างกายนี้ ข้าพเจ้าเห็นสมควร ที่จะเตือนสติท่านทั้งหลายให้ระลึกถึงข้อความเหล่านั้น 14เพราะข้าพเจ้ารู้ว่า อีกไม่ช้า ข้าพเจ้าก็จะต้องสละทิ้งร่างกาย ของข้าพเจ้าไป ดังที่พระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ของเราได้สำแดงแก่ข้าพเจ้าแล้ว 15และข้าพเจ้าจะหาทางให้ท่านทั้งหลายระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อข้าพเจ้าจากโลกนี้ไปแล้ว
16เพราะว่าเมื่อเราได้ประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบถึงฤทธิ์เดชของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ของเรา และการที่พระองค์จะกลับมาครั้งที่สองนั้น เราไม่ได้คล้อยตามนิยายที่เขาแต่งขึ้นอย่างชาญฉลาด แต่เราเป็นพยานผู้รู้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ 17เพราะว่าคราวเมื่อพระองค์ได้รับเกียรติและสง่าราศีจากพระบิดา และเสียงจากสง่าราศีอันยิ่งใหญ่ได้มาถึงพระองค์ กล่าวแก่พระองค์ว่า “คนผู้นี้เป็นลูกชายที่รักของเรา เราชอบใจเขาผู้นี้มาก” 18เราก็ได้ยินเสียงนี้จากสวรรค์ เพราะว่าเราได้อยู่กับพระองค์ที่ภูเขาบริสุทธิ์นั้น 19และเรามีคำพยากรณ์ที่แน่นอนยิ่งกว่านั้นอีก จะเป็นการดีถ้าท่านทั้งหลายจะถือตามคำนั้น เพราะคำนั้นเป็นเสมือนแสงสว่างที่ส่องสว่างในที่มืด จนกว่าแสงรุ่งอรุณจะขึ้น และดาวประจำรุ่งจะผุดขึ้นในใจของท่านทั้งหลาย 20ท่านทั้งหลายต้องเข้าใจข้อนี้ก่อน คือผู้หนึ่งผู้ใด จะตีความหมายคำของผู้พยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้าในพระคัมภีร์เอาเองไม่ได้ 21เพราะว่าคำของผู้พยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้านั้น ไม่ได้มาจากความคิดในจิตใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ได้กล่าวคำซึ่งมาจากพระเจ้า ตามที่พระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ได้ดลใจเขา
1แต่ว่า ได้มีคนที่ปลอมตัวเป็นผู้พยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้าเกิดขึ้นในชนชาตินั้น เช่นเดียวกับที่จะมีผู้สอนผิดเกิดขึ้นในพวกท่านทั้งหลาย ซึ่งจะลอบเอาลัทธิสอนผิด อันจะให้ถึงความพินาศเข้ามาเสี้ยมสอน จนถึงกับปฏิเสธองค์พระผู้เป็นเจ้า ผู้ได้ไถ่เขาไว้ ซึ่งจะทำให้เขาพินาศโดยเร็วพลัน 2จะมีคนหลายคนประพฤติชั่วตามอย่างเขา และเพราะคนเหล่านั้นเป็นเหตุ ทางแห่งความจริงจะถูกกล่าวร้าย 3และด้วยใจโลภ พวกเขาจะกล่าวตลบตะแลง ค้ากำไรจากท่านทั้งหลาย การลงโทษคนเหล่านั้นที่ได้ถูกพิพากษานานมาแล้ว จะไม่เนิ่นช้า และความวิบัติที่จะเกิดกับพวกเขาก็หาสลายไปไม่ 4เพราะว่าถ้าพระเจ้าไม่ได้ยกเว้นพวกทูตสวรรค์ที่ได้ทำบาปนั้น แต่ได้ผลักเขาลงไปสู่นรกภูมิ และได้ขังเขาไว้ในขุมนรกมืด คุมไว้จนกว่าจะถึงเวลาพิพากษา 5และไม่ได้ยกเว้นมนุษย์โลกครั้งโบราณ แต่ได้ช่วยโนอาห์ผู้ประกาศถึงบุญกับคนอื่นอีกเจ็ดคน เมื่อคราวที่พระองค์ได้บันดาลให้น้ำท่วมโลกของคนบาป 6และได้ลงโทษเมืองโสโดม และเมืองโกโมราห์ ให้พินาศเป็นเถ้าถ่าน เพื่อให้เป็นตัวอย่างแก่คนทั้งหลายที่กระทำความบาป 7และได้ช่วยโลทผู้เป็นคนบุญให้หลุดพ้น ผู้มีความทุกข์ใหญ่หลวง เพราะการประพฤติลามกของคนชั่วเหล่านั้น 8(เพราะเมื่อคนบุญอยู่ในหมู่คนบาป ความประพฤติของคนบาปที่ท่านได้เห็นและได้ยิน ทำให้จิตใจที่ถูกต้องของท่านรุ่มร้อนเป็นทุกข์ทุกวันคืน)
9ดังนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจึงรู้ว่า จะช่วยคนบุญให้หลุดพ้นจากการทดลองได้อย่างไร และรู้วิธีกักขังคนบาปไว้ ให้รับโทษเมื่อถึงวันพิพากษา 10โดยเฉพาะคนเหล่านั้นที่ปล่อยตัวหลงระเริงไปตามกิเลส ตัณหา และหมิ่นประมาทอำนาจของผู้อาวุโส คนเหล่านี้กล้าและประพฤติตามอำเภอใจ พวกเขาไม่สะทกสะท้านที่จะกล่าวประณามภูตผีที่ครอบครอง
11แต่ฝ่ายทูตสวรรค์ แม้ว่ามีฤทธิ์และกำลังมากกว่า ก็หาได้กล่าวประณามคนเหล่านั้นหน้าที่นั่งขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ 12แต่ว่าคนเหล่านั้น เป็นเหมือนสัตว์เดียรัจฉาน ที่ปราศจากความคิด เป็นสัตว์ที่ทำตามสัญชาตญาณ เกิดมาเพื่อถูกจับและถูกฆ่า พวกเขากล่าวประณามสิ่งที่พวกเขาไม่เข้าใจเลย พวกเขาจะต้องพินาศอย่างสัตว์ร้ายนั้น 13พวกเขาจะได้รับทุกข์ เป็นโทษแห่งการชั่วของพวกเขา พวกเขาทั้งหลายถือการเสเพลเฮฮา ในเวลากลางวันเป็นความเพลิดเพลิน พวกเขาด่างพร้อยและมลทิน และประพฤติการเสเพลเฮฮา เมื่อกำลังกินเลี้ยงรวมกับท่านทั้งหลาย 14ตาของเขามีแววที่เปี่ยมด้วยความใคร่ในการล่วงประเวณี ไม่สิ้นความกระหายในบาป พวกเขาล่อลวงคนที่ใจไม่มั่นคง ใจของพวกเขาชินกับการโลภ พวกเขาเหล่านั้นเป็นคนที่ถูกสาปแช่งเลยหนอ 15พวกเขาสละทิ้งทางถูกต้อง หลงไปในทางผิด ดำเนินตามทางของบาลาอัม บุตรเบโอร์ ผู้ซึ่งชอบสิ่งที่ได้มาจากความชั่วช้า 16แต่บาลาอัมก็ได้ถูกตำหนิในการที่เขาได้กระทำการละเมิดนั้น ลาใบ้ตัวนั้นพูดเป็นภาษามนุษย์ และได้ยับยั้งอาการคลุ้มคลั่งของผู้พยากรณ์คนนั้น 17คนเหล่านี้เป็นบ่อที่ไร้น้ำ เป็นหมอกที่ถูกพายุพัดไป พระองค์เตรียมขุมนรกมืดไว้แล้วสำหรับคนเหล่านั้น
18เพราะว่าพวกเขาได้พูดโอ้อวดตัว และพวกเขาใช้ความปรารถนาชั่วทางกาย ล่อลวงคนทั้งหลายที่กำลังหนีไปจากผู้ที่หลงประพฤติผิด 19พวกเขาสัญญาว่าจะให้คนเหล่านั้นพ้นจากการเป็นทาส แต่ตัวพวกเขาเองยังเป็นทาสของความเสื่อมทราม เพราะว่ามนุษย์พ่ายแพ้แก่สิ่งใด พวกเขาก็เป็นทาสของสิ่งนั้น 20เพราะว่าถ้าหลังจากที่พวกเขาพ้นจากสรรพมลทินของโลกนี้แล้ว ด้วยการที่พวกเขาได้รู้จักพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ องค์พระผู้เป็นเจ้าและผู้ทำความหลุดพ้นให้ พวกเขากลับเกี่ยวข้องและพ่ายแพ้แก่การชั่วนั้นอีก บั้นปลายของพวกเขาก็กลับชั่วร้ายยิ่งกว่าตอนต้น 21เพราะว่าถ้าพวกเขาไม่ได้รู้จักทางถูกต้องนั้นเสียเลย ก็ยังจะดีกว่าที่พวกเขาได้รู้แล้ว แต่กลับหันหลังให้บัญญัติหรือศีลอันบริสุทธิ์ที่ได้มอบให้แก่พวกเขานั้น 22พฤติกรรมได้เกิดกับพวกเขาตามสุภาษิต ซึ่งเป็นความจริงที่ว่า หมาเลียกินสิ่งที่มันสำรอกออกมา และหมูที่คนล้างมันให้สะอาด แล้วกลับลุยลงไปนอนในปลักในโคลนนั้นอีก
1ดูก่อนพวกที่รัก นี่เป็นจดหมายฉบับที่สอง ที่ข้าพเจ้าได้เขียนถึงท่านทั้งหลาย และในจดหมายทั้งสองฉบับนั้น ข้าพเจ้าได้สะกิดใจอันซื่อสัตย์ของท่านให้ระลึก 2เพื่อท่านทั้งหลาย จะได้จดจำถ้อยคำทั้งหลาย ที่พวกผู้พยากรณ์หรือคนทรงที่บริสุทธิ์ของพระเจ้าได้กล่าวไว้เมื่อก่อน และบัญญัติหรือศีลขององค์พระผู้เป็นเจ้า และพระผู้ทำความหลุดพ้นให้โดยบรรดาอัครทูต 3จงรู้ข้อนี้ก่อน คือในวาระสุดท้าย คนที่ชอบเยาะเย้ยจะเกิดขึ้น และประพฤติตามใจปรารถนาของตน 4และจะถามว่า “คำที่สัญญาไว้ว่าพระองค์จะกลับมานั้นอยู่ที่ไหน เพราะว่าตั้งแต่บรรพบุรุษล่วงหลับไปแล้ว สิ่งทั้งปวงก็เป็นอยู่เหมือนเป็นอยู่ตั้งแต่เริ่มสร้างโลก”
5เพราะว่าเขาแกล้งลืมข้อนี้เสีย คือโดยพระคำของพระเจ้า ฟ้าสวรรค์ได้อุบัติขึ้นตั้งแต่โบราณ และแผ่นดินโลกจึงได้เกิดขึ้นจากน้ำและมีน้ำล้อมรอบทุกด้าน 6ด้วยน้ำนั้นเอง ชาวโลกที่มีอยู่ในขณะนั้น ก็ได้ถูกทำลายให้พินาศไปเพราะน้ำท่วม 7และโดยพระคำเดียวกันนั้นเอง ท้องฟ้าและแผ่นดินโลกที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้ ก็มีไว้สำหรับให้ไฟเผาผลาญ คือเก็บไว้จนกว่าจะถึงวันพิพากษา และวันพินาศแห่งบรรดาคนชั่ว 8แต่ดูก่อนพวกที่รัก อย่าลืมความจริงข้อนี้เสีย คือวันเดียวของพระเจ้าเป็นเหมือนกับพันปี และพันปีก็เป็นเหมือนกับวันเดียว 9องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้เฉื่อยช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่พระองค์ได้อดกลั้นใจไว้ เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายมาช้านาน พระองค์ไม่ประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย แต่ปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจใหม่ 10แต่ว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น จะมาถึงเหมือนอย่างขโมยแอบย่องมา และในวันนั้นท้องฟ้าจะล่วงไปด้วย เสียงที่ดังกึกก้อง และโลกธาตุจะสลายไปด้วยไฟ และแผ่นดินโลกกับสิ่งสารพัดที่มีอยู่ในโลกนั้นจะต้องไหม้เสียสิ้น
11เมื่อเห็นแล้วว่าสิ่งทั้งปวงจะต้องสลายไปหมดสิ้นเช่นนี้ ท่านทั้งหลายควรจะเป็นคนเช่นใด ในชีวิตที่บริสุทธิ์และดีงาม 12จงเฝ้ารอและเร่งวันของพระเจ้าให้มาถึง ซึ่งวันนั้นท้องฟ้าจะถูกไฟผลาญสลายไป และโลกธาตุก็จะถูกไฟเผาให้สลายไป 13แต่ว่าตามพระสัญญาของพระองค์นั้น เราจึงคอยท้องฟ้าอากาศใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่ ที่ซึ่งความถูกต้องจะดำรงอยู่ 14เหตุฉะนั้นพวกที่รัก เมื่อท่านทั้งหลายยังคอยสิ่งเหล่านี้อยู่ ท่านก็จงอุตส่าห์ให้พระองค์ทรงพบท่านทั้งหลายมีใจสงบ ปราศจากมลทิน และข้อตำหนิ 15และจงถือว่า การที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา อดกลั้นใจไว้นานนั้น เป็นการช่วยเราให้หลุดพ้น ดังที่เปาโลน้องที่รักของเราได้เขียนจดหมายถึงท่านทั้งหลาย ตามสติปัญญาซึ่งพระองค์ได้โปรดประทานแก่เขานั้น
16ในจดหมายทุกฉบับของเขา ก็ได้กล่าวถึงเหตุการณ์เหล่านี้ไว้แล้ว ในจดหมายเหล่านั้นมีบางข้อที่เข้าใจยาก ซึ่งคนทั้งหลายที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ และมีใจไม่แน่นอนมั่นคง ได้บิดเบือนข้อความเสีย เหมือนอย่างที่พวกเขาได้บิดเบือนข้ออื่น ๆ ในพระคัมภีร์ อันเป็นเหตุให้ตนเองพินาศ 17เพราะเหตุนั้น ดูก่อนพวกที่รัก เมื่อท่านทั้งหลายรู้เรื่องนี้ก่อนแล้ว ท่านก็จงระวังให้ดี ท่านอาจจะหลงไปกระทำผิดตามการผิดของคนชั่วเหล่านั้น และท่านทั้งหลายจะสูญเสียความหนักแน่นมั่นคงของท่าน 18แต่ขอท่านทั้งหลายจงเจริญขึ้นในพระคุณ และในความรู้ ซึ่งมาจากพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ องค์พระผู้เป็นเจ้าพระผู้ทำความหลุดพ้นให้เรา พระเกียรติหรือสง่าราศี จงมีแด่พระองค์ทั้งในปัจจุบันนี้และตลอดไปเป็นนิตย์ สาธุ
1เราขอแจ้งเกี่ยวกับสิ่งที่มีมาตั้งแต่ปฐมกาล ซึ่งเราได้ยิน ได้เห็นกับตา ได้พินิจดู และจับต้องด้วยมือของเรานั้น คือพระธรรมแห่งชีวิต 2(และชีวิตที่ว่านี้ปรากฏขึ้น เราได้เห็น และเป็นพยาน และประกาศชีวิตเข้าสู่นิพพานนี้กับพวกท่าน เป็นชีวิตที่อยู่กับพระเจ้าผู้เป็นพ่อ และมาปรากฏแก่เรา) 3สิ่งที่เราได้เห็นและได้ยินนั้น เราก็ประกาศให้พวกท่านรู้ด้วย เพื่อท่านจะได้มีสามัคคีธรรมกับเรา และเราก็มีสามัคคีธรรมกับพระเจ้าผู้เป็นพ่อ และกับพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์พระโอรสของพระเจ้า 4และเราเขียนข้อความเหล่านี้เพื่อความชื่นชมยินดีของเราจะได้เต็มเปี่ยม
5นี่เป็นข้อความที่เราได้ยินจากพระองค์ และบอกกับพวกท่าน คือว่าพระเจ้าเป็นความสว่าง และความมืดในพระองค์ไม่มีเลย 6ถ้าเราจะว่า เรามีสามัคคีธรรมกับพระองค์ขณะที่ยังเดินอยู่ในความมืด เราก็โกหก และไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความจริง 7แต่ถ้าเราเดินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างที่พระองค์อยู่ในความสว่าง เราก็มีสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และโลหิตของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์พระโอรสของพระองค์ ก็ชำระเราให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น 8ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่มีบาป ซึ่งอยู่ใต้อำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา เราก็หลอกตัวเอง และความจริงไม่ได้อยู่ในตัวเราเลย 9ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงซื่อสัตย์และเที่ยงธรรม ก็จะโปรดยกบาปของเรา และจะชำระเราให้พ้นจากบาปกรรมทั้งสิ้น 10ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่ได้ทำบาป ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้พูดโกหก และพระคำของพระองค์ก็ไม่ได้อยู่ในตัวเราเลย
1ลูกของข้าพเจ้าเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนข้อความเหล่านี้ถึงท่านทั้งหลาย เพื่อท่านจะได้ไม่ทำบาป ซึ่งทำตามอำนาจของ กิเลส ตัณหา อุปาทาน และอวิชชา และถ้าใครทำบาป เราก็มีผู้ช่วยทูลขอต่อพระเจ้าผู้เป็นพ่อเพื่อเรา คือพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ผู้ทรงเที่ยงธรรมนั้น 2และพระองค์เป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา และไม่ใช่แค่บาปของเราเท่านั้น แต่บาปของคนทั้งโลกด้วย 3ถ้าเราประพฤติตามพระบัญญัติหรือศีลของพระองค์ เราจะมั่นใจได้ว่าเรารู้จักพระองค์ 4ผู้ที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้ารู้จักพระองค์” แต่ไม่ได้ประพฤติตามพระบัญญัติหรือศีลของพระองค์ คนนั้นเป็นคนพูดโกหก และความจริงไม่ได้อยู่ในเขาเลย 5แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระคำของพระองค์ ความรักอากาเป ที่มีความหมายเช่นเดียวกันกับ พรหมวิหารสี่ คือเมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาของพระเจ้า ก็บริบูรณ์อยู่ในผู้นั้นอย่างแท้จริง เพราะเหตุนี้แหละ เราจึงรู้ว่าเราอยู่ในพระองค์ 6ผู้ที่กล่าวว่าตนอยู่ในพระองค์ ผู้นั้นก็ควรดำเนินชีวิตเหมือนพระองค์
7ท่านที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ได้เขียนบัญญัติหรือศีลใหม่ถึงท่านเลย แต่เป็นบัญญัติหรือศีลเก่า ซึ่งท่านเคยมีอยู่ตั้งแต่เริ่มแรก บัญญัติหรือศีลเก่านั้นคือคำซึ่งท่านได้ยินมาแล้ว 8อีกนัยหนึ่งก็กล่าวได้ว่าข้าพเจ้าเขียนบัญญัติหรือศีลใหม่ถึงพวกท่าน ซึ่งเป็นความจริงทั้งในพระองค์และในท่าน เพราะว่าความมืดนั้นกำลังจะผ่านพ้นไป และความสว่างแท้กำลังส่องอยู่แล้ว 9ผู้ที่กล่าวว่าตนอยู่ในความสว่าง ขณะที่ยังเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็ยังอยู่ในความมืด 10ผู้ที่รักพี่น้องของตนก็อยู่ในความสว่าง และในตัวเขานั้นไม่มีอะไรทำให้สะดุด 11แต่ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตนก็อยู่ในความมืด และเดินในความมืด และไม่รู้ว่าตนกำลังไปไหน เพราะว่าความมืดทำให้ตาของเขาบอดไปเสียแล้ว
12ลูกทั้งหลายเอ๋ย ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะว่าบาปของท่านได้รับการอภัยแล้ว ด้วยเห็นแก่พระนามของพระองค์ 13ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้ทรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่ม ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านได้ชนะมารร้ายนั้น 14ท่านทั้งหลายที่เป็นลูก ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะพวกท่านรู้จักพระบิดา ท่านทั้งหลายที่เป็นบิดา ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะท่านรู้จักพระองค์ผู้ทรงอยู่ตั้งแต่ปฐมกาล ท่านทั้งหลายที่เป็นคนหนุ่ม ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงท่าน เพราะพวกท่านมีกำลังมาก และพระคำของพระเจ้าอยู่ในพวกท่าน และท่านชนะมารร้ายนั้นแล้ว
15อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าใครรักโลก ความรักของพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ไม่ได้อยู่ในผู้นั้น 16เพราะว่าทุกสิ่งที่อยู่ในโลก คือกิเลส ตัณหาของเนื้อหนัง และกิเลส ตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้มาจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อ แต่มาจากโลก 17และโลกกับสิ่งยั่วยวนของโลกกำลังผ่านพ้นไป แต่คนที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์
18ลูกทั้งหลายเอ๋ย บัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว และตามที่พวกท่านได้ยินได้ฟังมาว่า ศัตรูของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์จะมา เดี๋ยวนี้ศัตรูของพระพระผู้เป็นพระศรีอาริจำนวนมากก็มาแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงรู้ว่าบัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว 19พวกเขาได้ออกไปจากเรา แต่เขาก็ไม่ได้เป็นของเรา เพราะว่าถ้าเขาเป็นของเรา เขาก็จะอยู่กับเราต่อไป แต่การที่เขาได้ออกไปนั้น แสดงให้เห็นชัดว่าเขาไม่ได้เป็นของเรา 20แต่พวกท่านได้รับการชโลมจากพระองค์ผู้บริสุทธิ์แล้ว และท่านทุกคนก็มีความรู้ 21ข้าพเจ้าเขียนจดหมายถึงพวกท่าน ไม่ใช่เพราะท่านไม่รู้ความจริง แต่เพราะท่านรู้แล้ว และรู้ว่าคำโกหกไม่ได้มาจากความจริง 22ใครล่ะเป็นคนที่โกหก ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากคนที่ปฏิเสธว่าพระเยซูไม่ใช่พระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้ที่ปฏิเสธพระเจ้าผู้เป็นพ่อและพระโอรส ผู้นั้นแหละเป็นศัตรูของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 23ทุกคนที่ปฏิเสธพระโอรส ไม่มีพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ผู้ที่ยอมรับพระโอรสก็มีพระเจ้าผู้เป็นพ่อด้วย
24ท่านทั้งหลาย จงให้สิ่งที่ท่านได้ยินมาตั้งแต่ต้นนั้นอยู่กับท่านเถิด ถ้าสิ่งที่ท่านได้ยินตั้งแต่ต้นนั้นอยู่กับท่าน ท่านก็จะอยู่ในพระโอรสและในพระเจ้าผู้เป็นพ่อด้วย 25นี่แหละเป็นสิ่งที่พระองค์ได้สัญญาไว้กับเรา คือชีวิตเข้าสู่นิพพาน 26ข้าพเจ้าเขียนข้อความนี้ถึงพวกท่าน กล่าวถึงพวกที่พยายามหลอกลวงท่าน 27ส่วนท่านทั้งหลาย การชโลมซึ่งท่านได้รับจากพระองค์นั้น ก็อยู่กับท่าน และไม่จำเป็นต้องมีใครสอนท่าน เพราะว่าการชโลมของพระองค์นั้น สอนท่านให้รู้ทุกสิ่ง และเป็นความจริง ไม่ใช่ความเท็จ การชโลมนั้นสอนพวกท่านแล้วอย่างไร ท่านจงอยู่ในพระองค์อย่างนั้น
28และบัดนี้ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงอยู่ในพระองค์ เพื่อว่าเมื่อพระองค์ปรากฏ เราจะได้มีความมั่นใจ และไม่ต้องหลบหน้าพระองค์ด้วยความละอาย เมื่อพระองค์เสด็จมา 29ถ้าพวกท่านรู้ว่าพระองค์ทรงเที่ยงธรรม ท่านก็รู้ว่าทุกคนที่ประพฤติตามความเที่ยงธรรมนั้นเกิดมาจากพระองค์ด้วย
1ลองคิดดู พระเจ้าผู้เป็นพ่อได้ประทานความรัก ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกันกับ พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาแก่เราเพียงไร ที่เราได้ชื่อว่าเป็นลูกของพระเจ้า และเราก็เป็นอย่างนั้น เหตุที่ชาวโลกไม่รู้จักเรา ก็เพราะเขาไม่รู้จักพระองค์ 2ท่านที่รักทั้งหลาย เดี๋ยวนี้เราเป็นลูกของพระเจ้า และเราจะเป็นอย่างไรต่อไปข้างหน้านั้นเรายังไม่รู้ แต่เรารู้ว่า ในเวลาที่พระองค์จะเสด็จมาปรากฏนั้น เราจะเป็นเหมือนอย่างพระองค์ เพราะว่าเราจะเห็นพระองค์อย่างที่พระองค์เป็นอยู่นั้น 3และทุกคนที่มีความหวังอย่างนี้ในพระองค์ ก็ชำระตนให้บริสุทธิ์ในความหลุดพ้นขั้นที่สองเหมือนที่พระองค์ทรงบริสุทธิ์ 4ทุกคนที่ทำบาปก็ประพฤติผิดธรรมบัญญัติหรือศีล บาปเป็นสิ่งที่ผิดธรรมบัญญัติหรือศีล 5พวกท่านรู้อยู่แล้วว่า พระองค์ทรงปรากฏเพื่อกำจัดบาปของเราให้หมดไป และไม่มีบาปอยู่ในพระองค์เลย 6ผู้ที่อยู่ในพระองค์ไม่ทำบาปอีกต่อไป ส่วนผู้ที่ทำบาปอยู่เรื่อยๆ คนนั้นยังไม่เห็นพระองค์ และยังไม่รู้จักพระองค์ 7ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้ใครชักจูงท่านให้หลง ผู้ที่ประพฤติดีประพฤติชอบ ก็เป็นคนบุญหรือคนชอบธรรม เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงเป็นผู้ชอบธรรม 8ผู้ที่ทำบาปก็มาจากมาร เพราะว่ามารก็ทำบาปตั้งแต่เริ่มแรก พระโอรสของพระเจ้า ได้เสด็จมาปรากฏก็เพราะเหตุนี้ คือเพื่อทำลายกิจการของมาร 9ผู้ที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป เพราะเชื้อของพระเจ้าอยู่ในคนนั้น และเขาทำบาปไม่ได้ เพราะเขาเกิดจากพระเจ้า 10เช่นนี้แหละ จึงเห็นได้ว่าใครเป็นลูกของพระเจ้า และใครเป็นลูกของมาร คือผู้ที่ไม่ได้ประพฤติดีประพฤติชอบ และไม่รักพี่น้องของตน ก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า
11นี่เป็นคำสั่งสอน ที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เริ่มแรก คือให้เรารักกันและกัน 12อย่าเป็นเหมือนอย่างคาอินที่มาจากมาร และฆ่าน้องของตนเอง ทำไมเขาถึงฆ่าน้อง? ก็เพราะการกระทำของเขาชั่ว และการกระทำของน้องนั้นถูกต้องและชอบธรรม 13พี่น้องเอ๋ย อย่าประหลาดใจที่โลกนี้เกลียดชังท่าน 14เรารู้ว่าเราได้พ้นจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว ก็เพราะเรารักพี่น้อง ผู้ที่ไม่รักก็ยังอยู่ในความตาย 15ผู้ที่เกลียดชังพี่น้องของตนก็เป็นผู้ฆ่าคน และพวกท่านก็รู้อยู่แล้วว่า ผู้ฆ่าคนนั้นไม่มีชีวิตเข้าสู่นิพพานอยู่ในตัวเขาเลย 16เช่นนี้แหละเราจึงรู้จักความรัก ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกันกับ พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาโดยที่พระองค์ได้ยอมสละชีวิตของพระองค์เพื่อเรา และเราก็ควรจะสละชีวิตของเราเพื่อพี่น้อง 17แต่ถ้าใครมีทรัพย์สมบัติในโลกนี้ และเห็นพี่น้องของตนขัดสนแล้วยังไม่เปิดใจช่วยเขา ความรักของพระเจ้าจะดำรงอยู่ในคนนั้นได้อย่างไร? 18ลูกทั้งหลายเอ๋ย อย่าให้เรารักกันด้วยคำพูดและด้วยปากเท่านั้น แต่จงรักกันด้วยการกระทำและด้วยความจริง
19เช่นนี้แหละ เราก็จะรู้ว่าเราอยู่ฝ่ายความจริง และใจเราจะหมดกังวลต่อหน้าพระองค์ 20เมื่อใจของเรากล่าวโทษตัวเราเอง พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่กว่าใจของเรา และพระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง 21ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าใจของเราไม่ได้กล่าวโทษเรา เราก็มีความมั่นใจที่จะเข้าเฝ้าพระเจ้า 22และเมื่อเราขอสิ่งใด ก็ได้สิ่งนั้นจากพระองค์ เพราะเราประพฤติตามพระบัญญัติหรือศีลของพระองค์ และปฏิบัติตามชอบพระทัยพระองค์ 23และนี่เป็นพระบัญญัติหรือศีลของพระองค์ คือ ให้เราวางใจในพระนามของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์พระโอรสของพระองค์ และให้เรารักกันและกัน ตามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้แก่เรา 24ทุกคนที่ประพฤติตามพระบัญญัติหรือศีลของพระองค์ก็อยู่ในพระองค์ และพระองค์อยู่ในคนนั้น เช่นนี้แหละ พวกเราจึงรู้ว่าพระองค์อยู่ในเรา คือโดยพระวิญญาณที่พระองค์ประทานแก่เรา
1ท่านที่รักทั้งหลาย อย่าเชื่อทุกๆ วิญญาณ แต่จงพิสูจน์วิญญาณนั้นๆ ว่ามาจากพระเจ้าหรือไม่ เพราะว่ามีผู้พยากรณ์เท็จจำนวนมากได้ออกมาในโลก 2พวกท่านก็จะรู้จักพระวิญญาณของพระเจ้าโดยข้อนี้ คือวิญญาณทุกดวงที่ยอมรับว่าพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ได้มาเกิดเป็นมนุษย์ วิญญาณนั้นก็มาจากพระเจ้า 3และวิญญาณทุกดวงที่ไม่ยอมรับพระเยซู วิญญาณนั้นก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า วิญญาณนั้นแหละเป็นศัตรูของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ซึ่งพวกท่านได้ยินว่าจะมา และขณะนี้ก็อยู่ในโลกแล้ว 4ลูกทั้งหลายเอ๋ย ท่านอยู่ฝ่ายพระเจ้า และชนะพวกเขาแล้ว เพราะว่าพระองค์ผู้ทรงอยู่ในพวกท่านยิ่งใหญ่กว่าผู้ที่อยู่ในโลก 5พวกเขาเป็นฝ่ายโลก เพราะเหตุนี้เขาจึงพูดตามโลก และโลกก็เชื่อฟังเขา 6ส่วนเราอยู่ฝ่ายพระเจ้า ผู้ที่รู้จักพระเจ้าก็ฟังเรา และผู้ที่ไม่ได้อยู่ฝ่ายพระเจ้าก็ไม่ฟังเรา ดังนั้นเราจึงรู้จักวิญญาณของความจริง และวิญญาณของความเท็จ
7ท่านที่รักทั้งหลาย ขอให้เรารักกันและกัน เพราะว่าความรัก ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกันกับ พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขามาจากพระเจ้า และทุกคนที่รักก็เกิดจากพระเจ้า และรู้จักพระเจ้า 8ผู้ที่ไม่รักก็ไม่รู้จักพระเจ้า เพราะว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก 9ความรักของพระเจ้าก็เป็นที่ประจักษ์แก่เราโดยข้อนี้ คือพระเจ้าทรงใช้พระโอรสองค์เดียวของพระองค์เข้ามาในโลก เพื่อเราจะได้ดำรงชีวิตโดยพระองค์ 10ความรักที่ข้าพเจ้าพูดถึงนี้ไม่ใช่ที่เรารักพระเจ้า แต่ที่พระองค์ทรงรักเรา และทรงใช้พระโอรสของพระองค์มา เพื่อเป็นเครื่องบูชาลบบาปของเรา 11ท่านที่รักทั้งหลาย ถ้าพระเจ้ารักเราอย่างนั้น เราก็ควรจะรักกันและกันด้วย 12ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้า ถ้าเรารักกันและกัน พระเจ้าก็อยู่ในเรา และความรักของพระองค์ก็สมบูรณ์อยู่ในเรา
13เช่นนี้แหละ เราจึงรู้ว่า เราอยู่ในพระองค์ และพระองค์อยู่ในเรา เพราะพระองค์ประทานพระวิญญาณของพระองค์เองแก่เรา 14และเราได้เห็นและเป็นพยานว่า พระเจ้าผู้เป็นพ่อได้ใช้พระโอรสมาเป็นพระผู้ทำความหลุดพ้นให้แก่โลก 15ผู้ที่ยอมรับว่าพระเยซูเป็นพระโอรสของพระเจ้า พระเจ้าอยู่ในคนนั้น และคนนั้นอยู่ในพระเจ้า 16ฉะนั้นเราจึงรู้ และวางใจในความรักที่พระเจ้ามีต่อเรา พระเจ้าเป็นความรัก ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกันกับ พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา และผู้ที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็อยู่ในคนนั้น 17ความรักของเราจึงสมบูรณ์ในข้อนี้ เพื่อเราจะมีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะว่าพระองค์เป็นเช่นไร เราในโลกนี้ก็เป็นเช่นนั้น 18ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ขับไล่ความกลัวออกไปเสีย เพราะความกลัวเกี่ยวข้องกับการลงโทษ และผู้ที่กลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์ 19เรารัก ก็เพราะพระองค์รักเราก่อน 20ถ้าใครกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารักพระเจ้า” แต่ใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน เขาเป็นคนพูดโกหก เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่มองเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่มองไม่เห็นไม่ได้ 21พระบัญญัติหรือศีลนี้เราได้มาจากพระองค์ คือให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย
1คนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ ก็เกิดจากพระเจ้า และคนที่รักพระองค์ผู้ให้กำเนิด ก็รักคนที่เกิดจากพระองค์ด้วย 2โดยข้อนี้ เราจึงรู้ว่าเรารักคนทั้งหลายที่เป็นลูกของพระเจ้า คือเมื่อเรารักพระเจ้า และประพฤติตามพระบัญญัติหรือศีลของพระองค์ 3เพราะว่าความรักต่อพระเจ้าเป็นอย่างนี้ คือเมื่อเราประพฤติตามพระบัญญัติหรือศีลของพระองค์ และพระบัญญัติหรือศีลของพระองค์นั้นไม่เป็นภาระหนักเกินไป 4เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยเหนือโลก และความเชื่อของเรานี่แหละ เป็นชัยชนะที่มีชัยเหนือโลก 5ใครล่ะที่มีชัยเหนือโลก? ไม่ใช่ใครอื่น คือคนที่เชื่อว่าพระเยซูเป็นพระโอรสของพระเจ้านั่นเอง
6นี่แหละคือผู้ที่ได้มาด้วยน้ำและโลหิต คือพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ไม่ใช่ด้วยน้ำเพียงอย่างเดียว แต่ด้วยน้ำและโลหิต และพระวิญญาณเป็นพยาน เพราะพระวิญญาณเป็นความจริง 7มีพยานอยู่สามอย่างด้วยกัน 8คือพระวิญญาณ น้ำ และโลหิต และพยานทั้งสามอย่างนี้สอดคล้องกัน 9ถ้าเรายอมรับพยานหลักฐานของมนุษย์ พยานหลักฐานของพระเจ้าก็ยิ่งใหญ่กว่า เพราะว่าเป็นพยานหลักฐานที่พระเจ้าเป็นพยานอ้างถึงพระโอรสของพระองค์ 10คนที่เชื่อพระโอรสของพระเจ้าก็มีพยานอยู่ในตัว คนที่ไม่เชื่อพระเจ้าก็ทำให้พระองค์เป็นผู้พูดโกหก เพราะเขาไม่ได้เชื่อคำพยานที่พระเจ้าเป็นพยานอ้างถึงพระโอรสของพระองค์ 11และพยานหลักฐานนั้นก็คือ พระเจ้าประทานชีวิตเข้าสู่นิพพานแก่เรา และชีวิตนี้มีอยู่ในพระโอรสของพระองค์ 12คนที่มีพระโอรสก็มีชีวิต คนที่ไม่มีพระโอรสก็ไม่มีชีวิต
13ข้อความเหล่านี้ข้าพเจ้าเขียนถึงท่านทั้งหลายที่วางใจในพระนามของพระโอรสของพระเจ้า เพื่อให้ท่านรู้ว่าท่านมีชีวิตเข้าสู่นิพพาน 14และนี่เป็นความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์ คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นความประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ฟัง 15และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ฟังเมื่อเราทูลขอสิ่งใด เราก็รู้ว่าเราได้รับสิ่งที่ทูลขอนั้นจากพระองค์ 16ถ้าใครเห็นพี่น้องของตนทำบาปชนิดที่ไม่นำไปสู่ความตาย ก็ให้คนนั้นทูลขอ และพระองค์ก็จะประทานชีวิตแก่คนที่ทำบาป ซึ่งไม่นำไปสู่ความตาย บาปที่นำไปสู่ความตายก็มี ข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่าให้อธิษฐานในเรื่องบาปอย่างนั้น 17การความชั่วร้ายทุกอย่างเป็นบาป แต่บาปที่ไม่นำไปสู่ความตายก็มีอยู่ 18เรารู้ว่าทุกคนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป แต่พระองค์ผู้บังเกิดจากพระเจ้าคุ้มครองรักษาเขา และมารร้ายไม่แตะต้องเขา 19เรารู้ว่าเราเกิดจากพระเจ้า แต่โลกทั้งหมดอยู่ในมือของมารร้าย 20และเรารู้ว่าพระโอรสของพระเจ้าเสด็จมาแล้ว และประทานสติปัญญาแก่เรา เพื่อให้เรารู้จักพระองค์ผู้เป็นความจริง และเราอยู่ในพระองค์นั้นโดยอยู่ในพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์พระโอรสของพระองค์ พระองค์นี่แหละเป็นพระเจ้าแท้ และเป็นชีวิตเข้าสู่นิพพาน 21ลูกทั้งหลายเอ๋ย จงรักษาตัวให้พ้นจากรูปเคารพทั้งปวง
1จดหมายนี้เขียนจากจาก ข้าพเจ้าที่เป็นผู้อาวุโส เรียน ท่านสุภาพสตรีที่เลือกไว้ และลูก ๆ ของท่าน ผู้ซึ่งข้าพเจ้ารักอย่างแท้จริง และไม่ใช่แต่ข้าพเจ้าเท่านั้น ทุกคนที่รู้ความจริงก็รักด้วย 2ทั้งนี้เพราะความจริงที่อยู่ในเรา และจะดำรงอยู่กับเราชั่วนิรันดร์ 3ขอพระคุณ พระเมตตา สันติภาพและสันติสุขจากพระเจ้าพระเจ้าผู้เป็นพ่อ และจากพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์พระโอรสของพระเจ้าผู้เป็นพ่อบิดา จงดำรงอยู่กับเราในความจริง และในความรัก ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกันกับ พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา
4ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง ที่พบว่าลูกของท่านบางคนดำเนินชีวิตตามความจริง ตรงตามที่เราได้รับคำสั่งจากพระเจ้าผู้เป็นพ่อ 5ท่านสุภาพสตรีที่รัก เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่าน ไม่ใช่ว่าข้าพเจ้าเขียนบัญญัติใหม่หรือศีลถึงท่าน แต่เป็นบัญญัติหรือศีลที่เรามีอยู่แล้วตั้งแต่เริ่มแรก นั่นก็คือให้เรารักกันและกัน 6และความรักนั้นก็คือการที่เราประพฤติตามพระบัญญัติหรือศีลของพระองค์ ตามที่ท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังมาตั้งแต่เริ่มแรก จงประพฤติตามนั้น 7เพราะว่ามีผู้ล่อลวงจำนวนมากออกมาในโลก เป็นพวกที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์เกิดมาเป็นมนุษย์ คนประเภทนั้นแหละเป็นผู้ล่อลวง และเป็นศัตรูของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ 8จงระวังตัวให้ดี เพื่อว่าพวกท่านจะไม่สูญเสียสิ่งที่ท่านทำมาแล้ว แต่จะได้รับบำเหน็จเต็มที่ 9ผู้ที่ล่วงเกิน และไม่อยู่ในคำสั่งสอนของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ก็ไม่มีพระเจ้า ผู้ที่อยู่ในคำสั่งสอนของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์มีทั้งพระเจ้าผู้เป็นพ่อและพระโอรส 10ถ้าใครมาหาท่าน และไม่นำคำสั่งสอนนี้มาด้วย อย่ารับเขาไว้ในบ้าน และอย่าทักทายเขาเลย 11เพราะว่าผู้ที่ทักทายเขา ก็มีส่วนร่วมในการทำชั่วของเขา
12ข้าพเจ้ายังมีอีกหลายเรื่องที่จะเขียนถึงพวกท่าน แต่ไม่อยากใช้กระดาษ และน้ำหมึกเขียน ข้าพเจ้าหวังว่าจะมาหาท่าน และพูดคุยกับท่านเอง เพื่อความชื่นชมยินดีของเราจะได้เต็มเปี่ยม 13ลูก ๆ ของน้องสาวที่ได้พระเจ้าเลือกไว้ ก็ฝากคำทักทายมายังท่าน
1จดหมายนี้เขียนจากจาก ข้าพเจ้าที่เป็นผู้อาวุโส เรียน กายอัสผู้เป็นที่รัก ผู้ซึ่งข้าพเจ้ารักอย่างแท้จริง 2ท่านที่รัก ข้าพเจ้าอธิษฐานขอให้ท่านมีสุขภาพแข็งแรง และมีความสุขความเจริญทุกอย่าง ดังที่จิตวิญญาณของท่านกำลังเจริญอยู่นั้น 3ข้าพเจ้าชื่นชมยินดีอย่างยิ่ง เมื่อพี่น้องบางคนมาหา และเป็นพยานถึงชีวิตของท่านอย่างจริงจังว่าท่านกำลังประพฤติตามความจริง 4ไม่มีอะไรทำให้ข้าพเจ้ายินดียิ่งไปกว่านี้ คือที่ได้ยินว่าลูก ๆ ของข้าพเจ้าประพฤติตามความจริง
5ท่านที่รัก เมื่อท่านทำสิ่งใดให้พี่น้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้แก่แขกแปลกหน้า ก็เป็นการแสดงความซื่อสัตย์ของท่าน 6แขกเหล่านั้นเป็นพยานเรื่องความรักของท่าน ต่อหน้าชุมชนของพระเจ้าแล้ว ถ้าท่านจะช่วยจัดส่งพวกเขาให้สมกับที่พระเจ้าใช้เขาก็จะเป็นพระคุณยิ่ง 7เพราะพวกเขาเดินทางไปเพื่อรับใช้พระนามนั้น โดยไม่ได้รับสิ่งใดจากคนนอกเลย 8ฉะนั้นเราควรต้อนรับคนอย่างนี้ เพื่อเราจะเป็นผู้ร่วมงานกันเพื่อความจริง 9ข้าพเจ้าเคยเขียนบางสิ่งบางอย่างถึงชุมชนของพระเจ้า แต่ดิโอเตรเฟส คนที่อยากจะเป็นใหญ่เป็นโตในพวกเขา ไม่ยอมรับเรา 10เพราะเหตุนี้ ถ้าข้าพเจ้ามา ข้าพเจ้าจะเปิดเผยพฤติกรรมของเขา ที่กล่าวใส่ความเราด้วยถ้อยคำเลวทราม เท่านั้นยังไม่พอ ตัวเขาเองยังไม่ยอมรับรองพี่น้องเหล่านั้น ทั้งยังกีดกันคนที่ต้องการจะรับรองพวกเขา และไล่ออกจากชุมชนของพระเจ้า
11ท่านที่รัก อย่าเลียนแบบสิ่งที่ชั่ว แต่จงเลียนแบบสิ่งที่ดี คนที่ทำดีมาจากพระเจ้า คนที่ทำชั่วไม่เคยเห็นพระเจ้า 12ทุกคนก็เป็นพยานให้เดเมตริอัส และความจริงเองก็เป็นพยานอยู่ในตัว เราก็เป็นพยานด้วย และท่านก็รู้ว่าคำพยานของเราเป็นความจริง
13ข้าพเจ้ามีหลายเรื่องที่จะเขียนถึงท่าน แต่ไม่อยากจะเขียนด้วยปากกาและน้ำหมึก 14ข้าพเจ้าหวังว่าจะได้พบท่านในเร็ว ๆ นี้ และจะได้พูดกันต่อหน้า 15ขอสันติภาพและสันติสุขจงมีแก่ท่าน เพื่อน ๆ ฝากคำทักทายมายังท่าน ขอฝากคำทักทายมายังเพื่อนทีละคนทุกคน
1จดหมายฉบับนี้เขียนโดยยูดาส ซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ และเป็นน้องชายของยากอบ เขียนไปถึงคนทั้งหลายที่ได้รับการทรงเรียกให้มาเชื่อพึ่งอาศัยในพระองค์ และเป็นผู้ที่รักของพระเจ้าผู้เป็นพ่อ และได้รับการคุ้มครองรักษาไว้ เพื่อพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ 2ขอพระเมตตา สันติภาพและสันติสุข และความรัก ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกับพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา จงเพิ่มพูนแก่ท่านทั้งหลายยิ่ง ๆ ขึ้นเถิด
3ท่านที่รักทั้งหลาย ข้าพเจ้าปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะเขียนถึงท่านเรื่องความหลุดพ้นที่เรามีร่วมกัน แต่ข้าพเจ้าเห็นว่า จำเป็นจะต้องเขียนวิงวอนท่านให้ต่อสู้ เพื่อหลักความเชื่อที่ได้มอบให้กับพวกวิมุตติชนครั้งเดียวสำหรับตลอดไป 4เพราะว่าบางคนได้แอบแฝงเข้ามาในหมู่ท่าน การลงโทษคนพวกนี้มีเขียนไว้นานแล้ว พวกเขาเป็นคนไม่เชื่อในพระเจ้า ที่ถือเอาพระคุณของพระเจ้าของเรามาบิดเบือน เป็นช่องทางทำความชั่วช้าลามก และได้ปฏิเสธพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ผู้ทรงเป็นเจ้านาย และองค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแต่องค์เดียว
5ถึงพวกท่านจะรู้ข้อความเหล่านี้หมดแล้ว ข้าพเจ้าก็ปรารถนาให้ท่านระลึกว่า แม้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยชนชาติหนึ่งให้รอดพ้นจากแผ่นดินอียิปต์ แต่ภายหลังก็ทรงทำลายคนเหล่านั้นที่ไม่เชื่อ 6และพวกทูตสวรรค์ที่ไม่รักษาอำนาจครอบครองของตนเอง แต่ละทิ้งถิ่นฐานของตน พระองค์ก็ทรงจองจำไว้ด้วยโซ่อันไม่รู้จักสลาย ในที่มืดจนกว่าจะถึงเวลาพิพากษาในวันยิ่งใหญ่นั้น 7สำหรับเมืองโสโดม เมืองโกโมราห์ และเมืองต่าง ๆ ที่อยู่รอบ ๆ นั้นก็เช่นเดียวกัน ได้ประพฤติผิดศีลธรรมทางเพศ และมัวเมาในกามวิตถาร จึงเป็นตัวอย่างของการรับโทษในไฟนิรันดร์
8ในทำนองเดียวกัน พวกนักเพ้อฝันเหล่านี้ ทำให้ตัวเป็นมลทิน และปฏิเสธสิทธิอำนาจขององค์พระผู้เป็นเจ้า และพูดลบหลู่เทวะทูตผู้มีศักดิ์ศรี 9แม้แต่ท่านมีคาเอลหัวหน้าทูตสวรรค์ เมื่อโต้เถียงกับมารเรื่องศพของโมเสส ท่านเองก็ยังไม่บังอาจพูดลบหลู่มารเลย แต่พูดเพียงว่า “ให้องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงดุว่าเจ้าเถิด” 10แต่ว่าคนเหล่านี้พูดลบหลู่สิ่งที่เขาเองไม่เข้าใจ และดังนั้นโดยสิ่งที่พวกเขารู้ตามสัญชาตญาณ อย่างสัตว์ที่ไร้เหตุผล เขาจึงถูกทำลาย 11วิบัติมีแก่พวกเขา เพราะเขาดำเนินตามทางของคาอิน และปล่อยตัวทำตามความผิดพลาดของบาลาอัม เพราะเห็นแก่ได้ ฉะนั้นจึงพินาศไปอย่างกบฏของโคราห์
12คนเหล่านี้เป็นพวกที่ทำให้งานเลี้ยงเชื่อมความรักสามัคคีของพวกท่านเสื่อมเสียไป ขณะที่พวกเขาร่วมกินเลี้ยงกับพวกท่านโดยปราศจากความยำเกรง เขาเป็นผู้เลี้ยงแกะที่เลี้ยงแต่ตัวเอง เป็นเมฆที่ไม่มีน้ำที่ถูกพัดลอยไปตามลม เป็นต้นไม้ที่ไร้ผลในฤดูที่ออกผล และตายมาสองหนแล้วเพราะถูกถอนออกทั้งราก 13เป็นคลื่นรุนแรงในทะเลที่ซัดฟองแห่งความบัดสีของตนเองขึ้นมา เป็นดวงดาวที่พลัดออกไปนอกวงโคจร ความมืดมิดถูกสงวนไว้สำหรับพวกเขาตลอดกาล
14คนเหล่านี้แหละที่เอโนค ซึ่งเป็นคนชั่วอายุที่เจ็ดนับจากอาดัมพยากรณ์ไว้ว่า นี่แน่ะ องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังเสด็จมาพร้อมกับผู้บริสุทธิ์ของพระองค์นับเป็นหมื่น ๆ 15เพื่อทำการพิพากษาทุกคน และเพื่อทำให้คนไม่เชื่อในพระเจ้าทุกคน สำนึกตัวถึงการไม่เชื่อในพระเจ้าทุกอย่าง ที่พวกเขาทำไปตามวิถีทางไม่เชื่อพระเจ้านั้น และสำนึกตัวถึงความหยาบช้าทั้งหมด ที่คนบาปชั่วได้กล่าวร้ายต่อพระองค์ 16คนเหล่านี้เป็นพวกช่างบ่นช่างติ ดำเนินชีวิตตามความปรารถนาชั่วของตัวเอง และปากของพวกเขาคุยโวโอ้อวด และยกยอผู้อื่น เพื่อหวังประโยชน์ของตน
17แต่ว่าท่านที่รักทั้งหลาย พึงระลึกถึงคำพยากรณ์ของพวกอัครทูตของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา 18ท่านเหล่านั้นบอกท่านว่า “ในวาระสุดท้าย จะมีคนที่ชอบเยาะเย้ยเกิดขึ้น ที่ดำเนินชีวิตตามความปรารถนาชั่วของตัวเอง” 19คนเหล่านี้คือคนที่ก่อให้เกิดความแตกแยก หมกมุ่นอยู่ในโลกีย์วิสัย และปราศจากพระวิญญาณ 20แต่ท่านที่รักทั้งหลาย จงสร้างตัวของท่านขึ้นบนความเชื่ออันบริสุทธิ์ที่สุดของท่าน และจงอธิษฐานสวดภาวนาโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ 21จงรักษาตัวให้อยู่ในความรักของพระเจ้า ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกับพรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ขณะคอยให้พระเมตตาของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา นำท่านไปสู่ชีวิตเข้าสู่นิพพาน 22และจงมีใจเมตตาคนที่ยังสงสัยอยู่ 23จงช่วยคนให้หลุดพ้นด้วยการฉุดเขาออกจากไฟ และจงเมตตาผู้อื่นด้วยความยำเกรงพระเจ้า และจงรังเกียจแม้แต่เสื้อผ้าที่เปรอะเปื้อนด้วยกายที่เป็นมลทิน
24แด่พระองค์ผู้ทรงสามารถปกป้องพวกท่าน ไม่ให้สะดุดล้ม และทรงตั้งพวกท่านอยู่เบื้องหน้าพระสิริ หรือสง่าราศีของพระองค์ โดยปราศจากตำหนิ และมีความร่าเริงยินดี 25ขอพระเกียรติ ความยิ่งใหญ่ อานุภาพ และสิทธิอำนาจ จงมีแด่พระเจ้าองค์เดียว ผู้เป็นพระผู้ทำความหลุดพ้นให้เรา โดยทางพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ทั้งในอดีตกาล ปัจจุบันกาล และในกาลต่อ ๆ ไปเป็นนิตย์ สาธุ
1การเปิดเผยหรือการสำแดงของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ ที่พระเจ้าประทานแก่พระองค์ เพื่อสำแดงต่อบรรดาผู้รับใช้ของพระองค์ เกี่ยวกับสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในเร็ว ๆ นี้ และพระองค์ใช้เทวะทูตของพระองค์ ไปแจ้งกับยอห์นทาสรับใช้ของพระองค์ 2ยอห์นเป็นพยานให้กับพระคำของพระเจ้า และให้กับคำพยานของพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์ คือทุกสิ่งที่ท่านเห็น 3ความสุขมีแก่ผู้ที่อ่าน และแก่บรรดาผู้ที่ฟังคำพยากรณ์ แล้วประพฤติตามสิ่งต่าง ๆ ที่เขียนไว้ในนั้น เพราะว่าเวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว
4จดหมายนี้เขียนจากยอห์น เขียนถึงชุมชนของพระเจ้าทั้งเจ็ดที่อยู่ในแคว้นเอเชีย ขอให้ท่านทั้งหลายได้รับพระคุณ สันติภาพและสันติสุขจากพระองค์ผู้มีชีวิตอยู่ ผู้ทรงเคยเป็นอยู่ และผู้ที่จะเสด็จมาและจากพระวิญญาณทั้งเจ็ด ที่เฝ้าอยู่หน้าพระที่นั่งของพระองค์ 5และจากพระเยซูผู้เป็นพระศรีอาริย์พยานผู้ซื่อสัตย์ ซึ่งเป็นผู้แรกที่เป็นขึ้นจากความตาย และเป็นผู้ครอบครองเหนือบรรดากษัตริย์ในโลก พระองค์ทรงรักเรา นั่นหมายความว่า พระองค์เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขาต่อเรา ทรงปลดปล่อยเราจากบาปของเรา ด้วยเลือดของพระองค์ 6และทรงตั้งเราให้เป็นอาณาจักร และเป็นพวกปุโรหิตของพระเจ้าผู้เป็นพ่อ ขอพระเกียรติ สง่าราศี และอานุภาพจงมีแด่พระองค์สืบ ๆ ไปเป็นนิตย์ สาธุ
7นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์ จะเป็นไปอย่างนั้น สาธุ
8พระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ ผู้ทรงเคยเป็นอยู่ ผู้ที่จะเสด็จมา และผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด กล่าวว่า “เราเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย”
9ข้าพเจ้าคือยอห์นพี่น้องของท่านทั้งหลาย ผู้มีส่วนร่วมในความยากลำบาก และในอาณาจักร และในความทรหดอดทนในพระเยซู ข้าพเจ้ามาอยู่ที่เกาะปัทมอส เพราะเหตุพระคำของพระเจ้า และคำพยานของพระเยซู 10พระวิญญาณทรงดลใจข้าพเจ้าในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังเหมือนอย่างเสียงแตรมาจากข้างหลังข้าพเจ้า 11กล่าวว่า “สิ่งที่เจ้าเห็นนั้นจงเขียนไว้ในหนังสือม้วน และส่งไปให้ชมชนของพระเจ้าทั้งเจ็ด คือชุมชนของพระเจ้าที่เมืองเอเฟซัส เมืองสเมอร์นา เมืองเปอร์กามัม เมืองธิยาทิรา เมืองซาร์ดิส เมืองฟีลาเดลเฟียและเมืองเลาดีเซีย”
12แล้วข้าพเจ้าก็หันกลับมาดูตรงที่เสียงกล่าวกับข้าพเจ้านั้น และเมื่อหันกลับมาแล้ว ข้าพเจ้าก็เห็นเชิงเทียนทองคำเจ็ดคัน 13ในท่ามกลางเชิงเทียนเหล่านั้น มีผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์ สวมเสื้อผ้ายาวคลุมถึงเท้า และคาดแถบทองคำที่อก 14ศีรษะและผมของพระองค์ขาวเหมือนอย่างขนแกะ และขาวเหมือนอย่างปุยสำลี ดวงตาของพระองค์เหมือนอย่างเปลวไฟ 15เท้าของพระองค์เหมือนทองสัมฤทธิ์ ประหนึ่งหลอมบริสุทธิ์แล้วในเตาไฟ เสียงของพระองค์เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลาย 16มือขวาของพระองค์ถือดวงดาวเจ็ดดวง และมีดาบสองคมที่คมกริบออกมาจากปากของพระองค์ และดวงหน้าของพระองค์เหมือนอย่างดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงแรงกล้า
17เมื่อข้าพเจ้าเห็นพระองค์ ข้าพเจ้าก็ล้มลงแทบเท้าของพระองค์เหมือนอย่างคนตาย และพระองค์วางมือขวาบนตัวข้าพเจ้า แล้วกล่าวว่า “อย่ากลัวเลย เราเป็นเบื้องต้น และเป็นเบื้องปลาย 18เป็นผู้ที่ดำรงชีวิตอยู่ เราได้ตายแล้ว แต่นี่แน่ะ เรายังดำรงชีวิตอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ และเราถือลูกกุญแจทั้งหลายแห่งความตาย และแห่งแดนคนตาย 19เพราะฉะนั้น จงเขียนสิ่งที่เจ้าเห็นแล้ว คือสิ่งที่กำลังเป็นอยู่ขณะนี้ กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ 20ส่วนความล้ำลึกของดาวทั้งเจ็ดดวง ซึ่งเจ้าเห็นในมือขวาของเรา และของเชิงเทียนทองคำทั้งเจ็ดนั้น ดาวเจ็ดดวงก็คือบรรดาเทวะทูตของชุมชนทั้งเจ็ดของพระเจ้า และเชิงเทียนเจ็ดคันนั้นก็คือชุมชนทั้งเจ็ดของพระเจ้า
1จงเขียนถึงเทวะทูตของชุมชนพระเจ้าที่เมืองเอเฟซัสว่า “พระองค์ผู้ถือดาวทั้งเจ็ดไว้ในมือขวา และดำเนินอยู่ท่ามกลางเชิงเทียนทองคำทั้งเจ็ดนั้นกล่าวดังนี้ว่า 2เรารู้จักความประพฤติของเจ้า รู้เรื่องการตรากตรำ และความทรหดอดทนของเจ้า และรู้ว่าเจ้าไม่ยอมทนต่อพวกคนชั่ว เจ้าทดสอบพวกที่อ้างตัวว่าเป็นอัครทูต แต่ไม่ได้เป็น และเจ้าก็พบว่าพวกเขาโกหก 3เรารู้ว่าพวกเจ้ามีความทรหดอดทน และยอมทนเพราะนามของเรา และไม่ได้อ่อนระอา 4แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้าง คือว่าเจ้าละทิ้งความรักครั้งแรกของเจ้า ซึ่งมีหมายความว่า ว่าความเมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกเขา 5เพราะฉะนั้นจงระลึกถึงสภาพเดิมที่เจ้าตกลงมาแล้วนั้น จงกลับใจใหม่ และทำตามที่ประพฤติในตอนแรก มิฉะนั้นเราจะมาหาเจ้า และจะย้ายเชิงเทียนของเจ้าออกจากที่ของมัน นอกจากว่าเจ้าจะกลับใจใหม่ 6แต่ว่าเจ้ายังมีข้อดีอยู่ คือว่าเจ้าเกลียดชังความประพฤติของพวกนิโคเลาส์ ที่เราเองก็เกลียดชัง 7ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณพูดกับชุมชนทั้งหลายของพระเจ้า คนที่ชนะ เราจะให้เขากินผลจากต้นไม้ที่ให้ชีวิต ที่อยู่ในส่วนสวรรค์ของพระเจ้า”
8จงเขียนถึงเทวะทูตของชุมชนพระเจ้าที่เมืองสเมอร์นาว่า “พระองค์ผู้เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย ผู้ซึ่งตายไปแล้ว และกลับมีชีวิตอีก กล่าวดังนี้ว่า 9เรารู้เรื่องความยากลำบาก และยากจนของเจ้า (แต่ว่าเจ้าก็มั่งมี) และรู้เรื่องการกล่าวร้ายของพวกที่อ้างตัวว่าเป็นยิว แต่ไม่ได้เป็น แต่เป็นธรรมศาลาของซาตาน 10อย่ากลัวการทนทุกข์ที่เจ้าจะได้รับนั้น นี่แน่ะ มารจะขังพวกเจ้าบางคนไว้ในคุกเพื่อทดลองพวกเจ้า และเจ้าทั้งหลาย จะได้รับความยากลำบากถึงสิบวัน แต่เจ้าจงซื่อสัตย์จวบจนวันตาย และเราจะมอบมงกุฎแห่งชีวิตให้แก่เจ้า 11ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณพูดกับชุมชนทั้งหลายของพระเจ้า คนที่ชนะจะไม่ได้รับอันตรายจากความตายครั้งที่สองเลย”
12จงเขียนถึงเทวะทูตของชุมชนของพระเจ้าที่เมืองเปอร์กามัมว่า “พระองค์ผู้ถือดาบสองคมที่คมกริบกล่าวดังนี้ว่า 13เรารู้จักที่อยู่ของเจ้า ที่ซึ่งเป็นที่นั่งของซาตาน ถึงกระนั้นเจ้าก็ยึดมั่นในนามของเรา และไม่ปฏิเสธความเชื่อในเรา แม้ในเวลาที่อันทีพาส (Antipas) พยานผู้ซื่อสัตย์ของเราต้องถูกฆ่าท่ามกลางพวกเจ้า ในที่ซึ่งซาตานอยู่นั้น 14แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าสองสามข้อ คือเจ้ามีบางคนที่ยึดถือคำสอนของบาลาอัมอยู่ที่นั่น ผู้ซึ่งสอนบาลาคให้วางสิ่งสะดุดต่อหน้าพวกอิสราเอล คือให้พวกเขากินอาหารที่บูชารูปเคารพ และล่วงประเวณี 15เช่นเดียวกันเจ้าก็มีคนที่ยึดถือคำสอนของพวกนิโคเลาส์ด้วย 16เพราะฉะนั้นจงกลับใจใหม่ มิฉะนั้นเราจะมาหาเจ้าโดยเร็ว และจะต่อสู้กับพวกเขาด้วยดาบในปากของเรา 17ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณพูดกับชุมชนทั้งหลายของพระเจ้า เราจะให้อาหารจากสวรรค์ที่ซ่อนอยู่แก่คนที่ชนะ และจะให้หินสีขาวแก่เขาด้วย และบนหินนั้นจะมีชื่อใหม่จารึกไว้ ซึ่งไม่มีใครรู้เลยนอกจากผู้ที่ได้รับ”
18จงเขียนถึงเทวะทูตสวรรค์ของชุมชนของพระเจ้า ที่เมืองธิยาทิราว่า “พระองค์ผู้เป็นพระโอรสของพระเจ้า ผู้มีดวงตาเหมือนอย่างเปลวไฟ และมีเท้าเหมือนทองสัมฤทธิ์ ได้กล่าวดังนี้ว่า 19เรารู้จักความประพฤติของเจ้า รู้เรื่องความรัก ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกันกับ พรหมวิหารสี่ อันได้แก่ เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกเขา ความเชื่อพึ่งอาศัย การปรนนิบัติรับใช้ และความทรหดอดทนของเจ้า และรู้ว่าความประพฤติในตอนปลายนั้นดีกว่าตอนต้น 20แต่เรามีข้อที่จะต่อว่าเจ้าบ้าง คือเจ้าทนฟังนางเยเซเบล ผู้หญิงที่อ้างตัวเป็นผู้พยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้า นางสอนและล่อลวงบรรดาผู้รับใช้ของเราให้ล่วงประเวณี และกินอาหารที่บูชารูปเคารพ 21เราให้โอกาสนางเพื่อจะได้กลับใจใหม่ แต่นางก็ไม่ประสงค์จะกลับใจจากการล่วงประเวณี 22นี่แน่ะ เราจะโยนนางไว้บนเตียงคนไข้ และโยนพวกที่ล่วงประเวณีกับนาง ไว้ในความยากลำบากยิ่งใหญ่ นอกจากว่าพวกเขาจะกลับใจจากการประพฤติชั่วของนาง 23เราจะประหารลูก ๆ ของนางให้ตาย แล้วชุมชนของพระเจ้าทั้งหมดจะได้รู้ว่าเราเป็นผู้ตรวจสอบความคิดและจิตใจ และเราจะให้กับเจ้าทั้งหลาย แต่ละคนตามความประพฤติของพวกเจ้า 24สำหรับพวกเจ้าที่เหลืออยู่ในเมืองธิยาทิราที่ไม่ถือคำสอนนี้ และไม่รู้จักสิ่งที่เขาเรียกว่าความล้ำลึกของซาตาน เราขอบอกว่า เราจะไม่มอบภาระอื่นแก่พวกเจ้า 25ถึงอย่างไรก็ดี จงยึดมั่นสิ่งที่มีอยู่จนกว่าเราจะมา 26และคนที่ชนะและปฏิบัติงานของเราจนถึงที่สุด เราจะประทานสิทธิอำนาจเหนือบรรดาประชาชาติให้แก่เขา 27และเขาจะปกครองดูแลคนทั้งหลายด้วยคทาเหล็ก เหมือนอย่างหม้อกระเบื้องที่ถูกตีแตกเป็นเสี่ยง ๆ 28เหมือนอย่างที่เราได้รับอำนาจจากพระบิดาของเราแล้ว และเราจะมอบดาวประจำรุ่งให้กับเขาด้วย 29ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณพูดกับชุมชนทั้งหลายของพระเจ้า”
1จงเขียนถึงเทวะทูตของชุมชนของพระเจ้า ที่เมืองซาร์ดิสว่า “พระองค์ผู้ทรงมีพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า และทรงมีดาวเจ็ดดวงนั้น กล่าวดังนี้ว่า เรารู้จักความประพฤติของเจ้า คือเจ้าได้ชื่อว่ามีชีวิตอยู่ แต่ว่าเจ้าตายแล้ว 2เจ้าจงตื่นขึ้นและจงเสริมกำลังให้กับส่วนที่เหลืออยู่ซึ่งจวนจะตายแล้วนั้น เพราะว่าเราไม่พบความประพฤติที่ครบบริบูรณ์ของเจ้าเฉพาะหน้าของพระเจ้า 3เหตุฉะนั้นเจ้าจงระลึกว่าเจ้าได้รับและได้ยินอะไร จงถือรักษาและจงกลับใจใหม่ เพราะถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้น เราจะมาเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าชั่วโมงไหน 4แต่เจ้าก็ยังมีสองสามคนในเมืองซาร์ดิสที่ไม่ได้ทำให้เสื้อผ้าของตนเป็นมลทิน และพวกเขาจะดำเนินไปกับเราในชุดสีขาว เพราะว่าเขาเป็นคนที่คู่ควร 5เช่นเดียวกัน คนที่ชนะก็จะสวมเสื้อสีขาว และเราจะไม่ลบชื่อของเขาออกจากหนังสือแห่งชีวิต เราจะรับรองชื่อของเขาต่อหน้าพระบิดาของเรา และต่อหน้าบรรดาเทวะทูตของพระองค์ 6ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณพูดกับชุมชนทั้งหลายของพระเจ้า”
7จงเขียนถึงเทวะทูตสวรรค์ของชุมชนพระเจ้าที่เมืองฟีลาเดลเฟียว่า “พระองค์ผู้บริสุทธิ์ ผู้ทรงสัตย์จริง ผู้ทรงมีลูกกุญแจของดาวิด ผู้ทรงเปิดแล้วจะไม่มีใครปิดได้ ผู้ทรงปิดแล้วจะไม่มีใครเปิดได้นั้น กล่าวดังนี้ว่า 8เรารู้จักความประพฤติของเจ้า นี่แน่ะ เราจัดวางประตูที่เปิดไว้ตรงหน้าพวกเจ้า ประตูนี้ไม่มีใครสามารถปิดได้ เรารู้ว่าเจ้ามีกำลังเพียงเล็กน้อย แต่กระนั้นเจ้าก็ถือรักษาคำของเรา และไม่ได้ปฏิเสธนามของเรา 9นี่แน่ะ เราจะเป็นเหตุให้พวกธรรมศาลาของซาตานที่กล่าวอ้างว่า พวกเขาเป็นยิว และไม่ได้เป็น แต่กลับโกหกนั้น เราจะทำให้พวกเขามากราบลงแทบเท้าของเจ้า และให้เขารู้ว่าเรารักเจ้า 10เพราะว่าเจ้าถือรักษาคำของเรา คือมีความทรหดอดทน เราจะเฝ้ารักษาเจ้าให้พ้นจากช่วงเวลาแห่งการทดสอบ ซึ่งจะมาถึงคนทั่วทั้งโลก เพื่อจะทดสอบคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก 11เราจะมาโดยเร็ว จงยึดมั่นในสิ่งที่เจ้ามี เพื่อจะไม่ให้ใครชิงเอามงกุฎของเจ้าไปได้ 12คนที่ชนะ เราจะตั้งให้เขาเป็นเสาหลักอยู่ในพระวิหารของพระเจ้าของเรา และเขาจะไม่ออกไปจากพระวิหารอีกเลย และบนตัวเขา เราจะจารึกพระนามพระเจ้าของเรา และชื่อเมืองของพระเจ้าของเรา คือนครเยรูซาเล็มใหม่ที่ลงมาจากสวรรค์จากพระเจ้าของเรา และเราจะจารึกนามใหม่ของเราด้วย 13ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณพูดกับชุมชนทั้งหลายของพระเจ้า”
14จงเขียนถึงเทวะทูตของชุมชนของพระเจ้าที่เมืองเลาดีเซียว่า “พระองค์ผู้เป็นพระที่เป็นตามที่เป็น ทรงเป็นพยานที่ซื่อสัตย์ และสัตย์จริง และทรงเป็นต้นกำเนิดของสิ่งสารพัดที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นกล่าวดังนี้ว่า 15เรารู้จักความประพฤติของเจ้า คือว่าเจ้าไม่เย็นและไม่ร้อน เราอยากให้เจ้าเย็นหรือร้อน 16เพราะว่าเจ้าเป็นแต่อุ่น ๆ ไม่ร้อนและไม่เย็น เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา 17เพราะเจ้าพูดว่า ‘ข้าเป็นเศรษฐีและข้าร่ำรวยแล้ว ข้าไม่ต้องการสิ่งใดเลย’ เจ้าไม่รู้ว่าเจ้าเป็นคนน่าสมเพช น่าสังเวช เจ้ายากจน ตาบอด และเปลือยกาย 18เราแนะนำเจ้าให้ซื้อทองคำที่หลอมด้วยไฟจากเรา เพื่อเจ้าจะได้มั่งมี และให้ซื้อเสื้อผ้าสีขาว เพื่อจะได้สวมให้พ้นจากความอับอายที่ต้องเปลือยกาย และซื้อยาหยอดตาของเจ้า เพื่อเจ้าจะได้เห็น 19เรารักใครเราก็ตักเตือน และตีสอนเขา เพราะฉะนั้นจงมีความกระตือรือร้น และกลับใจใหม่ 20นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขา และจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา 21คนที่ชนะ เราจะให้เขานั่งกับเราบนพระที่นั่งของเรา เหมือนอย่างที่เรามีชัยชนะแล้ว และได้นั่งกับพระเจ้าผู้เป็นพ่อของเราบนพระที่นั่งของพระองค์ 22ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณได้พูดกับชุมชนทั้งหลายของพระเจ้า”
1หลังจากนั้นข้าพเจ้าเห็นประตูที่เปิดอ้าอยู่ในสวรรค์ และเสียงแรกที่ข้าพเจ้าได้ยินนั้น พูดกับข้าพเจ้าเหมือนอย่างเสียงแตรว่า “จงขึ้นมาบนนี้เถิด และเราจะสำแดงให้เจ้าเห็นสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นหลังจากนี้” 2ในทันใดนั้น พระวิญญาณก็ทรงดลใจข้าพเจ้า และนี่แน่ะ มีพระที่นั่งตั้งอยู่ในสวรรค์ และมีท่านผู้หนึ่งนั่งบนพระที่นั่งนั้น 3และท่านที่นั่งบนพระที่นั่งนั้นปรากฏเหมือนหินแจสเปอร์ และหินคาร์เนเลียน และมีรุ้งรอบ ๆ พระที่นั่งนั้น ปรากฏเหมือนมรกต 4และรอบพระที่นั่งนั้นมีบัลลังก์อีกยี่สิบสี่บัลลังก์ มีผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั่งอยู่บนบัลลังก์เหล่านั้น ทุกคนสวมเสื้อผ้าสีขาว และสวมมงกุฎทองคำบนศีรษะของพวกเขา 5และมีฟ้าแลบ เสียงครืน ๆ และฟ้าร้อง ดังออกมาจากพระที่นั่งนั้น และมีคบเพลิงเจ็ดอันจุดอยู่ตรงหน้าพระที่นั่ง คบเพลิงเหล่านั้นคือพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า 6และตรงหน้าพระที่นั่งนั้นเป็นเหมือนอย่างทะเลแก้วที่ใสเหมือนแก้วผลึก และบริเวณรอบพระที่นั่งทั้งสองข้างนั้น มีสิ่งมีชีวิตสี่ตนที่มีตาเต็มทั้งข้างหน้าและข้างหลัง 7สิ่งมีชีวิตที่หนึ่งนั้นเหมือนสิงโต สิ่งมีชีวิตที่สองนั้นเหมือนวัว สิ่งมีชีวิตที่สามนั้นมีหน้าเหมือนอย่างมนุษย์ และสิ่งมีชีวิตที่สี่เหมือนนกอินทรีที่บินอยู่ 8สิ่งมีชีวิตทั้งสี่นั้น แต่ละตนมีปีกหกปีก และมีตาอยู่รอบ ๆ และข้างในเต็มไปหมด และพวกเขาร้องตลอดวันตลอดคืนไม่ได้หยุดเลยว่า “บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ บริสุทธิ์ องค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ทรงเคยเป็นอยู่ ผู้ทรงเป็นอยู่ และผู้ที่จะเสด็จมา”
9เมื่อใดก็ตามที่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นถวายสง่าราศี พระเกียรติ และคำขอบพระคุณแด่พระองค์ผู้นั่งบนพระที่นั่ง และผู้มีชีวิตอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์นั้น 10ผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนก็ทรุดตัวลงต่อหน้าพระองค์ผู้นั่งบนพระที่นั่งนั้น และกราบไว้พระองค์ผู้มีชีวิตอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์ และถอดมงกุฎออกวางตรงหน้าพระที่นั่งร้องว่า 11“องค์พระผู้เป็นเจ้าและพระเจ้าของข้าพระองค์ทั้งหลาย พระองค์ทรงสมควรที่จะได้รับสง่าราศี พระเกียรติและฤทธานุภาพ เพราะว่าพระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่ง และสรรพสิ่งก็ดำรงอยู่ และถูกสร้างขึ้นตามพระประสงค์ของพระองค์”
1และในมือขวาของพระองค์ผู้นั่งบนพระที่นั่งนั้น ข้าพเจ้าเห็นหนังสือม้วนหนึ่ง ซึ่งเขียนไว้ทั้งข้างใน และข้างนอก และมีตราผนึกอยู่เจ็ดดวง 2และข้าพเจ้าได้เห็นเทวทูตที่มีฤทธิ์องค์หนึ่ง ประกาศด้วยเสียงดังว่า “ใครเป็นผู้ที่สมควรเปิดหนังสือม้วน และแกะตราของมันออก?” 3และไม่มีใครในสวรรค์ หรือบนแผ่นดินโลก หรือใต้แผ่นดินโลก ที่สามารถเปิดหนังสือม้วนหรือดูหนังสือนั้น 4แล้วข้าพเจ้าก็ร้องไห้อย่างมาก เพราะไม่พบใครที่สมควรจะเปิดหนังสือม้วนหรือดูหนังสือนั้น 5แล้วมีคนหนึ่งในพวกผู้อาวุโสบอกกับข้าพเจ้าว่า “อย่าร้องไห้เลย นี่แน่ะ สิงโตแห่งเผ่ายูดาห์ ซึ่งเป็นรากเหง้าของดาวิดทรงมีชัยชนะแล้ว พระองค์จึงทรงสามารถเปิดหนังสือและแกะตราทั้งเจ็ดดวงได้”
6และระหว่างพระที่นั่งกับสิ่งมีชีวิตทั้งสี่นั้น และท่ามกลางพวกผู้อาวุโส ข้าพเจ้าเห็นพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้าทรงยืนอยู่ เหมือนดังถูกฆ่าให้ตายแล้ว พระองค์มีเขาเจ็ดเขาและมีดวงตาเจ็ดดวง ซึ่งเป็นพระวิญญาณทั้งเจ็ดของพระเจ้า ที่พระเจ้าส่งออกไปทั่วแผ่นดินโลกแล้ว 7และพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้าเข้ามา และรับม้วนหนังสือจากมือขวาของพระองค์ผู้นั่งบนพระที่นั่งนั้น 8เมื่อพระองค์ทรงรับหนังสือนั้นแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งสี่และผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนนั้น ก็ทรุดตัวลงต่อหน้าพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า แต่ละคนถือพิณและถือชามทองคำบรรจุเครื่องหอม ซึ่งเป็นคำอธิษฐานของบรรดาวิมุตติชน 9และเขาทั้งหลายก็ร้องเพลงบทใหม่ ว่า “พระองค์ทรงเป็นผู้ที่สมควรจะรับม้วนหนังสือ และทรงแกะตราหนังสือนั้นออก เพราะพระองค์ถูกฆ่าให้ตายแล้ว และทรงไถ่คนด้วยเลือดเพื่อถวายพระเจ้า คือคนจากทุกเผ่า ทุกภาษา ทุกชนชาติและทุกประชาชาติ 10พระองค์ทรงทำให้เขาเป็นอาณาจักร และเป็นปุโรหิตของพระเจ้าของเรา และพวกเขาจะครอบครองบนแผ่นดินโลก”
11แล้วข้าพเจ้าก็ได้เห็น และได้ยินเสียงของเทวะทูตมากมายนับจำนวนเป็นแสน ๆ เป็นล้าน ๆ ที่อยู่รอบพระที่นั่ง รอบพวกสิ่งมีชีวิต และรอบบรรดาผู้อาวุโส 12ร้องเสียงดังว่า “พระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้าผู้ถูกฆ่าให้ตายแล้วนั้น สมควรได้รับฤทธานุภาพ ทรัพย์สมบัติ พระปัญญา พระกำลัง พระเกียรติ สง่าราศี และคำยกย่องสรรเสริญ” 13แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมด ทั้งในสวรรค์ บนแผ่นดินโลก ใต้แผ่นดินโลก ในมหาสมุทร และทุกสิ่งซึ่งอยู่ในที่เหล่านั้น ร้องว่า “ขอให้คำยกย่องสรรเสริญ พระเกียรติ สง่าราศี และอานุภาพ จงมีแด่พระองค์ผู้นั่งบนพระที่นั่ง และแด่พระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้าตลอดไปเป็นนิตย์” 14และสิ่งมีชีวิตทั้งสี่นั้นก็ร้องว่า “สาธุ” และบรรดาผู้อาวุโสก็ทรุดตัวลงและกราบไหว้พระองค์
1และข้าพเจ้าเห็นพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้าแกะตราดวงหนึ่งในเจ็ดดวงนั้น และข้าพเจ้าได้ยินสิ่งมีชีวิตตนหนึ่งในสี่ตนนั้นร้องเสียงดัง เหมือนอย่างเสียงฟ้าร้องว่า “มาเถอะ” 2ข้าพเจ้าก็เห็น และนี่แน่ะ ม้าสีขาวตัวหนึ่งออกมา ผู้ที่ขี่ม้าตัวนั้นถือธนู และได้รับมอบมงกุฎ แล้วท่านก็ออกไปอย่างมีชัย และเพื่อจะได้ชัยชนะ 3เมื่อพระองค์แกะตราดวงที่สอง ข้าพเจ้าก็ได้ยินสิ่งมีชีวิตที่สองร้องว่า “มาเถอะ” 4และม้าอีกตัวหนึ่งเข้ามา เป็นม้าสีแดงสด ผู้ที่ขี่ม้าตัวนี้ได้รับมอบหมายให้เอาสันติภาพไปจากแผ่นดินโลก เพื่อให้คนรบราฆ่าฟันกัน และท่านผู้นี้ได้รับมอบดาบใหญ่เล่มหนึ่ง
5เมื่อพระองค์แกะตราดวงที่สาม ข้าพเจ้าก็ได้ยินสิ่งมีชีวิตที่สามร้องว่า “มาเถอะ” แล้วข้าพเจ้าเห็น และนี่แน่ะ ม้าสีดำตัวหนึ่งเข้ามา และผู้ที่ขี่ม้าตัวนี้ถือตราชู 6แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเหมือนอย่างเสียงพูดดังออกมาจากท่ามกลางสิ่งมีชีวิตทั้งสี่นั้นว่า “ข้าวสาลีราคาลิตรละสามร้อยบาท ข้าวบาร์เลย์สามลิตรต่อสามร้อยบาท แต่เจ้า 7เมื่อพระองค์แกะตราดวงที่สี่ ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงสิ่งมีชีวิตที่สี่ร้องว่า “มาเถอะ” 8แล้วข้าพเจ้าเห็น และนี่แน่ะ ม้าสีกะเลียวคือสีเขียมอมดำตัวหนึ่ง ผู้ที่ขี่ม้าตัวนี้มีชื่อว่ามัจจุราช และแดนคนตายก็ติดตามมาด้วย พระองค์ทรงให้ทั้งสองนี้มีอำนาจเหนือแผ่นดินโลกหนึ่งในสี่ส่วน ที่จะทำลายได้ด้วยคมดาบ ด้วยความอดอยาก ด้วยโรคระบาด และด้วยสัตว์ร้ายแห่งแผ่นดิน
9เมื่อพระองค์แกะตราดวงที่ห้า ข้าพเจ้าก็เห็นดวงวิญญาณทั้งหลายที่ใต้แท่นบูชา ซึ่งเป็นวิญญาณของคนทั้งหลายที่ถูกฆ่าเพราะพระคำของพระเจ้า และเพราะคำพยานที่เขายึดถือนั้น 10เขาทั้งหลายร้องเสียงดังว่า “ข้าแต่องค์เจ้านาย ผู้บริสุทธิ์ และสัตย์จริง อีกนานเท่าใดพระองค์จึงจะทรงพิพากษา และแก้แค้นต่อคนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก ซึ่งหลั่งเลือดของเรา” 11แล้วพระองค์ประทานเสื้อคลุมสีขาวแก่พวกเขาแต่ละคน และบอกให้พักต่อไปอีกหน่อยหนึ่ง จนกว่าผู้ร่วมรับใช้และพี่น้องของเขาจะถูกฆ่าเหมือนอย่างพวกเขาครบจำนวน
12เมื่อพระองค์แกะตราดวงที่หก ข้าพเจ้าเห็นแผ่นดินไหวยิ่งใหญ่ ดวงอาทิตย์กลายเป็นสีดำมืด เหมือนกับเสื้อผ้าขนสัตว์ที่ใช้ไว้ทุกข์ และดวงจันทร์วันเพ็ญก็กลายเป็นเหมือนกับสีเลือด 13และดวงดาวทั้งหลายในท้องฟ้าก็ตกลงมาบนพื้นดิน เหมือนกับต้นมะเดื่อที่ถูกลมแรงพัดจนผลที่ยังไม่สุกหล่นลงมา 14ท้องฟ้าก็หายไปเหมือนกับหนังสือที่ถูกม้วนเก็บ และภูเขาทุกลูก และเกาะทุกเกาะก็ถูกเคลื่อนไปจากที่เดิม 15แล้วกษัตริย์ทั้งหลายในโลก พวกคนใหญ่คนโต บรรดานายทหารใหญ่ พวกเศรษฐี พวกผู้มีอำนาจ และทุกคนทั้งที่เป็นทาสหรือเสรีชน ต่างซ่อนตัวอยู่ในถ้ำและโขดหินตามภูเขา 16พวกเขาร้องบอกกับภูเขาและโขดหินว่า “จงล้มทับเราเถิด จงซ่อนเราไว้ ให้พ้นจากหน้าของพระองค์ผู้นั่งอยู่บนพระที่นั่ง และจากความโกรธของพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า 17เพราะว่าวันสำคัญแห่งความโกรธกริ้วของพระองค์มาถึงแล้ว และใครจะสามารถยืนหยัดอยู่ได้เล่า”
1หลังจากนั้น ข้าพเจ้าเห็นเทวะทูตสี่องค์ยืนอยู่ที่มุมทั้งสี่ของแผ่นดินโลก ยับยั้งลมทั้งสี่ของแผ่นดินโลกไว้ เพื่อไม่ให้ลมพัดบนบก บนทะเลหรือบนต้นไม้ทุกต้น 2แล้วข้าพเจ้าเห็นเทวะทูตอีกองค์หนึ่งปรากฏขึ้นมาจากทิศตะวันออก ถือตราประทับของพระเจ้าผู้มีชีวิตอยู่ และท่านร้องด้วยเสียงดังต่อทูตทั้งสี่ ผู้ซึ่งได้รับมอบอำนาจให้ทำอันตรายแก่แผ่นดินและทะเลนั้น 3ว่า “จงอย่าทำอันตรายแผ่นดิน ทะเล หรือต้นไม้ จนกว่าเราจะได้ประทับตราบนหน้าผากของบรรดาทาสรับใช้ของพระเจ้าของเรา” 4และข้าพเจ้าได้ยินว่าจำนวนผู้ที่ได้รับการประทับตรามี 144 000 คน พวกที่ได้รับการประทับตราแล้วนั้นมาจากทุกเผ่าในอิสราเอล
5พวกที่มาจากเผ่ายูดาห์
ที่ได้รับการประทับตรามี 12 000 คน
พวกที่มาจากเผ่ารูเบนมี 12 000 คน
พวกที่มาจากเผ่ากาดมี 12 000 คน
6พวกที่มาจากเผ่าอาเชอร์มี 12 000 คน
พวกที่มาจากเผ่านัฟทาลีมี 12 000 คน
พวกที่มาจากเผ่ามนัสเสห์มี 12 000 คน
7พวกที่มาจากเผ่าสิเมโอนมี 12 000 คน
พวกที่มาจากเผ่าเลวีมี 12 000 คน
พวกที่มาจากเผ่าอิสสาคาร์มี 12 000 คน
8พวกที่มาจากเผ่าเศบูลุนมี 12 000 คน
พวกที่มาจากเผ่าโยเซฟมี 12 000 คน
พวกที่มาจากเผ่าเบนยามิน
ที่ได้รับการประทับตรามี 12 000 คน
9หลังจากนั้นมา ข้าพเจ้าเห็น และนี่แน่ะ มหาชนที่ไม่มีใครนับจำนวนได้ ที่มาจากทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกชนชาติ และทุกภาษา ยืนอยู่หน้าพระที่นั่งและต่อหน้าพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า พวกเขาสวมเสื้อผ้าสีขาว และถือใบตาลอยู่ในมือ 10พวกเขาร้องเสียงดังว่า “ความหลุดพ้นขึ้นอยู่กับพระเจ้าของเรา ผู้นั่งบนพระที่นั่ง และขึ้นอยู่กับพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า” 11และเทวะทูตทั้งหมดที่ยืนอยู่รอบพระที่นั่ง รอบผู้อาวุโส และรอบสิ่งมีชีวิตทั้งสี่นั้น ก็ทรุดตัวลงหน้าพระที่นั่ง และกราบไหว้พระเจ้า 12และกล่าวว่า “สาธุ คำยกย่องสรรเสริญ สง่าราศี พระปัญญา คำขอบพระคุณ พระเกียรติ ฤทธานุภาพ และ พระกำลัง จงมีแด่พระเจ้าของเราตลอดไปเป็นนิตย์ สาธุ”
13แล้วคนหนึ่งในพวกผู้อาวุโสนั้น ถามข้าพเจ้าว่า “คนที่สวมเสื้อผ้าสีขาวเหล่านี้คือใคร? และมาจากไหน?” 14ข้าพเจ้าตอบท่านว่า “ท่านเจ้าข้า ท่านเองก็ทราบอยู่แล้ว” ท่านจึงบอกข้าพเจ้าว่า “คนเหล่านี้เป็นคนที่มาจากความยากลำบากครั้งยิ่งใหญ่ พวกเขาชำระล้างเสื้อผ้าของเขาด้วยเลือดของพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้าจนขาวสะอาด 15เพราะเหตุนี้ เขาทั้งหลายจึงได้อยู่หน้าพระที่นั่งของพระเจ้า และปรนนิบัติรับใช้พระองค์ในพระวิหารของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน และพระองค์ผู้นั่งบนพระที่นั่งจะคุ้มครองพวกเขา 16พวกเขาจะไม่หิวหรือกระหายอีกเลย ดวงอาทิตย์ และความร้อนจะไม่แผดเผาเขาอีกต่อไป 17เพราะว่าพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้าผู้อยู่กลางพระที่นั่งนั้นจะเลี้ยงดูพวกเขา และจะนำเขาไปยังน้ำพุแห่งชีวิต และพระเจ้าจะเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขาทั้งหลาย”
1และเมื่อพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้าแกะตราดวงที่เจ็ด ในสวรรค์ก็เกิดความเงียบขึ้นประมาณครึ่งชั่วโมง 2แล้วข้าพเจ้าเห็นเทวะทูตทั้งเจ็ดองค์ที่ยืนอยู่ต่อหน้าพระเจ้านั้น ได้รับมอบแตรเจ็ดคัน 3และเทวะทูตอีกองค์หนึ่งถือกระถางไฟทองคำออกมา และยืนอยู่ที่แท่นบูชา พระเจ้าประทานเครื่องหอมมากมายแก่ทูตองค์นั้น เพื่อให้ถวายร่วมกับคำอธิษฐานของวิมุตติชนทั้งหมดบนแท่นบูชาทองคำ ที่อยู่หน้าพระที่นั่งนั้น 4และควันเครื่องหอมนั้นก็ลอยขึ้นไปพร้อมกับคำอธิษฐานของวิมุตติชนทั้งหลาย จากมือเทวะทูตสู่เบื้องหน้าของพระเจ้า 5แล้วเทวะทูตองค์นั้นก็นำกระถางไฟไป และเอาไฟจากแท่นบูชามาใส่จนเต็ม แล้วโยนลงบนแผ่นดินโลกทำให้เกิดฟ้าร้องเสียงครืน ๆ ฟ้าแลบและแผ่นดินไหว
6และเทวะทูตเจ็ดองค์ที่ถือแตรทั้งเจ็ดนั้น ต่างก็เตรียมพร้อมเพื่อที่จะเป่า 7เมื่อเทวะทูตองค์แรกเป่าแตรขึ้น ลูกเห็บและไฟ ที่ปนด้วยเลือดก็ตกลงมาบนแผ่นดินโลก แผ่นดินโลกก็ถูกเผาไปหนึ่งส่วนสาม ต้นไม้ถูกเผาไปหนึ่งส่วนสาม และหญ้าเขียวสดถูกเผาไปทั้งหมด 8เมื่อเทวะทูตองค์ที่สองเป่าแตรขึ้น ก็มีสิ่งหนึ่งเหมือนอย่างภูเขาลูกใหญ่ที่กำลังลุกเป็นไฟ ถูกโยนลงไปในทะเล แล้วหนึ่งส่วนสามของทะเลกลายเป็นเลือด 9บรรดาสิ่งที่มีชีวิตในทะเลนั้นตายไปหนึ่งส่วนสาม และเรือต่าง ๆ ถูกทำลายไปหนึ่งส่วนสาม 10เมื่อเทวะทูตองค์ที่สามเป่าแตรขึ้น ก็มีดาวใหญ่ดวงหนึ่งที่ลุกไหม้เหมือนอย่างคบเพลิงตกลงมาจากท้องฟ้า ดาวดวงนั้นตกลงไปในหนึ่งส่วนสามของแม่น้ำทั้งหลาย และตกลงไปในบ่อน้ำพุทั้งหลาย 11ดาวดวงนี้มีชื่อว่า “บอระเพ็ด” น้ำปริมาณหนึ่งส่วนสามก็กลายเป็นรสขม และคนมากมายตายไปเพราะเหตุน้ำนั้นถูกทำให้ขม
12เมื่อเทวะทูตองค์ที่สี่เป่าแตรขึ้น หนึ่งส่วนสามของดวงอาทิตย์ ของดวงจันทร์วันเพ็ญ และของดวงดาวทั้งหลายก็ถูกทำลายไป ทำให้หนึ่งส่วนสามของสิ่งเหล่านั้นมืดไป กลางวันก็ไม่สว่างเสียหนึ่งส่วนสาม และกลางคืนก็เช่นเดียวกัน 13แล้วข้าพเจ้าเห็นและได้ยินนกอินทรีตัวหนึ่งที่บินอยู่บนท้องฟ้าร้องเสียงดังว่า “วิบัติ วิบัติ วิบัติ จะมีแก่คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก เพราะเสียงของแตรที่เหลืออยู่ซึ่งเทวะทูตทั้งสามองค์กำลังจะเป่า”
1เมื่อเทวะทูตองค์ที่ห้าเป่าแตรขึ้น ข้าพเจ้าเห็นดาวดวงหนึ่งที่ได้ตกจากฟ้าลงมาที่แผ่นดินโลกแล้ว พระเจ้าประทานลูกกุญแจสำหรับช่องของบาดาลลึกให้แก่ดาวดวงนั้น 2เมื่อท่านเปิดช่องของบาดาลนั้น ก็มีควันพลุ่งขึ้นมาจากช่องนั้น เหมือนอย่างควันของเตาใหญ่ ดวงอาทิตย์และอากาศก็มืดไปด้วยควันจากช่องนั้น 3และมีฝูงตั๊กแตนออกจากควันนั้นมายังแผ่นดินโลก พระเจ้าประทานอำนาจกับตั๊กแตนพวกนั้นเหมือนอย่างอำนาจของพวกแมงป่องแห่งแผ่นดินโลก 4พระองค์บอกพวกมันไม่ให้ทำร้ายหญ้าบนแผ่นดินโลก หรือพืชเขียว หรือต้นไม้ แต่ให้ทำร้ายเฉพาะคนทั้งหลาย ที่ไม่มีตราของพระเจ้าบนหน้าผากของเขา 5พระองค์ไม่ให้ฆ่าคนพวกนั้น แต่ให้ทรมานเขาห้าเดือน ความทรมานของพวกเขานั้นเป็นเหมือนอย่างความทรมานเมื่อถูกแมงป่องต่อย 6ตลอดระยะเวลานั้น คนทั้งหลายจะแสวงหาความตาย แต่จะไม่พบ เขาอยากจะตาย แต่ความตายจะหนีจากพวกเขาไป
7ตั๊กแตนพวกนั้นมีรูปร่างเหมือนม้าที่เตรียมพร้อมสำหรับสงคราม บนหัวของมันมีสิ่งที่ดูเหมือนอย่างมงกุฎทองคำ และหน้าของพวกมันเหมือนอย่างหน้าของมนุษย์ 8พวกมันมีผมเหมือนอย่างผมของผู้หญิง ฟันของมันเหมือนอย่างฟันของสิงโต 9พวกมันมีเกราะป้องกันอกเหมือนอย่างเกราะเหล็ก เสียงปีกของมันเหมือนอย่างเสียงของรถ และม้ามากมายที่กรูเข้าสู่สงคราม 10พวกมันมีหางและมีเหล็กในเหมือนแมงป่อง หางของมันนั้นมีอำนาจที่จะทำร้ายมนุษย์ตลอดห้าเดือน 11พวกมันมีทูตของบาดาลลึกเป็นกษัตริย์ปกครองเหนือมัน ทูตผู้นั้นมีชื่อภาษาฮีบรูว่า อาบัดโดน และในภาษากรีกว่า อปอลลิโยน 12วิบัติที่หนึ่งผ่านไปแล้ว นี่แน่ะ ยังมีวิบัติอีกสองอย่างที่จะตามมาหลังจากนี้
13เมื่อเทวะทูตองค์ที่หกเป่าแตรขึ้น ข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงหนึ่งออกมาจากเชิงงอนมุมทั้งสี่ ของแท่นบูชาทองคำ ที่อยู่ต่อหน้าพระเจ้า 14เสียงนั้นกล่าวกับเทวะทูตองค์ที่หกที่ถือแตรนั้นว่า “จงปล่อยเทวะทูตทั้งสี่ที่ถูกมัดไว้ที่แม่น้ำใหญ่คือแม่น้ำยูเฟรติสนั้น” 15แล้วเทวะทูตทั้งสี่ก็ถูกปล่อย พวกเขาได้รับการเตรียมไว้สำหรับชั่วโมง วัน เดือนและปี เพื่อจะฆ่ามนุษย์เสียหนึ่งส่วนสาม 16จำนวนกองทหารม้าคือสองร้อยล้าน ข้าพเจ้าได้ยินจำนวนของพวกเขา 17ในนิมิตนั้น ข้าพเจ้าเห็นม้าทั้งหลายเป็นอย่างนี้คือ ผู้ที่นั่งบนหลังม้าพวกนั้นมีเกราะป้องกันอกสีแดงเพลิง สีน้ำเงินคราม และสีเหลืองกำมะถัน หัวม้าทั้งหลายเหมือนอย่างหัวสิงโต มีไฟ ควัน และกำมะถันพลุ่งออกจากปากของมัน 18มนุษย์ถูกฆ่าหนึ่งส่วนสามด้วยภัยพิบัติสามอย่างนี้ คือ ไฟ ควัน และกำมะถันที่พลุ่งออกจากปากของมัน 19เพราะว่าอำนาจของม้านั้นอยู่ที่ปาก และที่หางของมัน เพราะหางของพวกมันเหมือนงูที่มีหัวซึ่งพวกมันใช้ทำร้ายคนได้
20มนุษย์ที่เหลืออยู่ที่ไม่ได้ถูกฆ่าด้วยภัยพิบัติเหล่านี้ ไม่ได้กลับใจจากการกระทำที่เกิดจากน้ำมือของพวกเขา ไม่ได้เลิกบูชาผีและรูปเคารพต่าง ๆ ที่ทำด้วยทองคำ เงิน ทองสัมฤทธิ์ หินและไม้ ซึ่งไม่สามารถดู หรือฟัง หรือเดิน 21และพวกเขาก็ไม่ได้กลับใจจากการฆาตกรรม หรือจากการใช้เวทมนตร์ หรือจากการล่วงประเวณี หรือจากการลักขโมย
1และข้าพเจ้าเห็นเทวะทูตที่มีฤทธิ์อีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ มีเมฆห่อหุ้มตัวท่าน และมีรุ้งบนศีรษะของท่าน หน้าของท่านเหมือนอย่างดวงอาทิตย์ และขาของท่านเหมือนอย่างเสาเพลิง 2ท่านถือหนังสือม้วนเล็ก ๆ ที่เปิดอยู่ในมือของท่าน เท้าขวาของท่านยืนอยู่บนทะเล เท้าซ้ายของท่านยืนอยู่บนบก 3ท่านร้องเสียงดังดุจเสียงสิงโตคำราม เมื่อท่านร้อง เสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดก็พูดขึ้นมา 4และเมื่อเสียงฟ้าร้องทั้งเจ็ดพูดขึ้นมา ข้าพเจ้าก็เริ่มลงมือเขียน แต่ข้าพเจ้าได้ยินเสียงจากสวรรค์บอกว่า “จงผนึกตราปิดข้อความที่ฟ้าร้องทั้งเจ็ดพูดออกมานั้น อย่าเขียนลงไป”
5แล้วเทวะทูตองค์ที่ข้าพเจ้าเห็นยืนอยู่ทั้งบนทะเลและบนบกนั้น ยกมือขวาขึ้นสู่ท้องฟ้า 6และสาบานโดยอ้างพระองค์ผู้มีชีวิตอยู่เป็นนิตย์ ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์ และสรรพสิ่งที่อยู่ในสวรรค์ ผู้ทรงสร้างแผ่นดินโลก และสรรพสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินโลก ผู้ทรงสร้างทะเลและสรรพสิ่งที่อยู่ในทะเล ว่าจะไม่มีการเนิ่นนานอีกต่อไป 7แต่ในวันเวลาที่มีเสียงแตรจากเทวะทูตองค์ที่เจ็ดที่กำลังจะเป่าแตรนั้น ความล้ำลึกของพระเจ้าจะเสร็จสมบูรณ์ เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงประกาศแก่บรรดาผู้พยากรณ์หรือคนทรงของพระเจ้าซึ่งเป็นผู้รับใช้ของพระองค์
8และเสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินจากสวรรค์นั้น กล่าวกับข้าพเจ้าอีกว่า “จงไปรับหนังสือม้วนที่เปิดอยู่ในมือของเทวะทูตองค์ที่ยืนอยู่ทั้งบนทะเลและบนบกนั้น” 9ข้าพเจ้าจึงไปหาเทวะทูตองค์นั้น และขอให้มอบหนังสือม้วนเล็กแก่ข้าพเจ้า ท่านกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “เอาไปเถิด แล้วกินให้หมด มันจะทำให้ท้องของเจ้าขม แต่เมื่ออยู่ในปากของเจ้ามันจะหวานเหมือนอย่างน้ำผึ้ง” 10ข้าพเจ้าจึงรับหนังสือม้วนเล็กนั้นจากมือของเทวะทูตแล้วก็กินจนหมด ขณะที่มันอยู่ในปากของข้าพเจ้านั้นมันก็หวานเหมือนอย่างน้ำผึ้ง แต่เมื่อกินเข้าไปแล้ว ท้องของข้าพเจ้าก็ขม 11แล้วมีผู้บอกข้าพเจ้าว่า “เจ้าต้องพยากรณ์อีกครั้งหนึ่ง เกี่ยวกับชนชาติต่าง ๆ ประชาชาติต่าง ๆ ภาษาต่าง ๆ และกษัตริย์จำนวนมาก”
1แล้วข้าพเจ้าได้รับมอบไม้อ้อท่อนหนึ่งรูปร่างเหมือนไม้วัด และได้รับคำสั่งว่า “จงลุกขึ้น และไปวัดพระวิหารของพระเจ้า และแท่นบูชา และคำนวณคนที่กราบไหว้บูชาพระเจ้าในนั้น 2แต่ลานชั้นนอกของพระวิหารนั้นให้เว้นไว้ไม่ต้องวัด เพราะว่าที่นั่นได้มอบให้กับคนต่างชาติแล้ว และเขาจะเหยียบย่ำนครอันศักดิ์สิทธิ์ตลอดสี่สิบสองเดือน 3เราจะให้ฤทธานุภาพแก่พยานทั้งสองของเรา และทั้งสองจะพยากรณ์ตลอดหนึ่งพันสองร้อยหกสิบวัน โดยแต่งตัวด้วยผ้ากระสอบ
4“พยานทั้งสองนั้นคือต้นมะกอกสองต้น และเชิงเทียนสองอันที่ตั้งอยู่ต่อหน้าองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งแผ่นดินโลก 5ถ้าใครคิดจะทำร้ายพยานทั้งสอง ไฟก็จะพลุ่งออกจากปากของทั้งสอง และเผาผลาญศัตรูเหล่านั้น ใครที่คิดทำร้ายพยานทั้งสองก็จะต้องตายอย่างนั้น 6พยานทั้งสองมีสิทธิอำนาจที่จะปิดท้องฟ้าได้ เพื่อไม่ให้ฝนตกในระหว่างวันเหล่านั้นที่เขากำลังพยากรณ์ และมีสิทธิอำนาจเหนือน้ำที่จะเปลี่ยนมันเป็นเลือดได้ และมีสิทธิอำนาจกระหน่ำแผ่นดินโลกด้วยภัยพิบัติทุกอย่างกี่ครั้งก็ได้ตามที่ต้องการ 7และเมื่อเขาทั้งสองเสร็จสิ้นการเป็นพยานแล้ว สัตว์ร้ายที่ขึ้นมาจากบาดาลลึก ก็จะต่อสู้กับเขา มันจะชนะและฆ่าเขาทั้งสองเสีย 8และศพของเขาทั้งสองจะอยู่บนถนนในมหานครนั้น ที่เรียกตามภาษาเปรียบเทียบว่าโสโดม และอียิปต์ซึ่งเป็นเมืองที่องค์พระผู้เป็นเจ้าของเขาถูกตรึงกางเขน 9คนจากชนชาติต่าง ๆ เผ่าต่าง ๆ ภาษาต่าง ๆ และประชาชาติต่าง ๆ จะมองดูศพเขาทั้งสองตลอดสามวันครึ่ง และไม่ยอมให้เอาศพไปวางไว้ในอุโมงค์เลย
10คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก จะยินดีด้วยเรื่องเขาทั้งสอง พวกเขาจะรื่นเริงและจะให้ของขวัญแก่กันและกัน เพราะว่าผู้พยากรณ์ทั้งสองคนนี้ ได้ทรมานคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก” 11หลังจากนั้นสามวันครึ่ง ลมปราณจากพระเจ้าก็เข้าสู่ศพของเขา และเขาทั้งสองก็ลุกขึ้นยืนด้วยขาตัวเอง คนทั้งหลายที่เห็นก็ตกอยู่ในความกลัวอย่างยิ่ง 12แล้วเขาทั้งสองได้ยินเสียงดังจากสวรรค์กล่าวว่า “จงขึ้นมาที่นี่เถิด” พวกศัตรูก็เห็นเขาทั้งสองขึ้นสู่สวรรค์ด้วยเมฆ 13และในเวลานั้นเองก็เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ยิ่ง เมืองนั้นก็ถล่มลงมาเสียหนึ่งส่วนสิบ มีคนตายเพราะแผ่นดินไหวเจ็ดพันคน และคนที่เหลืออยู่นั้นก็เกิดความหวาดกลัว และถวายพระเกียรติแด่พระเจ้าแห่งสวรรค์ 14วิบัติอย่างที่สองผ่านไปแล้ว นี่แน่ะ วิบัติอย่างที่สามก็จะมาถึงในเร็ว ๆ นี้
15แล้วเทวะทูตองค์ที่เจ็ดก็เป่าแตรขึ้น และมีเสียงหลาย ๆ เสียงกล่าวขึ้นดัง ๆ ในสวรรค์ว่า “อาณาจักรของโลกนี้กลับกลายเป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเราแล้ว และเป็นของพระผู้เป็นพระเมสสิยาห์ และพระองค์จะครอบครองตลอดไปเป็นนิตย์” 16และผู้อาวุโสยี่สิบสี่คนซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์ของตนต่อหน้าพระเจ้า ก็ทรุดตัวซบหน้าลงนมัสการพระเจ้า 17และทูลว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด ผู้ที่ทรงเป็นอยู่และผู้ที่ทรงเคยเป็นอยู่ พวกข้าพระองค์ขอบพระคุณพระองค์ เพราะพระองค์ทรงถือครองฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของพระองค์แล้ว และทรงเริ่มครอบครอง 18บรรดาประชาชาติมีความโกรธแค้น แต่พระพิโรธของพระองค์มาถึงแล้ว ถึงเวลาที่พระองค์จะทรงพิพากษาคนทั้งหลายที่ตายไป และถึงเวลาที่จะประทานบำเหน็จแก่บรรดาทาสรับใช้ของพระองค์ คือพวกผู้พยากรณ์ และพวกวิมุตติชน และแก่คนทั้งหลายที่ยำเกรงพระนามของพระองค์ ทั้งคนเล็กน้อยและคนใหญ่โต และถึงเวลาแล้ว ที่พระองค์จะทำลายพวกที่ทำลายแผ่นดินโลก” 19แล้วพระวิหารของพระเจ้าในสวรรค์ก็เปิดออก และหีบพันธสัญญาของพระองค์ก็ปรากฏในพระวิหารนั้น แล้วก็เกิดฟ้าแลบ เสียงครืน ๆ ฟ้าร้อง และแผ่นดินไหว ทั้งลูกเห็บก็ตกอย่างหนัก
1และมีหมายสำคัญยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งปรากฏในสวรรค์ คือผู้หญิงคนหนึ่งสวมดวงอาทิตย์เป็นเสื้อผ้า และมีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้าของนาง บนศีรษะของนางมีมงกุฎที่เป็นดาวสิบสองดวง 2หญิงนั้นมีครรภ์ และร้องด้วยความทรมานเพราะเจ็บครรภ์ 3และหมายสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็ปรากฏในสวรรค์ นี่แน่ะ มีพญานาคสีแดงตัวใหญ่ตัวหนึ่ง มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา และบนหัวทั้งเจ็ดมีมงกุฎเจ็ดอัน 4และหางของพญานาคตวัดดวงดาวหนึ่งส่วนสามในท้องฟ้า แล้วทิ้งลงมาบนแผ่นดินโลก และพญานาคตัวนั้นก็ยืนอยู่ข้างหน้าหญิงที่กำลังจะคลอดบุตร เพื่อจะกินบุตรของนางทันทีที่บุตรนั้นคลอดออกมา 5แล้วนางก็คลอดบุตรชาย ผู้ที่จะครอบครองประชาชาติทั้งหมดด้วยคทาเหล็ก แต่บุตรของนางถูกนำตัวไปเฝ้าพระเจ้ายังพระที่นั่งของพระองค์ 6และหญิงคนนั้นก็หนีเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร ที่นั่นนางมีสถานที่ซึ่งพระเจ้าจัดเตรียมไว้ เพื่อนางจะได้รับการเลี้ยงดูตลอดหนึ่งพันสองร้อยหกสิบวัน
7ขณะนั้นเกิดสงครามขึ้นในสวรรค์ มีคาเอล กับบรรดาเทวะทูตของท่านต่อสู้กับพญานาค และพญานาคกับบริวารของมันก็ต่อสู้ 8แต่มันพ่ายแพ้และพบว่าไม่มีที่อยู่สำหรับพวกมันในสวรรค์อีกต่อไป 9พญานาคใหญ่ตัวนั้นคืองูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่ามาร และซาตานผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก มันถูกโยนลงมาที่แผ่นดินโลก และเหล่าบริวารของมันถูกโยนลงมากับมันด้วย 10และข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังในสวรรค์กล่าวว่า “บัดนี้ความหลุดพ้น และฤทธิ์เดช และอาณาจักรของพระเจ้าของเรา และสิทธิอำนาจของพระผู้เป็นพระเมสสิยาห์มาถึงแล้ว เพราะว่าผู้กล่าวหาพี่น้องของเรา ถูกโยนลงไปแล้ว คือผู้ที่กล่าวหาพวกเขาต่อหน้าพระเจ้าของเราทั้งกลางวัน และกลางคืนนั้น
11พวกเขาชนะมารด้วยเลือดของพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า และด้วยคำพยานของพวกเขาเอง และพวกเขาไม่ได้รักตัวกลัวตาย 12เพราะเหตุนี้จงรื่นเริงยินดีเถิด สวรรค์และบรรดาผู้ที่อยู่ในสวรรค์ แต่วิบัติจะมีแก่แผ่นดินโลกและทะเล เพราะว่ามารได้ลงมาหาเจ้าทั้งหลาย ด้วยความเดือดดาลอย่างยิ่ง เพราะมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย”
13เมื่อพญานาคตัวนั้นเห็นว่ามันถูกโยนลงไปที่แผ่นดินโลกแล้ว มันก็ไล่ตามหญิงที่คลอดบุตรชายนั้น 14แต่พระเจ้าประทานปีกของนกอินทรีใหญ่สองปีกแก่หญิงคนนั้น เพื่อว่านางจะบินเข้าไปในถิ่นทุรกันดารให้พ้นหน้างูตัวนั้น ไปยังสถานที่ของนางที่ซึ่งนางจะได้รับการเลี้ยงดูตลอดหนึ่งวาระ สองวาระ และครึ่งวาระ 15งูตัวนั้นก็พ่นน้ำออกจากปากเหมือนอย่างแม่น้ำไหลตามหญิงคนนั้น เพื่อจะทำให้นางถูกน้ำซัดไป 16แต่แผ่นดินช่วยหญิงคนนั้นไว้ โดยแยกออกเป็นช่องแล้วกลืนน้ำที่พญานาคพ่นออกจากปาก 17และพญานาคก็โกรธแค้นหญิงนั้น มันจึงออกไปทำสงครามกับพงศ์พันธุ์ที่เหลืออยู่ของนาง คือคนทั้งหลายที่รักษาพระบัญญัติของพระเจ้า และยึดถือคำพยานของพระเยซู 18และมันก็ไปยืนอยู่ที่หาดทรายชายทะเล
1และข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายตัวหนึ่งขึ้นมาจากทะเล มันมีสิบเขาและเจ็ดหัว และมีมงกุฎสิบอันอยู่บนเขาเหล่านั้นของมัน และมีชื่อต่าง ๆ ที่หมิ่นประมาทพระเจ้าจารึกไว้ที่หัวทั้งหลายของมัน 2สัตว์ร้ายที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นเหมือนเสือดาว ตีนของมันเหมือนอย่างตีนหมี และปากของมันเหมือนอย่างปากสิงโต และพญานาคให้ฤทธิ์เดช บัลลังก์ และสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่ของมันแก่สัตว์ร้ายนั้น 3หัวหนึ่งของมันเหมือนอย่างถูกฟันปางตาย แต่บาดแผลฉกรรจ์นั้นได้รับการรักษาให้หายแล้ว คนทั้งโลกติดตามสัตว์ร้ายนั้นไปด้วยความอัศจรรย์ใจ 4เขาทั้งหลายบูชาพญานาค เพราะมันให้สิทธิอำนาจแก่สัตว์ร้าย พวกเขาบูชาสัตว์ร้ายนั้น กล่าวว่า “ใครจะเหมือนสัตว์ร้ายนี้? และใครจะสามารถต่อสู้กับมันได้?”
5พระเจ้าทรงอนุญาตให้สัตว์ร้ายนั้นใช้ปากพูดจาใหญ่โต และหมิ่นประมาทพระเจ้า และทรงอนุญาตให้มันใช้สิทธิอำนาจทำการสี่สิบสองเดือน 6มันเปิดปากของมันพูดหมิ่นประมาทพระเจ้า พูดหมิ่นประมาทต่อพระนามของพระองค์ ต่อสถานที่สถิตของพระองค์ และต่อพวกที่อยู่ในสวรรค์ 7และทรงอนุญาตให้มันทำสงครามกับบรรดาวิมุตติชนและชนะพวกเขา และประทานให้มันมีสิทธิอำนาจเหนือทุกเผ่า ทุกชนชาติ ทุกภาษา และทุกประชาชาติ 8และคนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลกจะบูชาสัตว์ร้ายนั้น คือคนที่ไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตของพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า ผู้ถูกฆ่าให้ตายตั้งแต่แรกสร้างโลก
9ใครมีหูก็ให้ฟังเอาเถิด 10คนใดที่กำหนดไว้ให้เป็นเชลย คนนั้นก็จะไปเป็นเชลย คนใดที่กำหนดไว้ให้ถูกฆ่าด้วยดาบ คนนั้นก็ต้องถูกฆ่าด้วยดาบ นี่แหละคือความทรหดอดทน และความเชื่อที่วิมุตติชนทั้งหลายจะต้องมี
11แล้วข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้ายอีกตัวหนึ่งขึ้นมาจากแผ่นดิน มันมีสองเขาเหมือนลูกแกะ และพูดเหมือนอย่างพญานาค 12มันใช้สิทธิอำนาจทั้งหมดของสัตว์ร้ายตัวแรกต่อหน้าสัตว์ร้ายนั้น มันทำให้โลกและคนที่อยู่ในโลกบูชาสัตว์ร้ายตัวที่มีบาดแผลฉกรรจ์ ซึ่งได้รับการรักษาแล้ว 13มันทำหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ถึงขั้นทำให้ไฟตกจากฟ้าลงมายังแผ่นดินโลกต่อหน้าคนทั้งหลาย 14มันล่อลวงคนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลกด้วยหมายสำคัญต่าง ๆ ที่ทรงอนุญาตให้มันทำต่อหน้าสัตว์ร้ายตัวแรกนั้น และมันสั่งให้คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก สร้างรูปจำลองรูปหนึ่งให้กับสัตว์ร้ายตัวที่มีบาดแผลจากดาบ แต่ยังมีชีวิตอยู่นั้น 15และทรงอนุญาตให้มันสามารถให้ลมหายใจแก่รูปของสัตว์ร้าย เพื่อให้รูปสัตว์ร้ายนั้นพูดได้ และทำให้พวกที่ไม่ยอมบูชารูปสัตว์ร้ายนั้นถึงแก่ความตาย 16และมันยังบังคับทุกคน ทั้งคนเล็กน้อยและคนใหญ่โต คนมั่งมีและคนยากจน เสรีชนและทาสให้รับเครื่องหมายไว้ที่มือขวาหรือที่หน้าผากของพวกเขา 17เพื่อไม่ให้ใครสามารถซื้อหรือขายได้ ถ้าหากไม่มีเครื่องหมายที่เป็นชื่อของสัตว์ร้าย หรือเป็นตัวเลขของชื่อมัน 18ในเรื่องนี้ต้องใช้สติปัญญาให้ดี ถ้าใครมีความเข้าใจ ก็จงคิดคำนวณเลขของสัตว์ร้ายตัวนั้น เพราะว่าเป็นเลขของคนผู้หนึ่ง เลขของมันคือหกร้อยหกสิบหก
1แล้วข้าพเจ้าเห็น นี่แน่ะ พระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้ายืนอยู่บนภูเขาไซออน และพวกที่อยู่กับพระองค์ซึ่งมีจำนวน 144 000 คนนั้น เป็นผู้ที่มีพระนามของพระองค์ และพระนามของพระเจ้าผู้เป็นพ่อของพระองค์เขียนไว้บนหน้าผากของพวกเขา 2และข้าพเจ้าได้ยินเสียงจากสวรรค์ เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลาย และเหมือนอย่างเสียงฟ้าร้องดังสนั่น และเสียงที่ข้าพเจ้าได้ยินนั้นเหมือนอย่างเสียงที่พวกดีดพิณกำลังเล่นพิณของเขาอยู่ 3เขาทั้งหลายร้องเพลงบทใหม่หน้าพระที่นั่ง และต่อหน้าสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ และพวกผู้อาวุโส ไม่มีใครสามารถเรียนรู้เพลงบทนั้นนอกจากคน 144 000 คน ที่ได้รับการไถ่แล้วจากแผ่นดินโลก 4คนเหล่านี้เป็นคนที่ไม่มีมลทินกับผู้หญิง เพราะว่าพวกเขาเป็นพรหมจารี เป็นพวกที่ติดตามพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้าไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน พวกเขาเป็นผู้ที่ได้รับการไถ่แล้วจากมวลมนุษย์ เพื่อเป็นผลแรกถวายแด่พระเจ้า และแด่พระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า 5และในปากของพวกเขาไม่พบความเท็จ เขาเป็นคนที่ปราศจากตำหนิ
6แล้วข้าพเจ้าเห็นเทวะทูตอีกองค์หนึ่งเหาะไปในท้องฟ้า เพื่อประกาศบารมีนิรันดร์แก่คนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลก แก่ทุกประชาชาติ ทุกเผ่า ทุกภาษา และทุกชนชาติ 7ท่านประกาศเสียงดังว่า “จงเกรงกลัวพระเจ้า และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะถึงเวลาที่พระองค์จะพิพากษาแล้ว จงกราบไหว้พระองค์ผู้สร้างฟ้าสวรรค์ แผ่นดินโลก ทะเล และบ่อน้ำพุทั้งหลาย”
8เทวะทูตอีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นองค์ที่สองตามไปประกาศว่า “บาบิโลนมหานครนั้นพังทลายแล้ว พังทลายแล้ว นครที่ให้ทุกประชาชาติดื่มเหล้าองุ่นแห่งราคะในการล่วงประเวณีของนาง”
9และเทวะทูตอีกองค์หนึ่งซึ่งเป็นองค์ที่สามก็ตามไปประกาศด้วยเสียงดังว่า “ถ้าใครบูชาสัตว์ร้าย และรูปของมัน และรับเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผาก หรือที่มือของเขา 10คนนั้นจะต้องดื่มเหล้าองุ่นแห่งความกริ้วของพระเจ้าที่เทลงในถ้วยแห่งพระพิโรธของพระองค์ โดยไม่เจือปนสิ่งใด และเขาจะถูกทรมานด้วยไฟ และกำมะถัน ต่อหน้าบรรดาเทวะทูตบริสุทธิ์ และต่อหน้าพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า 11และควันแห่งการทรมานของเขาจะพลุ่งขึ้นตลอดไปเป็นนิตย์ พวกที่บูชาสัตว์ร้ายและรูปของมัน และใครที่รับเครื่องหมายซึ่งเป็นชื่อของมัน จะไม่ได้หยุดพักเลยทั้งกลางวันและกลางคืน”
12นี่แหละคือความทรหดอดทนที่พวกวิมุตติชนจะต้องมี คือพวกที่ถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า และจงรักภักดีต่อพระเยซู 13และข้าพเจ้าได้ยินเสียงจากสวรรค์กล่าวว่า “จงเขียนไว้เถิดว่า ตั้งแต่นี้ไป คนทั้งหลายที่ตายในองค์พระผู้เป็นเจ้าก็เป็นสุข” และพระวิญญาณตรัสว่า “จริงอย่างนั้น พวกเขาจะได้หยุดพักจากการตรากตรำของเขา เพราะการงานที่พวกเขาได้ทำนั้นจะติดตามเขาไป”
14และข้าพเจ้าเห็น นี่แน่ะ มีเมฆสีขาว และผู้หนึ่งประทับอยู่บนเมฆนั้นเหมือนบุตรมนุษย์ มีมงกุฎทองคำอยู่บนศีรษะของพระองค์ และมีเคียวอันคมกริบอยู่ในมือของพระองค์ 15และมีเทวะทูตอีกองค์หนึ่งออกมาจากพระวิหาร ร้องทูลพระองค์ผู้ประทับอยู่บนเมฆนั้นด้วยเสียงดังว่า “จงใช้เคียวของพระองค์เก็บเกี่ยวเถิด เพราะถึงเวลาเกี่ยวแล้ว เพราะว่าผลที่ต้องเก็บเกี่ยวบนแผ่นดินโลกสุกงอมแล้ว” 16และพระองค์ผู้ประทับอยู่บนเมฆ ก็ทรงตวัดเคียวไปบนแผ่นดินโลก และแผ่นดินโลกก็ถูกเก็บเกี่ยว
17และเทวะทูตอีกองค์หนึ่งก็ออกมาจากพระวิหารในสวรรค์ และท่านก็มีเคียวอันคมกริบเช่นกัน 18แล้วเทวะทูตอีกองค์หนึ่งผู้มีฤทธิ์เหนือไฟก็ออกมาจากแท่นบูชา และร้องเสียงดังบอกเทวะทูตที่มีเคียวคมกริบว่า “จงใช้เคียวคมกริบของท่านเก็บรวบรวมพวงองุ่นจากเถาองุ่นของแผ่นดินโลก เพราะผลองุ่นนั้นสุกแล้ว” 19เทวะทูตนั้นก็ตวัดเคียวไปบนแผ่นดินโลก และเก็บรวบรวมเถาองุ่นของแผ่นดินโลก และเทลงไปในบ่อย่ำองุ่นใหญ่แห่งความกริ้วของพระเจ้า 20บ่อย่ำองุ่นก็ถูกย่ำภายนอกเมือง และเลือดไหลออกจากบ่อย่ำองุ่นนั้น สูงถึงบังเหียนม้าและไหลไปไกลประมาณสามร้อยกิโลเมตร
1แล้วข้าพเจ้าเห็นหมายสำคัญในสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ และอัศจรรย์อีกอย่างหนึ่ง คือมีเทวะทูตเจ็ดองค์ถือภัยพิบัติเจ็ดอย่าง ซึ่งเป็นภัยพิบัติสุดท้าย เพราะว่าความกริ้วของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงด้วยภัยพิบัติเหล่านั้น 2และข้าพเจ้าเห็นสิ่งที่เป็นเหมือนอย่างทะเลแก้วปนไฟ และเห็นบรรดาคนที่มีชัยชนะต่อสัตว์ร้าย และต่อรูปของมัน และต่อตัวเลขของชื่อมัน เขาทั้งหลายยืนอยู่ริมทะเลแก้ว และถือพิณของพระเจ้า 3เขาร้องเพลงของโมเสสทาสรับใช้ของพระเจ้า และร้องเพลงของพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้าว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด พระราชกิจของพระองค์ยิ่งใหญ่และอัศจรรย์ ข้าแต่องค์พระมหากษัตริย์ของบรรดาประชาชาติ บรรดาหนทางของพระองค์ยุติธรรมและสัตย์จริง 4ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า มีใครบ้างไม่เกรงกลัวพระองค์ และไม่ถวายพระเกียรติแด่พระนามของพระองค์ เพราะพระองค์ผู้เดียวทรงเป็นผู้บริสุทธิ์ ประชาชาติทั้งหมดจะมา กราบไหว้ต่อหน้าพระองค์ เพราะว่าพระราชกิจอันชอบธรรมของพระองค์ปรากฏให้เห็นแล้ว”
5หลังจากนั้น ข้าพเจ้าเห็นพระวิหารคือศาลแห่งสักขีพยานในสวรรค์เปิดออก 6และทูตสวรรค์ทั้งเจ็ดองค์ที่ถือภัยพิบัติทั้งเจ็ดออกมาจากพระวิหารนั้น นุ่งห่มผ้าป่านสะอาดสุกใส และคาดแถบทองคำที่อก 7และหนึ่งในสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ตนนั้น มอบชามทองคำเจ็ดใบที่เต็มด้วยความกริ้วของพระเจ้า ผู้ทรงมีชีวิตเป็นอยู่เป็นนิตย์ ให้แก่เทวะทูตทั้งเจ็ดองค์นั้น 8และพระวิหารก็เต็มไปด้วยควันซึ่งมาจากรัศมีของพระเจ้า และมาจากพระฤทธานุภาพของพระองค์ และไม่มีใครสามารถเข้าไปในพระวิหารนั้น จนกว่าภัยพิบัติทั้งเจ็ดของเทวะทูตเจ็ดองค์นั้นจะสิ้นสุดลง
1แล้วข้าพเจ้าก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากพระวิหาร สั่งเทวะทูตทั้งเจ็ดองค์นั้นว่า “จงไปเถิด แล้วเอาชามแห่งความกริ้วของพระเจ้าทั้งเจ็ดใบเทลงบนแผ่นดินโลก” 2เทวะทูตองค์แรกจึงออกไป และเทชามของตนลงบนแผ่นดินโลก แล้วคนทั้งหลายที่มีเครื่องหมายของสัตว์ร้าย และพวกที่บูชารูปของมันก็มีแผลร้ายที่เจ็บปวดเกิดขึ้นตามตัว 3ทูตสวรรค์องค์ที่สองเทชามของตนลงในทะเล แล้วทะเลก็กลายเป็นเลือดเหมือนอย่างเลือดของคนตาย และบรรดาสิ่งที่มีชีวิตซึ่งอยู่ในทะเลนั้นก็ตายหมดสิ้น
4เทวะทูตองค์ที่สาม เทชามของตนลงไปยังแม่น้ำและบ่อน้ำพุทั้งหลาย และน้ำเหล่านั้นก็กลายเป็นเลือด 5และข้าพเจ้าได้ยินเทวะทูตแห่งน่านน้ำต่าง ๆ ร้องว่า “พระองค์ทรงยุติธรรม ผู้ที่ทรงเป็นอยู่และทรงเคยเป็นอยู่ และทรงบริสุทธิ์ เพราะพระองค์ได้ทรงพิพากษาสิ่งเหล่านี้แล้ว 6เพราะพวกเขาทำให้เลือดของบรรดาวิมุตติชนและผู้พยากรณ์ไหลออก และพระองค์จึงให้เขาดื่มเลือด ซึ่งเป็นสิ่งที่สมควรแล้ว” 7และข้าพเจ้าได้ยินแท่นบูชาร้องว่า “ถูกแล้ว องค์พระผู้เป็นเจ้า พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด การพิพากษาของพระองค์สัตย์จริงและยุติธรรม”
8เทวะทูตองค์ที่สี่ เทชามของตนลงไปที่ดวงอาทิตย์ และให้ดวงอาทิตย์แผดเผามนุษย์ด้วยไฟ 9ความร้อนแรงกล้าก็แผดเผามนุษย์ พวกเขาก็สาปแช่งพระนามพระเจ้าผู้ทรงมีฤทธิ์เหนือภัยพิบัติเหล่านี้ และเขาไม่ยอมกลับใจและไม่ยอมถวายพระเกียรติแด่พระองค์ 10เทวะทูตองค์ที่ห้า เทชามของตนลงบนบัลลังก์ของสัตว์ร้าย แล้วอาณาจักรของมันก็มืดไป พวกของมันก็กัดลิ้นของตนด้วยความเจ็บปวด 11และสาปแช่งพระเจ้าแห่งสวรรค์ เพราะความเจ็บปวดนั้น และเพราะแผลตามตัวของเขา แต่ไม่ยอมกลับใจจากการประพฤติของตน
12เทวะทูตองค์ที่หก เทชามของตนลงไปที่แม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส ทำให้น้ำในแม่น้ำนั้นแห้ง เพื่อเตรียมทางไว้สำหรับบรรดากษัตริย์ที่มาจากทิศตะวันออก 13และข้าพเจ้าเห็นวิญญาณโสโครกสามดวงรูปร่างเหมือนอย่างกบออกจากปากพญานาค จากปากสัตว์ร้าย และจากปากผู้พยากรณ์เท็จ 14เพราะว่าวิญญาณเหล่านี้เป็นผีที่ทำหมายสำคัญ พวกมันออกไปหากษัตริย์ทั้งหลายทั่วโลก เพื่อรวบรวมกษัตริย์เหล่านั้นไปทำสงคราม ในวันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด 15(นี่แน่ะ เรากำลังมาเหมือนอย่างขโมย คนที่ตื่นอยู่และรักษาเสื้อผ้าของตนไว้ก็เป็นสุข เพราะว่าเขาไม่ต้องเดินเปลือยกายให้คนทั้งหลายเห็นสภาพอันน่าอับอาย) 16และวิญญาณทั้งสามได้รวบรวมกษัตริย์ทั้งหลาย ไปยังสถานที่หนึ่ง ซึ่งเรียกตามภาษาฮีบรูว่า อาร์มาเก็ดดอน
17เทวะทูตองค์ที่เจ็ด เทชามของตนลงไปในอากาศ แล้วมีเสียงดังออกมาจากพระที่นั่งในพระวิหารนั้นว่า “สำเร็จแล้ว” 18และเกิดฟ้าแลบ เสียงครืน ๆ และฟ้าร้อง แล้วเกิดแผ่นดินไหวรุนแรง ซึ่งตั้งแต่มนุษย์เกิดขึ้นมาบนแผ่นดินโลก ไม่เคยเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงน่ากลัวอย่างนั้นเลย 19มหานครนั้นก็แยกออกเป็นสามส่วน และเมืองทั้งหลายของนานาประชาชาติก็พังทลายลง และพระเจ้าจดจำมหานครบาบิโลน พระองค์ให้ถ้วยเหล้าองุ่นแห่งพระพิโรธรุนแรงของพระองค์แก่นครนั้น 20แล้วเกาะทั้งหมดก็หายไป และภูเขาทั้งหมดก็ไม่มีใครหาเจอ 21และลูกเห็บใหญ่ก็ตกจากฟ้าลงมาบนตัวคนทั้งหลาย แต่ละก้อนหนักประมาณห้าสิบกิโลกรัม คนทั้งหลายจึงสาปแช่งพระเจ้าเนื่องด้วยภัยพิบัติที่เกิดจากลูกเห็บนั้น เพราะภัยพิบัตินั้นรุนแรงมาก
1แล้วเทวะทูตองค์หนึ่งในเจ็ดองค์ ที่ถือชามเจ็ดใบนั้น ก็มาและพูดกับข้าพเจ้าว่า “มานี่ซี เราจะให้เจ้าดูการลงโทษหญิงแพศยาตัวเอ้ที่นั่งอยู่บนน้ำมากหลาย 2คือหญิงที่บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกล่วงประเวณีด้วย และคนทั้งหลายที่อยู่บนแผ่นดินโลกก็เมามายด้วยเหล้าองุ่นแห่งการล่วงประเวณีของนาง” 3แล้วท่านก็นำข้าพเจ้าเข้าไปในถิ่นทุรกันดารโดยพระวิญญาณ และข้าพเจ้าเห็นผู้หญิงคนหนึ่งนั่งอยู่บนสัตว์ร้ายสีแดงเข้มตัวหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยชื่อที่เป็นคำหมิ่นประมาทพระเจ้า มันมีเจ็ดหัวและสิบเขา
4หญิงคนนั้นนุ่งห่มสวมชุดสีม่วง และสีแดงเข้ม และประดับด้วยทองคำ อัญญะมณีต่าง ๆ และไข่มุก ในมือของนางมีถ้วยทองคำที่เต็มไปด้วยสิ่งน่าสะอิดสะเอียน และของโสโครกจากการล่วงประเวณีของตน 5และบนหน้าผากของนางมีชื่อที่เป็นความลึกลับเขียนไว้ว่า “บาบิโลนมหานคร แม่ของหญิงแพศยาทั้งหลาย และแม่ของบรรดาสิ่งน่าสะอิดสะเอียนแห่งแผ่นดินโลก” 6และข้าพเจ้าเห็นหญิงนั้นเมามายด้วยโลหิตของพวกวิมุตติชน และโลหิตของบรรดาพยานของพระเยซู เมื่อข้าพเจ้าเห็นนางแล้วก็อัศจรรย์ใจอย่างยิ่ง
7เทวะทูตองค์นั้นจึงถามข้าพเจ้าว่า “ทำไมเจ้าจึงอัศจรรย์ใจ? เราจะบอกให้เจ้ารู้ความลึกลับของหญิงนั้น และของสัตว์ร้ายที่มีเจ็ดหัวและสิบเขาที่เป็นพาหนะของนาง 8สัตว์ร้ายที่ท่านเห็นนั้น มันเคยเป็นอยู่ แต่ไม่ได้เป็นอยู่ในปัจจุบัน มันจวนจะขึ้นมาจากบาดาลลึกเพื่อไปสู่ความพินาศแล้ว และคนทั้งหลายที่อยู่ในโลก ซึ่งไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิตตั้งแต่แรกสร้างโลก ก็จะอัศจรรย์ใจเมื่อเห็นสัตว์ร้ายซึ่งเคยเป็นอยู่ แต่ไม่ได้เป็นอยู่ในปัจจุบัน และจะมาอีกนั้น 9นี่ต้องใช้ความคิดอย่างมีปัญญา หัวทั้งเจ็ดนั้นคือเนินเขาเจ็ดยอดที่หญิงนั้นนั่งอยู่ และคือกษัตริย์เจ็ดองค์ 10ห้าองค์ล่วงไปแล้ว และองค์หนึ่งกำลังเป็นอยู่ ส่วนอีกองค์หนึ่งนั้นยังไม่มา และถ้ามาแล้วก็จะต้องอยู่เพียงระยะสั้น ๆ
11ส่วนสัตว์ร้ายที่เคยเป็นอยู่ แต่ไม่ได้เป็นอยู่ในปัจจุบันนั้นเป็นองค์ที่แปด แต่ก็ยังเป็นหนึ่งในเจ็ดองค์นั้น และกำลังไปสู่ความพินาศ 12เขาทั้งสิบเขาที่ท่านเห็นนั้น คือกษัตริย์สิบองค์ที่ยังไม่ได้รับราชอาณาจักร แต่จะรับสิทธิอำนาจเหมือนอย่างกษัตริย์ด้วยกันกับสัตว์ร้ายตัวนั้นหนึ่งชั่วโมง 13กษัตริย์เหล่านี้ทรงมีความเห็นอย่างเดียวกัน และจะทรงมอบแสนยานุภาพ และสิทธิอำนาจของตนแก่สัตว์ร้ายนั้น 14พวกเขาจะต่อสู้กับพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า และพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้าจะทรงชนะเขา เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย และทรงเป็นกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย และพวกที่อยู่กับพระองค์นั้น ก็เป็นพวกที่ได้รับการทรงเรียกและได้รับการทรงเลือก และเป็นพวกที่ซื่อสัตย์”
15และเทวทูตองค์นั้นบอกข้าพเจ้าว่า “น้ำมากหลายที่เจ้าเห็นซึ่งหญิงแพศยานั่งอยู่นั้น คือชนชาติต่าง ๆ ฝูงชนต่าง ๆ ประชาชาติต่าง ๆ และภาษาต่าง ๆ 16เขาสิบเขาที่ท่านเห็นและสัตว์ร้ายนั้น จะพากันเกลียดชังหญิงแพศยานั้น พวกมันจะทำให้นางร้างเปล่า และเปลือยกาย และจะกินเนื้อของนาง และเอาไฟเผานาง 17เพราะว่าพระเจ้าบันดาลใจพวกมันให้ทำตามพระดำริของพระองค์ โดยทำให้พวกมันมีความเห็นอย่างเดียวกันในการมอบอาณาจักรให้แก่สัตว์ร้าย จนกว่าจะสำเร็จตามพระคำของพระเจ้า 18และผู้หญิงที่ท่านเห็นนั้นคือมหานครที่ครอบครองอยู่เหนือกษัตริย์ทั้งหลายของแผ่นดินโลก”
1หลังจากนั้นข้าพเจ้าเห็นเทวะทูตอีกองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านมีสิทธิอำนาจยิ่งใหญ่ และรัศมีของท่านทำให้แผ่นดินโลกสว่าง 2ท่านร้องประกาศด้วยเสียงกึกก้องว่า “บาบิโลนมหานครพังทลายแล้ว พังทลายแล้ว กลายเป็นที่อาศัยของพวกผี เป็นที่อยู่ของวิญญาณทุกชนิดที่โสโครก เป็นที่อยู่ของนกทุกชนิดที่โสโครก และเป็นที่อยู่ของสัตว์ร้ายทุกชนิดที่โสโครก และน่าเกลียดน่าชัง 3เพราะประชาชาติทั้งหมดต่างได้ดื่ม เหล้าองุ่นแห่งราคะในการล่วงประเวณีของนครนั้น และบรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกได้ล่วงประเวณีกับนครนั้น และพวกพ่อค้าแห่งแผ่นดินโลกก็มั่งมีขึ้นจากความฟุ่มเฟือยอย่างยิ่งของนครนั้น
4และข้าพเจ้าได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งจากสวรรค์กล่าวว่า “จงออกมาจากนครนั้นเถิด ชนชาติของเราเอ๋ย เพื่อเจ้าจะไม่มีส่วนกับบาปของนครนั้น และเพื่อเจ้าทั้งหลายจะไม่ต้องรับภัยพิบัติของนครนั้น 5เพราะบาปของนครนั้นกองสูงขึ้นถึงสวรรค์แล้ว และพระเจ้าทรงจดจำความชั่วช้าของนครนั้นแล้ว 6จงทำกับนครนั้นเหมือนอย่างที่นครนั้นเคยทำกับคนอื่น และจงตอบแทนการกระทำของนครนั้นเป็นสองเท่า ในถ้วยที่นครนั้นได้ผสมไว้ ก็จงผสมเหล้าลงไปเป็นสองเท่า 7นครนั้นให้เกียรติตัวเอง และอยู่อย่างฟุ่มเฟือยมากเพียงไร ก็จงมอบความทรมาน และความโศกเศร้าแก่นครนั้นมากเพียงนั้น เพราะนครนั้นรำพึงในใจว่า ‘เรานั่งอยู่ในตำแหน่งราชินี เราไม่ใช่หญิงม่าย และเราจะไม่ประสบความโศกเศร้าเลย’ 8เพราะเหตุนี้ภัยพิบัติต่าง ๆ จะมาถึงนครนั้นภายในวันเดียว คือโรคระบาด ความโศกเศร้า และการกันดารอาหาร และไฟจะเผานครนั้น เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงพิพากษานครนั้นทรงฤทธิ์” 9บรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกที่ล่วงประเวณีกับนครนั้น และอยู่ด้วยกันอย่างฟุ่มเฟือย เมื่อเห็นควันไฟที่ไหม้นครนั้นก็จะร้องไห้ และทุกข์โศก 10พวกเขาจะยืนห่าง ๆ เพราะกลัวภัยจากการทรมานนครนั้น และจะกล่าวว่า “วิบัติแล้ว วิบัติแล้ว นครที่ยิ่งใหญ่ นครบาบิโลนที่แข็งแกร่ง เพราะการพิพากษามาถึงเจ้าแล้วภายในชั่วโมงเดียวเท่านั้น”
11พวกพ่อค้าบนแผ่นดินโลกจะร้องไห้ และโศกเศร้าเนื่องจากนครนั้น เพราะไม่มีใครซื้อสินค้าของเขาอีกต่อไปแล้ว 12สินค้าเหล่านั้นได้แก่ ทองคำ เงิน อัญญะมณีต่าง ๆ ไข่มุก ผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าสีม่วง ผ้าไหม ผ้าสีแดงเข้ม ไม้หอมทุกชนิด สิ่งของทุกอย่างที่ทำจากงาช้าง สิ่งของทุกอย่างที่ทำจากไม้ราคาแพง จากทองสัมฤทธิ์ เหล็ก และหินอ่อน 13อบเชย เครื่องเทศ เครื่องหอม มดยอบ กำยาน เหล้าองุ่น น้ำมันมะกอก แป้งอย่างดี ข้าวสาลี โค แกะ ม้า รถม้า ทาส และเชลยศึก
14ผลที่จิตใจของเจ้าอยากได้นั้น ก็หายไปจากเจ้า ทุกสิ่งที่หรูหราและงามตระการตา ก็สูญสิ้นไปจากเจ้า และเจ้าจะไม่ได้พบเห็นอีกเลย 15พวกพ่อค้าที่ขายสิ่งเหล่านี้ และเป็นคนมั่งมีเพราะนครนั้น จะยืนอยู่ห่าง ๆ เพราะกลัวภัยจากการทรมานนคร พวกเขาจะร้องไห้และโศกเศร้า 16กล่าวว่า “วิบัติแล้ว วิบัติแล้ว นครที่ยิ่งใหญ่ นครที่สวมใส่ผ้าป่านเนื้อละเอียด ผ้าสีม่วงและผ้าสีแดงเข้ม นครที่ประดับด้วยทองคำ อัญญะมณีและไข่มุก’
17เพราะภายในชั่วโมงเดียว ทรัพย์สมบัติที่มากมายเช่นนี้ก็ยังสูญสิ้นไป” และกัปตันเรือทุกคน ผู้โดยสารทั้งหมด พวกกะลาสีและคนทั้งหลายที่มีอาชีพทางทะเลก็ยืนอยู่ห่าง ๆ 18และส่งเสียงร้องเมื่อเห็นควันไฟที่ไหม้นครนั้น กล่าวว่า “นครใดจะเหมือนมหานครนี้” 19และเขาทั้งหลายก็โปรยผงคลีลงบนศีรษะของตน ส่งเสียงร้องไห้โศกเศร้า กล่าวว่า “วิบัติแล้ว วิบัติแล้ว นครที่ยิ่งใหญ่ นครซึ่งทุกคนที่มีเรือเดินทะเลต่างเคยมั่งมีจากความมั่งคั่งของนครนั้น เพราะภายในชั่วโมงเดียวนครนั้นก็สูญสิ้น”
20จงรื่นเริงเพราะนครนั้นเถิด เมืองสวรรค์ ทั้งบรรดาวิมุตติชน อัครทูตทั้งหลาย และพวกผู้พยากรณ์ เพราะพระเจ้าทรงพิพากษาลงโทษนครนั้นให้กับเจ้าทั้งหลายแล้ว 21และเทวะทูตองค์หนึ่งที่มีฤทธิ์มาก ก็ยกหินก้อนหนึ่งที่เหมือนอย่างหินโม่ใหญ่ทุ่มลงไปในทะเลแล้วกล่าวว่า “บาบิโลนนครที่ยิ่งใหญ่ จะถูกทุ่มลงอย่างแรงเช่นนี้แหละ และจะไม่มีใครพบเห็นนครนั้นอีกเลย 22และจะไม่มีใครได้ยินเสียง นักดีดพิณ นักดนตรี นักเป่าขลุ่ยและนักเป่าแตรในตัวเจ้าอีกต่อไป และจะไม่มีใครพบเห็น ช่างแขนงใด ๆ ในตัวเจ้าอีกต่อไป และจะไม่มีใครได้ยิน เสียงโม่แป้งในตัวเจ้าอีกต่อไป 23และจะไม่มีแสงสว่างของประทีป ส่องแสงในตัวเจ้าอีกต่อไป และจะไม่มีใครได้ยิน เสียงเจ้าบ่าวเจ้าสาวในตัวเจ้าอีกต่อไป เพราะพวกพ่อค้าของเจ้าล้วนเป็นคนใหญ่โตบนแผ่นดินโลก และเพราะทุกประชาชาติก็ถูกล่อลวงด้วยเวทมนตร์ของเจ้า 24และในตัวเจ้าเขาก็พบเลือดของบรรดาผู้พยากรณ์ของพวกวิมุตติชน และของทุกคนที่ถูกฆ่าบนแผ่นดินโลก”
1หลังจากนั้นข้าพเจ้าได้ยินเสียงเหมือนกับเสียงของมหาชนที่ดังสนั่นอยู่ในสวรรค์ กล่าว “สรรเสริญพระเจ้า ความหลุดพ้น สง่าราศี และฤทธานุภาพเป็นของพระเจ้าของเรา 2เพราะการพิพากษาของพระองค์เที่ยงตรงและยุติธรรม พระองค์ทรงพิพากษาหญิงแพศยาตัวเอ้ ผู้ทำให้แผ่นดินโลกเสื่อมทรามด้วยการล่วงประเวณีของนาง และพระองค์ทรงแก้แค้นหญิงคนนั้น ในเรื่องเลือดของบรรดาทาสรับใช้ของพระองค์” 3คนเหล่านั้นร้องอีกเป็นครั้งที่สองว่า “สรรเสริญพระเจ้า ควันไฟของนครนั้นพลุ่งขึ้นตลอดไปเป็นนิตย์”
4และพวกผู้อาวุโสทั้งยี่สิบสี่คนกับสิ่งมีชีวิตทั้งสี่ ก็ทรุดตัวลงกราบไว้พระเจ้าพระเจ้าผู้นั่งบนพระที่นั่ง และร้องว่า “สาธุ สรรเสริญพระเจ้า” 5และมีเสียงออกมาจากพระที่นั่งว่า “ทาสรับใช้ทุกคนของพระเจ้า และบรรดาคนที่เกรงกลัวพระองค์ ทั้งคนเล็กน้อยและคนใหญ่โต จงสรรเสริญพระเจ้าของเรา” 6แล้วข้าพเจ้าได้ยินเสียงเหมือนอย่างเสียงมหาชน เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลาย และเหมือนอย่างเสียงฟ้าร้องกึกก้องว่า “สรรเสริญพระเจ้า เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงครอบครองอยู่ คือพระเจ้าของเราผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด 7ขอให้เรายินดีและเปรมปรีดิ์ และถวายพระเกียรติแด่พระองค์ เพราะงานมงคลสมรสของพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า มาถึงแล้ว และเจ้าสาวของพระองค์ก็เตรียมตัวพร้อมแล้ว 8และโปรดให้เจ้าสาวสวมใส่ ผ้าป่านเนื้อละเอียด มันระยับและสะอาด เพราะว่าผ้าป่านเนื้อละเอียดนั้นคือการประพฤติอันชอบธรรมของวิมุตติชน”
9และเทวะทูตองค์นั้นบอกข้าพเจ้าว่า “จงเขียนลงไปว่า ความสุขมีแก่คนทั้งหลาย ที่ได้รับเชิญมาในงานเลี้ยงในงานมงคลสมรสของพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า” และท่านบอกอีกว่า “ถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำที่สัตย์จริงของพระเจ้า” 10แล้วข้าพเจ้าก็ทรุดตัวลงแทบเท้าของท่านเพื่อจะกราบไหว้ท่าน แต่ท่านกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “อย่าทำแบบนี้ เราเป็นผู้ร่วมรับใช้เช่นเดียวกับเจ้าและพี่น้องของเจ้าที่ยึดถือคำพยานของพระเยซู จงกราบไหว้พระเจ้าเถิด” เพราะว่าคำพยานของพระเยซูนั้นเป็นหัวใจของการพยากรณ์
11แล้วข้าพเจ้าเห็นสวรรค์เปิดออก และ นี่แน่ะ มีม้าสีขาวตัวหนึ่ง พระองค์ผู้ทรงม้านั้นมีพระนามว่า “ซื่อสัตย์ และสัตย์จริง” พระองค์ทรงพิพากษา และทรงต่อสู้ด้วยความถูกต้องชอบธรรม 12ดวงตาของพระองค์เหมือนอย่างเปลวไฟ และบนศีรษะของพระองค์มีมงกุฎหลายอัน พระองค์ทรงมีพระนามจารึกไว้ ซึ่งไม่มีใครรู้จักเลยนอกจากพระองค์เอง 13พระองค์สวมเสื้อผ้าที่ได้จุ่มในเลือด และพระนามที่เรียกพระองค์นั้นคือ “พระธรรมของพระเจ้า” 14กองทัพทั้งหลายในสวรรค์นุ่งห่มผ้าป่านเนื้อละเอียด สีขาวสะอาด ขี่ม้าขาวตามเสด็จพระองค์ไป 15มีพระแสงดาบคมกริบออกมาจากปากของพระองค์ เพื่อพระองค์จะใช้มันฟาดฟันประชาชาติต่าง ๆ และพระองค์จะครอบครองเขาทั้งหลายด้วยคทาเหล็ก พระองค์จะย่ำบ่อย่ำองุ่นแห่งพระพิโรธรุนแรงของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพสูงสุด 16พระองค์มีพระนามจารึกที่เสื้อผ้าของพระองค์ และที่ต้นขาของพระองค์ว่า “กษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย และเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย”
17แล้วข้าพเจ้าเห็นเทวะทูตองค์หนึ่งยืนอยู่บนดวงอาทิตย์ ท่านร้องประกาศเสียงดังแก่นกทั้งหมดที่บินอยู่ในท้องฟ้าว่า “มาเถิด มาชุมนุมกันในงานเลี้ยงใหญ่ของพระเจ้า 18เพื่อจะกินเนื้อกษัตริย์ เนื้อนายทหาร เนื้อคนที่มีกำลังมาก เนื้อม้า เนื้อของคนทั้งหลายที่นั่งบนหลังของมัน และเนื้อของทุกคน ทั้งคนที่เป็นเสรีชน และเป็นทาส ทั้งคนเล็กน้อยและคนใหญ่โต” 19และข้าพเจ้าเห็นสัตว์ร้าย และบรรดากษัตริย์บนแผ่นดินโลก พร้อมทั้งกองทัพของกษัตริย์เหล่านั้น มาชุมนุมกันเพื่อทำสงครามกับพระองค์ผู้ทรงม้า และกับกองทัพของพระองค์ 20แต่สัตว์ร้ายนั้นถูกจับพร้อมกับผู้พยากรณ์จอมปลอมผู้ที่ทำหมายสำคัญต่อหน้ามัน และใช้หมายสำคัญนั้นล่อลวงคนทั้งหลายที่ได้รับเครื่องหมายของสัตว์ร้าย และคนทั้งหลายที่บูชารูปของมัน ทั้งสองถูกโยนลงไปทั้งเป็นในบึงไฟที่ลุกไหม้ด้วยกำมะถัน 21และคนที่เหลืออยู่ก็ถูกฆ่าด้วย พระแสงดาบที่ออกมาจากปากของพระองค์ผู้ทรงม้านั้น และนกทั้งหมดก็อิ่มด้วยเนื้อของคนเหล่านั้น
1แล้วข้าพเจ้าเห็นเทวะทูตองค์หนึ่งลงมาจากสวรรค์ ท่านถือลูกกุญแจของบาดาลลึก และถือโซ่เส้นใหญ่ในมือของท่าน 2และท่านจับพญานาคที่เป็นงูดึกดำบรรพ์ผู้ซึ่งเป็นมารและซาตาน แล้วมัดมันไว้หนึ่งพันปี 3แล้วโยนมันลงไปในบาดาลลึกนั้น ใส่กุญแจ และประทับตราไว้ เพื่อไม่ให้มันล่อลวงประชาชาติต่าง ๆ ได้อีกต่อไป จนครบหนึ่งพันปี หลังจากนั้นจะต้องปล่อยมันออกมาชั่วระยะเวลาหนึ่ง
4ข้าพเจ้าเห็นบัลลังก์หลายบัลลังก์ และผู้ที่นั่งอยู่บนนั้นได้รับมอบอำนาจในการพิพากษา ข้าพเจ้าเห็นดวงวิญญาณของคนทั้งหลายที่ถูกตัดศีรษะเพราะการเป็นพยานถึงพระเยซู และเพราะพระคำของพระเจ้า พวกเขาไม่ได้บูชาสัตว์ร้ายหรือรูปของมัน และไม่ได้รับเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือของเขา เขาทั้งหลายกลับมีชีวิตขึ้นอีก และครอบครองร่วมกับพระผู้เป็นพระศรีอาริย์เป็นเวลาหนึ่งพันปี 5(ส่วนคนอื่น ๆ ที่ตายไปแล้วไม่ได้กลับมีชีวิตขึ้นอีกจนกว่าจะครบหนึ่งพันปี) นี่แหละคือการเป็นขึ้นจากตายครั้งแรก 6ใครที่มีส่วนในการเป็นขึ้นจากตายครั้งแรกก็เป็นสุขและบริสุทธิ์ ความตายครั้งที่สองจะไม่มีอำนาจเหนือเขาทั้งหลาย แต่เขาจะเป็นปุโรหิตของพระเจ้าและของพระผู้เป็นพระศรีอาริย์ และจะครอบครองร่วมกับพระองค์หนึ่งพันปี
7เมื่อครบหนึ่งพันปีแล้ว ซาตานจะถูกปล่อยออกจากคุกที่ขังมัน 8และมันจะออกไปล่อลวงประชาชาติต่าง ๆ ทั้งสี่ทิศของแผ่นดินโลก คือโกกและมาโกก ให้มาชุมนุมกัน เพื่อเข้าสู่สงคราม จำนวนของเขาทั้งหลายเหมือนอย่างเม็ดทรายที่ทะเล 9และพวกเขายกขบวนออกไปทั่วแผ่นดินโลก และล้อมกองทัพของพวกวิมุตติชน และนครอันเป็นที่รักนั้นไว้ แต่ไฟลงมาจากสวรรค์เผาผลาญคนเหล่านั้น 10ส่วนมารที่ล่อลวงเขาทั้งหลายก็ถูกโยนลงไปในบึงไฟและกำมะถัน ที่ซึ่งสัตว์ร้ายและผู้พยากรณ์จอมปลอมอยู่นั้น และพวกมันจะถูกทรมานทั้งกลางวันและกลางคืนตลอดไปเป็นนิตย์
11แล้วข้าพเจ้าเห็นพระที่นั่งใหญ่สีขาว และเห็นพระองค์ผู้นั่งบนพระที่นั่งนั้น แผ่นดินโลกและฟ้าสวรรค์ก็หายไปจากหน้าของพระองค์ และไม่มีใครพบเห็นที่อยู่ของพวกมันอีกเลย 12ข้าพเจ้ายังเห็นบรรดาคนตาย ทั้งคนใหญ่โตและคนเล็กน้อยยืนอยู่หน้าพระที่นั่งนั้น แล้วหนังสือต่าง ๆ ก็ถูกเปิดออก และหนังสืออีกเล่มหนึ่งก็ถูกเปิดออกด้วย คือหนังสือแห่งชีวิต คนตายก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของเขาทั้งหลายที่เขียนไว้ในหนังสือเหล่านั้น 13ทะเลก็ส่งคืนคนตายที่อยู่ในทะเล ความตายและแดนคนตายก็ส่งคืนคนตายที่อยู่ในนั้น แต่ละคนก็ถูกพิพากษาตามการกระทำของตน 14แล้วความตายและแดนคนตายก็ถูกโยนลงไปในบึงไฟ บึงไฟนี่แหละคือความตายครั้งที่สอง 15และถ้าพบว่าใครไม่มีชื่อจดไว้ในหนังสือแห่งชีวิต เขาก็จะถูกโยนลงไปในบึงไฟ
1และข้าพเจ้าเห็นฟ้าสวรรค์ใหม่ และแผ่นดินโลกใหม่ เพราะว่าฟ้าสวรรค์เดิมและแผ่นดินโลกเดิมนั้นหายไปแล้ว และทะเลก็ไม่มีอีกต่อไป 2และข้าพเจ้าได้เห็นนครบริสุทธิ์ คือนครเยรูซาเล็มใหม่ลอยลงมาจากสวรรค์ และจากพระเจ้า นครนี้เตรียมพร้อมเหมือนอย่างเจ้าสาวที่แต่งตัวไว้สำหรับเจ้าบ่าว 3ข้าพเจ้าได้ยินเสียงดังจากพระที่นั่งว่า “นี่แน่ะ ที่ประทับของพระเจ้าอยู่กับมนุษย์แล้ว และพระองค์จะประทับกับเขาทั้งหลาย พวกเขาจะเป็นชนชาติของพระองค์ พระเจ้าเองจะอยู่กับเขา และจะเป็นพระเจ้าของเขา 4พระเจ้าจะเช็ดน้ำตาทุก ๆ หยดจากตาของเขาทั้งหลาย และความตายจะไม่มีอีกต่อไป ความโศกเศร้า การร้องไห้ และการเจ็บปวดจะไม่มีอีกต่อไป เพราะยุคเดิมนั้นผ่านไปแล้ว”
5แล้วพระองค์ผู้นั่งบนพระที่นั่งกล่าวว่า “นี่แน่ะ เราสร้างทุกสิ่งขึ้นใหม่” และกล่าวอีกว่า “จงเขียนลงไปเถิด เพราะว่าคำเหล่านี้เป็นคำที่เชื่อถือได้และสัตย์จริง” 6แล้วพระองค์พูดกับข้าพเจ้าว่า “สำเร็จแล้ว เราเป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย เป็นปฐมและอวสาน ใครที่กระหาย เราจะให้เขาดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย 7คนที่ชนะจะได้รับสิ่งเหล่านี้เป็นมรดก และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา และเขาจะเป็นลูกของเรา 8แต่พวกที่ขี้ขลาด พวกที่ไม่เชื่อ พวกที่ประพฤติอย่างน่าสะอิดสะเอียน พวกฆาตกร พวกล่วงประเวณี พวกใช้เวทมนตร์ พวกบูชารูปเคารพ และทุกคนที่โกหกนั้น มรดกของพวกเขาอยู่ในบึงที่ไฟ และกำมะถันกำลังลุกไหม้อยู่ ซึ่งเป็นความตายครั้งที่สอง”
9แล้วเทวะทูตองค์หนึ่งในเจ็ดองค์ที่ถือชามเจ็ดใบเต็มด้วยภัยพิบัติสุดท้ายเจ็ดอย่างนั้น มาและพูดกับข้าพเจ้าว่า “มานี่ซี เราจะให้เจ้าดูเจ้าสาวที่เป็นเมียของพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า” 10แล้วท่านนำข้าพเจ้าโดยพระวิญญาณขึ้นไปบนภูเขาสูงใหญ่ และสำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นนครบริสุทธิ์คือเยรูซาเล็ม ซึ่งลอยลงมาจากสวรรค์และจากพระเจ้า 11นครนั้นเต็มไปด้วยสง่าราศีของพระเจ้า ใสสว่างเหมือนอย่างอัญญะมณี เหมือนอย่างหินแจสเปอร์ที่ใสดังแก้วผลึก 12นครนั้นมีกำแพงสูงใหญ่ มีประตูสิบสองประตู และที่ประตูมีเทวะทูตสิบสององค์ บนประตูมีชื่อเผ่าของอิสราเอลสิบสองเผ่าจารึกไว้ 13ทางด้านตะวันออกมีสามประตู ทางด้านเหนือมีสามประตู ทางด้านใต้มีสามประตูและทางด้านตะวันตกมีสามประตู 14กำแพงของนครนั้นมีฐานหินผาสิบสองฐาน และบนฐานเหล่านั้นมีชื่ออัครทูตสิบสองคนของพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า
15เทวะทูตองค์ที่พูดกับข้าพเจ้านั้น มีไม้วัดที่ทำด้วยทองคำเพื่อจะวัดตัวนคร ประตูและกำแพงของนครนั้น 16นครนั้นเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสกว้างยาวเท่ากัน และท่านวัดนครนั้นด้วยไม้วัดได้ 12 000 สทาดิโอน ความยาว ความกว้างและความสูงเท่ากัน 17ท่านวัดกำแพงนครนั้นได้ ,144 ศอก ตามมาตราวัดของมนุษย์ที่เทวะทูตก็ใช้ 18กำแพงนครนั้นสร้างขึ้นด้วยหินแจสเปอร์ และนครนั้นสร้างด้วยทองคำเนื้อบริสุทธิ์เหมือนแก้วที่ใสสะอาด 19ฐานหินผาต่าง ๆ ของกำแพงนครนั้นประดับด้วยอัญญะมณีทุกชนิด ฐานที่หนึ่งเป็นหินแจสเปอร์ ที่สองไพลิน ที่สามเป็นโมรา ที่สี่เป็นมรกต 20ที่ห้าโอนิกซ์ ที่หกหินคาร์เนเลียน ที่เจ็ดเพอริโด ที่แปดเบริล ที่เก้าโทแพซ ที่สิบคริโซเพรส ที่สิบเอ็ดเพทาย ที่สิบสองแอเมทิสต์ 21ประตูทั้งสิบสองประตูนั้นทำด้วยไข่มุกสิบสองเม็ด ประตูละเม็ด และถนนในนครนั้นเป็นทองคำเนื้อบริสุทธิ์เหมือนอย่างแก้วโปร่งใส
22ข้าพเจ้าไม่เห็นมีพระวิหารในนครนั้น เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าทรงฤทธานุภาพสูงสุด และพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้าเป็นพระวิหารในนครนั้น 23นครนั้นไม่จำเป็นต้องมีแสงจากดวงอาทิตย์หรือดวงจันทร์ เพราะว่าสง่าราศีของพระเจ้าเป็นแสงสว่างของนครนั้น และพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้าทรงเป็นแสงสว่างของนครนั้น 24ประชาชาติต่าง ๆ จะเดินโดยอาศัยแสงสว่างของนครนั้น และกษัตริย์ทั้งหลายในแผ่นดินโลกจะนำศักดิ์ศรีของตนเข้ามาในนครนั้น 25ประตูต่าง ๆ ของนครจะไม่ปิดในเวลากลางวัน และจะไม่มีเวลากลางคืนในนั้น 26คนทั้งหลายจะนำศักดิ์ศรี และเกียรติของประชาชาติต่าง ๆ เข้ามา 27และไม่มีสิ่งใดที่เป็นมลทิน หรือคนใดที่ประพฤติอย่างน่าสะอิดสะเอียน หรือประพฤติการหลอกลวงจะเข้าไปในนครนั้นได้ นอกจากพวกที่มีชื่อจดไว้ในหนังสือชีวิตของพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้าเท่านั้น
1และท่านสำแดงให้ข้าพเจ้าเห็นแม่น้ำที่มีน้ำแห่งชีวิต ใสเหมือนอย่างแก้วผลึก ไหลมาจากพระที่นั่งของพระเจ้า และของพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้า 2ไปที่กลางถนนของนครนั้น และริมแม่น้ำทั้งสองฝั่งมีต้นไม้แห่งชีวิต ที่ออกผลสิบสองชนิด มันออกผลทุกเดือน และใบของต้นไม้นั้นใช้สำหรับรักษาโรคของบรรดาประชาชาติ 3ทุกสิ่งที่ถูกสาปแช่งจะไม่มีอีกต่อไป พระที่นั่งของพระเจ้าและของพระผู้เป็นลูกแกะของพระเจ้าจะตั้งอยู่ที่นั่น และบรรดาทาสรับใช้ของพระองค์จะกราบไหว้พระองค์ 4พวกเขาจะเห็นหน้าของพระองค์ และพระนามของพระองค์จะอยู่บนหน้าผากของเขาทั้งหลาย 5กลางคืนจะไม่มีอีกต่อไป เขาไม่จำเป็นต้องมีแสงตะเกียงหรือแสงอาทิตย์ เพราะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเจ้าจะเป็นแสงสว่างของเขาทั้งหลาย และเขาจะครอบครองอยู่ตลอดไปเป็นนิตย์
6และเทวะทูตองค์นั้นบอกข้าพเจ้าว่า “ถ้อยคำเหล่านี้เป็นคำที่เชื่อถือได้และสัตย์จริง และองค์พระผู้เป็นเจ้าคือพระเจ้าแห่งหัวใจของการพยากรณ์ ได้ส่งเทวะทูตของพระองค์มาสำแดงถึงสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นในไม่ช้าแก่บรรดาทาสรับใช้ของพระองค์” 7“นี่แน่ะ เราจะมาในเร็ว ๆ นี้ ความสุขมีแก่คนที่ถือรักษาคำพยากรณ์ในหนังสือนี้” 8ข้าพเจ้าคือยอห์น เป็นผู้ที่ได้ยิน และได้เห็นเหตุการณ์เหล่านี้ และเมื่อข้าพเจ้าได้ยินและได้เห็นแล้ว ข้าพเจ้าก็ทรุดตัวลงกราบไหว้แทบเท้าเทวะทูตที่สำแดงสิ่งเหล่านี้แก่ข้าพเจ้า 9แต่ท่านกล่าวกับข้าพเจ้าว่า “อย่าทำแบบนี้ เราเป็นทาสร่วมรับใช้เช่นเดียวกับเจ้าและพวกพี่น้องของเจ้า ซึ่งเป็นพวกผู้พยากรณ์ และพวกที่ถือรักษาถ้อยคำในหนังสือนี้ จงกราบไหว้พระเจ้าเถิด”
10และท่านบอกข้าพเจ้าอีกว่า “อย่าผนึกตราปิดคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ เพราะว่าใกล้จะถึงเวลานั้นแล้ว 11จงให้คนที่ไม่เชื่อในพระเจ้าประพฤติชั่วช้าลามกต่อไป จงให้คนโสมมประพฤติการโสมมต่อไป จงให้คนชอบธรรม ทำการชอบธรรมต่อไป และจงให้คนบริสุทธิ์เป็นคนบริสุทธิ์ต่อไป” 12“นี่แน่ะ เราจะมาในเร็ว ๆ นี้ และจะนำบำเหน็จของเรามาด้วย เพื่อตอบแทนตามการกระทำของแต่ละคน 13เราคือผู้แรกเริ่มและผู้สุดท้าย เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย เป็นปฐมและอวสาน”
14คนทั้งหลายที่ชำระล้างเสื้อผ้าของตนก็เป็นสุข เพื่อว่าพวกเขาจะมีสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิต และเข้าไปในนครนั้นโดยทางประตูได้ 15ภายนอกเป็นที่ของพวกสุนัข พวกใช้เวทมนตร์ พวกล่วงประเวณี พวกฆาตกร พวกบูชารูปเคารพ และพวกที่รักและประพฤติการหลอกลวงทุกคน 16“เราคือเยซูผู้ใช้เทวะทูตของเราไปเป็นพยานถึงสิ่งเหล่านี้ต่อเจ้าเพื่อชุมชนทั้งหลายของพระเจ้า เราเป็นรากเหง้า และเชื้อสายของดาวิด และเป็นดาวประจำรุ่งอันสุกใส” 17พระวิญญาณและเจ้าสาวกล่าวว่า “เชิญเสด็จมาเถิด” และให้คนที่ได้ยินกล่าวด้วยว่า “เชิญเสด็จมาเถิด” “คนที่กระหายเชิญเข้ามา ใครที่มีใจปรารถนา จงมารับน้ำแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย”
18ข้าพเจ้าเตือนทุกคนที่ได้ยินคำพยากรณ์ในหนังสือนี้ว่า ถ้าใครเพิ่มเติมสิ่งใดเข้าไปในหนังสือนี้ พระเจ้าก็จะทรงเพิ่มเติมภัยพิบัติที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้แก่คนนั้น 19และถ้าใครตัดถ้อยคำอะไรออกจากหนังสือพยากรณ์นี้ พระเจ้าก็จะทรงตัดส่วนแบ่งของเขาที่มีอยู่ในต้นไม้แห่งชีวิต และในนครบริสุทธิ์ ตามที่เขียนไว้ในหนังสือเล่มนี้ไปเสีย 20พระองค์ผู้เป็นพยานในเหตุการณ์เหล่านี้พูดว่า “เราจะมาในเร็ว ๆ นี้แน่นอน” สาธุ พระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า เชิญเสด็จมาเถิด 21ขอพระคุณของพระเยซู องค์พระผู้เป็นเจ้า จงอยู่กับทุกคนเถิด สาธุ